STGT เปิดตัว Spectrum ถุงมือยางธรรมชาติแบบไม่มีแป้ง

บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT เพิ่มพอร์ตสินค้าใหม่ เปิดตัวถุงมือยางธรรมชาติ (แบบไม่มีแป้ง) รุ่น “สเปกตรัม” (Spectrum) มีให้เลือกหลากสีสัน ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานที่ขยายตัวจากอุตสาหกรรมการแพทย์ สู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการความปลอดภัยด้านสุขอนามัย สามารถใช้ทดแทนถุงมือยางไนไตรล์ ชูจุดเด่นผลิตจากสูตรน้ำยางพิเศษ เพิ่มความกระชับในการหยิบจับสิ่งของ ไวต่อการสัมผัส สวมใส่ง่ายสะดวกสบาย พร้อมให้ความสำคัญกับการออกแบบ พัฒนา และกระบวนการผลิต ด้วยการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตเป็นน้ำยางธรรมชาติ ทำให้ถุงมือประเภทดังกล่าวเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ดีกว่าถุงมือยางธรรมชาติประเภทอื่นๆ

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายพอร์ตสินค้าใหม่ๆ เพิ่มเสริมศักยภาพการทำตลาดถุงมือยางและเพิ่มโอกาสการขายสินค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยมองเห็นช่องว่างทางการตลาดจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติ ที่กำลังขยายตัวจากอุตสาหกรรมทางการแพทย์สู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มุ่งเน้นความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเป็นสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

ล่าสุด บริษัทฯ เปิดตัวสินค้าใหม่ ถุงมือยางธรรมชาติ (แบบไม่มีแป้ง) รุ่น ‘Spectrum’ ที่เป็นได้มากกว่าถุงมือยางทั่วไป โดยมีสีสันให้เลือกหลากหลาย เช่น สีฟ้า สีชมพู สีม่วง สีดำ เป็นต้น เพื่อให้สามารถสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งปนเปื้อนได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย โดยดำเนินการผลิตภายใต้แบรนด์ ‘ศรีตรังโกลฟส์’ สำหรับจำหน่ายในต่างประเทศ และภายใต้แบรนด์ ‘I’M Glove’ เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย รวมถึงรับจ้างผลิตแบบ OEM ภายใต้แบรนด์ของลูกค้า

จุดเด่นของถุงมือยางธรรมชาติ (แบบไม่มีแป้ง) รุ่น Spectrum ได้รับการออกแบบและพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘ปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย’ ภายใต้มาตรฐานเดียวกับถุงมือยางธรรมชาติเพื่ออุตสาหกรรมทางการแพทย์ สามารถใช้ทดแทนถุงมือยางไนไตรล์ (ถุงมือยางสังเคราะห์) โดยผลิตจากสูตรน้ำยางพิเศษที่คิดค้นโดยบริษัทฯ จึงมีจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นสูง สามารถยึดเกาะได้ดี หยิบจับสิ่งของได้อย่างกระชับ โดยเฉพาะงานที่ต้องหยิบจับชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก มีความหนาในระดับที่เหมาะสม จึงสามารถสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบายและไวต่อการสัมผัสในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับถุงมือยางสังเคราะห์

นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการออกแบบ พัฒนา และกระบวนการผลิต โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยคัดสรรน้ำยางจากสวนยางที่มีการดูแลจัดการที่ดีและดำเนินการผลิตโดยใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) 100% รวมถึงช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตออกสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นผู้ผลิตและผู้บริโภคจึงมีส่วนสำคัญในการช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย

STGT โชว์ Q2 ทำรายได้รวม 12,967.7 ล้าน

บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ทำรายได้รวม 12,967.7 ล้านบาท หนุนภาพรวมรายได้ครึ่งปีแรกโดดเด่น แม้ปิดโรงงานตรังและสุราษฎร์ธานีชั่วคราวหลังพบพนักงานติด COVID-19 จากการปรับแผนรองรับอย่างรวดเร็ว ด้านบอร์ดมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล อัตราหุ้นละ 1.25 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 23 สิงหาคมนี้ พร้อมจ่ายปันผลอีกไม่น้อยกว่า 1.25 บาทต่อหุ้น ในเดือนธันวาคม ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง คาดรับผลดีจากความสามารถผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้น หลังเปิดโรงงานสุราษฎร์ธานี 2 และสุราษฎร์ธานี 3 แล้ว เตรียมทยอยเปิดโรงงานอีก 2 แห่งในจังหวัดตรังและอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ตามแผน

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้มีการปิดโรงงานตรังและโรงงานสุราษฎร์ธานีชั่วคราวในช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากพบพนักงานติด COVID-19 โดยมีรายได้รวม 12,967.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 7,280.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 590.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 กันยายน 2564 และอีกไม่น้อยกว่า 1.25 บาทต่อหุ้น ที่จะจ่ายในเดือนธันวาคม ภายหลังการอนุมัติงบไตรมาส 3/2564 ด้วยเช่นกัน

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2564 ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 28,401.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 227.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 17,331.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,068.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลกที่มีอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่จากไวรัสกลายพันธุ์ และใช้เพื่อการฉีดวัคซีน ประกอบกับบริษัทฯ ได้เดินเครื่องจักรโรงงานสุราษฎร์ธานี 2 เป็นที่เรียบร้อย ส่งผลดีต่อกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น

กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะได้รับผลดีจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผานมาได้เดินเครื่องจักรโรงงานสุราษฎร์ธานี 3 เป็นที่เรียบร้อย และจะทยอยเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และโรงงานตรัง ภายในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถผลิตถุงมือยางเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 36,000 ล้านชิ้นต่อปี จากเดิม 33,000 ล้านชิ้นต่อปี

ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน โดยการจัดหาวัคซีนทางเลือกซิโนฟาร์มแก่พนักงานทุกคน ความคืบหน้าล่าสุดได้ฉีดวัคซีนทางเลือกดังกล่าวแก่พนักงานครบ 2 เข็มทุกคนแล้ว และได้เพิ่มมาตรการด้านสุขอนามัยภายในโรงงานร่วมกันไปด้วย