ดีพร้อม หนุนเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรที่เหมาะสมผ่านรูปแบบ Online– Virtual Conference ในงานประกาศรางวัลการประกวดกิจกรรมส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Agro-Machinery DIProm 2021 – SAMAD 2021) เพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้มีโอกาสรับทราบการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม ภูมิปัญญา กระบวนการผลิตและเครื่องมือกลที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอุตสาหกรรม จาก 20 แบบอย่างการใช้เทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ

ในปีนี้ ทั้ง 20 แบบอย่างมีการพัฒนาอุปกรณ์เครื่องจักรที่สามารถติดตั้งหรือประกอบเพิ่มเติมก้าวหน้าขึ้นมาก ส่งผลให้เครื่องจักรทำงานได้ดีขึ้น (Smart) ผ่านฟังก์ชันการทำงานต่างๆ เช่น การวัด เก็บ/ส่งข้อมูล วิเคราะห์/เปรียบเทียบ สั่งควบคุมตัวแปรในการทำงาน อีกทั้ง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมให้คำปรึกษาโดยการวินิจฉัยสถานประกอบการของ OTOP/วิสาหกิจชุมชนก่อนการให้คำแนะนำเพื่อให้การพัฒนาปรับปรุงตรงตามความต้องการของผู้ใช้ การทดสอบตัวแปรสำหรับวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ ในการผลิต ตลอดจนการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรและการใช้งาน ส่งเสริมให้วิสาหกิจเข้าใจและสนใจเกี่ยวกับการปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของตนโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้คัดเลือกแบบอย่างการใช้เทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และประกาศผลเพื่อมอบโล่เกียรติยศและเงินรางวัลจำนวน 5 รางวัล ประกอบด้วย

  1. รางวัลชนะเลิศ 1 แบบอย่าง ได้แก่ เครื่องเผาข้าวหลาม
  2. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับหนึ่ง 1 แบบอย่าง ได้แก่ เครื่องผสมและพาสเจอไรซ์น้ำมะนาว
  3. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับสอง 1 แบบอย่าง ได้แก่ เครื่องขอดเกล็ดปลาอัตโนมัติ
  4. รางวัล Knowledge Sharing จำนวน 1 แบบอย่าง ได้แก่ เครื่องอบฟักข้าว
  5. รางวัล Technical Challenge จำนวน 1 แบบอย่าง ได้แก่ ตู้อบไล่ความชื้นน้ำผึ้งอัจฉริยะ

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ เครื่องอบลมร้อน แม่พิมพ์สบู่น้ำส้มควันไม้ การปรับปรุงโรงเรือนพลังงานแสงอาทิตย์ให้มีความอัจฉริยะ เครื่องนวดผสมเนื้อปลา เครื่องอัดไส้อั่วไฟฟ้า เครื่องสลัดน้ำมัน เครื่องซีลสายพาน เครื่องแพ็คข้าวสุญญากาศ เครื่องกลั่น/สกัดสารสมุนไพร เครื่องบดปูนา เครื่องบดขิงผง เครื่องคั่วหอมกระเทียม และ Solar Dome ควบคุมด้วย IoT

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า เกษตรอุตสาหกรรมถือเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพในการผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์และสินค้าเกษตรทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ อีกทั้งยังช่วยยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัย และทดแทนแรงงานภาคเกษตรที่ลดลงและเข้าสู่สังคมสูงอายุ

ตามที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดงานประกาศรางวัลการประกวดกิจกรรมส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ช่วยให้เห็นกรณีศึกษาในการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มมูลค่าของผลิตผลทางการเกษตรและเพิ่มรายได้ และเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับธุรกิจเกษตรชุมชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกัน โดยสามารถเรียนรู้กระบวนการและเทคนิคการพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนทราบว่ามีหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ที่สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาร่วมกันต่อไป นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปจะช่วยยกระดับรายได้ของธุรกิจเกษตรชุมชน ซึ่งหากสามารถดำเนินได้แพร่หลายทั่วถึงพื้นที่ต่าง ๆ จะเป็นเสมือนกลไกหลักด้านหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

5 มาตรการเร่งด่วน “พร้อมสู้ อยู่ได้ ไปรอด” หนุนผู้ประกอบการสู้โควิด-19

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในวงกว้าง พบว่าหน่วยงานด้านเศรษฐกิจรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ไทยโต เพียง 1% จากที่ในไตรมาสแรกของปี 2564 ที่ตัวเลข 2.6% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากติดลบ 6.1% ในปี 2563 ขณะเดียวกันสถานการณ์ภาพรวมของเอสเอ็มอีที่มีจำนวน 3.1 ล้านล้านราย ในปี 2564 น่าจะยังคงน่ากังวล เพราะเมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยนั้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว บริการ และกลุ่มค้าส่งค้าปลีก โดยจากข้อมูลสถิติพบว่า GDP SMEs ในปี 2563 ซึ่งปรับตัวลบ 9.1% และได้ประเมินว่าในปี 2564 คาดว่า จะติดลบที่ 4.8%

อย่างไรก็ตาม ดีพร้อมได้ทำการสำรวจปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการณ์รายย่อย เพื่อทราบถึงปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,574 สถานประกอบการ จากผลสำรวจพบ 8 ปัญหาที่ผู้ประกอบการพบเจอในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด ตามลำดับดังนี้ 1. ปัญหาด้านการตลาด 66.82% 2. ปัญหาด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 21.92% 3. ปัญหาด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม 13.74% 4. ปัญหาด้านวัตถุดิบและปัจจัยเอื้อในการประกอบธุรกิจ 11.40% 5. ปัญหาด้านการเพิ่มผลิตภาพการผลิต 11.28% 6.ปัญหาด้านการจัดการ เช่นการขนส่ง บุคลากร 9.50% 7. ปัญหาด้านต้นทุน 8.16% และ 8. ปัญหาด้านการพัฒนาอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ 8.16%

จากผลสำรวจปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการณ์ดังกล่าว ดีพร้อมจึงได้กำหนดแนวทางนโยบายการดำเนินงานในระยะต่อไปในปีงบประมาณ 2564 ภายใต้แนวนโยบายการดำเนินงาน โควิด 2.0 “พร้อมสู้-อยู่ได้-ไปรอด” ในระยะเร่งด่วนช่วง 60 วัน ดังนี้

1. การจัดการโควิดภายในองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสถานประกอบการปลอดเชื้อ โดยการแนะนำให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อบริหารจัดการสถานประกอบการภายใต้สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สำหรับการช่วยเหลือธุรกิจอุตสาหกรรมให้ปลอดภัย โดยเน้นในการสร้างองค์ความรู้ในการบริหารจัดการองค์กร เพื่อป้องกันและรับมือกับการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นแบบองค์รวม ใน 9 หัวข้อวิชา ตั้งแต่ การสร้างความรู้ความเข้าใจด้านอาชีวอนามัยและสุขอนามัย
การใช้เครื่องมือดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อลดความแออัด การประยุกต์ใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมในการบริหารจัดการให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ไปจนถึงการแชร์ประสบการณ์จากสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019

2. การตลาดภายใต้โควิด โดยมุ่งเน้นการดำเนินการตลาดและการขยายตลาดในรูปแบบต่าง ๆ ประกอบไปด้วย

1) การส่งเสริมการทำการตลาดออนไลน์ภายใต้โครงการ DIProm Marketplace โดยการสร้างช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภค สามารถเข้ามาซื้อ-ขาย สินค้าและบริการดี ๆ มีคุณภาพ และได้รับการคัดสรรจากดีพร้อม และการเสริมแกร่งผู้ประกอบการด้วย Social Commerce

2) การส่งเสริมด้านกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ผ่านการฝึกอบรม eLearning 26 หลักสูตร พร้อมจะมุ่งเน้นการใช้ดิจิทัลเข้ามาเป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจ และการถ่ายทอดประสบการณ์ของที่ปรึกษาและผู้ประกอบการที่ช่ำชองด้านการตลาดแบบออน์ไลน์ รวมทั้งเคล็ดลับหรือวิธีการเจาะลึกตลาดในอาเซียน จะช่วยเสริมความรู้ให้ผู้ประกอบการ ให้ลองเปิดใจที่จะก้าวออกจากกรอบเดิม ไปสู่ตลาดใหม่อันเป็นโอกาสดีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้

3) แนวทางการช่วยเหลือด้านการขนส่ง ผ่านโครงการ ดีพร้อมแพค: บรรจุภัณฑ์สร้างสรรค์วิถีใหม่ (The Next Diprom Packaging: DipromPack) ด้วยการออกแบบ และพัฒนาบรรจุภัณฑ์สรางสรรค์ที่ตอบสนองต่อการดำเนินชีวิตแลประกอบธุรกิจใหม่เพื่อลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าผลิตภัณธ์ และเพิ่มยอดขายให้แก่ผู้ประกอบการ

4) แนวทางการตลาดร่วมเป็นคู่ค้ากับภาครัฐ โดยเตรียมความพร้อมเอสเอ็มอี
และวิสาหกิจชุมชนไทยเข้าสู่การรับรองตราสินค้า Made in Thailand หรือ MiT โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผ่านการเสริมสร้างการรับรู้และสร้างโอกาสการเป็นคู่ค้ากับภาครัฐผ่าน 3 ช่องทาง ประกอบด้วย การรับรอง Made in Thailand (MiT) โดย ส.อ.ท. การขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอี Thai SME-GP ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. และการขึ้นบัญชีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Thai GPP ของกรมควบคุมมลพิษ

3. เปลี่ยนค่าใช้จ่ายเป็นเงินทุน โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับเปลี่ยนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจให้กลายเป็นเงินทุนในการประกอบกิจการให้แก่ผู้ประกอบการ โดยการใช้ระบบคลังสินค้าออนไลน์ เพื่อเปลี่ยนเงินทุนด้วยเทคโนโลยี สามารถลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบการผ่านระบบ Google Sheet และ Line OA ซึ่งเป็นมาตรการช่วย SMEs แบบดีพร้อม ด้วยการให้คำปรึกษาและพัฒนาระบบการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อลดต้นทุนต้นทุนด้านโลจิสติกส์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง ต้นทุนการขนส่งสินค้า ต้นทุนการบริหารจัดการ เพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน 3 มิติ ได้แก่ ต้นทุน เวลา และความน่าเชื่อถือ ผ่าน โครงการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะให้แก่ผู้ประกอบการ

4. สร้างเครือข่ายพันธมิตร โดยดีพร้อมเป็นผู้จัดสรรและเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรให้แก่ผู้ประกอบการผ่านโครงการสำคัญ ๆ ดังนี้ โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรและผู้แปรรูปโครงการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเพื่อปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่โครงการเชื่อมโยงเครื่องจักรเพื่อแปรรูป (i-Aid) โครงการช่างชุมชน
โดยการมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะวิชาชีพให้แก่ช่างในชุมชน

5. ปรับโมเดลธุรกิจ มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมในการดำเนินการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ และการสร้างและพัฒนาผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม (SP) และยังได้ช่วยเสริมทักษะทางการเงิน (Financial Literacy) ให้แก่ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจและให้ตระหนักถึงความสำคัญ เพื่อการตัดสินใจทางการเงินที่ดี นอกจากนี้ดีพร้อมยังได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการในการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง (Business Continuity Plan) ในการดำเนินธุรกิจใหแก่ผู้ประกอบ โดยเน้นการรับมือและสร้างแนวทางการดำเนินธุรกิจกับสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจของสถานประกอบทั้งนี้ จากการดำเนินงานโครงการ/กิจกรรม มาตรการเร่งด่วนต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมผู้ประกอบการ
ให้สามารถดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดในระลอกใหม่นี้ ดีพร้อม คาดว่าในปีงบประมาณ 2564จะสามารถช่วยส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการในภาคส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้จำนวนรวม 3,356 กิจการ 11,955 คน 982 ผลิตภัณฑ์ และคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้กว่า 8,000 ล้านบาท

“อย่างไรก็ตามจากการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ภายใต้ นโยบาย “สติ (STI)” ที่มุ่งเน้นการพัฒนา3 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย 1) SKILL : ทักษะเร่งด่วน โดยเร่งเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัว 2) TOOL : เครื่องมือเร่งด่วน เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน และ 3) INDUSTRY : อุตสาหกรรมเร่งด่วน สร้างโอกาสจากต้นทุนที่ประเทศไทยมีจุดแข็ง เพื่อเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ครอบคลุมทุกมิติ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือ ดีพร้อม ได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี เพื่อปรับแผนการดำเนินงานโครงการให้สอดรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากวิกฤตโควิด – 19 สอดคล้องกับมาตรการด้านสาธารณสุข และสอดรับกับการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไปที่กระทบทั้งด้านรายได้ ด้านการจ้างงาน ด้านสภาพคล่องทางการเงิน และเงินทุนหมุนเวียน” นายณัฐพล กล่าวสรุป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6865-66 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.dip.go.th หรือ https://www.facebook.com/dipromindustry

ดีพร้อม ผลักดันเอสเอ็มอีไทย เชื่อมโอกาสคู่ค้าภาครัฐ

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าผลักดันนโยบายสร้างเสริมศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจทั่วประเทศ ผ่านการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยในโครงการ Made in Thailand เดินหน้าเร่งส่งเสริมการบริโภคสินค้าภายในประเทศ เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านกลไกของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สร้างแต้มต่อผู้ประกอบไทยฝ่าวิกฤตโควิด -19 รวมทั้งเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการสินค้าไทยให้สามารถเข้าสู่การรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ผ่านโครงการยกระดับผู้ประกอบการสินค้าไทยให้ดีพร้อม เริ่มสมัครตั้งแต่วันนี้ – 25 ก.ค.นี้ คาดเงินหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 1 ล้านล้านบาท

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันส่งผลให้การใช้จ่ายและกำลังซื้อของภาคเอกชนลดลงอย่างเห็นได้ชัด และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงเร่งขับเคลื่อนแนวคิดในการนำเงินส่วนงบประมาณของภาครัฐ หรือ Government Spending ที่มีมูลค่าราว 1.77 ล้านล้านบาทต่อปี ให้มาเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านการประกาศใช้กฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ที่ได้กำหนดให้พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ หรือ Made in Thailand (MiT) พัสดุที่จัดทำขึ้นหรือจำหน่ายโดยผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ Thai SME-GP และพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Thai GPP เป็นพัสดุที่หน่วยงานรัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน

ทั้งนี้ จากนโยบายดังกล่าวจึงเกิดเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผลักดันการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยหรือ “Made in Thailand” สำหรับผู้ประกอบการไทยให้มีโอกาสได้เป็นคู่ค้ากับภาครัฐ ซึ่งจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของโอกาสและประโยชน์ที่ผู้ประกอบการไทยจะได้รับจากการค้าขายกับภาครัฐ จึงมอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เร่งดำเนินการผลักดันผู้ประกอบการทั่วประเทศในเชิงรุก ทั้งการแนะนำ ประชาสัมพันธ์และส่งต่อผู้ประกอบการเข้าสู่การรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการผ่านการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand ไปแล้วกว่า 1,800 ราย จำนวนกว่า 10,000 รายสินค้า

“ดีพร้อม ในฐานะองค์กรหลักในการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศในขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้ซื้อในฐานะหน่วยงานของรัฐ จึงได้เร่งผลักดันกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ภายใต้แผนงานบูรณาการส่งเสริมผู้ประกอบการเข้ารับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand (MiT) ของ ส.อ.ท. โดยได้สั่งการให้หน่วยงานทั้งส่วนกลางและศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศ พิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้เข้ารับรองกับทาง ส.อ.ท. ขณะเดียวกัน ดีพร้อม ยังได้นำร่องเริ่มต้นใช้เกณฑ์การคัดเลือกเข้าสู่ระบบการจัดซื้อจ้างของภาครัฐที่มีสินค้าตรงตามเงื่อนไข โดยผู้ประกอบการต้องผ่านการรับรองและได้รับตราสัญลักษณ์ Made in Thailand เรียบร้อยแล้ว อีกทั้ง ยังได้กระจายนโยบายดังกล่าวไปยังศูนย์ภาคทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศ ในการประกาศใช้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามประกาศกฎกระทรวงการคลัง เรื่องกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเป็นคู่ค้ากับภาครัฐเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ ดีพร้อม ยังได้ริเริ่มจัดทำ โครงการยกระดับผู้ประกอบการสินค้าไทยให้ดีพร้อม เพื่อพัฒนาเตรียมความพร้อมและยกระดับผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนไทย เข้าสู่การรับรอง Made in Thailand ควบคู่กับการเพิ่มผลิตภาพให้ธุรกิจมีศักยภาพยิ่งขึ้น โดยกิจกรรมทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทุกประเภท ทุกระดับ ให้ได้รับทราบและมีโอกาสเป็นคู่ค้ากับภาครัฐ ผ่าน 3 ช่องทางที่สำคัญ ได้แก่ การรับรอง Made in Thailand (MiT) โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การขึ้นทะเบียนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม Thai SME-GP ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการขึ้นบัญชีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Thai GPP ของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดภายใต้ภาวะวิกฤตโควิด-19 และนำทางผู้ประกอบการไทยให้สามารถเข้าถึงช่องทางการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ามหาศาล

โครงการยกระดับผู้ประกอบการสินค้าไทยให้ดีพร้อม เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ –25 กรกฎาคม 2564 ผ่าน https://forms.gle/x7DoGfkka21GSLcq6 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 08 1807 1127 และ 08 9815 6597 หรือติดตามความเคลื่อนไหวอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/dbcd.diprom และ www.dip.go.th