NER บุกตลาดอินเดีย เพิ่มสัดส่วนยอดขาย

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER บุกตลาดอินเดียเซ็นสัญญาระยะยาว (Long-term contract)พร้อมบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยางรถยนต์และยางเครื่องบินแบรนด์ดังระดับโลกให้ความสนใจ ด้านโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ผ่านการพิจารณารอบเทคนิค มั่นใจผ่านพิจารณาด้านราคา 20 กันยายนนี้

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทได้เซ็นสัญญาระยะยาว (Long-term contract) กับลูกค้าจากประเทศอินเดียเพิ่ม 1 ราย  โดยเริ่มส่งมอบในเดือนกันยายนนี้ ประกอบกับมีแผนเจรจาลูกค้าอินเดียเพิ่มอีก 2 ราย ภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณภาพจากผู้ผลิตยางล้อรถยนต์และยางล้อเครื่องบิน    แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Goodyear ซึ่งบริษัทคาดว่ามีโอกาสได้ลูกค้าใหม่อย่างแน่นอน

ด้านสัดส่วนยอดขายต่างประเทศ บริษัทยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ยางธรรมชาติ  คาดการณ์ว่าในปี 2565 สัดส่วนยอดขายของบริษัทจากประเทศอินเดีย จะเติบโตขึ้นอีก 3-5% เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นว่า ตลาดอินเดียเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีโอกาสขยายตัวสูง และมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ดี หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้บริษัทยังคงรักษาสัดส่วนฐานลูกค้าเดิมเช่น จีน 70%, ญี่ปุ่น 10% และ อื่นๆเช่น สิงค์โปร์ และ บังคลาเทศ เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มราคายางยังคงเสถียรภาพและเติบโต โดยบริษัทประเมินว่าจะมีทิศทางขาขึ้น สาเหตุมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยอดขายรถยนต์ที่เติบโตได้ในระดับสูงจากนโยบายรถยนต์ EV ของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น

ด้านโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) ทางบริษัท ได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติคุณสมบัติและข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิค จำนวน 1 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการผลิตโรงไฟฟ้าประเภทชีวภาพ จำนวน 3 เมกะวัตต์   ภายใต้ชื่อ บริษัท เอ็น.อี. พาวเวอร์ จำกัด จากประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)  เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา และหลังจากนี้จะมีการพิจารณาคำเสนอขอขายไฟฟ้าด้านราคา โดยมีกำหนดให้มีการเปิดซองพิจารณาด้านราคาในวันที่ 20 กันยายน 64 โดยจะประกาศรายชื่อภายในวันที่ 23 กันยายนนี้ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถผ่านการพิจารณารอบราคา เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าให้กับชุมชนได้ทันที  ทั้งนี้ หากบริษัทได้รับการพิจาณารับการคัดเลือก คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาท ภายในปี 2565 จากที่ก่อนหน้านี้ที่ใช้งานอยู่ภายในโรงงานเท่านั้น

NER ปันผลระหว่างกาล 0.07 บาท จากงวด 6 เดือนปี 64

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เผยมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวด 6 เดือนปี 2564 ในอัตรา 0.07 บาท/หุ้น XD 23 ส.ค. โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด กำหนดจ่าย 6 ก.ย. 64 ด้านงบ 6 เดือนรายได้จากการขายรวม 11,252.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.28% ขณะที่กำไรสุทธิ 805.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182.79% จากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 และปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ด้านปี 2564  บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยคาดรายได้จะอยู่ที่ 2.45 หมื่นล้านบาทตามเป้าที่วางไว้

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 อนุมัติการจ่ายเงินปันระหว่างกาลผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน  2564 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.07 บาทต่อหุ้น วันที่จ่ายปันผล 6 กันยายน 2564 รวมเป็นเงิน 115.17 ล้านบาท คิดเป็น 15.05% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตามกฎหมายตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ สำหรับวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 23 สิงหาคม 2564 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 24 สิงหาคม 2564

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 11,252.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,605.88 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 5,646.76 ล้านบาท หรือคิดเป็น 99.28% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 805. 34 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 520.55 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 284.79 หรือคิดเป็น 182.79%

ด้านปริมาณการขายยางพาราสำหรับงวด 6 เดือนอยู่ที่ 205,954 ตัน เพิ่มขึ้น 78,622 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ หรือคิดเป็น 61.75 % แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 7,568.88 ล้านบาท หรือคิดเป็น 67.26% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 4,457.92 ล้านบาท หรือ 143.30%  รายได้จากการขายต่างประเทศ 3,683.76 ล้านบาท หรือคิดเป็น 32.74% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 1,147.96 ล้านบาท หรือ 45.27%

โดยสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายเป็นผลมาจากปริมาณคำสั่งซื้อลูกค้าในประเทศและการส่งมอบจากกลุ่มลูกค้าโรงงานผลิตยางรถยนต์จีนที่ยังคงสูงอยู่ โดยจะเห็นจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ยางแท่ง STR ที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่ง  แห่งที่ 2 ส่งผลให้มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 2/2564 สูงกว่าไตรมาส 2/2563 ซึ่งเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.45 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายที่ 4.4 แสนตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย ประกอบกับราคายางปรับขึ้นต่อเนื่อง และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มหลายราย

นอกจากนี้ ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น ด้านเครื่องจักรผลิตแผ่นยางปูรองนอนสัตว์ บริษัทคาดว่าจะนำเข้ามาติดตั้งในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งบริษัทคาดจะรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ในปี 2565 ที่ 2.8% ของประมาณการณ์ ซึ่งบริษัทจะสามารถขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน