ข่าวดี! การผลิตก๊าซออกซิเจนเพียงพอ ประชาชนไม่ต้องกังวล

“สุริยะ”เผยข่าวดีการผลิตก๊าซออกซิเจนยังมีเพียงพอประชาชนไม่ต้องกังวล โดยเอกชนผู้ผลิต 4 กลุ่ม ยืนยันศักยภาพการผลิตของโรงงานมีเพียงพอ ขณะที่ กรอ.เตือนผู้ที่มีและใช้ท่อก๊าซออกซิเจนให้ตรวจสอบอุปกรณ์และวิธีการใช้งาน เนื่องจากท่อที่ใช้มีความดันสูงหากจัดเก็บหรือใช้งานผิดวิธีจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้!

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีมีรายงานข่าวว่าประชาชนเริ่มวิตกกังวลจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ขยายเป็นวงกว้าง ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกวัน และเกรงว่าการผลิตก๊าซออกซิเจนทางการแพทย์อาจไม่เพียงพอหรือขาดตลาด จึงได้มีการจัดหาและเก็บท่อออกซิเจนไว้ที่บ้าน กรณีที่เกิดขึ้นนี้ได้ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ประสานไปยังกลุ่มก๊าซอุตสาหกรรมจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสมาคมก๊าซอุตสาหกรรมสยาม โรงงานผู้บรรจุก๊าซ และผู้ผลิตภาชนะบรรจุก๊าซ เพื่อสอบถามถึงความพร้อมในเรื่องของกำลังการผลิต ซึ่งได้รับการยืนยันว่าภาพรวมศักยภาพการผลิตของโรงงานยังมีเพียงพอที่จะรองรับกับความต้องการของพี่น้องประชาชน

“ผมเข้าใจว่าพี่น้องประชาชนอาจจะวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขอย้ำตรงนี้ว่าไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในอนาคต เพราะจากการประสานงานไปยังเอกชนทั้ง 4 กลุ่ม ทั้งกลุ่มก๊าซอุตสาหกรรมจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมก๊าซอุตสาหกรรมสยาม โรงงานผู้บรรจุก๊าซ และผู้ผลิตภาชนะบรรจุก๊าซ ได้รับคำตอบยืนยันว่าศักยภาพการผลิตของโรงงานแต่ละกลุ่มยังมีเพียงพอรองรับความต้องการของประชาชนได้” นายสุริยะ กล่าว

ด้าน นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า จากการประสานกับทางกลุ่มก๊าซอุตสาหกรรม สมาคมก๊าซอุตสาหกรรมสยาม และผู้ผลิตภาชนะบรรจุก๊าซ ได้รับการยืนยันถึงศักยภาพการผลิตของโรงงาน โดยภาพรวมทั้งประเทศกำลังการผลิตรวมทั้งหมด 1,860 ตันต่อวัน จากจำนวนโรงงาน 15 โรงงาน ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สระบุรี ชลบุรี ระยอง สงขลา ลำพูน และเชียงใหม่ โดยในปลายเดือนสิงหาคมนี้จะมีเพิ่มอีก 1 แห่งที่จังหวัดระยอง โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 150 ตันต่อวัน ซึ่งหากมีกรณีฉุกเฉินสามารถเพิ่มกำลังการผลิตออกซิเจนได้ถึง 2,200 ตันต่อวัน ทั้งนี้ ปริมาณการใช้ก๊าซออกซิเจนทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรมปัจจุบันประมาณ 1,260 ตันต่อวัน แบ่งเป็น ปริมาณความต้องการออกซิเจนทางการแพทย์ ประมาณ 400-600 ตัน/วัน และความต้องการก๊าซออกซิเจนในภาคอุตสาหกรรม ประมาณ 660 ตัน/วัน

“จากตัวเลขประมาณการข้างต้น จึงมั่นใจได้ว่าศักยภาพของโรงงานด้านการผลิตสามารถรองรับความต้องการของพี่น้องประชาชนในอนาคตได้ ขณะเดียวกันทราบว่ามีประชาชนบางส่วนได้จัดหาและเก็บท่อก๊าซออกซิเจนไว้ที่บ้าน ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตราย เนื่องจากท่อก๊าซออกซิเจนเป็นท่อที่มีความดันสูง หากจัดเก็บหรือใช้งานอย่างผิดวิธีอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ทั้งนี้ กรอ.จะประสานเอกชนทั้ง 4 กลุ่ม เพื่อติดตามการใช้ก๊าซออกซิเจนและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป”อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวปิดท้าย

ดันอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ตั้งเป้าไทยเป็นผู้นำอาเซียน

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ตั้งเป้าพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติระยะยาวให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการผลิต การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในอาเซียน ย้ำต้องมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองภายในปี 2569 ชูหน่วยงานศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในประเทศไทย (Center of Robotic Excellence: CORE) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยความคืบหน้าการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติกระตุ้นอุปสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพในภาคการผลิตอุตสาหกรรม รวมถึงการสร้างอุปทานและพัฒนาเครื่องจักรกลอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (System Integrator: SI) ในประเทศ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สู้วิกฤตช่วงสถานการณ์โควิด-19 สู่โอกาสเติบโตในอนาคต

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามมติ ครม. วันที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา สศอ. ได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้การพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของประเทศไทยอยู่ในเป้าหมายระยะกลาง จากข้อมูลในปี 2563 ประเทศไทยมีการลงทุนหุ่นยนต์ฯ จำนวน 116,676 ล้านบาท และมี SI ที่ขึ้นทะเบียนกับ CoRE จำนวน 74 ราย มีระดับการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรมประมาณร้อยละ 25 รวมถึงมีการผลิตหุ่นยนต์ภายในประเทศเพื่อลดการนำเข้าได้ร้อยละ 12

แม้ว่าช่วงนี้ประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งทำให้ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยการยกระดับการผลิต และเปลี่ยนวิกฤตสู่โอกาสเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่จะเติบโตในอนาคต ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยถือว่ามีความพร้อมทางด้านมาตรการรองรับอย่างมาก โดยหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้ออกมาตรการกระตุ้นอุปสงค์และการสร้างอุปทานที่สอดคล้องกัน เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงกรมสรรพากรที่ให้ยกเว้นภาษีอากรตามประกาศและกระทรวงการคลังที่ยกร่างประกาศการยกเว้นอากรนำเข้าชิ้นส่วน อุปกรณ์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเพื่อส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศและการสร้างอุปทาน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการขึ้นทะเบียน System Integrator : SI จำนวน 74 ราย ฝึกอบรมยกระดับ SI รวมจำนวน 1,395 คน และบ่มเพาะ System Integrator (SI Startup) จำนวน 70 กิจการ และพัฒนาต้นแบบหุ่นยนต์ฯ รวม 185 ต้นแบบ รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ร่วมมือกับเครือข่ายได้รับการสนับสนุนเครื่องจักรเพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนากำลังคน นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้เสนอแผนดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืนเพื่อให้บริการทดสอบ จัดทำมาตรฐานสนับสนุนอุตสาหกรรม การเตรียมความพร้อมและยกระดับทักษะแรงงานเพื่อให้สามารถตอบสนอง          ความต้องการของผู้ประกอบการมากที่สุด โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ และสถาบันไทย-เยอรมัน เป็นต้น

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันได้พัฒนาระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการของคณะกรรมการเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Center of Robotic Excellence: CoRE) ซึ่งได้ดำเนินการจัดทำ Platform เพื่อการบริหารจัดการเครือข่าย CoRE โดยจะยกระดับให้ครอบคลุมทั้งการบริหารจัดการ Supply Chain ของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเชื่อมโยงกับ Platform ของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนในลักษณะ Collaborative Platform เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่เหมาะสมกับความต้องการของภาคธุรกิจ ทั้งนี้ CoRE จะกำหนดมาตรฐานหลักสูตรการฝึกอบรม การทดสอบและวัดระดับของ SI ร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนที่จะเพิ่มจำนวน SI ในพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อรองรับการขยายตัวและตอบสนองความต้องการระบบ Simplify Automation ทั่วประเทศ โดยยกระดับโรงกลึง อู่ซ่อมรถ ร้านซ่อมเครื่องจักรในพื้นที่  ซึ่งมีลักษณะเป็น Small shop ให้มีขีดความสามารถในการรับงานที่เป็น Automation มากขึ้น รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับสถาบันการเงิน ธนาคาร เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติและประเมินการปล่อยสินเชื่อเงินกู้เพื่อการลงทุนในหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติให้กับผู้ประกอบการได้ต่อไป

 

บอร์ด สมอ. ไฟเขียวมาตรฐานตู้เก็บวัคซีน

บอร์ด สมอ. ไฟเขียวมาตรฐานตู้เก็บวัคซีน เร่งเดินหน้าประกาศใช้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้โรงพยาบาลทั่วประเทศเตรียมนำไปใช้อ้างอิงในการจัดหา หนุนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผลักดันให้ผู้ประกอบการกลุ่มเครื่องมือแพทย์ทำตามมาตรฐาน เพื่อคงคุณภาพวัคซีนก่อนนำไปฉีดให้ประชาชน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ด สมอ. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมาว่า บอร์ด สมอ. ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐานรวมทั้งสิ้น 48 มาตรฐาน ซึ่งมีมาตรฐานสำคัญๆ อาทิ มาตรฐานตู้เก็บวัคซีน เครื่องจักรกลการเกษตร สุราแช่ สุรากลั่น ทีวีสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ สุขภัณฑ์เซรามิค คอนกรีตบล็อก กล้องติดรถยนต์ และเครื่องยนต์ก๊าซโซลีนขนาดเล็ก เป็นต้น โดยเฉพาะมาตรฐานตู้เก็บวัคซีน ตนได้เร่งให้ สมอ. ดำเนินการประกาศใช้มาตรฐานโดยเร็วที่สุด เพื่อรองรับปริมาณความต้องการของโรงพยาบาลและหน่วยงานทางการแพทย์ในการเก็บรักษาวัคซีน เพื่อคงคุณภาพของวัคซีนก่อนที่จะนำไปฉีดให้กับประชาชน นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมาตรฐานสุรากลั่นและสุราแช่ โดยยืนยันหลักการเดิม ความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อน สารไม่พึงประสงค์ห้ามมากกว่าเดิม พร้อมทั้งให้ สมอ. ควบคุมสินค้าอีก 5 รายการ ได้แก่ รถยนต์ขนาดเล็กที่ติดตั้งระบบก๊าซเพิ่มเติม ดวงโคมไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า กาต้มน้ำไฟฟ้า และชิ้นส่วนท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

ด้าน นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า สำหรับมาตรฐานตู้เก็บวัคซีน เฉพาะด้านสมรรถนะ เล่ม 1 ช่วงอุณหภูมิ ที่ยอมรับ 2 องศาเซลเซียส ถึง 8 องศาเซลเซียส มอก. 3245 เล่ม 1 – 2564 นี้ สมอ. ได้ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานขั้นสูงของ สมอ. หรือ SDOs จัดทำมาตรฐานดังกล่าวขึ้น โดยคณะกรรมการวิชาการ (กว.) รายสาขา เกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือแพทย์ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานร่วมกันพิจารณากลั่นกรองมาตรฐานดังกล่าว อาทิ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยมาตรฐานครอบคลุมตู้เก็บวัคซีนแบบ 2 ประตู กระจกสองชั้น ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 250 โวลต์ สำหรับเก็บรักษาวัคซีนในช่วงอุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส ถึง 8 องศาเซลเซียส รวมไปถึงยาและเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ชนิดที่มีการใช้ครั้งเดียว (disposable use) และปิดสนิท (sealed package) ซึ่งมีข้อกำหนดที่สำคัญ คือ ข้อกำหนดทั่วไปของตู้เก็บความเย็น อุณหภูมิช่องเก็บ อุณหภูมิหลังเปิดประตู อุณหภูมิภายในตู้เมื่อไฟฟ้าดับ สัญญาณเตือนเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าหรือสูงกว่าช่วงอุณหภูมิที่ยอมรับได้ อุปกรณ์เตือน และการแสดงผลกับผู้ใช้

ทั้งนี้ สมอ. คาดว่ามาตรฐานพร้อมประกาศใช้ภายในเดือนสิงหาคม 2564 นี้ และจะร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผลักดันให้ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น นำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้ เพื่อให้สามารถผลิตตู้เก็บวัคซีนที่มีคุณภาพตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลกรองรับความต้องการของโรงพยาบาลและหน่วยงานทางการแพทย์ในการเก็บรักษาวัคซีนที่จะมีการนำเข้ามาฉีดให้กับประชาชนจำนวนมากในอนาคตอันใกล้นี้

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมบอร์ด สมอ. ในครั้งนี้ นอกจากจะเห็นชอบมาตรฐานตู้เก็บวัคซีนแล้ว ยังได้เห็นชอบมาตรฐานสุรากลั่นและสุราแช่ ที่ได้ให้คณะกรรมการวิชาการรายสาขา (กว.) เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นผู้จัดทำมาตรฐานดังกล่าว กลับไปทบทวนเกณฑ์ด้านความปลอดภัยที่กำหนดในมาตรฐานฉบับแก้ไขใหม่ที่เพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิม โดยบอร์ดได้เห็นชอบให้คงค่าเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตรฐานเดิมคือ สุรากลั่นให้คงเกณฑ์ในรายการเมทิลแอลกอฮอล์ ไม่เกิน 420 มิลลิกรัมต่อลิตร และแอลดีไฮด์ ไม่เกิน 160 มิลลิกรัมต่อลิตร สำหรับสุราแช่กำหนดปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อลิตร เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค

ส่งออกสินค้าขยายตัวดันดัชนีอุตฯ พ.ค. 64 บวกสูงสุดในรอบ 5 ปี

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤษภาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 100.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.84 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และใน 5 เดือนแรกขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 7.97 ผลจากประเทศไทยมีแผนเชิงรุกในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ประกอบกับมาตรการภาครัฐที่ออกมากระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนอย่างต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศขับเคลื่อน  นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกในหลายประเทศเริ่มกลับมาสู่สภาวะใกล้ปกติจากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน ส่งผลให้การส่งออกรวมเดือนพฤษภาคม 2564 มีมูลค่า 23,058 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 41.59 สูงสุดในรอบ 11 ปี โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 63.03 ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งในภาคการผลิตและการบริโภค

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาคการผลิตอุตสาหกรรมดีขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤษภาคม 2564 ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย 5 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 7.97 จากทิศทางเศรษฐกิจของโลกที่ดีขึ้น และจากการที่รัฐบาลออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทั้งในภาคการผลิตและบริโภค ในส่วนของภาคการผลิตแม้ว่าที่ผ่านมามีบางโรงงานอุตสาหกรรมต้องหยุดการผลิตชั่วคราว แต่เป็นการหยุดผลิตเฉพาะบางไลน์การผลิตเท่านั้น และเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้โรงงานสามารถกลับมาเร่งกำลังการผลิตได้เหมือนเดิมเพื่อตอบสนองคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับกระทรวงอุตสาหกรรมมีมาตรการขอความร่วมมือให้สถานประกอบการทั่วประเทศกว่า 64,000 แห่งประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไทย สต็อป โควิด-19 พลัส ทุกสองสัปดาห์ และให้พนักงานรวมกว่า 3.3 ล้านคน ประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม ไทยเซฟไทย ก่อนเข้าปฏิบัติงานทุกครั้ง โดยตั้งเป้าให้โรงงานทุกแห่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน ประกอบกับมีแผนเร่งจัดตั้งศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีนทั้งในและนอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและโรงงานขนาดใหญ่ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงแรงงานจะเริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ คาดว่าภายในเดือนสิงหาคมนี้จะครอบคลุมร้อยละ 50 ของนิคมทั้งประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่องและก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ไปได้

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤษภาคม 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.84 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยในภาพรวม 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ของปี 2564 ภาคการผลิตไทยเริ่มฟื้นตัวซึ่งสะท้อนจาก MPI ที่อยู่ในระดับ 100.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ที่ MPI อยู่ในระดับ 93.3 เป็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการผลิต และเริ่มกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด โดยช่วง 5 เดือนแรกปี 2562  MPI อยู่ในระดับ 106.4 ทั้งนี้ ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 60.72 สินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น

อีกทั้ง ยังพบว่าการผลิตบางกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมมีระดับค่า MPI ในภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2564 ปรับตัวสูงกว่าภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ไม่มีการระบาดโควิด-19 อาทิ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กระดาษ  นอกจากนี้ การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัวเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยการผลิตของอุตสาหกรรมหลักที่ขยายตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นผลจากการปิดโรงงานในปีก่อน ในปีนี้การผลิตกลับมาเป็นปกติและส่งออกดีขึ้นจึงส่งผลให้การผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ยางล้อขยายตัวตามไปด้วย ด้านอุตสาหกรรมเหล็กขยายตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกอย่างจีนลดปริมาณการผลิตเพื่อควบคุมปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวตามไลฟ์สไตล์การทำงานที่บ้านและการอาศัยในที่พักมากขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางที่เติบโตตามความต้องการใช้งานทางการแพทย์  และเมื่อดูตัวเลขการนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป(ไม่รวมทองคำ) เพื่อมาผลิตสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในแง่มูลค่าและปริมาณได้ขยายตัวเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้ประกอบการ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าตัวเลข MPI ในเดือนถัดไปจะมีแนวโน้มทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่มีดัชนีผลผลิตที่ส่งผลบวกขยายตัวในเดือนพฤษภาคม 2564

  • รถยนต์และเครื่องยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 151.44 จากทุกสินค้าโดยเฉพาะรถบรรทุกปิกอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็กและเครื่องยนต์ดีเซล เนื่องจากปีก่อนอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกแรก ซึ่งผู้ผลิตต้องปรับลดการผลิตลงหรือหยุดการผลิตชั่วคราว
  • เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 90.25 จากเครื่องปรับอากาศเป็นหลัก ซึ่งผู้ผลิตได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สามารถประหยัดพลังงานและกรองอากาศจากฝุ่นและเชื้อโรคได้ซึ่งตอบสนองและจูงใจผู้บริโภค รวมทั้งตลาดส่งออกไปยังออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย และเวียดนามที่เติบโตขึ้นอย่างมาก หลังประสบปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และเรือขนส่งสินค้าในเดือนก่อน
  • แผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 35.35 ตามความต้องการของตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและมีความต้องการใช้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์มากขึ้น
  • เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 40.28 จากเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กเส้นข้ออ้อย และเหล็กลวดเป็นหลัก ตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เติบโตได้มากขึ้นหลังจากชะลอตัวตามสถานการณ์โควิด-19 จากมาตรการล็อกดาวน์และหยุดผลิตชั่วคราวของผู้ผลิตอุตสาหกรรมปลายน้ำในช่วงปีก่อน
  • ยางรถยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 167.86 จากยางนอกรถยนต์นั่ง ยางนอกรถบรรทุกรถโดยสาร และยางนอกรถกระบะ โดยเป็นการขยายตัวเนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องขยายตัวในระดับสูง ประกอบกับฐานต่ำในปีก่อน รวมถึงปีนี้ผู้ผลิตมีการปรับลดราคาสินค้าเพื่อกระตุ้นตลาดด้วย

คิกออฟฉีดวัคซีนกลุ่มนิคมฯ มาบตาพุด คอมเพล็กซ์ฯ 9 มิ.ย.นี้

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ประกาศความพร้อม 9 มิถุนายนนี้ นำร่องระยะแรกฉีดวัคซีนโควิดให้กับผู้ปฏิบัติงานแรงงานภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และฉีดให้กับชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมในระยะต่อไป ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ โดยตั้งเป้าฉีดให้กับผู้ประกอบการวันละ 1,000 คน ระยะเวลา 2 เดือน ด้าน“วีริศ”เผยประสาน  ส.อ.ท.รับวัคซีนทางเลือก“ชิโนฟาร์ม”ให้กับผู้ประกอบการ โดยคาดว่าวัคซีนทางเลือกจะทยอยให้บริการได้ช่วงไม่เกินปลายเดือนกรกฎาคม 2564

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากทาง กนอ. ถึงความพร้อมในการเริ่มทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ให้กับผู้ปฏิบัติงาน แรงงานภาคอุตสาหกรรม และชุมชนรอบข้าง พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ จังหวัดระยอง ประกอบด้วย 5 นิคมอุตสาหกรรม และ 1 ท่าเรืออุตสาหกรรม คือ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก (มาบตาพุด) นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย นิคมอุตสาหกรรมผาแดง นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ในวันที่ 9 มิถุนายน 2564 โดยเป็นการดำเนินงานตามมติของคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการเร่งกระจายวัคซีนไปยังประชาชนโดยเร็ว เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินการผลิตได้ตามปกติ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

“ถือเป็นเรื่องที่ดีในการสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการฉีดวัคซีนให้ได้ 5 แสนคนต่อวัน ซึ่งการนำร่องในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ ที่มีนิคมอุตสาหกรรมถึง 5 แห่ง และมีแรงงานจำนวนมาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการกำกับดูแลและสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นายสุริยะฯ กล่าว

วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ.

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กนอ.มีความพร้อมตั้งจุดบริการให้วัคซีนนอกสถานพยาบาลให้แก่ผู้ประกอบการในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ จังหวัดระยอง และชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรม โดยที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างนิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ระยอง และ กนอ. ซึ่งได้รับการจัดสรรวัคซีนจากทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง โดยจุดบริการฉีดวัคซีนตั้งอยู่ที่บริเวณอาคารสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (ห้องประชุมสมเจตต์) ทั้งนี้ จุดบริการดังกล่าวอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ระยอง

“สำหรับการให้บริการฉีดวัคซีนกำหนดระยะไว้ 2 เดือน โดยให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. เริ่มวันแรก คือ วันที่ 9 มิถุนายนนี้ โดยสามารถรองรับผู้รับวัคซีนได้วันละประมาณ 1,000 คน ซึ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ จังหวัดระยอง มีผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับวัคซีน จำนวนทั้งสิ้น 25,000 คน ซึ่งคาดว่าในระยะเวลา 2 เดือนจะดำเนินการฉีดวัคซีนได้ครบตามจำนวนที่แจ้งไว้” นายวีริศ กล่าว

นายวีริศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชน เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ กนอ. เป็นผู้ดำเนินการประสานกับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ในการกรอกข้อมูลยืนยันการรับวัคซีนทางเลือกที่ ส.อ.ท.จะได้รับการจัดสรรจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งวัคซีนดังกล่าว ได้แก่ วัคซีนชิโนฟาร์ม จะได้รับมาในจำนวนจำกัด และจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 บาทต่อโดส ฉีดจำนวน 2 ครั้ง เท่ากับ 2 โดส ทั้งนี้ จากการกรอกข้อมูลยืนยันการรับวัคซีนดังกล่าว ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก และเมื่อได้รับวัคซีนเข้ามาเรียบร้อยแล้วส.อ.ท.จะพิจารณาบริหารจัดการให้กับผู้ที่ได้ลงทะเบียนไว้ คาดว่าจะสามารถทยอยฉีดได้ในช่วงประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้

ดีพร้อม ดีเดย์จัดกิจกรรมออนไลน์ 5 วัน ช่วยเหลือรายย่อย

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับนโยบายรัฐ ชูนโยบายเร่งด่วน ฟื้นฟูวิสาหกิจชุมชนหลังพิษโควิด-19 จัดกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน อาทิ การจัดงานมหกรรมแสดงสินค้าออนไลน์ หรือ Virtual Event เชื่อมโยงผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนสู่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กว่า 140 ร้านค้า พร้อมทั้งพบกับกิจกรรมให้คำปรึกษาการเงินเงินทุนหมุนเวียน และงานสัมมนาโดยวิทยากรชื่อดังระดับประเทศ ด้าน e-Commerce ระหว่างวันที่ 11 –15 มิถุนายน 2564 ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง

นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนในวงกว้าง และเพื่อเป็นการขานรับนโยบายรัฐในการพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากเศรษฐกิจฐานรากสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน ดีพร้อม จึงมีนโยบายเร่งด่วน เพื่อเยียวยาผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนในสถานการณ์เร่งด่วน ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับชุมชนในการนำความรู้และทรัพยากรในพื้นที่มาผลิตเป็นสินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถกระจายรายได้สู่ชุมชน สนับสนุนสินค้าชุมชน และยกระดับวิสาหกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาและขยายช่องทางการตลาด เชื่อมโยงกับระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ ผ่านกิจกรรมพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ภายใต้ โครงการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจชุมชนคลื่นลูกใหม่ เพื่อการแข่งขันในตลาด New Normal ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ กิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ กิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำ และกิจกรรมทดสอบตลาด

โดยจะมุ่งเน้นการอบรมให้ความรู้ การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การนำแผนงานไปทดลองและปรับปรุงสินค้ารวมถึงการนำสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงแล้วได้มาตรฐานมีคุณภาพไปทดสอบตลาดทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ ตลอดจนการนำผลการทดสอบตลาดนั้นมาทำแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ดีพร้อมยังให้การส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความสามารถในการบริหารธุรกิจสมัยใหม่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งในกระบวนการผลิต การนำเสนอสินค้า การบริการและการตลาด เพื่อสร้างผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนคลื่นลูกใหม่ให้มีองค์ความรู้สามารถวิเคราะห์ธุรกิจตนเอง สามารถแก้ไขปัญหาธุรกิจของตนเองได้เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมของตนเองในสถานการณ์ปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ดีพร้อม ได้เร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในการขยายช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มมากขึ้น โดยการจัดกิจกรรมทดสอบตลาดMarket Survey ซึ่งในยุค New Normal ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การตลาดแบบออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทและมีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมาก ดีพร้อมจึงเร่งผลักดันและพัฒนากลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ให้มีขีดความสามารถในการเข้าสู่ตลาดออนไลน์ อันจะทำให้ผู้ประกอบการเกิดทักษะประสบการณ์
และสามารถเชื่อมโยงเพื่อการแข่งขันในระดับสากลได้อย่างแท้จริง

โดยความน่าสนใจของกิจกรรมทดสอบตลาด Market Survey ในครั้งนี้เป็นการจัดงานในรูปแบบ Virtual Event ซึ่งเป็นอีกหนึ่งงานมหกรรมแสดงสินค้าในรูปแบบโลกเสมือนจริงในระบบออนไลน์ที่ดีพร้อมจัดขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคนี้มาใช้ในการจัดกิจกรรม เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งภายในงานได้รวบรวมสินค้าดีมีคุณภาพจากผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศกว่า 140 ราย อาทิ เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายของใช้ ของตกแต่งบ้าน ของที่ระลึก สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร อาหารและเครื่องดื่ม ถือว่าครบจบในงานเดียว

นอกจากนั้น ภายในงานยังมีการจัดสัมมนา โดยมีวิทยากรชื่อดังระดับประเทศ ทางด้าน e-Commerce เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรมได้ฟรี อาทิ การทดสอบตลาด Market Survey พื้นฐานการสำรวจและการทำตลาดด้วย Facebook การทำตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเอง (DIY e-Commerce) การดีลกับโรงงานเพื่อสร้างสินค้านวัตกรรม อัปเดตหลังโควิด ภูมิศาสตร์ e-Commerce ของประเทศไทยและพื้นฐานของการขายออนไลน์ ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 15 มิถุนายน 2564 รวมระยะเวลา5 วัน โดยผู้ร่วมงานสามารถเข้าร่วมงานได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง และคาดว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานครั้งนี้เป็นจำนวนมากตลอดระยะเวลาของการจัดงาน นายภาสกร กล่าว

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมงานได้ทุกวัน ตั้งแต่ วันที่ 11 – 15 มิถุนายน 2564 ผ่าน www.dcivirtualevent2021.com