JKN Best Life ปิดดีลเข้าถือหุ้น High-Shopping

บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKN Best Life) ผู้ให้บริการสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพความงามและสินค้าอุปโภคบริโภค โดยที่ JKN Best Life นั้นเป็นหนึ่งในบริษัทในเครือของบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) ประกาศข่าวดีคว้าบิ๊กดีลเข้าเป็นผู้ถือหุ้น 51% ในบริษัท ไฮช้อปปิ้ง จำกัด ด้วยเงินลงทุน 24,900,100 บาท พร้อมเงินให้กู้ยืม 10 ล้านบาท และ วงเงินกู้อีก 15 ล้านบาทเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต พร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 581.73 ล้านบาท เพื่อขยายศักยภาพการค้าในรูปแบบ D2C หรือ Direct-to-Customer หวังนำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มไฮเอ็นของ JKN Best Life ครองใจกลุ่มเป้าหมายและผู้ชมรายการหวังสร้างยอดขายเพิ่มได้อีก 100 ล้านบาทภายในสิ้นปี 64

จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) เผยว่า แนวโน้มและภาพรวมอุตสาหกรรมธุรกิจการขายสินค้าตรงสู่กลุ่มผู้บริโภค ณ ปัจจุบันมีมูลค่าสูงมาก เห็นชัดได้จากการ WFH หรือการอยู่บ้านซึ่งเป็นผลพวงที่กระทบมาจากภาวะโควิด-19 ที่กลับส่งผลดีให้มีการซื้อขายมากขึ้น ในขณะเดียวกันแม้ประเทศไทยจะอยู่ในสภาวะความผันผวนแต่ JKN Best Life ก็ปรับกลยุทธ์การตลาดอยู่เสมอให้มีความยืดหยุ่นทั้งด้านออนไลน์และออฟไลน์เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้นและเราก็เข้าถึงผู้บริโภคเพื่อผลักดันยอดขายได้มากขึ้นเช่นกัน

ล่าสุดบริษัทในเครือของเราอย่าง  JKN Best Life ก็ได้ต่อยอดเสริมแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้นั่นคือการนำพาองค์กรขับเคลื่อนไปสู่การเป็น “Content Commerce Company” เข้าซื้อหุ้นที่ 51% ของกลุ่มบริษัท ไฮช้อปปิ้ง จำกัด ผู้ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับทีวีโฮมช้อปปิ้งที่มีการเผยแพร่และออกอากาศอย่างหลากหลายช่องทางและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายในรายการที่มีชื่อว่า “High Shopping” ทาง PSI ช่อง 46/ GMMZ ช่อง 43/ INFOSAT ช่อง 46 / DTV ช่อง 37 / เจริญเคเบิ้ล ช่อง 9 TOT IPTV ช่อง 38 / AIS Play ช่อง 800 / 3BB TV ช่อง 88 และ LOOX TV Application

ปัจจุบัน High Shopping นั้นมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ ลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าตรงและเลือกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในราคาที่คุ้มค่าแต่ได้รับสินค้าพรีเมี่ยม ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย มีรายการสินค้าซึ่งทำการซื้อขาย ณ ปัจจุบันที่ 2,500 รายการ ครอบคลุมทั้งกลุ่มสินค้าด้านแฟชั่นความงาม สินค้าในครัวเรือน เครื่องออกกำลังกาย สินค้าตามสมัยนิยม และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นทั้งสินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทย และหมายรวมถึงสินค้านำเข้าด้วยเช่นกัน

High Shopping นั้นมีฐานลูกค้าอยู่ประมาณ 1,000,000 ราย มีคำสั่งซื้ออยู่ประมาณ 20,000 – 40,000 รายการต่อเดือน มีการจ่ายค่าสินค้าและบริการเฉลี่ยที่คนละ 1,000 บาทต่อหนึ่งรายการ หรือมียอดเงินสะพัดที่มากกว่า 200 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ การเข้ามาถือหุ้นที่ High Shopping นี้ นอกจากมีฐานลูกค้าที่ชัดเจนและแนวโน้มการค้าที่ประมาณการได้คมชัดแล้ว JKN Best Life ยังได้ทั้ง Business Knowhow ระบบการบริหารจัดการธุรกิจขายสินค้าตรงสู่กลุ่มเป้าหมายรวมถึงมีเจ้าหน้าที่คอลเซนเตอร์ เรียกได้ว่าเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพพร้อมในการดำเนินงานต่อได้ทันที คาดว่าจะสามารถสร้างรายรับเพิ่มอีก 100 ล้านบาทภายในสิ้นปี 64 และตั้งเป้าโกยอีก 500 ล้านบาทในปี 65

สรุปภาพรวม ภายใต้ธุรกิจของ JKN หรือ จักรพงษ์ เน็ตเวิร์ค ของมาดามแอนนั้น ในปี 64 นี้ก็เดินหน้าลุยสร้างบิ๊กดีลต่างๆ เพื่อเสริมให้เน็ตเวิร์คแห่งนี้แข็งแกร่งและก้าวไกลไปสู่ความยั่งยืน โดยมีความสอดคล้องกับการตลาดยุค4.0 ที่ว่าด้วยการเชื่อมต่อหรือรวมทุกรูปแบบเข้าด้วยกันแบบบูรณาการจนกลายเป็น O2O (online to offline) แบบ Multi-Channel และเพิ่มเป็น Multi-Level ในรูปแบบการตลาด เพื่อสอดรับเทรนด์ New Normal ซึ่งถือว่าเป็นวิวัฒนาการทางสังคมที่ก้าวเข้าสู่ Digital Economy หรือ เศรษฐกิจดิจิทัล ตามแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งมั่นตั้งใจและไม่หยุดนิ่งของ JKN คุณจักรพงษ์ปิดท้าย

JKN มั่นใจปีนี้เติบโตตามแผน 10-15%

บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN มองครี่งปีหลังกลุ่มธุรกิจคอนเทนต์ ฟอร์มยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง พร้อมเริ่มเก็บเกี่ยวรายได้จากธุรกิจคอมเมิร์ช  ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวม 457.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 60.6 ล้านบาท ลดลงเหตุค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริการเพิ่มขึ้น จากการดำเนินงานช่อง JKN18 ที่อยู่ในช่วงลงทุน และรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิครึ่งปีแรกของปีนี้ ทำได้ 160 ล้านบาท มั่นใจทั้งปีเติบโตได้ 10-15% ตามแผน

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของปีนี้มั่นใจว่าสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มธุรกิจคอนเทนต์ในครึ่งปีหลังจะเป็นหัวหอกที่ผลักดันการเติบโต ด้วยจุดแข็งด้านลิขสิทธิ์คอนเทนต์แบบ Output Deal ทำให้ JKN สามารถนำเสนอคอนเทนต์แบรนด์ดังระดับโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มผู้ชมชาวไทยและในภูมิภาคอาเซียนในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งทีวีดาวเทียม ทีวีดิจิทัลและออนไลน์ ทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ด้วยแผนงาน JKN ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ช  หลังเข้าซื้อและบริหารสถานีทีวีดิจิทัลช่อง JKN18 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือด้านการตลาดและสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ในฐานกลุ่มผู้ชม รวมถึงเป็นช่องทางการขายสินค้าโดยตรงให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นที่น่าพอใจ แม้จะเผชิญปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ที่อาจส่งผลต่อบรรยากาศการจับจ่ายและซื้อสินค้าบ้าง แต่เชื่อมั่นว่าในระยะยาว ธุรกิจคอมเมิร์ชจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ผลักดันการเติบโตได้ดี และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะนำ JKN ก้าวสู่ Content Commerce Company อย่างเต็มตัวด้วยเป้าหมายยอดขาย 5,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวม 457.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 60.6 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจคอนเทนต์ เป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่ทำรายได้และกำไรสุทธิให้แก่ผลงานในไตรมาสนี้ เป็นความสำเร็จจากการจำหน่ายคอนเทนต์ให้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศที่ทยอยส่งมอบได้ต่อเนื่อง รวมถึงมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 51% จากเดิม 44% อีกด้วย โดย ณ สิ้นสุดไตรมาส 2/2564 JKN ยังมี Backlog รอส่งมอบคอนเทนต์ให้แก่ลูกค้าอีกกว่า 786 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ด้วยแผนยุทธศาสตร์ของ JKN ที่มุ่งขยายธุรกิจคอมเมิร์ช  โดยเข้าไปซื้อและบริหารทีวีดิจิทัล JKN18 ซึ่งอยู่ในช่วงลงทุนเริ่มต้นดำเนินงาน จึงมีค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหารเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ประกอบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิ 160 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 180 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม ทำได้ 900 ล้านบาท

“เรายังคงเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ 10-15% ตามแผนที่วางไว้  แม้จะมีปัจจัยลบจาก COVID-19 และทำให้มีการล็อกดาวน์ในช่วงนี้  แต่ด้วยลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่หลากหลายของ JKN  จึงยังสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าที่มีความต้องการซื้อคอนเทนต์ เพื่อนำไปออกอากาศอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศซึ่งเป็น Blue Ocean ของ JKN ที่ยังมีโอกาสขยายตลาดใหม่ๆ และมีฐานลูกค้าได้เพิ่มเติมอีกด้วย” นายจักรพงษ์ กล่าว