“ดีป้า” คว้า 2 รางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564

ดีป้า ร่วมรับมอบรางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทนวัตกรรมการบริการ และรางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดี ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม จากรองนายกรัฐมนตรี ในพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564 ที่จัดโดย สำนักงาน ก.พ.ร.

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) มีมติมอบรางวัลให้กับหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภายในองค์กร และเปิดระบบราชการให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม

โดยผลการพิจารณารางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564 ดีป้า ได้รับ 2 รางวัล ประกอบด้วย

1) รางวัลบริการภาครัฐ รางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐที่มีผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นที่พึงพอใจ

โดย ดีป้า ได้รับ รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทนวัตกรรมการบริการ ซึ่งโครงการที่ได้รับรางวัลดังกล่าวคือ โครงการการพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) จังหวัดภูเก็ต

2) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม รางวัลที่มอบให้หน่วยงานของรัฐที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการบนพื้นฐานความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

โดย ดีป้า ได้รับ รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดี ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม (Effective Change) ซึ่งโครงการที่ได้รับรางวัลดังกล่าวคือ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อชุมชน ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง

สำหรับหน่วยงานทั้งหมดที่ได้รับการพิจารณาร่วมพิธีรับมอบรางวัลจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และรับนโยบาย รวมถึงทิศทางการพัฒนาระบบราชการผ่านระบบออนไลน์

ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวทิ้งท้ายว่า การดำเนินงานทั้งหมดของ ดีป้า ล้วนมุ่งเน้นให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ตามแนวคิด ‘think faster and live better’ พร้อมเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในที่สุด

ดีป้า เดินหน้าเสริมแกร่งเอสเอ็มอี

ดีป้า เดินหน้าส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า ชุมชนในชนบท และเกษตรกร เร่งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับธุรกิจ เตรียมความพร้อมรับชีวิตวิถีใหม่หลังสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศคลี่คลาย ผ่านโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล และคูปองดิจิทัล คาดช่วยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจรวมกว่า 5,200 ล้านบาท

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มอบหมาย ดีป้า เร่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า ชุมชนในชนบท ตลอดจนเกษตรกร สามารถเข้าถึงและเลือกใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับบริบทของตนเองจากเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพที่เชื่อถือได้ เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ตอบโจทย์ และยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เตรียมความพร้อมรองรับชีวิตวิถีใหม่ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คลี่คลายนั้น

ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาการส่งเสริมและสนับสนุนจึงได้มีมติเห็นชอบโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรม จำนวน 3 โครงการ โดยเป็นมติเห็นชอบเพิ่มเติมจากโครงการที่ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมครั้งก่อนหน้าแล้ว 150 โครงการ ประกอบด้วย โครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Digital Platform 2 โครงการ และโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR และ Digital Contents 1 โครงการ ซึ่งประเมินว่าจะทำให้เกิดการลงทุนเฉลี่ย 3.96 แสนบาท

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนคูปองดิจิทัล เพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล จำนวน 10 โครงการ ผ่านความร่วมมือกับหน่วยร่วมดำเนินงาน ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพิษณุโลก หอการค้าจังหวัดนครสวรรค์ หอการค้าจังหวัดตราด สภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี สภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช สมาคมนักวิจัยชายแดนใต้ และสมาคมส่งเสริมดิจิทัลเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม

ดร.ณัฐพล กล่าวว่า โครงการต่าง ๆ จะช่วยผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรวม 625 รายในกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจการค้าและบริการ ธุรกิจการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Smart Living ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจอาหารแปรรูป ตลอดจนชุมชนในชนบท และเกษตรกรรายย่อย อีกทั้งช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ให้บริการดิจิทัลกว่า 6 ล้านบาท

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อชุมชนในชนบท จำนวน 8 โครงการ ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดนครพนม จำนวน 5 โครงการ และจังหวัดหนองคาย จำนวน 3 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ด้านการเกษตรและปศุสัตว์อัจฉริยะ จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้โดรนเพื่อการเกษตร จำนวน 3 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เกิดมูลค่าการลงทุนไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านบาท

ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ดีป้า ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนชุมชนในชนบทให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของตลาด สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนไปแล้ว 69 ชุมชน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 65 ชุมชนทั่วประเทศในปีนี้

“โครงการที่กล่าวมาทั้งหมดจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 5,200 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า ชุมชนในชนบท ตลอดจนเกษตรกร สามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและผลกระทบจากโควิด-19 ได้อย่างมั่นคง และเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งสู่การเป็นเมืองน่าอยู่ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของภาคประชาชน โดยการดำเนินงานของ ดีป้า มุ่งเน้นให้คนไทย ‘think faster and live better’ พร้อมเดินหน้าสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในที่สุด” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ดีป้า เร่งส่งเสริมเกษตรกรไทยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

ดีป้า เดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรชาวสวนทุเรียนประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลวางแผนการผลิตให้ได้ตามข้อกำหนดมาตรฐาน GAP พร้อมเชื่อมโยงตลาดกับแหล่งผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพทุเรียนไทย สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค พร้อมสยายปีกสู่ตลาดโลกอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญที่ ดีป้า ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้มาตรฐานจากเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและการดูแลผลผลิต เพื่อให้ได้ผลิตผลที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภค รวมถึงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสู่ระบบออนไลน์ วางรากฐานภาคเกษตรกรรมไทยสู่เกษตรอัจฉริยะ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล อีกทั้งรองรับการเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในอนาคต

โดยปัจจุบัน ทุเรียนนับเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ซึ่งไทยคือผู้ส่งออกทุเรียนสดอันดับ 1 ของโลก โดยการส่งออกทุเรียนสดของไทยในช่วงที่ผ่านมาของปี 2564 มีมูลค่าประมาณ 2,800-2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นยอดส่งออกที่สูงที่สุดครั้งใหม่จากที่เคยทำไว้ในปีที่ผ่านมาจนทุเรียนกลายเป็นสินค้าเศรษฐกิจตัวใหม่รองจากยางพารา และแซงหน้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และหากนับเฉพาะการส่งออกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทุเรียนสดของไทยสามารถสร้างมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 934.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกไปยังประเทศจีนมีอัตราการเติบโตสูงถึง 130.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ดีป้า เล็งเห็นความสำคัญของพืชเศรษฐกิจอย่าง ทุเรียน จึงได้ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนกว่า 300 คนประยุกต์ใช้แอปพลิเคชัน Kasettrack ที่ได้รับการพัฒนาโดย บริษัท วีเดฟซอฟท์ จำกัด ดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทย หนึ่งในผู้บริการดิจิทัล (Digital Provider) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ ดีป้า ซึ่งดีป้าได้ส่งเสริมให้เกษตรกรได้เข้าถึงบริการผ่านโครงการส่งเสริมและสนับสนุนคูปองดิจิทัล (mini Transformation Voucher) โดยที่เกษตรกรได้เลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมได้เองและดีป้าจะช่วยสนับสนุนเป็นค่าเช่าหรือซื้อบริการดิจิทัล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในทางหนึ่ง ซึ่ง Kasettrack ถือเป็นบริการดิจิทัลในรูปแบบโมบายแอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ช่วยเกษตรกรในการวางแผนการผลิตให้ได้ตามข้อกำหนดมาตรฐาน GAP เชื่อมโยงตลาดกับแหล่งผลิต โดยปัจจุบันมีเกษตรกรที่ผลิตพืชผักผลไม้ในจังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ยะลา นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม จันทบุรี สกลนคร สระบุรี ฯลฯ ใช้งาน Kasettrack แล้วกว่า 1,700 คน

นางสาวเจียวหลิง พาน กรรมการผู้จัดการบริษัท รอยัล ฟาร์ม กรุ๊ปจำกัด (Thailand) ผู้ส่งออกทุเรียนไทยไปจีน รองนายกสมาคมการค้าผลไม้ยุคใหม่ ฝ่ายต่างประเทศ และกรรมการสมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด กล่าวว่า ผู้บริโภคชาวจีนรู้จักชื่อเสียงของทุเรียนไทย และให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยหมอนทองยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด และตามมาด้วยพันธุ์อื่น ๆ ขณะที่ผู้บริโภครุ่นใหม่จะนิยมทุเรียนเกรดพรีเมียม และสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดย Kasettrack นอกจากจะช่วยเชื่อมโยงผู้ซื้อกับเกษตรกรที่ผลิตทุเรียนคุณภาพเข้าหากันแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถรับรู้แหล่งที่ปลูก เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพและคุณค่าของทุเรียนไทยอีกด้วย

ด้าน นายบรรเลง ศรีสวัสดิ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลรับร่อ ประธานกลุ่มทุเรียนคุณภาพเนิน 491 จังหวัดชุมพร ได้เล่าประสบการณ์ใช้งาน Kasettrack ว่า เกษตรกรทุกช่วงวัยสามารถนำแอปพลิเคชันดังกล่าวไปใช้ได้จริง ซึ่งช่วยเกษตรกรในการรวมกลุ่ม วางแผนค่าใช้จ่าย บริหารจัดการสวนทุเรียน จดบันทึกข้อมูลเพื่อตรวจรับรองมาตรฐาน GAP ทำให้การผลิตทุเรียนได้คุณภาพ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

ดร. เมธินี ศรีวัฒนกุล เลขานุการเครือข่ายเกษตรและอาหารปลอดภัย (GAP Net) กล่าวว่า ทุเรียนที่ส่งออกไปยังประเทศจีนได้ ต้องเป็นไปตามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช โดยทุเรียนต้องมาจากแปลงที่ผ่านการขึ้นทะเบียนรับรองมาตรฐาน GAP ซึ่งสมาคมและองค์กรต่าง ๆ ในภาควิชาการ รวมถึงห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน ตลอดจนเชื่อมโยงกับองค์กรภาครัฐ พร้อมเห็นถึงประโยชน์ของ Kasettrack ที่สามารถช่วยเชื่อมโยงห่วงโซ่ ทำให้เกษตรกรจดบันทึกได้อย่างเป็นระบบ มีการบันทึกภาพถ่ายแหล่งน้ำ พื้นที่ปลูก วิธีจัดการแปลง คาดการณ์ผลผลิต  ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบคุณภาพภายในกลุ่ม และสนับสนุนการตรวจประเมินแบบเสมือนจริงแทนการเดินทางไปตรวจ ณ แปลงเกษตรกร ทำให้สามารถประเมิน ให้คำปรึกษาวิชาการในการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และออกใบรับรองมาตรฐาน GAP แก่เกษตรกรได้รวดเร็วขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อตรวจประเมิน  อีกทั้งช่วยป้องกันการนำเลขทะเบียน GAP ของเกษตรกรคุณภาพไปใช้ และลดการสวมสิทธิ์ใบรับรองมาตรฐาน GAP

ดีป้า ชี้มาตรการวัคซีนไม่ชัดเจน แนะรัฐเพิ่มบริการดิจิทัล

ดีป้า เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล ไตรมาส 2 ปี 2564 พบทรงตัวในเกือบทุกองค์ประกอบ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 พ่นพิษ ส่งผลให้ภาคธุรกิจ รวมถึงประชาชนชะลอคำสั่งซื้อและลดปริมาณการซื้อสินค้าและบริการดิจิทัล ขณะที่มาตรการภาครัฐขาดความชัดเจน โดยเฉพาะการบริหารจัดการวัคซีน กระทบความเชื่อมั่นและยังผลให้เศรษฐกิจโดยภาพรวมชะลอตัว ด้านผู้ประกอบการวอนรัฐดำเนินนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลให้ชัดเจน และควรมีบริการดิจิทัลสำหรับการติดต่อสื่อสารที่ไม่ขาดตอนในช่วง Work from Home เพื่อความสะดวกสบายแก่ผู้รับบริการ

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า แถลงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital Sentiment Index) ไตรมาส 2 ประจำปี 2564 ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อย ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ กลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ที่ระดับ 45.6 ทรงตัวจากระดับ 46.4 ของไตรมาส 1 ในเกือบทุกองค์ประกอบ ทั้งด้านผลประกอบการ การผลิต คำสั่งซื้อ ด้านการลงทุน และด้านต้นทุนประกอบการ

โดย ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ที่ระดับ 45.6 เป็นผลมาจากการที่ภาคธุรกิจและประชาชนชะลอคำสั่งซื้อและลดปริมาณการซื้อสินค้าและบริการดิจิทัล เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกที่ 3 รวมถึงมาตรการภาครัฐที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะการบริหารจัดการวัคซีน และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและยังผลให้เศรษฐกิจโดยภาพรวมเกิดการชะลอตัว

หากแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมจะเห็นว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ทั้งในแง่ผลประกอบการ คำสั่งซื้อ และการลงทุน มีเพียงกลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (Software) ที่ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 49.5 โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล (Digital Service) อยู่ที่ระดับ 48.9 กลุ่มอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Hardware and Smart Device) อยู่ที่ระดับ 42.3 กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) อยู่ที่ระดับ 42.0 และกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (Telecommunication) อยู่ที่ระดับ 40.7

“ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยคาดหวังให้ภาครัฐดำเนินนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลให้ชัดเจน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยและแหล่งเงินกู้ ครอบคลุมทั้งประชาชนและผู้ประกอบการดิจิทัล รวมถึงการบริหารจัดการวัคซีน ควบคู่ไปกับการเสริมความสามารถทางการแข่งขันผ่านมาตรการสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และการสนับสนุนโอกาสเข้าสู่ตลาดภาครัฐ เพื่อขยายตลาดให้กับธุรกิจดิจิทัล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาครัฐควรมีบริการดิจิทัลสำหรับการติดต่อสื่อสารในช่วงที่ให้บุคลากรภาครัฐ Work from Home เพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง และเกิดความสะดวกสบายแก่ผู้รับบริการ” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล ไตรมาส 2 ประจำปี 2564 ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ของ ดีป้า ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ www.depa.or.th/th/depakm/digital-indicators, LINE@depaThailand และเพจเฟซบุ๊ก depa Thailand หรือคลิก https://youtu.be/qc8efgjsVsM

เผยโฉม 25 ตัวแทนร่วมโครงการไทยแลนด์ พาวิลเลียน แอมบาสเดอร์

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ประกาศผลการคัดเลือก 25 อาสาสมัครในโครงการ ไทยแลนด์ พาวิลเลียน แอมบาสเดอร์ สู่การเป็นตัวแทนประเทศไทยในการทำหน้าที่ประจำนิทรรศการอาคารแสดงประเทศไทยภายในงาน เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ซึ่งมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 มีนาคม 2565 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมกันจัดงาน เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ มีความเห็นร่วมกันว่า นอกจากการสร้างอาคารแสดงประเทศไทยเพื่อแสดงภาพลักษณ์อันดีและเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศแล้ว การเข้าร่วมงานครั้งนี้ต้องเกิดประโยชน์กับเยาวชนของประเทศด้วย จึงเป็นที่มาของโครงการ “ไทยแลนด์ พาวิลเลียน แอมบาสเดอร์” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้เยาวชนไทยมีโอกาสได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์การทำงานจริงในการเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนนิทรรศการประจำอาคารแสดงประเทศไทยในเวทีระดับโลก ได้ฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ ทักษะด้านการแสดง หรือการร่วมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศที่เข้าร่วมงานโดยได้รับค่าตอบแทนระหว่างการปฏิบัติงานตลอดระยะเวลา 6 เดือน

“การรับสมัครอาสาสมัครโครงการไทยแลนด์ พาวิลเลียน แอมบาสเดอร์ในครั้งนี้มีผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ กับเรากว่า 500 คน โดยระหว่างกระบวนการคัดเลือก ทุกคนแสดงให้เราเห็นว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความมั่นใจ และมีความโดดเด่นในเรื่องของบุคลิกภาพในแบบของตัวเองอย่างชัดเจน หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญของเราได้คัดเลือกผู้ที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไปปฏิบัติหน้าที่ที่อาคารแสดงประเทศไทย จำนวน 25 คน ในนามอาคารแสดงประเทศไทยขอแสดงความยินดีกับทั้ง 25 คนที่ได้รับการคัดเลือก ขอให้ทุกคนทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศอย่างเต็มที่ และใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตครั้งนี้อย่างคุ้มค่า” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกทั้ง 25 คน มีรายชื่อดังต่อไปนี้

1. นายอาดีอลัน ยามา
2. นายอัคเรศร์ แสงประกอบ
3. นางสาวเหมือนฝัน เฉลาหอม
4. นางสาวเมษยา อ่อนศรี
5. นางสาวภิญญาดา สงวนนว
6. นายภัคพล ถวายทะวิม
7. นายพีรัชชัยย์ ช่วงสม
8. นางสาวพิชญา ตั้งอมรกิจ
9. นางสาวพัชศวรรณ ทิพย์สาคร
10. นางสาวพลอยไพลิน นิลพันธุ์
11. นายปวเรศ เจนภูมิเดช
12. นางสาวปรางมาศ อนันต์ศิลป์
13. นางสาวปติชา อ้นเยี่ย
14. นางสาวนาชูฮา แวกาจิ
15. นางสาวนภัทร พฤทธิ์ธรา
16. นายธีรภัทร์ มุกดา
17. นางสาวทัตพร สัจจาพิทักษ์
18. นายณัฐภัทร สมัครการ
19. นางสาวณัฐพร อุณหบัณฑิต
20. นางสาวณัฐนันท์ ชุติมาจิรัฐติกร
21. นางสาวชุลฟาย์ ถมเล็ก
22. นางสาวชรัญญกร อุตส่าห์
23. นางสาวชนิดา เดือนเพ็ญ
24. นายกัมปนาท ยมสุข
25. นายก่อกิจ วัยนิพิฐพงษ์

จากนี้ ดีป้า จะมีการจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้กับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ที่อาคารแสดงประเทศไทย ในงานเวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบต่อไป

สำหรับงานเวิลด์เอ็กซ์โปนับเป็นงานที่ติด 1 ใน 3 ของงานมหกรรมระดับโลก โดยครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต : CONNECTING MINDS, CREATING THE FUTURE” มีประเทศเข้าร่วมกว่า 190 ประเทศทั่วโลก มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 มีนาคม 2565 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายใต้ 3 หัวข้อย่อย ได้แก่ 1.โอกาส (Opportunity) 2.การขับเคลื่อน (Mobility) และ 3.ความยั่งยืน (Sustainability)

สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก พร้อมติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอาคารแสดงประเทศไทยในงาน “เวิลด์เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ” ได้ที่เว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ทุกช่องทาง : EXPO2020DubaiThailand หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม [email protected]

สุดยอด! “ดีป้า” ปั้น 4 ทีมพัฒนาเกมสัญชาติไทยสู่ระดับโลก

อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย คือหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้เกิดการขยายตัวอย่างเป็นระบบ โดยในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งได้รับอานิสงส์มาจาก อุตสาหกรรมเกม ที่มีมูลค่าอุตสาหกรรมสูงถึง 29,000 ล้านบาท อีกทั้งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 16.1% ในปีนี้

 รัฐ-เอกชน ร่วมจัดใหญ่ครั้งแรกโครงการเพื่อผู้พัฒนาเกมไทย โดย นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เผยว่า เราเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมไทย รวมถึงความสามารถของผู้พัฒนาเกมชาวไทย จึงร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA) และ บริษัท อินโฟเฟด จำกัด จัดโครงการ depa Game Accelerator Program Batch #1 เพื่อเฟ้นหาผู้ผลิตและผู้พัฒนาเกมสัญชาติไทยใน 4 หมวดเกมยอดนิยม ก่อนเสริมความแข็งแกร่ง พร้อมยกระดับมาตรฐานให้เทียบเคียงผู้ประกอบการระดับโลก และสามารถครองใจเกมเมอร์บนหลากหลายแพลตฟอร์ม ไม่เว้นแม้แต่ Console อย่าง Nintendo Switch

“ทีมงาน ดีป้า ทำงานอย่างหนักเพื่อคว้าโอกาสในการต่อยอดผลงานให้กับผู้พัฒนาเกมไทย โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือกับ Nintendo อีกหนึ่งพันธมิตรสำคัญของโครงการ เพื่อการสนับสนุนชุดพัฒนาเกม (Nintendo DevKit) แก่ผู้ชนะทั้ง 4 ทีมของเรา ไม่ว่าจะเป็น IGLOO STUDIO (อิ้ก-กลู-สตูดิโอ)PLASTIEK (พลาส-ทีก)FairPlay Studios (แฟร์เพลย์ สตูดิโอ) และ Varisoft (วา-ริ-ซอฟต์)” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

เปิดใจผู้ชนะ 4 หมวดเกมยอดนิยม โดยนายณัฐ รังสราญนนท์ Game Director และ รามิล ซาลฮานี Game Producer จาก IGLOO STUDIO ผู้ชนะในหมวด Action กับเกม Bounty Brawl (บาวตี้ โบรวล์) กล่าวว่า เรารู้สึกว่าทุกทีมมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากความรู้ที่ได้รับจากโครงการ depa Game Accelerator Program แล้ว เรายังได้พบเพื่อนใหม่ ได้ช่วยเหลือและผลักดันซึ่งกันและกัน และที่สำคัญถือเป็นโอกาสดีที่เราชนะและได้รับการสนับสนุน Nintendo Devkit ซึ่งเรามีแผนที่จะพัฒนาเกมลงในแพลตฟอร์มของ Nintendo ต่อไป

นายธวัชชัย ชุนหชัย Director จาก PLASTIEK ผู้ชนะหมวด Adventure กับเกม RRR Express (อาร์-อาร์-อาร์ เอ็กซ์เพรส) เล่าว่า โครงการ depa Game Accelerator Program จัดคลาสเรียนได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้พัฒนาเกม พร้อมเพิ่มการต่อยอดทางธุรกิจ และถือเป็นโอกาสดีที่เราได้รับการสนับสนุน DevKit ซึ่งเราต้องการสร้างเกมให้สามารถเล่นได้ในหลากหลายแพลตฟอร์ม และเมื่อได้รับการสนับสนุนดังกล่าว เราก็จะสามารถต่อยอดผลงานสู่ Nintendo Switch ให้เกมเราได้เข้าถึงตลาด เกม Console อีกประเภทที่ได้รับความนิยมระดับโลก

ขณะที่ นายธนิสร บุญสูง Chief Executive Officer จาก FairPlay Studios ผู้ชนะหมวด Strategy กับเกม At Your Service (แอต-ยัวร์ เซอร์วิส) เผยว่า พวกเรารู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจที่ผลงานของเราชนะเลิศในหมวด Strategy ซึ่งการที่เราได้รับ Nintendo DevKit จะทำให้เราต้องพัฒนาเกมของเราให้ดียิ่งขึ้น และสร้างความแตกต่างก่อนนำไปต่อยอดธุรกิจ

ด้าน นายพิชญ ศรีฟ้า ผู้บริหาร จาก Varisoft ผู้ชนะหมวด Sport (Casual Game) กับเกม Pakapow Party (ปัก-กะ-เป้า ปาร์ตี้) กล่าวว่า เรามั่นใจว่า ดีป้า พร้อมที่จะสนับสนุนเราสู่การเป็นผู้แทนทีมนักพัฒนาเกมไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นประตูด่านแรกที่จะนำเราออกไปสร้างชื่อในฐานะคนไทย ผลิตเกมที่ทั่วโลกชื่นชอบ อีกทั้งจุดประกายให้ทีมนักพัฒนาด้านอื่น ๆ ของไทยก้าวสู่สากล และได้รับการยอมรับเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ทั้งนี้ Nintendo พร้อมสนับสนุนผู้พัฒนาเกมไทยต่อเนื่อง โดย คะมอง  โยชิมุระ Head of Publisher and Developer RelationsNintendo Kyoto กล่าวว่า เราขอขอบคุณ ดีป้า สำหรับประสบการณ์ทั้งหมดจากโครงการนี้ เราเห็นความกระตือรือร้นและฝีมือของผู้พัฒนาเกมไทย ทำให้เข้าใจว่า ทำไมอุตสาหกรรมเกมไทยจึงเติบโตอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ปี และการที่จะออกสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งสำคัญคือ การทำตามแผนงานให้สำเร็จ แต่มากไปกว่านั้นคือ การรักษาอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและนำเสนออัตลักษณ์นั้นออกมา จากนี้เรายินดีที่จะร่วมงานกับ ดีป้า ที่จะเชื่อมโยงกับผู้พัฒนาเกมของไทยให้มากที่สุด และพร้อมสนับสนุนพวกเขาสู่สายตาชาวโลกต่อไป