ธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในหลวงพระชนมพรรษา 6 รอบ

เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดพิมพ์ธนบัตรที่ระลึกชนิดราคา 100 บา เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีกำหนดนำออกใช้ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2567

เพื่อให้ธนบัตรที่ระลึกมีความพิเศษและมีความหมายสำหรับโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ วัสดุที่ใช้พิมพ์ ขนาด โทนสี ภาพและองค์ประกอบต่าง ๆ บนธนบัตร และลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงที่นำมาใช้จึงต้องผ่านกระบวนการคิด กลั่นกรอง และเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน

ธนบัตรที่ระลึกจัดพิมพ์บนวัสดุพอลิเมอร์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบันที่จัดพิมพ์ธนบัตรที่ระลึกบนวัสดุพอลิเมอร์ อีกทั้งลักษณะและขนาดของธนบัตรก็มีความพิเศษเช่นกัน คือ มีลักษณะเป็นแนวตั้ง มีความยาว 163 มิลลิเมตร ซึ่งผลรวมของ 1+6+3 เท่ากับเลข 10 สื่อความหมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และความกว้าง 89 มิลลิเมตร โดยเลข 9 สื่อความหมายว่า ปี 2567 เป็นปีที่ครองราชย์ปีที่ 9 โทนสีโดยรวมเป็นสีเหลืองและสีชมพู ซึ่งสีเหลืองเป็นสีแห่งวันพระบรมราชสมภพและสื่อถึงความเจริญรุ่งเรือง ส่วนสีชมพูนั้นช่วยเสริมให้ธนบัตรดูนุ่มนวลยิ่งขึ้น

ธนบัตรด้านหน้า เชิญพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์บรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงสายสร้อยปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ เป็นภาพประธาน และเชิญตราสัญลักษณ์ งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 รวมทั้งภาพดอกรวงผึ้งซึ่งเป็นพรรณไม้มงคลและเป็นดอกไม้ประจำพระองค์ เป็นภาพประกอบ

สำหรับลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงที่สำคัญ ได้แก่ ธนบัตรด้านหลัง เชิญพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ บรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ประดับดารานพรัตน ทรงสายสร้อยปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ และทรงพระแสงกระบี่ เป็นภาพประธาน โดยมีภาพพญานาคแสดงถึงนักษัตรปีมะโรงซึ่งเป็นปีพระบรมราชสมภพ และภาพดอกราชพฤกษ์ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย เป็นภาพประกอบ

คุณมยุรีรับโล่เชิดชูเกียรติทุ่มเทพัฒนาบรรจุภัณฑ์

ศาสตราจารย์ ดร.อรัญ หาญสืบสาย ประธานมูลนิธิเงินทุนงานแสดงการพิมพ์แห่งประเทศไทย  มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ เพื่อเชิดชูเกียรติคุณมยุรี ภาคลำเจียก ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์  ซึ่งได้ใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ  ทุ่มเทถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการพิมพ์บรรจุภัณฑ์ไทย มาโดยตลอด

คุณมยุรี สำเร็จการศึกษาปริญาตรี(เกียรตินิยม) สาขาเทคโนโลยีอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท(เกียรตินิยม) สาขาเทคโนโลยีอาหาร มหาวิทยาลัยฮิบรู ประเทศอิสราเอล มีบทบาทสำคัญในองค์กรของรัฐคือสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.) เป็นเวลา 20 ปี โดยตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้อำนวยการส่งเสริมและฝึกอบรม ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย และทำงานในหน่วยงานภาคเอกชน 19 ปี  อาทิ บริษัท ยูนิลีเวอร์ประเทศไทย จำกัด และบริษัท คอลเกตปาล์มโอลีฟ จำกัด ฯลฯ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาสมาคมการพิมพ์ไทย และสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย

 

‘ผศ.บุญเลี้ยง’รับรางวัลเชิดชูเกียรติบุคลากร มจธ.

ผศ.บุญเลี้ยง แก้วนาพันธ์ รักษาการผู้ช่วยหัวหน้าโครงการฝ่ายแผนงานและบริการวิชาการ โครงการร่วมบริหารหลักสูตรฯ (มีเดีย) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ บุคลากร มจธ.ระดับดีมาก ประจำปี 2566  หรือ KMUTT HONORARY AWARDS 2023 โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ

การได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ เป็นผลมาจากผลงานการแสดงนิทรรศการ เรื่อง Under Pressure ในงานนิทรรศการ Asia Network Beyond Design โดยได้ถูกนำไปจัดแสดงใน 5 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ใต้หวัน มาเลเซีย และไทย

ผศ.บุญเลี้ยง แก้วนาพันธ์ กล่าวว่า จากการได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติครั้งนี้ ขอขอบคุณหน่วยงานมีเดีย และมหาวิทยาลัย ที่ให้การสนับสนุนในทุกด้านจนประสบผลสำเร็จ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารางวัลดังกล่าวจะเป็นแรงผลักดันให้กับตัวเองได้พัฒนาผลงานวิจัยด้านการออกแบบให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นแรงผลักดันในการพัฒนางานของทีมคณาจารย์ในหน่วยงาน ตลอดจน การนำความรู้และประสบการณ์มาพัฒนานักศึกษาและการให้บริการวิชาการต่อไป

“คุณปฐม”จัดแพ็คเกจทัวร์บุญ ประจำปี 2565

คุณปฐมจัดแพ็คเกจทัวร์บุญ ประจำปี 2565 ชวนหมู่มิตรในอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทย ร่วมบริจาคเงิน ข้าวของเครื่องใช้ หรือเดินทางไปร่วมกิจกรรมสร้างบุญกุศลด้วยกัน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน รวม 6 โครงการ

คุณปฐม สุทธาธิกุลชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด จัดโครงการทำบุญใหญ่ประจำปี พ.ศ.2565 จำนวน 6 รายการ เพื่อความเป็นสิริมงคลในวัย 79 ปี ซึ่งได้ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า จะส่งเสริมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่จนกว่าชีวิตจะหาไม่ โดยจะเป็นสะพานบุญให้พุทธศาสนิกชนทุกท่านอีกเช่นเคย ซึ่งได้วางแผนไว้ดังนี้

1.โครงการแจกเงิน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้สังคมคนไทยที่เดือดร้อนและด้อยโอกาส ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 ยังระบาดไม่หยุด  ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา

2.โครงการไถ่ชีวิตโคกระบือ สืบสานพระราชดำริธนาคารโค-กระบือของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีกำหนดจัดกิจกรรมในปลายเดือนกรกกฎาคม

3.โครงการบริจาคเงิน ข้าวสารอาหารแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภค ถวายหลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี กำหนดจัดกิจกรรมในเดือนสิงหาคม

4.โครงการบริจาคเงินร่วมสมทุนสร้างฌาปนสถาน(เมรุ)เผาศพ ของวัดโบสถ์ จังหวัดปราจีนบุรี ให้สำเร็จเสร็จสิ้นต่อเนื่องจากที่เริ่มไว้เมื่อปีที่แล้ว

5.บริจาครถกอล์ฟ 2 ตอน สีแดง จำนวน 1 คัน ให้กับทางวัดโบสถ์ เพื่อใช้ในศาสนกิจของวัด กำหนดจัดกิจกรรมในวันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม 2565 ซึ่งตรงกับวัดเกิดครบรอบ 80 ปี

6.ถวายรถกอล์ฟ 3 ตอนสีขาว จำนวน 1 คันเพิ่มเติมให้แก่ทางวัดโบสถ์ เพื่อใช้ในศาสนกิจของวัด กำหนดการไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2565

จึงขอเชิญชวนมวลหมู่มิตรและเพื่อนพ้องน้องพี่ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทย ที่มีจิตศรัทธาและร่วมกิจกรรมบุญในครั้งนี้ ด้วยการบริจาคเงิน ข้าวของเครื่องใช้ โดยแจ้งผ่านบริษัท ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด โทรศัพท์ 0-2966-1600-6 หรือ โอนเงินเข้าร่วมโครงการ ผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว เลขที่บัญชี 224-294050-5 ขอให้กุศลผลบุญจากการทำบุญในครั้งนี้ ดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญทุกประการด้วยเทอญ

“ปฐม”เชื่อมั่น“เกรียงไกร”เหมาะสมนั่งตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

คุณปฐม สุทธาธิกุลชัย อดีตนายกสมาคมการพิมพ์ไทย 4 สมัย กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยว่า ทุกฝ่ายพร้อมให้การสนับสนุนคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมฯ วาระปี 2565-2567 ต่อจากคุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาฯคนปัจจุบันที่จะหมดวาระลงในปลายเดือนมีนาคม ศกนี้  ซึ่งมีกำหนดให้มีการประชุมใหญ่และเลือกตั้งกรรมการชุดใหม่ในวันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ณ ห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม

บทบาทที่ผ่านมาของคุณเกรียงไกร ในฐานะอดีตนายกสมาคมการพิมพ์ไทย 3 สมัย เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ได้สร้างคุณูปการให้แก่อุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยไว้มาก ซึ่งคนทั่วไปรู้จักกันดี และยิ่งมีโอกาสได้ไปช่วยงานการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ ในฐานะรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับหน้าที่เป็นประธานสายงานส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรม 45 กลุ่มและ 11 คลัสเตอร์ ทำให้เห็นบทบาทและความสามารถมากยิ่งขึ้น

เกรียงไกร เธียรนุกุล

“อุตสาหกรรมการพิมพ์ไทย จะต้องคึกคักและมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างแน่นอน เพราะการเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ย่อมจะต้องสามารถผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ ได้คล่องตัว  เพราะคุณเกรียงไกรเกิดและเติบโตมาจากอุตสาหกรรมการพิมพ์ย่อมต้องเข้าใจพื้นฐานความต้องการได้เป็นอย่างดี ยิ่งในสภาพการณ์ปัจจุบันที่เกิดผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทำให้โรงพิมพ์ล้มหายตายจากไปกว่าครึ่งในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา  ผมคนหนึ่งล่ะที่คิดว่า คุณเกรียงไกร จะเป็นผู้ที่จะมาช่วยอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยได้ไม่มากก็น้อย” คุณปฐมกล่าว

สิ่งพิมพ์บุญ กายเนรมิต‘ปิยโสภณ’ เครื่องมือปลูกรากแก้วให้แผ่นดิน

ทุกครั้งคราที่เอ่ยถึง “สิ่งพิมพ์และธุรกิจการพิมพ์” เชื่อว่าผู้คนส่วนหนึ่งก็มักจะนึกถึงการค้าการขายที่มีผลกำไรเป็นเป้าหมาย อีกส่วนหนึ่งก็คงจะนึกถึงความเป็น “สื่อ” ที่มีภารกิจแจ้งข่าว,เรื่องราวและนำเสนอแนวคิดจากคนหนึ่งเผยแพร่ไปสู่อีกหลายคน

แต่คงมีคนจำนวนน้อยที่จะนึกถึงสิ่งพิมพ์บุญในบวรพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะที่มีการนำไปใช้ในลักษณะผสมผสานทั้ง 2 สิ่งเข้าด้วยกัน นั่นคือ ใช้เพื่อการค้าขายก็ได้ และใช้เพื่อการเผยแพร่ความคิดก็ได้ด้วย ดังเช่นที่ท่านเจ้าคุณพระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) หรือนามปากกา “ปิยโสภณ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ได้เลือกใช้“สิ่งพิมพ์” เป็นเครื่องมือร่วมปลูกรากแก้วให้แก่แผ่นดิน!

@ สิ่งพิมพ์ : กายทิพย์แยกร่าง

ท่านปิยโสภณถือเป็นหนึ่งในพระภิกษุสงฆ์นักพัฒนา ผู้คนในสังคมบุญของเมืองไทยรู้จักในฐานะผู้ปลูกรากแก้วให้แก่แผ่นดิน เป็นผู้ร่วมสร้างโรงเรียนปลูกรากแก้วแผ่นดิน (สำหรับฝึกอบรมสามเณรและเยาวชนของชาติ) ในนามมูลนิธิส่งเสริมสามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กรุงเทพมหานคร

แต่สิ่งที่ต้องกล่าวถึงในที่นี้ซึ่งมีคุณค่าและสำคัญมากคือ การเขียนหนังสือแนวสอนใจและพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มเพื่อใช้เป็น“เครื่องมือ”สื่อประสานแนวคิดไปสู่ผู้รับสาร ซึ่งมีทั้งญาติโยมผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเยาวชนที่ยังคงต้องการฟูมฟักด้วยสิ่งที่ดีงาม  โดยในช่วงที่ผ่านมาได้รับการตอบรับและกล่าวถึงกันมากทั้งในกลวิธีการเขียน. การสอดแทรกสาระและประเด็นการนำเสนอ ฯลฯ

ท่านปิยโสภณให้เหตุผลที่เป็นแรงบันดาลใจให้ดำเนินงานเขียน และผลิตเป็นสิ่งพิมพ์ต่างๆ ออกมา ทั้งหนังสือ แผ่นพับ ใบปลิว ซีดีภาพ ซีดีเสียง เพราะต้องการอยากจะเนรมิตคน ๆ เดียวให้เป็นร้อยคนพันคน ซึ่งเรียกว่า กายทิพย์  กล่าวคือ ถ้าท่านพูดด้วยคน ๆ คนเดียว ก็ทำได้แค่นั้น แต่ถ้าทำเป็นสิ่งพิมพ์ออกไป คนก็เอาไปอ่าน   ก็เหมือนมีคนนั่งดูท่านอยู่เช่นกันว่า กำลังพูดอะไรและคิดอะไร

หรืออย่าง “พระอาจารย์พูดคุยกัน 2 คนก็ได้รับสาร 2 คน ถ้าพูดห้องโถงใหญ่มีคนฟัง 100 คนก็ได้ 100 คน แต่ทีนี้พระอาจารย์คนเดียวพูดเหนื่อยไม่ไหวแล้ว ก็เนรมิตตัวเองเลย โดยพิมพ์เป็นหนังสือ 5,000 เล่ม  ก็เป็น 5,000 คนที่รับฟังหรือมากกว่า รวมกับแผ่นพับใบปลิวด้วย  แจกกระจายออกไป ก็ง่ายขึ้น แบ่งเบาภาระได้ มีผู้รับสารมากขึ้นแบบเป็นดาวกระจาย”

@ เอกสารA4 : จุดเริ่มใช้สิ่งพิมพ์

การใช้สิ่งพิมพ์เผยแพร่แนวคิดของท่านปิยโสภณ เริ่มขึ้นครั้งเมื่อปี พ.ศ.2541 หรือ 16 ปีที่แล้ว โดยเริ่มจากการใช้กระดาษ A4 พับครึ่ง พิมพ์ข้อคิดลงไปแล้วแจกให้ญาติโยมอ่าน วันหนึ่งๆ  คนไปวัด 100 คนก็พิมพ์ 100 แผ่น แจกหมดแล้วก็ถ่ายเอกสารใหม่  มีเครื่องถ่ายเอกสารเล็กๆ ให้ทำทุกวัน  วันเวลาผ่านไป 1 ปี ความคิดของท่านปิยโสภณที่หลั่งไหลออกมาใหม่ทุกวันผ่านแผ่นกระดาษ A4 นั้นก็มีมากขึ้นๆ  ญาติโยมที่เห็นคุณค่าและคิดว่าเป็นประโยชน์ ก็เอาไปเผยแพร่ต่อ บางคนก็รวบรวมส่งเข้าโรงพิมพ์ทำออกมาเป็นเล่มหนังสือ

“สื่อทีวี อาทิ ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. พิธีกรรายการธรรมมะช่วงเช้าๆ ได้เอาบางถ้อยบางตอนที่เป็นข้อคิดไปอ่านออกอากาศ คนฟังชอบ ก็มาหาอ่านหนังสือ   จึงเป็นจุดเริ่มจุดหนึ่งที่มีคนสนใจขึ้นมา มีคนนิมนต์ไปบรรยาย ไปสอนหนังสือ จากคนที่ไม่รู้จักเราก็เริ่มรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ จากแนวคิดที่ก่อตัวผ่านกระดาษ A4 แผ่นเดียว”

ด้วยเหตุเริ่มต้นที่มาจากกระดาษ A4 แผ่นเดียว ท่านปิยโสภณก็มาคิดว่า มนุษย์ถ้าจะทำงานใหญ่ก็ต้องเริ่มจากงานเล็กที่สุด เหมือนกับโพธิ์ต้นใหญ่ก็เริ่มจากต้นเล็กที่สุด ไม่ต้องไปรอว่า งานใหญ่ต้องทำด้วยคนหมู่มาก ไม่ต้องรอการประชุมที่มีคนจำนวนมากแล้วเรียกเป็นงานใหญ่ แต่เป็นงานที่เริ่มแล้ว“จุดประกาย”ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูปประเทศหรือปฏิรูปตนเอง ก็เริ่มจากสิ่งที่เล็กที่สุด “สิ่งที่เล็กที่สุดพระพุทธเจ้าบอกว่าคือความคิด ความคิดอยู่ที่ไหน อยู่ในตัวตนเรา มองไม่เห็นด้วยตา แต่มีความคิด ถ้าเป็นกายภาพเริ่มต้นที่ลมหายใจ ถ้าเป็นจิตวิญญาณเริ่มต้นที่ความคิด”

@เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว : หนังสือเรื่องแรก

สิ่งพิมพ์ของท่านปิยโสภณ   ที่มีญาติโยมเอาไปรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มนั้น  ทำด้วยทุนส่วนตัวของญาติโยมเอง  เนื่องจากมีความศรัทธา ส่วนหนึ่งนิยมเอาไปพิมพ์แจกงานศพบ้างอะไรบ้าง เช่น เรื่อง “ตายไม่มี” เขียนสั้นๆ ใครอ่านแล้วชอบ ก็เอาไปพิมพ์ต่อแล้วแจกๆๆๆ เขียนเรื่อง “อภัยทาน” คนชอบก็เอาไปพิมพ์แจกเอง ต่อมาสำนักพิมพ์และโรงพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือด้านศาสนาจำหน่ายโดยตรง เห็นก็เอาไปพิมพ์ขาย  หนังสือของท่านปิยโสภณก็ได้รับการตีพิมพ์และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

หนังสือเล่มแรกที่เขียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวชื่อว่า“เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว” นำเสนอชีวิตเริ่มต้นสมัยเด็กๆ  ของท่านปิยโสภณ ซึ่งได้ไปเล่าให้เด็กนักเรียนฟังที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทร์เดชา  ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อะไรที่ทำให้อยากบวช ซึ่งเด็กนักเรียนที่นั่งฟังอยู่นั้นมีโอกาสเรียนหนังสือ บางคนมีโอกาสแต่ไม่อยากเรียน  มีโรงเรียนดี มีครูดี มีอุปกรณ์ครบทุกอย่าง แต่ขี้เกียจเรียน ไม่เข้าเรียนบ้างอะไรบ้าง  ขณะที่เด็กบางคนไม่มีโอกาสเรียนแต่อยากเรียน ดั่งเช่นท่านปิยโสภณ

แม้ที่มาของการเขียนหนังสือเรื่อง “เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว” เริ่มขึ้นจากเรื่องเล่าให้เด็กนักเรียนฟัง แต่เนื้อหาในหนังสือไม่ใช่การถอดเทปคำบรรยาย  เป็นการเขียนขึ้นเพื่อใช้พิมพ์เป็นหนังสือ ซึ่งจะใช้ภาษาแตกต่างกัน จึงปรากฏว่า ได้รับการตอบรับและคำชมจากญาติโยมและพระผู้ใหญ่ว่า เป็นหนังสือที่อ่านง่ายและเข้าใจได้ดี จึงเหมาะสำหรับพิมพ์ให้เด็กอ่าน และญาติโยมก็มีการนำไปพิมพ์ซ้ำพิมพ์แจกเรื่อยมา โดยท่านปิยโสภณไม่ได้เป็นผู้ออกทุนพิมพ์เองอีกเช่นเคย

@ โรงพิมพ์ใหญ่เล็ก : แบ่งงาน

ท่านปิยโสภณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเลือกโรงพิมพ์หรือส่งงานเข้าโรงพิมพ์ ขึ้นอยู่กับว่า ญาติโยมจะนำไปพิมพ์ที่ไหน เจ้าภาพบางคนรู้จักโรงพิมพ์ไหนก็นำไปพิมพ์ ดังมีรายชื่อโรงพิมพ์ปรากฏในหนังสือแต่ละเล่มแตกต่างกันไป อาทิ โรงพิมพ์พลัสเพรส ถนนประชาสงเคราะห์, แสงศิลป์การพิมพ์ ถนนรางน้ำ, โรงพิมพ์บริษัท ไซเบอร์พริ้นท์ กรุ๊ป จำกัด, โรงพิมพ์บริษัท คอมฟอร์ม จำกัด ฯลฯ  ทั้งนี้ อาจพิมพ์ฟรีบ้าง พิมพ์ราคาถูกบ้าง และบางโรงพิมพ์ก็ยังช่วยเก็บสต็อกไว้ให้ด้วย โดยที่ไม่ต้องขนหนังสือไปเก็บที่วัด

นอกจากท่านปิยโสภณ จะเป็นผู้เขียนเรื่องเองแล้ว ยังวาดภาพสีน้ำประกอบเองด้วย โดยที่ท่านบอกว่า เรียนวิชาวาดภาพมาจากยูทูป รวมทั้งการวางเลย์เอ้าต์หน้าตาของหนังสือ ก็จะเป็นผู้กำหนดและตรวจเองทั้งหมด

@ อภัยทานฯ : ยอดพิมพ์ 5 แสน!

ยอดพิมพ์หนังสือแต่ละเล่มอยู่ในช่วง 5,000-10,000 เล่ม หนังสือของท่านปิยโสภณส่วนมากเป็นหนังสือเล่มเล็ก สามารถอ่านจบได้ในเวลาอันสั้น ส่วนหนังสือที่มีความหนามาก มีจำนวนน้อย  อย่างเช่น หนังสือชื่อ “ความลับในอารมณ์” และ “แม่…ชีวิตคืออะไร” ถือว่าเป็นเล่มใหญ่แล้ว

ถ้านับจำนวนปกหนังสือหรือชื่อเรื่อง นับตั้งแต่ปี 2541ถึงปัจจุบัน น่าจะรวมได้ประมาณ 35 เรื่อง ประเภทนวนิยายก็เคยเขียนแต่ไม่ได้พิมพ์ เพราะเคยเอาไปให้คนทดลองอ่านแล้วรู้สึกว่า เป็นงานเขียนแบบเสียดสีคันๆ อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ จึงเก็บไว้เฉยๆ ไม่เผยแพร่

ทั้งนี้ ในจำนวนหนังสือกว่า 35 เรื่องที่พิมพ์ออกมาแล้วนี้  เรื่อง “อภัยทาน รักบริสุทธิ์” พิมพ์แล้วประมาณ 500,000 เล่ม ถือว่ามียอดสูงมากสำหรับหนังสือของท่านปิยโสภณ  โดยทำการพิมพ์ออกมาแจกครั้งแรกเมื่อปี 2546  แต่ในปัจจุบันมีทั้งการพิมพ์แจกและพิมพ์จำหน่าย

@ สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ : แจกแถม

นอกจากหนังสือแล้ว ท่านปิยโสภณ ยังมีการจัดทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์(ซีดี) สอดแทรกแจกแถมไปพร้อมกับหนังสือบางเรื่องบางเล่มด้วย เผื่อเป็นทางเลือกให้ผู้คนว่า “ใครอยากอ่านก็ได้อ่าน ใครอยากฟังก็ได้ฟัง ใครอยากดูก็ได้ดู” เรียกว่าเป็นสื่อ 3 สัมผัส

“วิธีคิดเรื่อง คิดจากธรรมะและเหตุการณ์จริง คิดเอาจากคนที่มาหานี่เอง เพราะมีญาติโยมมาหาทุกวัน บางวันมาเป็นร้อยคน บางคนกำลังคิดจะฆ่าตัวตายก็มี บางคนก็กำลังพลัดพราก บางคนสูญเสีย บางคนรวยแต่มีทุกข์ บางคนจนแต่มีสุข อะไรอย่างนี้ เราก็คุยๆ เสร็จก็ประมวลเป็นธรรมะ คอนเซ็ปต์แต่ละเรื่องมีมาจากสิ่งแวดล้อมเป็นแรงบันดาลใจ เอาตัวอย่างของคนนี้ไปสอนคนโน้น เอาตัวอย่างคนโน้นมาสอนคนนี้ เก็บๆ ไว้เป็นข้อมูล  ซึ่งธรรมะเกิดจากทุกข์”

“สิ่งพิมพ์ดิจิตอล(ซีดี) ก็ทำมานานแล้วพร้อมๆ กับหนังสือ สมัยก่อนมีกล้องวิดีโอเล็กๆ ตัวหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้น มีห้องทำงาน มีห้องตัดต่อเสียงทุกอย่างอยู่ที่มูลนิธิส่งเสริมสามเณรฯ แห่งนี้ ผลิตรายการโทรทัศน์ อาทิ รายการ“เณรปลูกปัญญา”  “เณรรากแก้ว” ฯลฯ ของสถานีโทรทัศน์ทรู ก็ผลิตที่ห้องสตูดิโอซึ่งอยู่ชั้นบนของสำนักงาน”

ท่านปิยโสภณ กล่าวว่า แนวของเรื่องการทำสิ่งพิมพ์ดิจิตอล ไม่ได้ผูกติดว่าจะต้องเหมือนกับหนังสือ หรือหนังสือจะไม่ได้เกิดจากการถอดเทปเสียงบรรยายหรือละครในซีดี เพราะภาษาต่างกัน หนังสือจะใช้ภาษาเขียน ไม่ใช่ภาษาพูด จะเน้นเรื่องภาษาในการเขียนพอสมควร หนังสือจึงมีออกมาไม่มาก

@ ลิขสิทธิ์หนังสือ : ใครๆ ก็พิมพ์ได้

ดังที่กล่าวแล้วว่า หนังสือของท่านปิยโสภณมีทั้งการพิมพ์แจกและจำหน่าย อาทิ บางเล่มก็เป็นการพิมพ์จำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ธรรมสภา,สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียงฯ ฯลฯ  โดยราคาจำหน่ายก็กำหนดตามที่ผู้จัดพิมพ์เห็นควร ซึ่งหนังสือของท่านปิยโสภณทั้ง 35 เล่มไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ดังนั้น หากสำนักพิมพ์หรือโรงพิมพ์อื่นใดจะนำไปพิมพ์แจกเพิ่มหรือพิมพ์ขายอย่างไรก็ได้ การเขียนหนังสือขึ้นมาไม่ได้ต้องการเป็นตัวเงิน การที่หนังสือและแนวคิดได้มีการเผยแพร่ก็เป็นการดีแล้ว

“ถ้าโรงพิมพ์อื่นๆ ต้องการนำไปพิมพ์เป็นของชำร่วยก็นำไปพิมพ์ได้ จะมาผ่านที่มูลนิธินี้หรือไม่ผ่านก็ได้ไม่ติดใจ หรือถ้าพิมพ์เสร็จแล้วอยากจะนำมาแบ่งปันผ่านที่นี่บ้างก็นำมาได้ จะได้นำส่งต่อไปวัดบ้านนอกที่อยู่ไกลและยังขาดแคลนหนังสือกลุ่มนี้ ซึ่งวัดจะใช้แจกในงานกฐินหรืองานบุญต่างๆของท้องถิ่น”

@ สิ่งพิมพ์&โรงพิมพ์ : ไม่มีวันตาย

ท่านปิยโสภณได้กล่าวถึงการพิมพ์และธุรกิจโรงพิมพ์ว่าไม่มีทางตาย  ยกเว้นบางแห่งที่ไม่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยบ้างก็อาจจะตาย แต่“สิ่งพิมพ์”นั้น อย่างไรเสียก็ต้องมีอยู่   เพราะมนุษย์เราความสุขส่วนหนึ่งอยู่ที่ประสาทสัมผัส อย่างเช่น  ระหว่างรูปภาพที่ส่งมาให้ดูทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นรูปภาพความงามอันเดียวกันกับที่จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์ แต่คนก็อยากดูของจริงด้วยตา จึงต้องดั้นด้นเดินทางไปดูของจริงที่พิพิธภัณฑ์ ดูแล้วดื่มด่ำกว่า หรือกรณีของกาแฟ การดื่มจะต้องได้รสได้กลิ่น แต่ถ้าไม่ได้กลิ่นการดื่มก็ไม่มีความสุขแล้ว

“อย่างหนังสือก็เช่นกัน จับต้องแล้วได้กลิ่นหมึก ได้กลิ่นอะไรต่าง ๆ   สาระอยู่ที่ไหน อยู่ประสาทสัมผัส หรือกรณีนิตยสารบ้านอารีย์ เขามีเว็บไซต์เผยแพร่เนื้อหาเหมือนกันหมด แต่คนส่วนใหญ่ก็อยากอ่านอยากจับต้องในส่วนที่เป็นหนังสือ ก็มีการไปสมัครสมาชิก หรือกรณีนิตยสารซีเคร็ตของอมรินทร์ฯ เป็นหนังสือธรรมะ ก็มีในสื่ออินเตอร์เน็ตเหมือนกัน แต่คนก็อยากจะอ่านหนังสือเล่มนี้..สื่อสิ่งพิมพ์ไม่ตายหรอก โรงพิมพ์ไม่มีทางตาย!

พิสูจน์ด้วยการที่ท่านปิยโสภณ ยกสิ่งพิมพ์เปรียบเป็น “กายทิพย์” ที่มีแต่จะต้องเพิ่มจำนวนขึ้นๆ เพื่อให้ช่วยเผยแพร่ขยายแนวคิดปลูกรากแก้วให้แผ่นดิน อย่างไม่รู้กาลจบสิ้น!


หมายเหตุ : สิ่งพิมพ์บุญ กายเนรมิต‘ปิยโสภณ’ / นายขันติ ลาภณัฐขันติ ผู้สัมภาษณ์/เรียบเรียง/ถ่ายภาพ ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก : Thaiprint magazine  เผยแพร่ครั้งที่ 2 : www.PrintingnewsTH.com

“แบงก์ชาติ”พิมพ์ธนบัตร 20 บาทใหม่ด้วย‘พอลิเมอร์’

คุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. จะนำธนบัตรใหม่ชนิดราคา 20 บาทที่พิมพ์ด้วยวัสดุพอลิเมอร์ออกใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งแบบใหม่เป็นการพัฒนาคุณภาพให้ประชาชนได้ใช้ธนบัตรที่มีสภาพใหม่,สะอาดและใช้งานได้นานขึ้น ธนบัตรชนิดราคา 20 บาทเป็นธนบัตรที่ประชาชนใช้จ่ายหมุนเวียนเปลี่ยนมือบ่อย จึงทำให้ธนบัตรมีสภาพเก่ากว่าธนบัตรชนิดราคาอื่น การพิมพ์จากวัสดุพอลิเมอร์ซึ่งเป็นพลาสติกแบบพิเศษ จะไม่ดูดซับความชื้นและสิ่งสกปรกเหมือนธนบัตรกระดาษแบบเดิม

ด้วยลักษณะเฉพาะของธนบัตรพอลิเมอร์ จึงช่วยลดปริมาณการผลิตธนบัตรใหม่เพื่อทดแทนธนบัตรที่ชำรุด และเอื้อต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยสอดคล้องกับธนาคารกลางในหลาย ๆ ประเทศที่ได้ออกใช้ธนบัตรพอลิเมอร์ เช่น อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ฯลฯ

มีภาพและลักษณะโดยรวมเหมือนกับธนบัตรกระดาษชนิดราคา 20 บาทในปัจจุบัน มีการใช้เทคโนโลยีต่อต้านการปลอมแปลงที่ทันสมัยและมีมาตรฐานสูงเช่นเดียวกับธนบัตรกระดาษ  แต่ที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาคือมีช่องใสที่สามารถมองเห็นทะลุได้ทั้งสองด้าน ด้านล่างเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เมื่อพลิกธนบัตรขึ้นลงจะเห็นเป็นสีเหลือบแดง นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มจุดสังเกตสำหรับผู้บกพร่องทางสายตาในบริเวณช่องใสด้านบนที่เป็นทรงหยดน้ำ โดยมีตัวเลข “20” ขนาดเล็กพิมพ์ดุนนูนเพื่อให้สัมผัสได้ง่ายขึ้น

คุณสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธปท. กล่าวว่า ธนบัตรแบบพอลิเมอร์ จะแก้ไขปัญหาธนบัตรแบบกระดาษเดิมที่มีการหมุนเวียนและต้องนำกลับเข้าระบบเพื่อทำลายอย่างน้อยทุก 2-3 ปี แต่ธนบัตรแบบพอลิเมอร์ มีคุณสมบัติไม่ดูดซับความชื้นและสิ่งสกปรก จึงมีความสะอาดมากกว่าและมีอายุใช้งานยาวนานมากกว่า 5 ปีขึ้นไป

ปัจจุบันธปท.พิมพ์ธนบัตรเข้าสู่ระบบ 1,800 ล้านฉบับต่อปี ลดลงจากเดิมที่พิมพ์ 2,000 ล้านฉบับต่อปี ในจำนวนนี้ เป็นธนบัตร 20 บาทกว่า 600 ล้านฉบับต่อปี มีสัดส่วนมากกว่า 30%ของจำนวนธนบัตรที่พิมพ์ทั้งหมด  มีมูลค่าหมุนเวียนอยู่ในระบบ 4.7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ธปท.เคยนำวัสดุพอลิเมอร์มาใช้พิมพพ์ธนบัตรชนิดราคา 50 บาทแล้ว แต่เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้คุณภาพการพิมพ์มีความทนทานแตกต่างจากในอดีต ซึ่งการเริ่มนำมาใช้พิมพ์ธนบัตรชนิดราคา 20 บาท ก็เป็นแนวปฏิบัติที่ ธปท.ได้ศึกษาจากหลายประเทศ ซึ่งในอนาคตก็จะเปลี่ยนไปใช้กับธนบัตรชนิดราคาอื่นด้วย

‘เพอร์เฟค แพคเกจจิ้ง’ โรงพิมพ์ฉลากติดจรวด

                                                                                       ขันติ ลาภณัฐขันติ    เรื่อง/ภาพ

ต่างเป็นที่รู้กันในวงการการพิมพ์ว่า บริษัท เพอร์เฟค แพคเกจจิ้ง จำกัด เป็นโรงพิมพ์บรรจุภัณฑ์อ่อนประเภทอาหารและยา  มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วประหนึ่งเป็นโรงพิมพ์ติดจรวด เพราะเพียงแค่ดำเนินการมาไม่กี่ปีแรกก็สามารถจัดอันดับอยู่ในระดับท็อปเท็นของเมืองไทย ปัจจุบันดำเนินการมาแล้ว 27 ปี แต่ก็เขิน ๆ ที่จะบอกว่า เป็นโรงพิมพ์ที่ชั้นนำที่ไม่เป็นสองรองใคร

คุณชาญชัย พึ่งพระรัตนตรัย กรรมการผู้จัดการ ให้ข้อมูลว่า เริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นลูกจ้างอยู่ในธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ช่วงอายุ 18-19 ปี  ไต่เต้าตั้งแต่เป็นเด็กส่งของ เป็นพนักงานเก็บเงิน จนกระทั่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ขณะอายุได้ 27 ปี แต่เมื่อถึงช่วงอายุ 28-29 ปี คุณชาญชัยพูดด้วยความมั่นใจว่า ถึงเวลาที่ต้องเป็นเจ้าของกิจการเอง

จึงร่วมหุ้นกับเพื่อน ๆ เปิดโรงงานพิมพ์บรรจุภัณฑ์ขึ้นมาใหม่แห่งหนึ่ง อาจจะเรียกว่าเป็นคู่แข่งเล็ก ๆ ของโรงพิมพ์เดิมก็ได้ เพราะมีการดำเนินการคล้าย ๆ กัน แต่เมื่อสร้างกิจการเติบโตมาด้วยกันได้ 15 ปี ก็มีอันต้องแยกวง เพราะเป้าหมายของหุ้นส่วนเปลี่ยนไปในลักษณะที่ต้องการเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะต้องการ “เล่นหุ้น” ขณะที่คุณชาญชัย ต้องการสร้างกิจการด้วยฐานที่เป็นความจริงมากกว่า

จึงแยกตัวออกมาเปิดโรงพิมพ์ใหม่อีกครั้งเมื่อปี 2537 และเป็นของคนเดียวล้วน ๆ ในช่วงที่คุณชาญชัยอายุ 45 ปี ภายใต้ชื่อ บริษัท เพอร์เฟค แพคเกจจิ้ง จำกัด ซึ่งยืนยาวมาถึงปัจจุบันและกำลังกล่าวถึงกันในฐานะที่กิจการเติบโตเร็วแบบติดจรวดในวันนี้

โรงพิมพ์เพอร์เฟคฯ ก่อร่างสร้างตัวเริ่มต้นจากศูนย์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2537 ด้วยทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท มีพนักงานรวมทั้งหมด 12 คน ใช้พื้นที่โรงงาน 1,600 ตรม.ดำเนินการอยู่ย่านเอกชัย ทำการผลิตบรรจุภัณฑ์อ่อนให้ลูกค้าด้วยเครื่องจักรที่ประกอบขึ้นในประเทศไทย แต่อาศัยประสบการณ์ที่มีอยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน จึงทำให้กิจการดำเนินเริ่มต้นด้วยดี

เพียง 1 ปีถัดมา คือปี 2538  กิจการก็มองเห็นแนวโน้มเติบโตชัดเจน จึงนำเข้าเครื่องพิมพ์ 5 สีจากประเทศญี่ปุ่น และเครื่องเคลือบพลาสติกจากเกาหลี มาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตสินค้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  และเมื่อเวลาผ่านไปเพียง 5 ปี ก็มีผลสัมฤทธิ์ เมื่อมียอดขายถล่มทลายแซงหน้าบริษัทเก่าไปเลย

ปี 2545 กิจการโรงพิมพ์ถึงเวลาที่ต้องขยายใหญ่ แต่สถานที่เดิมคับแคบ จึงต้องย้ายฐานการผลิตมาอยู่โรงงานแห่งใหม่ที่ทันสมัยในปัจจุบัน โดยมีพื้นที่ที่ใช้เป็นฐานกำลังการผลิต 9,600 ตรม. เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 16 ล้านบาท นำเข้าเครื่องพิมพ์ 8 สีและเครื่องเคลือบพลาสติกจากญี่ปุ่น รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มีการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

ปี 2548 ได้เพิ่มกำลังการผลิตอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 32 ล้านบาท นำเข้าเครื่องพิมพ์ 8 สี ระบบ Sectional Drive พร้อมระบบตรวจสอบงานพิมพ์ (Inspection System) และเครื่องเคลือบพลาสติกจากประเทศอิตาลี เพื่อรองรับงานบรรจุภัณฑ์ที่ไม่มีการใช้สารทำละลาย (Solvent) ในกระบวนการผลิต อีกทั้งนำเข้าสู่ระบบ ISO 9001:2000 เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพสินค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

ปัจจุบันบริษัท เพอร์เฟค แพคเกจจิ้ง จำกัด ดำเนินการด้วยเครื่องพิมพ์และเครื่องจักรที่ทันสมัยอย่างครบครัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของลูกค้า และจะพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความมุ่งมั่นสู่ความเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ต่อไป

เหตุผลของการเติบโตเร็ว คุณชาญชัยอธิบายว่า อันดับแรกเป็นเพราะมองทิศทางตลาดออกว่า จะดำเนินไปในทิศทางไหน อย่างเช่น เทรนด์ของบรรจุภัณฑ์ในยุคปัจจุบันและอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็จะมีการนำเสนอให้ลูกค้าทราบ  โดยการทำงานผลิตมีทั้ง 2 รูปแบบคือ ออกแบบแล้วเสนอให้ลูกค้า และผลิตตามแบบที่ลูกค้าสั่งมา

“เทรนด์แพ็คเกจจิ้งมันเปลี่ยนตลอดเวลา อย่างเช่น น้ำยาปรับผ้านุ่มสมัยก่อนจะเป็นขวดตั้ง  แต่เดี๋ยวนี้จะเป็นถุงรีฟิวแบบใช้เติม เดี๋ยวนี้แทบเป็นอย่างนั้นหมดเลย ในอนาคต สิ่งหนึ่งที่จะก้าวมาเร็วมากก็คือ ซองบรรจุอาหารซึ่งสามารถเข้าเครื่องเวฟได้ หรือกรณีผักกาดดอง,ปลากระป๋อง จากที่เคยใช้กระป๋อง ก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้ซอง เพราะโลหะกระป๋องมันแพงมาก ต่างประเทศก็เริ่มเปลี่ยนเป็นถุงหมดแล้ว”

คุณชาญชัยระบุว่า อนาคตผู้ผลิตวัตถุดิบก็พยายามจะพัฒนาอะไรก็ตาม เพื่อหนีปัญหาโลกร้อน รวมทั้งพยายามจะหนีวัตถุดิบที่เป็นพลาสติกด้วยส่วนหนึ่ง โดยจะเป็นวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้  ซึ่งบริษัท เพอร์เฟค ฯ แม้ไม่ได้พัฒนาขึ้นเอง แต่ก็พยายามสั่งซื้อวัสดุพวกนี้มาใช้

‘ปฐม’ถวายเงินทอดกฐินวัดโบสถ์ร่วมสร้างเมรุ 1.02 ล้านบาท

คุณปฐม สุทธาธิกุลชัย ประธานกรรมการบริษัท ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด ในฐานะประธานอุปถัมภ์ทอดกฐินสามัคคี ถวายเงินจำนวน 1,020,045 บาทที่ได้จากการจัดตั้งองค์กฐินของคนในอุตสาหกรรมการพิมพ์ เพื่อสมทบทุนสร้างเมรุเผาศพ(ตาถ่าน) แก่พระครูสุทธิสารโสภณ เจ้าอาวาสสวัดโบสถ์ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2564

ปฐม สุทธาธิกุลชัย

‘โกโกพริ้นต์’ โรงพิมพ์ออนไลน์นับวันยิ่งแกร่ง

สภาพการณ์ของธุรกิจการพิมพ์ไทยที่อ่อนไหวอย่างหนักในหลายปีมานี้ กลับปรากฏชื่อ “โกโกพริ้นท์” ด้วยสัญลักษณ์โลโก้ “gogoprint” กระหน่ำโฆษณาตัวเองเป็นโรงพิมพ์ออนไลน์ของประเทศไทย ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ค, กูเกิ้ลแอดและยูทูปอย่างหนัก ซึ่งได้ผลดีเกินคาด เมื่อผู้ประกอบการรายนี้สามารถยืนยงอยู่ในไทยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี ทั้งที่เป็นชาวต่างชาติ

มร.เดวิด แบร์กฮอยเชอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกโกพริ้นต์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่สัญชาติเยอรมัน มองเห็นระบบดิจิตอลเข้ามามีบทบาทในโลกยุคปัจจุบัน และมีผลกระทบทำให้คนอ่านหนังสือลดน้อยลงไปบ้าง แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ธุรกิจงานพิมพ์จะยังคงอยู่ได้“โกโกปริ้นต์”จึงได้เข้ามาทำตลาดเมืองไทยเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว วางเป้าหมายเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ใช้สิ่งพิมพ์ในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจ สินค้าและบริการ ผ่านชิ้นงานสิ่งพิมพ์ประเภทนามบัตร แผ่นพับ โบรชัวร์ โปสเตอร์ โปสการ์ด ใบปลิว แฟ้มเอกสาร ฯลฯ

สาเหตุของการเลือกทำธุรกิจรับงานพิมพ์ออนไลน์ในตลาดเมืองไทย เริ่มต้นจากที่ มร.เดวิด เคยเข้ามาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่สาขาวิชาการบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2554  ประมาณ 2 ปี จากนั้นมีโอกาสได้ทำงานที่เมืองไทยกับบริษัท ซาโลร่าฯ (ZALORA) เว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ทางด้านธุรกิจค้าปลีกสินค้าแฟชั่นและความงาม มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่มีสาขาอยู่ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ อีก 6 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน ทำให้เล็งเห็นช่องทางการทำตลาดออนไลน์

“เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ธุรกิจอีคอมเมิร์ชในเมืองไทยยังไม่แพร่หลายมากนัก จึงสนใจว่า น่าจะมีอนาคตที่ดีเหมือนที่เยอรมัน ในส่วนตัวผมก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง บังเอิญมีเพื่อนไปทำออนไลน์พริ้นติ้งที่ประเทศบราซิล กิจการเติบโตประสบความสำเร็จด้วยดี และยิ่งได้เห็นราคานามบัตรที่พิมพ์ที่เยอรมันเทียบกับไทยพบว่า พิมพ์ที่เยอรมันถูกกว่า ทั้ง ๆ ที่เยอรมันต้องนำเข้ากระดาษ  จึงมองเห็นโอกาสและช่องว่างว่า ถ้าทำธุรกิจการพิมพ์ออนไลน์ที่ไทย น่าจะประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกับเพื่อนที่บราซิล”

สำหรับจุดแข็งที่แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น คือ งานพิมพ์คุณภาพดีเยี่ยมในราคาย่อมเยา พร้อมทั้งมีการจัดส่งสินค้ารวดเร็ว ขณะที่ขั้นตอนการสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ซึ่งเป็นหน้าร้านก็ง่ายและสะดวก สามารถสั่งซื้อผ่าน www.gogoprint.co.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ถือเป็นการให้บริการที่ตอบตรงโจทย์ผู้ประกอบการเอ็มเอ็มอี

มร.เดวิด กล่าวว่า ที่ผ่านมา “โกโกพริ้นต์” รุกทำตลาดออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ค กูเกิ้ลแอดและยูทูปเป็นหลัก ภายใต้ทีมงานที่แข็งแกร่งประมาณ 50 คน ประกอบด้วย ทีมดูแลลูกค้า (Customer Service), ทีมเขียนบล็อกเพื่ออัพเดทบริการ รวมทั้งให้ความรู้ทางด้านการพิมพ์แก่ลูกค้าด้วย เช่น การเคลือบมันเคลือบด้าน, อาร์ตเวิร์คที่เหมาะสมสำหรับการพิมพ์ให้ได้คุณภาพ เป็นต้น ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผลตอบรับดีมาก โดยเฉพาะงานพิมพ์นามบัตรและโบว์ชัวร์

“เราได้ผู้ร่วมงานที่ดี ได้โรงพิมพ์ที่ดีมาเป็นพาร์ตเนอร์ มีการคัดเลือกโรงพิมพ์ที่ได้มาตรฐาน มีคุณสมบัติตามที่เราวางไว้ชัดเจน เรารู้ว่าแต่ละโรงพิมพ์มีจุดแข็งอะไร ถนัดอะไร แล้วก็แบ่งส่งงานให้ตามจุดแข็งและความถนัด ทำให้ลูกค้าได้งานคุณภาพที่ตรงเวลา โดยเรามีทีมงานตรวจสอบคุณภาพก่อนส่งตรงถึงมือลูกค้าด้วย”

มร.เดวิด กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ถ้ามีโรงพิมพ์ออฟเซ็ตหรือโรงพิมพ์อิงค์เจ็ตที่สนใจเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ธุรกิจออนไลน์ด้วยกัน  ก็ยินดีมาก และไม่อยากให้มองว่า  “โกโกปริ๊นต์”เข้ามาเป็นคู่แข่งโรงพิมพ์ดั้งเดิมในเมืองไทย แต่อยากให้มองว่า เข้ามาทำงานด้วยกัน พัฒนาตลาดให้เติบโตไปด้วยกัน