JR คว้างานสร้างโรงไฟฟ้า BGRIM มูลค่า 165.85 ล้าน

บมจ.เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ (JR) คว้างานใหม่สร้างโรงไฟฟ้าของ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 3 จำกัด มูลค่ารวม 165.85 ลบ. ในโครงการสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด115kV และ22kV ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ระยะเวลาก่อสร้าง 15 เดือน  ฟากซีอีโอ”จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ” ระบุโครงการดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนให้มูลค่า Backlog เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5.5 พันล้านบาท ทำให้มีรายได้รอรับรู้ระยะยาวกว่า 3 ปี เดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อีกเพียบ เน้นงานมาร์จิ้นสูง มั่นใจผลงานปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR เปิดเผยว่าบริษัทฯได้ลงนามในสัญญาการจ้างงานในโครงการสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด115 kVและ 22k V มูลค่าโครงการรวม 165.85 ล้านบาท (รวมvat) ซึ่งเป็นโครงการของ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 3 จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง โดยมีระยะเวลาในการก่อสร้าง 15 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2564 – วันที่ 19 ธันวาคม  2565) ซึ่งเป็นประเภทงานวิศวกรรม ก่อสร้าง และงานจัดซื้อของโครงการ

“การได้งานในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯมีงานในมือรอรับรู้รายได้( Backlog) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5,500 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีแผนที่จะเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาส 4/256 ยังมีที่คาดว่าจะประมูลอีกราว 200 ล้านบาท โดยเป็นงานวางระบบไฟฟ้า 180 ล้านบาท และงานวางระบบสื่อสาร 19 ล้านบาท ส่วนในช่วงปี 2565 คาดว่าจะยังมีงานที่จะเข้าประมูลอีกราว 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงานวางระบบไฟฟ้า 6,700 ล้านบาท และงานวางระบบสื่อสาร 480 ล้านบาท ดังนั้นสะท้อนให้เห็นว่า JR ยังคงมีผลงานที่เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว”นายจรัญกล่าว

เขากล่าวอีกว่าแนวโน้มการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีงานในมือรอรับรู้รายได้ไว้แล้ว   ขณะที่มีการประมูลงานโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มเติมต่อเนื่อง   เน้นงานโครงการที่มีมาร์จิ้นสูง รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนงานขายอุปกรณ์มากขึ้นในระหว่างที่รอการเปิดให้ประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่า กว่า 6,000 ล้านบาท รวมทั้งปัจจุบันประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถรักษาอัตราการทำกำไรไว้ได้เป็นอย่างดีและมั่นใจว่าผลงานในปี 2564 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

นอกจากนี้ บริษัทฯยังใช้ความเป็น Engineering Base และ IT Solution Base ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ในการขยายงานไปยังประเภท Oil&Gas มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีกลุ่มลูกค้าและรายได้เริ่มทยอยเข้ามาแล้ว โดยจากที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปเจาะในกลุ่มฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยเป็นงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยให้กับโครงการของบริษัทไทยออยล์ ซึ่งบริษัทฯรับงานจากกิจการร่วมค้า Petrofac South East Asia, Saipem Singapore และ Samsung Engineering ทำให้มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง

JR โตสนั่น กำไรไตรมาส 2 พุ่ง 258.02% ทำนิวไฮ

บมจ.เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ (JR) รายงานกำไรไตรมาส 2/64 แตะ 69.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 258.02% จากงวดเดียวกันปีก่อน ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ผลจากรับรู้รายได้จากงานในมือที่ตุนไว้ในมือ ฟากซีอีโอ “จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ” ระบุ แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง ยังเติบโตต่อเนื่อง เดินหน้ายื่นประมูลงานใหม่ประเภทวางระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม มูลค่า 400 ล้านบาท จากปัจจุบันมีแบ็กล็อคอยู่ที่ 5,320.8 ลบ. ลุ้นเปิดประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท  เน้นกลยุทธ์คุมต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาการทำกำไรได้ดี มั่นใจผลงานปีนี้โตก้าวกระโดด ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปได้อย่างแน่นอน

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 69.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 258.02% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 19.43 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 650.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143.82% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 266.74 ล้านบาท

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 124.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315.52 % จากงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 29.93 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,167.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150.50% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 466.03 ล้านบาท

สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทฯมีงานรอรับรู้รายได้ (Backlog) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ที่ 5,320.8 ล้านบาท ทยอยรับรู้ในระยะยาว 3 ปี โดยจะเป็นการรับรู้รายได้จากธุรกิจรับเหมาวางระบบ เช่น งานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยี  ธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงรักษา และธุรกิจการจำหน่ายอุปกรณ์

“ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งโครงการต่างๆ ยังคงเดินหน้าแม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 เมื่อมีการปิดแคมป์คนงานในบางโครงการเกิดขึ้น บริษัทฯยังมีความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนรูปแบบมา เน้นการทำงานในส่วนอื่นๆเพิ่มเติม ขณะเดียวกันบริษัทฯมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ดี และทำธุรกิจด้วยกระแสเงินสด ทำให้ยังสามารถรักษาการเติบโตรายได้และกำไรในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งมั่นใจว่าผลงานในปีนี้จะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ และฝ่าวิกฤติโควิด-19ในรอบนี้ไปได้แน่นอน “

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ที่จะออกมาทั้งงานวางระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสาร โดยคาดว่าจะมีการยื่นประมูลประมาณ 400 ล้านบาท ขณะที่การประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6  พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีการประมูลเกิดขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า ก็จะส่งผลให้ปริมาณงานในมือของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น และสร้างรายได้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัทฯได้มีการขยายงานด้านวิศวกรรมไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อสร้างฐานรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น การเข้าไปในกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยเป็นงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยให้กับโครงการของบริษัทไทยออยล์ ซึ่งบริษัทฯรับงานจากกิจการร่วมค้า Petrofac South East Asia, Saipem Singapore และ Samsung Engineering โดยมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมั่นคงในอนาคต