บีโอไอ ชี้เทรนด์การลงทุนอุตสาหกรรม BCG มาแรง

บีโอไอ ชี้ทิศทางการลงทุนตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทวีบทบาทสำคัญ สอดรับกับแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ขององค์การสหประชาชาติ ระบุสถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการกลุ่ม BCG ตั้งแต่ปี 2558 ถึง กันยายน 2564 มีมูลค่ารวมเกือบ 7 แสนล้านบาท พร้อมผลักดันสตาร์ทอัพไทยให้แข็งแกร่งเตรียมร่วมมือ NIA และ สอวช. จัดมหกรรม BCG Startup Investment Day ต้นปี 2565

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ด้วยสภาพการณ์การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และการที่ประเทศไทยต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ รัฐบาลจึงได้กำหนดให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องการต่อยอดจุดแข็งของไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยแนวทางพัฒนานี้ยังถูกจัดอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันมาตรการส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมกิจการจำนวนมากตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง และบีโอไอได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามแนวทาง BCG ในหลายด้าน เช่น

· มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการด้านการยกระดับไปสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล เช่น มาตรฐานการรับรองป่าไม้ตามแนวทางขององค์การพิทักษ์ป่าไม้ (Forest Stewardship Council: FSC) เป็นต้น

· มาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่น
ในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ำ เป็นต้น

· ปรับปรุงประเภทกิจการและสิทธิประโยชน์โดยให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม คือ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและโรงแยกก๊าซ ในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี และกิจการห้องเย็น หรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น หากใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี

จากสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการในกลุ่ม BCG ตั้งแต่ ปี 2558 – กันยายน 2564 มีจำนวน 2,829 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 677,157 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกกิจการ BCG ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ 1. กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า ที่เป็นพลังงานหมุนเวียน (รวมถึงไฟฟ้าจากขยะ) 289,007 ล้านบาท 2. กิจการผลิตหรือถนอมอาหาร เครื่องดื่ม วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) หรือสิ่งปรุงอาหาร (Food Ingredient) โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย 94,226 ล้านบาท 3. กิจการผลิตเคมีภัณฑ์หรือพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นรูปต่อเนื่องจากการผลิตพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในโครงการเดียวกัน 40,998 ล้านบาท 4. กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร 25,838 ล้านบาท 5. กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ 22,250 ล้านบาท

โดยเฉพาะในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค. – ก.ย.) มีสัญญาณบ่งชี้อัตราเติบโตที่ดี โดยมีกิจการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 564 โครงการ จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 74 และมีมูลค่าลงทุน 128,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 160 และสูงกว่ามูลค่าการลงทุนในปี 2563 ทั้งปี (93,883 ล้านบาท) โดยมีตัวอย่างบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนภายใต้กิจการ BCG อาทิ

o กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative Protein)

– บริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย โครงการผลิตโปรตีนจากจิ้งหรีด

– บริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด โครงการผลิตโปรตีนผงจากหนอนแมลงวันผลไม้

o กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ Biotechnology

– บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด โครงการผลิตผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัด เพื่อรักษาโรคสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหลัก

– บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด โครงการผลิตยาจากเทคโนโลยีชีวภาพหรือชีวเภสัชภัณฑ์ที่ได้จากการใช้
ต้นยาสูบเป็นเจ้าบ้าน (HOST)

o กลุ่มพลาสติกชีวภาพ Bioplastic

– บริษัท โททาล คอร์เบียน พีแอลเอ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด โครงการผลิตโพลีแลคติค แอซิด (Polylactic Acid : PLA) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภท

– บริษัท พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม จำกัด โครงการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพชนิด PBS (Polybutylene Succinate)

– บริษัท ไทยวา จำกัด โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด TPS (THERMOPLASTIC STARCH) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังของไทย

– บริษัท ฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PHA (POLYHYDROXYALKANOATE) และ PHA BIOPLASTIC COMPOUND และผลิตภัณฑ์ขึ้นรูปจากพลาสติก PHA ซึ่งเป็นกิจการที่นำของเหลือทางการเกษตร

o กลุ่มพลาสติกรีไซเคิลเกรดอาหาร (Food-Grade Recycled Plastics)

– บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด โครงการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด rPET (FOOD GRADE) เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท ALPLA TH RECYCLING BETEILIGUNGSGELLSCHAFT
M.B.H ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ALPLA ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกรายใหญ่ของยุโรป

– บริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) โครงการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด
PET เม็ดพลาสติก PET รีไซเคิล (rPET) สำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสอาหาร

– บริษัท เซอร์คูลาร์ พลาส จำกัด โครงการวิจัยและพัฒนาระดับโรงงานสาธิตเพื่อผลิต PYROLYSIS NAPHTHA หรือ CIP-N โดยเป็นการวิจัยในขั้นทดลองในห้องปฏิบัติการ (LAB SCALE) และการวิจัยพัฒนาระดับนำร่อง (PILOT SCALE)

“โมเดลเศรษฐกิจ BCG จะเป็นแนวทางในการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยการใช้จุดแข็งที่ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยการสร้างความสมดุลจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ ทั้งนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจตามโมเดล BCG ของไทย จะนำไปสู่การปรับกระบวนทัศน์ และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs และคาดว่าในอีก 5 ข้างหน้าอุตสาหกรรม BCG ของไทยจะมีมูลค่าร้อยละ 25 ของ GDP ซึ่งบีโอไอพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่จะนำเป้าหมายดังกล่าวให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” เลขาธิการบีโอไอ กล่าว

เลขาธิการบีโอไอ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจการในกลุ่ม BCG ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ บีโอไอร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และหน่วยงานพันธมิตร เตรียมจัด “มหกรรม BCG Startup Investment Day” ในช่วงต้นปี 2565 เพื่อสนับสนุนให้ Startup ที่มีศักยภาพได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมาตรการสนับสนุนต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ Startup ให้แข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้ด้วย

 

ฺBOI เสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจไทย – ญี่ปุ่น

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวเปิดการประชุมกิจกรรมเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจไทย – ญี่ปุ่น ครั้งที่ 10 ภายใต้ความตกลง JTEPA ผ่านการประชุมทางไกล โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการไทยและญี่ปุ่นเข้าร่วมประชุม เพื่อหารือแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุน กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านการลงทุนระหว่างกันต่อไป

BOI อนุมัติส่งเสริมลงทุนขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้ามูลค่าเกือบ 5 หมื่นล้าน

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยที่ประชุมฯ ได้อนุมัติการปรับปรุงมาตรการและประเภทกิจการให้การส่งเสริมการลงทุน เพื่อเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยได้ปรับปรุงสิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentives) เพิ่มสิทธิประโยชน์กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล ยกระดับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ปรับเงื่อนไขกิจการ IBC/TISO พร้อมอนุมัติให้การส่งเสริมแก่กิจการลงทุนขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้ามูลค่าเกือบ 5 หมื่นล้านบาท

บีโอไอ ปั้นผู้ประกอบการสู่ตลาดโลก สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ

บีโอไอ เดินหน้าสร้างความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนทำธุรกิจในตลาดโลก เปิดหลักสูตร“สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” หรือ TOISC รุ่นที่ 19 หวังยกระดับทั้งด้านองค์ความรู้ เคล็ดลับ และการบริหารจัดการนำธุรกิจไทยเจาะตลาดต่างแดน

นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการไทยสู่การทำธุรกิจในตลาดโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในบทบาทของบีโอไอที่ต้องดูแลและพัฒนาผู้ประกอบการไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงได้จัดหลักสูตรอบรม “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” หรือ TOISC รุ่นที่ 19 ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริหารการจัดการธุรกิจในต่างประเทศ ด้วยการส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้แก่เจ้าของธุรกิจ ทายาทธุรกิจและระดับผู้บริหารที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแสวงหาโอกาสสำหรับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ

หลักสูตรดังกล่าวจะเจาะลึกทุกเรื่องที่จำเป็นในการลงทุนโดยถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ทั้งเรื่องเทคนิคการสร้างความสัมพันธ์การเจรจาเชิงธุรกิจการพัฒนาบุคลิกภาพและมารยาทสากลเพื่อเชื่อมสัมพันธ์การลงทุน การออกแบบธุรกิจเพื่อการลงทุน ในต่างประเทศ ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางตลาดโลกและแนวโน้มของตลาดเกิดใหม่ ความรู้เรื่องกฎหมาย เรื่องภาษี เรื่องพิธีการทางศุลกากรในต่างประเทศ ข้อควรระวังเรื่องการจัดทำเอกสารความตกลงต่างๆ การหาแหล่งเงินทุน ตลอดจนเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ในต่างประเทศให้ความสำคัญ

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนเคล็ดลับของธุรกิจไทยที่เติบโตในต่างแดน มีกิจกรรมกลุ่มสร้างเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อการลงทุน รวมทั้งมีกิจกรรมศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย สำหรับปี 2564 จะเน้นเส้นทางการลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งผู้ประกอบการจะได้เข้าพบหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและสมาคมต่างๆ ที่สำคัญ เพื่อรับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ เยี่ยมชมสถานที่ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมจับคู่ธุรกิจกับบริษัทไทยที่มาลงทุนในต่างประเทศ สำรวจย่านเศรษฐกิจการค้า และตลาดท้องถิ่น พร้อมเส้นทางโลจิสติกส์อีกด้วย

“แม้ว่ายังคงมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บีโอไอได้เตรียมสร้างความพร้อมให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลักสูตรสร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศนี้ได้ดำเนินการมาถึงรุ่นที่ 19 แล้ว โดยที่ผ่านมาผู้เข้ารับการอบรมหลายรุ่นได้สะท้อนมุมมองที่เป็นประโยชน์หลายด้าน เช่น ได้ประสบการณ์ตรงจากวิทยากรผู้ที่ลงทุนในต่างประเทศแล้วจริงๆ มีมุมมองทั้งเรื่องความท้าทาย สิ่งที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งเป็นการวางพื้นฐานที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ และสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในองค์กรช่วยวางแผนการดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ตรงจุดมากขึ้น บีโอไอจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เพื่อช่วยยกระดับทั้งด้านบริหารจัดการ และเพิ่มพูนความรู้ต่างๆ อย่างรอบด้าน” รองเลขาธิการบีโอไอกล่าว

ทั้งนี้ หลักสูตรนี้จะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 23 มิถุนายน 2564 สำหรับผู้สนใจสมัครสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย โทรศัพท์ 0 2553 8111 ต่อ 6245 หรือ E-mail: [email protected] หรือ @Line ID: boi.toisc