ALT ชี้ไตรมาส 2 ธุรกิจสื่อสารข้ามแดนรุ่งดันกำไรขั้นต้นฟื้น

เอแอลที เผยผลงานไตรมาส 2/64 กำไรขั้นต้น 76 ล้านบาท รับอานิสงค์ธุรกิจโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศเติบโตสูง โชว์มีงานรอรับรู้รายได้ 1,466 ล้านบาท ดี/อีเหลือแค่ 0.55 เท่า วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 64 เป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานทดแทน แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน และร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี

นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 306.83 ล้านบาทลดลง 24.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 404.11 ล้านบาท แต่หากพิจารณารายได้จากการให้บริการโครงข่ายจะเห็นว่ามีอัตราการเติบโตสูง 53.2% จากไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ 52.88 ล้านบาท เป็น 81.01 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้

“แม้รายได้รวมจะลดลง แต่กำไรขั้นต้นของบริษัทเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นมีอัตราการเติบโตถึง 569.8% คือจากขาดทุน 16.18 ล้านบาทใน ไตรมาส 2/63 เป็นกำไร 76.01 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 โดยผลกำไร ส่วนใหญ่เป็นรายการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศ” นายสมบุญ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินการในไตรมาส 2/64 แม้ว่าจะมีกำไรสุทธิ 0.57 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 42.87 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 แต่หากไม่นับรวมรายการพิเศษในรายได้อื่นที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/63 จะพบว่าผลการดำเนินงานปกติก่อนภาษีดีขึ้น 39.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 110.6% จากขาดทุนก่อนภาษี 35.92 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 เป็นกำไรก่อนภาษี 3.83 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 ขณะที่สิ้นไตรมาส 2/64 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 1,466 ล้านบาท

ฐานะการเงินของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากการลดลงของหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และเจ้าหนี้การค้าจำนวน 293.76 ล้านบาท และ 45.50 ล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 0.75 ณ สิ้นปี 2563 เหลือ 0.55 ณ สิ้นไตรมาส 2/64 โดยมีเงินสดในมือ 169.51 ล้านบาท

นายสมบุญ กล่าวอีกว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2564 จะเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานทดแทน แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มคุณภาพบริการ โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ร่วมทั้งเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี

สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม โครงข่ายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสง บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐานเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์  ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย

ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ผู้คนได้ใช้อินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมาร์ สะท้อนได้จากผลประกอบการของบริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด มียอดรายได้สูงขึ้น โดยได้ตั้งเป้าที่จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Asian Digital Hub มีโครงการลงทุนก่อสร้างสถานีฐานชายฝั่งเพื่อให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายเคเบิ้ลใต้ทะเลจากต่างประเทศ เข้ากับโครงข่ายเคเบิ้ลภาคพื้นดินภายในประเทศของบริษัท ซึ่งสามารถพัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายภาคพื้นน้ำจากทะเลด้านตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน

ในส่วนธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ สืบเนื่องจากงานให้บริการวางระบบและติดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการนำร่องด้านโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของไทยและมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐจะขยายขนาดของโครงการให้ครอบคลุมหัวเมืองสำคัญทั่วทั้งประเทศ จึงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง

ส่วนธุรกิจเมืองอัจฉริยะ บริษัทได้มีการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินเพื่อให้เมืองมีความสวยงามและปลอดภัยโดยบริษัทจะมีการติดตั้งเสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole) ที่สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสังเกตการณ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่และสุขอนามัยของประชาชน ทั้งในเรื่องมลพิษ และฝุ่นละออง การจราจร รวมถึงเป็นจุดชาร์จไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาธุรกิจด้านแพลตฟอร์ม บริษัทยังได้พัฒนาซอฟท์แวร์เพื่ออ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ ใช้สำหรับการเก็บค่าบริการ ในปัจจุบัน ได้มีการนำไปปรับใช้กับการเก็บค่าบริการที่จอดรถ เป็นต้น

ALT นำแพลตฟอร์ม AI ประมวลผลปลูกกัญชา

เอแอลที ร่วมมือ สยามแคนนาเทค – บริษัท โรงงานเภสัชฯ เจเอสพี ต่อยอด “โครงการเกษตรอินทรีย์เขาค้อ อินโนเวชั่นพาร์ค” ในการปลูกกัญชา เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เผยใช้แพลตฟอร์ม AI เกาะติดทุกขั้นตอนการปลูกกัญชานำข้อมูลหรือ Big data มาวิเคราะห์ประมวลผล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยรวมทั้ง รักษาสมดุลผู้ซื้อและผู้ปลูก และสร้างประสิทธิภาพสูงสุดทั้งคุณภาพและราคา

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือ “โครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค” ในส่วนของบริษัทสยามแคนนาเทค จำกัด กับ บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรมเจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยามแคนนาเทค จำกัด กับ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT โดยมีพลเอกพลางกูร กล้าหาญ รองประธานกรรมการมูลนิธิร่มกล้า เขาค้อ มาร่วมเป็นสักขีพยาน

นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT กล่าวว่า โครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค เป็นโครงการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ พืชพรรณ สมุนไพร พืชยา กัญชา และผักต่างๆ ตามโครงการทหารพันธุ์ดี ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้งสร้างรายได้ให้วิสาหกิจชุมชนอีกทางหนึ่ง

เรายินดีและภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือโครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค ซึ่ง ALT ทำธุรกิจเทเลคอม อินโนเวชั่น เป็นหลัก ได้นำเอาองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา ดัดแปลงทำเป็นแพลตฟอร์มในการตรวจติดตามการปลูกกัญชา เพราะตัวกัญชา ถือเป็นสารเสพติดประเภท 5 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจติดตามตั้งแต่เมล็ด การเพาะปลูก และการเติบโตเป็นอย่างไร โดยใช้ AI ในการติดตามประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อไปทำ Big Data ให้สามารถคาดการณ์ว่า การผลิตจะออกมาวันไหน เดือนไหน เท่าไหร่ เพื่อไปสู่การใช้เทคโนโลยีด้านเกษตรแม่นยำ ( Agriculture Technology) และ ระบบสามารถ แมชชิ่งระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ผลผลิตไม่ล้นตลาด หรือไม่ทำให้ราคาสูงจนเกินไป แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ส่งผลผลิตได้ตามเวลาที่ต้องการ ให้ราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรและเป็นแหล่งเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทย

ด้าน ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเห็นการทำงานครบ value chain โดยทางโครงการเกษตรอินทรีย์หรือมูลนิธิ เป็นเสมือนแกนกลางในการเชื่อมโยงภาคเอกชน 3 ส่วน คือ ผู้ปลูก ซึ่งผู้ปลูกก็ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนปลายน้ำคือผู้ผลิต ก็คือบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรมเจเอสพี จะการดำเนินการผลิต ทั้งที่เป็นยาแผนปัจจุบัน สมุนไพร อาหารเสริม และเครื่องสำอาง รวมทั้งเครื่องมือที่อยู่ระหว่างดำเนินการขออนุญาตสกัดกัญชา กัญชง และพืชเสพติด

ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ ทางผู้ปลูกสามารถทำหน้าที่ซัพพลายกัญชา หรือพืชสมุนไพรอื่นให้กับบริษัทโรงงานเภสัชฯ เจเอสพี นำมาสกัดโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือใช้แพทย์แผนไทยมาต่อยอดในการสกัดสมุนไพรเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ยาแผนโบราณ อาหารเสริม เครื่องสำอาง ที่มาจากน้ำมันกัญชา ทำเป็นครีมเซรั่ม ถือเป็นความร่วมมือที่ครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน คือต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

พลเอก พลางกูร กล้าหาญ รองประธานกรรมการมูลนิธิร่มเกล้าเขาค้อ กล่าวว่าโครงการนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปี โดยพลเอกพิจิตร กุลวนิช ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ต้องการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในพื้นที่เขาค้อ และจังหวัดใกล้เคียง จึงเกิดแนวคิดในการนำวัตถุดิบมาแปรรูป และทำเป็นศูนย์กลางเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี และบริษัทเอแอลที จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เป็นที่ทราบดีว่าเกิดโรคระบาดโควิด-19 ทำให้เกิดการเสียชีวิตซึ่งทางศูนย์จะเร่งดำเนินการเรื่องฟ้าทะลายโจรเพื่อช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งจะปลูกพืชที่เป็นประโยชน์คือกัญชา กัญชง หรืออื่นๆ

โดย ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทจะทำให้การก้าวเดินไปได้ตามที่กำหนด และทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ แต่อาจไม่ได้เห็นผลภาย 6-12 เดือนแต่มั่นใจว่าจะเห็นผลในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตอาจขายไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย