KRUNGSRI EXCLUSIVE 2021 Mid-Year Outlook Series : วัคซีนความหวังฟื้นเศรษฐกิจไทย

ต่อเนื่องกับการอัดแน่นข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เป็นประโยชน์สำหรับนักธุรกิจนักลงทุนที่ต้องการจะเดินหน้าไปต่อหลังสถานการณ์โควิด-19 กับการสัมมนาแบบนิวนอร์มอลครั้งใหญ่แห่งปีตลอดเดือนกรกฎาคม 2564 โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งครั้งนี้ กรุงศรี ได้เตรียมหัวข้อที่ทุกคนอยากรู้และต้องการคำตอบมากที่สุดอย่าง วัคซีนความหวังฟื้นเศรษฐกิจไทย ที่เนื้อหาดีต่อใจคนฟัง ทำให้รู้สึกมีพลังและเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ กับการให้ความเห็นเชิงวิเคราะห์เจาะลึก รายงานผลการศึกษา และส่งต่อคำแนะนำให้คำปรึกษาจากขุนพลการเงินระดับแนวหน้าของไทย โดยได้รับเกียรติจากสองผู้เชี่ยวชาญของกรุงศรี และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมให้ทัศนะถึงวัคซีนความหวังที่จะมีส่วนผลักดันการอยู่รอดและเพิ่มอัตราเร่งการเติบโตเศรษฐกิจไทย พร้อมเผยวิธีการจัดสรรเงินทุนพร้อมรับมือปัจจัยต่างๆ และแนวทางเลือกกลุ่มธุรกิจที่ ฉายแวว” น่าลงทุนให้เจอ

เรากำลังอยู่ท่ามกลางการระบาดของโควิดรอบใหม่และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด นักลงทุนไทยจึงต้องเก็บเกี่ยวข้อมูลรอบด้านให้มากที่สุดเพื่อนำมาใช้ขับเคลื่อนและทำลายกับดักจากสถานการณ์โควิด-19 เปลี่ยนทุกวิกฤติให้เป็นโอกาสให้ได้ ซึ่งดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยว่า ถึงแม้เราจะต้องอยู่กับสถานการณ์นี้ไปอีกสักพักใหญ่ แต่ในข่าวร้ายที่ไทยยังต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ภายในประเทศที่ส่งผลกระทบหนักกับภาคการบริโภคในประเทศ ภาคแรงงานและภาคบริการท่องเที่ยว เรากลับพบข่าวดีจากการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเช่นกัน

ด้วยอิทธิพลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง อเมริกาและจีน แม้อาจจะมีสงครามการค้าและ Tech War ของทั้งสองประเทศที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรวมทั้งไทย บวกกับแนวโน้มที่เฟดยังไม่รีบร้อนขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยจะคงดอกเบี้ยต่ำไว้อย่างน้อย ปี ค่าเงินบาทอ่อนลงมาที่ 31-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ นั่นก็ทำให้เห็นอัตราการบริโภคที่จะเพิ่มขึ้นและเห็นความต้องการสินค้าส่งออกจากไทย จึงทำให้กลุ่มการส่งออกได้รับอานิสงส์อย่างมาก โดยตัวเลขส่งออกขณะนี้ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิดด้วยซ้ำ และคาดการณ์ว่ามูลค่าการเติบโตการส่งออกทั้งปีจะมากกว่า 10%  อีกทั้งยังเห็นกระแสการลงทุนจากต่างประเทศที่ยังคงไหลเข้ามาในไทยอย่างไม่ขาดสาย ขณะเดียวกันก็เล็งเห็นทิศทางในการลงทุนของโลกกำลังเปลี่ยนไปบนพื้นฐานของ Digital Transformation มากขึ้น เกิดเป็นฐานการผลิตใหม่ที่ใช้ Robot หรือ Automation จึงมั่นใจได้ว่าจะมีการลงทุนใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการหลังสถานการณ์โควิด-19

นอกจากนั้นทางกรุงศรียังพบว่าสถิติการได้รับวัคซีนที่มากขึ้นและอัตราการป่วยรุนแรงลดลงในต่างประเทศ มีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของประเทศนั้นๆ อย่างเห็นได้ชัด หากไทยเดินหน้าเร่งฉีดวัคซีนให้มากขึ้น ย่อมจะผลักดันให้ประเทศกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว และเปลี่ยนให้โควิด-19 เป็นเพียงโรคประจำถิ่นไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่ได้ในที่สุด

ส่วนปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศนั้น ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ (GDP) ว่าน่าจะอยู่ที่ 1.5% และมองว่าบทบาทการบริหารเงินของภาครัฐมีส่วนสำคัญที่จะช่วยพยุงการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะการอัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไทย จากพรบ. เงินกู้ 1 ล้านล้าน ซึ่งยังเหลืออีก 3 แสนล้านที่ยังไม่ได้ใช้ และพรบ. เงินกู้ 5 แสนล้านในปีนี้ ลงไปที่กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง

และเพื่อให้ไทยเตรียมความพร้อมรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทางสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แนะเทรนด์ธุรกิจฉายแววและแนวทางปรับปรุงเพื่อรับมือกับเทรนด์นั้นๆ เริ่มต้นที่ธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล และ Digital Skill เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ให้ตามทันกับ Technology Infrastructure ทั้งยังมีธุรกิจ Go Green ที่จะมีอิทธิพลต่อการค้าในอนาคตอย่าง ธุรกิจกลุ่ม BCG (Bio economy , Circular economy, Green economy) ซึ่งไทยต้องปรับตัวให้สอดรับนโยบายสิ่งแวดล้อม มุ่งเดินหน้าสู่การใช้พลังงานสีเขียวและการส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยเฉพาะธุรกิจ Bio economy ที่จะเป็นโอกาสและประโยชน์ต่อภาคเกษตรไทย เช่น การนำวัตถุดิบทางการเกษตรมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า ต่อด้วยเทรนด์ห่วงโซ่การผลิตที่กำลังถูกปรับเปลี่ยน  ผู้ผลิตไม่ใช้ฐานผลิตแห่งเดียวอีกต่อไป จึงเป็นโอกาสให้ไทยได้รับประโยชน์จากการขยายฐานการผลิตระดับกลางถึงบน

ทั้งนี้ ทางกรุงศรี ยังสนับสนุนกระแส Industry transformation ซึ่งนักธุรกิจไทยจะต้องปรับการลงทุนและวางโครงสร้างองค์กรให้สอดรับกับ Supply-chain Structure ที่จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการมองหา Partnership ระหว่างประเทศที่มีจุดแข็งต่างกัน

สำหรับแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกนั้น คุณวิน พรหมแพทย์,  CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยว่า การลงทุนในตราสารหนี้ ก็ยังเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจาก Bond Yield ที่ปรับขึ้นมา ทำให้การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงขึ้น ซึ่งคาดการณ์ว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมที่มีการลงทุน 2-5 ปี จะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงหรือสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ปี ทั้งยังมีโอกาสที่ดีในเรื่องความเสี่ยงต่ำ ได้มีโอกาสลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลง พิจารณาได้จากนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิกว่า หมื่นล้านบาท โดยมีกองทุนตราสารหนี้แนะนำที่น่าจับตา อย่าง KFSPLUS,  KFSMART,และ KFAFIX-A ทั้ง กองทุนบริหารโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ บลจ. กรุงศรี โดยแนะนำให้ถือลงทุนมากกว่า ปีขึ้นไป

นอกจากตราสารหนี้แล้ว คุณวินให้ความเห็นว่า การลงทุนในหุ้นไทยก็ยังน่าสนใจอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้จะเติบโตช้ากว่าตลาดหุ้นโลกอยู่กว่า 25% แต่กลับเห็นตัวเลขคาดหมายการเติบโตของกำไร (Earnings Growth) ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี (Krungsri Securities) ตั้งเป้า SET Index ที่ 1,700 จุดในไตรมาส และมีโอกาสปรับฐานในไตรมาส หากสถานการณ์โควิดมีการเปลี่ยนแปลงจนเกินคาดเดา และสำหรับกองทุนหุ้นไทยที่ควรค่าแก่การลงทุนในปีนี้ ทางกรุงศรีแนะนำ KFTSTAR ที่มีนโยบายลงทุนแบบยืดหยุ่น เน้นหุ้นในธีม Reopening ตามด้วย KFTHAISM ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กโตเร็ว แม้จะมีความหวือหวาแต่ก็โดดเด่นมาก และ TSF-A เน้นเลือกหุ้นรายตัวและมีผลการดำเนินงานโดดเด่น ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าธนาคารกรุงศรีมีกองทุนคุณภาพดีจากกว่า 10 บลจ. ที่คัดสรรมาให้นักลงทุนเลือกอย่างเหมาะสม

จากการสัมมนาครั้งนี้ทำให้นักลงทุนไทยยิ้มกว้างเห็นถึงโอกาสทางเศรษฐกิจจากปัจจัยบวกทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งเปรียบได้กับ วัคซีนความหวัง” อีกทั้งยังได้รับการชี้ช่องทางลงทุนที่ขานรับกับปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของตลาดทุน ต้องยอมรับว่าทุกข้อมูลเหล่านี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดีว่าเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็วได้อย่างแน่นอน

กรุงศรี แจกโค้ดคุ้มลดทุกเดือน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) แจกโค้ดคุ้มลดทุกเดือน สำหรับนักช้อปออนไลน์โดยเฉพาะ จับมือ Lazada และ Shopee จัดแคมเปญ รับโค้ดคุ้ม ลดรายเดือน 500 บาท กับบัตรกรุงศรี เดบิต และ Krungsri Boarding Card” มอบส่วนลดรวมสูงสุด 500 บาท แก่ลูกค้าเมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อใบเสร็จ ผ่านบัตรกรุงศรี เดบิต และ Krungsri Boarding Card บน Lazada หรือ Shopee โดยลูกค้าสามารถใช้โค้ด JADHAID721 สำหรับลูกค้าปัจจุบันของ Lazada และใช้โค้ด JADHAID0721 สำหรับลูกค้าใหม่ เพื่อรับส่วนลด 250 บาท ส่วนการช้อปบน Shopee สามารถใช้โค้ด JADHAIDS721 เพื่อรับส่วนลด 250 บาท สงวนสิทธิ์การใช้โค้ด 1 สิทธิ์/บัญชีผู้ใช้ ตั้งแต่วันนี้  31 ก.ค. 64 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด

กูรูการเงินวิเคราะห์เศรษฐกิจโลก-ไทย ปักธงโอกาสลงทุน ไฮไลท์ครึ่งปีหลัง

KRUNGSRI EXCLUSIVE 2021 Mid-Year Outlook Series จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี แต่สำหรับในปีนี้จะพิเศษและเข้มข้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เป็นการสัมมนาแบบนิวนอร์มอลครั้งใหญ่แห่งปีตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระดมทัพขุนพลด้านการเงินและการลงทุนระดับแนวหน้าจากทั้งในและต่างประเทศร่วมวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เพื่อชี้ช่องทางให้กับลูกค้าคนสำคัญของกรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ โดยเริ่มเปิดม่านโอกาสการลงทุนครั้งใหม่ที่ทรงพลังเมื่อวันที่กรกฎาคมที่ผ่านมาในหัวข้อ Global Outlook “A Powerful Restart” ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญของธนาคารกรุงศรีอยุธยา และพันธมิตร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก BlackRock มาเผยมุมมองเศรษฐกิจโลกในภาพใหญ่ ตลอดจนแนวโน้มการลงทุนที่น่าสนใจ น่าจับตา และควรจับจองโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุดก่อนใคร

ตลอดปีที่ผ่านมาจนถึงครึ่งปีแรกนี้นักลงทุนต้องพบกับความท้าทาย และมีหลากหลายปัจจัยรุมเร้าจนยากต่อการคาดการณ์หรือเริ่มต้นการลงทุนในครึ่งปีหลัง ซึ่งคุณเบน พาวเวล (Ben Powell) CFA, Managing Director,  BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก มองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกในภาพรวมนั้นกำลังจะดีขึ้นเนื่องจากการเข้าถึงวัคซีนที่มากขึ้นทั่วโลก และเชื่อว่าจะเป็นการเดินหน้าสู่การรีสตาร์ทครั้งใหม่ หลายประเทศส่งสัญญาณว่าประชาชนเริ่มออกมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา และหลายธุรกิจฟื้นตัวอีกครั้งโดยมีนโยบายทางการเงินมาสนับสนุน และดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนถึงสภาวะที่ยังมีโอกาสดีๆ ซ่อนอยู่

สำหรับมุมมองของนักลงทุนระดับโลกที่มีต่อทิศทางการลงทุนในครึ่งปีหลังนั้น ผู้บริหาร BlackRock เผยว่ารูปแบบการลงทุนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการกลับมารีสตาร์ทเศรษฐกิจ และดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำคือ หุ้น (Equities) ที่มีผลตอบแทนคาดหวังสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนอื่นๆ ที่อยู่ในบริบทเดียวกัน อีกตราสารหนี้เอกชนต่างๆ ก็ยังเป็นส่วนการลงทุนที่ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน ส่วนแนวโน้มที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน คาดว่านโยบายทางการเงินจะยังไม่ปรับเปลี่ยนจนกว่าจะรอให้คนมั่นใจที่จะกลับไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นก่อน ส่วนความเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลังนั้น เขายกให้เรื่อง ผลตอบแทนจากการลงทุนที่น้อยเกินไปหากยังเลือกลงทุนในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนต่ำเช่น พันธบัตร ซึ่งนักลงทุนควรมองหารูปแบบการลงทุนอื่นๆ ที่ความเสี่ยงลดลงมา แต่ยังให้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้ นั่นคือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

ตัดภาพมาที่บรรยากาศการลงทุนในบ้านเรา แน่นอนว่าหลายคนยังวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและยังมีความตึงเครียดอยู่ ถึงแม้การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้ามากขึ้นในไตรมาส แต่มีข้อกังวลกรณีที่มีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากแม้จะฉีดวัคซีนไปเยอะแล้ว อีกทั้งยังพบว่าการระบาดรอบใหม่ทำให้เกิดภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน ทั้งการเดินทาง การจับจ่ายใช้สอย และความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ แต่ถึงอย่างนั้น นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่าไทยยังมีโอกาสในการลงทุนสอดรับกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

จากข้อมูลของ Krungsri Research มองว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะฟื้นตัวชัดเจน ทั้งภาคการผลิต และภาคบริการ ซึ่งตัวเลข Global Composite PMI ขึ้นมาสูงสุดในรอบ 15 ปี ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะโตอยู่ที่ 2% ขณะเดียวกันจากการคาดการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศที่จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก (Base Case) โดยจะขึ้นสูงสุดในช่วงสิงหาคม สะท้อนถึงความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะคึกคักในช่วงไตรมาส ด้วยเช่นกัน และจากนั้นก็น่าจะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ำ 100 อีกครั้งเมื่อพ้นกลางตุลาคมนี้ไปแล้ว นอกจากนั้น Krungsri Global Markets ยังคาดว่า เงินบาทจะอ่อนค่าอีกเล็กน้อยก่อนจะกลับทิศเป็นแข็งค่า คาดหมายจะอยู่ที่ 31.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯในสิ้นปีนี้

สำหรับทิศทางการลงทุนของไทยก็จะมีแนวโน้มสอดรับกับระดับโลกเช่นกัน โดยหากมองในระยะยาว หุ้นยังอยู่ในขาขึ้น แต่เชื่อว่าระยะสั้นตลาดมีโอกาสปรับฐาน ดังนั้นนักลงทุนควรใช้โอกาสนี้ซื้อและลงทุนเพิ่ม และระหว่างที่ยังถือเงินสดอยู่ในมือ ควรใช้เวลานี้ในการเลือกสรรกองทุนไว้ก่อน โดยรูปแบบการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นยุโรป (European Equity) ซึ่งคาดว่าการฉีดวัคซีนได้เร็วจะทำให้เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตามรอยสหรัฐอเมริกา และน่าจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของ Earnings Growth ที่โตถึง 33% อีกทั้งการวิเคราะห์ของ BlackRock ยังคาดว่า European EQ จะเป็น The Best Performer ในระยะ ปีข้างหน้า โดยยกตัวอย่างกองทุนที่น่าจับตามอง อย่าง KF-HEUROPE บริหาร Master Fund โดย Allianz Global Investors

นอกจากนั้นยังมีรูปแบบการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ซึ่งคาดการณ์ว่า Global REITs จะกลับมา Outperform หุ้นโลกด้วยธีม Recovery เนื่องจากธุรกิจที่เคยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดอย่าง ค้าปลีก โรงแรม และการท่องเที่ยวกำลังจะฟื้นตัวนั่นเอง และถ้าพุ่งเป้ามาที่ Thai REITs ผู้บริหารกรุงศรีเผยว่า ยังมีราคาปรับขึ้นช้ากว่าตลาดโดยรวมเมื่อเทียบกับ SET และ Global REITs แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้อยู่ เพราะจากสถิติย้อนหลัง 40 ปี พบว่า ในภาวะเศรษฐกิจฟื้น เงินเฟ้อ และ Bond Yield ปรับขึ้น REITs ก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม  Apartments และ Office ที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อด้วย

และอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนที่คลาสสิกที่สุด อย่าง ทองคำ (Gold) ก็ยังเป็นที่น่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน  โดยราคาทองคำมักเคลื่อนไหวตรงข้ามกับ Dollar Index  และตรงข้ามกับ Real Yield ซึ่งเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะใช้ทองคำเป็นการลงทุนทางเลือก กระจายความเสี่ยง และสำหรับผู้ที่สนใจทองคำ ผู้บริหารกรุงศรียังได้แนะนำกองทุน KF-GOLD และ KF-HGOLD ซึ่งทั้ง 2 กองทุนลงทุนใน SPDR Gold Trust เหมือนกัน ต่างกันที่การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

นอกจากนั้นยังมีประเด็นคำถามที่นักลงทุนให้ความสนใจสอบถามผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางในการปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดขึ้นปลายปี 2565 รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราภาษีที่อาจจะกระทบกับหุ้นสหรัฐเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถึงแม้หุ้นจีนจะน่าสนใจ แต่ก็ยังไม่ควรเร่งรีบ ต้องรอจังหวะเวลาเพราะยังไม่มีนโยบายการเงินมาซัพพอร์ตโดยตรง อีกทั้งยังพูดถึงโครงการ Phuket Sandbox นับเป็นการรีสตาร์ทความหวังการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของไทยได้จริง ทั้งกระตุ้นการจ้างงาน และส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม เป็นต้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Global Outlook “A Powerful Restart” หัวข้อแรกของ KRUNGSRI EXCLUSIVE 2021 Mid-Year Outlook Series คือ เชื้อไฟ” ที่สามารถจุดพลังความเชื่อมั่นในการลงทุนในช่วงครึ่งปีได้แล้ว แต่ยังมีอีก หัวข้ออย่าง วัคซีนความหวังฟื้นเศรษฐกิจไทย จัดพอร์ตครึ่งปีหลังต้อนรับการเปิดประเทศ และ ESG: The Future of Sustainability Investments นักลงทุนไม่ควรพลาดที่จะนำข้อมูลทรงพลังเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในพอร์ตของตัวเอง ซึ่งลูกค้ากรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ และนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและลงทะเบียนเข้าร่วมรับฟังสัมมนาออนไลน์สุดยิ่งใหญ่กลางปีนี้ได้ตลอดทั้งเดือนกรกฎาคมนี้ ผ่านทาง LINE Official Account: @​krungsriexclusive