ดีพร้อม ดีเดย์จัดกิจกรรมออนไลน์ 5 วัน ช่วยเหลือรายย่อย

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับนโยบายรัฐ ชูนโยบายเร่งด่วน ฟื้นฟูวิสาหกิจชุมชนหลังพิษโควิด-19 จัดกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน อาทิ การจัดงานมหกรรมแสดงสินค้าออนไลน์ หรือ Virtual Event เชื่อมโยงผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนสู่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กว่า 140 ร้านค้า พร้อมทั้งพบกับกิจกรรมให้คำปรึกษาการเงินเงินทุนหมุนเวียน และงานสัมมนาโดยวิทยากรชื่อดังระดับประเทศ ด้าน e-Commerce ระหว่างวันที่ 11 –15 มิถุนายน 2564 ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง

นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนในวงกว้าง และเพื่อเป็นการขานรับนโยบายรัฐในการพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากเศรษฐกิจฐานรากสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน ดีพร้อม จึงมีนโยบายเร่งด่วน เพื่อเยียวยาผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนในสถานการณ์เร่งด่วน ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับชุมชนในการนำความรู้และทรัพยากรในพื้นที่มาผลิตเป็นสินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถกระจายรายได้สู่ชุมชน สนับสนุนสินค้าชุมชน และยกระดับวิสาหกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาและขยายช่องทางการตลาด เชื่อมโยงกับระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ ผ่านกิจกรรมพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ภายใต้ โครงการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจชุมชนคลื่นลูกใหม่ เพื่อการแข่งขันในตลาด New Normal ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ กิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ กิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำ และกิจกรรมทดสอบตลาด

โดยจะมุ่งเน้นการอบรมให้ความรู้ การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การนำแผนงานไปทดลองและปรับปรุงสินค้ารวมถึงการนำสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงแล้วได้มาตรฐานมีคุณภาพไปทดสอบตลาดทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ ตลอดจนการนำผลการทดสอบตลาดนั้นมาทำแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ดีพร้อมยังให้การส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความสามารถในการบริหารธุรกิจสมัยใหม่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งในกระบวนการผลิต การนำเสนอสินค้า การบริการและการตลาด เพื่อสร้างผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนคลื่นลูกใหม่ให้มีองค์ความรู้สามารถวิเคราะห์ธุรกิจตนเอง สามารถแก้ไขปัญหาธุรกิจของตนเองได้เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมของตนเองในสถานการณ์ปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ดีพร้อม ได้เร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในการขยายช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มมากขึ้น โดยการจัดกิจกรรมทดสอบตลาดMarket Survey ซึ่งในยุค New Normal ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การตลาดแบบออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทและมีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมาก ดีพร้อมจึงเร่งผลักดันและพัฒนากลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ให้มีขีดความสามารถในการเข้าสู่ตลาดออนไลน์ อันจะทำให้ผู้ประกอบการเกิดทักษะประสบการณ์
และสามารถเชื่อมโยงเพื่อการแข่งขันในระดับสากลได้อย่างแท้จริง

โดยความน่าสนใจของกิจกรรมทดสอบตลาด Market Survey ในครั้งนี้เป็นการจัดงานในรูปแบบ Virtual Event ซึ่งเป็นอีกหนึ่งงานมหกรรมแสดงสินค้าในรูปแบบโลกเสมือนจริงในระบบออนไลน์ที่ดีพร้อมจัดขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคนี้มาใช้ในการจัดกิจกรรม เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งภายในงานได้รวบรวมสินค้าดีมีคุณภาพจากผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศกว่า 140 ราย อาทิ เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายของใช้ ของตกแต่งบ้าน ของที่ระลึก สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร อาหารและเครื่องดื่ม ถือว่าครบจบในงานเดียว

นอกจากนั้น ภายในงานยังมีการจัดสัมมนา โดยมีวิทยากรชื่อดังระดับประเทศ ทางด้าน e-Commerce เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรมได้ฟรี อาทิ การทดสอบตลาด Market Survey พื้นฐานการสำรวจและการทำตลาดด้วย Facebook การทำตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเอง (DIY e-Commerce) การดีลกับโรงงานเพื่อสร้างสินค้านวัตกรรม อัปเดตหลังโควิด ภูมิศาสตร์ e-Commerce ของประเทศไทยและพื้นฐานของการขายออนไลน์ ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 15 มิถุนายน 2564 รวมระยะเวลา5 วัน โดยผู้ร่วมงานสามารถเข้าร่วมงานได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง และคาดว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานครั้งนี้เป็นจำนวนมากตลอดระยะเวลาของการจัดงาน นายภาสกร กล่าว

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมงานได้ทุกวัน ตั้งแต่ วันที่ 11 – 15 มิถุนายน 2564 ผ่าน www.dcivirtualevent2021.com

ตรวจสุขภาพฟรี! รับสมุนไพรฟรี! ในงานสมุนไพรไทย ทลายโรค ทลายโควิด

เริ่มแล้ว! งานดี ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ สำหรับงาน สมุนไพรไทย ทลายโรค ทลายโควิด จัดโดย ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ร่วมกับ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันนี้ – 14 มิถุนายน 2564 ณ ลานกิจกรรมเอ็ม บี เค อเวนิว โซน A ,B ซึ่งมีความตั้งใจสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในการนำตำรับยาจากสมุนไพรภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคมาดูแลสุขภาพของตนเอง

โดยเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเป็นรอบ ๆ รอบละ 20 คน สามารถ walk in ลงทะเบียนได้ที่หน้างาน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า รอบที่ 1 เวลา 11.00 น. รอบที่ 2 เวลา 11.30 น. รอบที่ 3 เวลา 12.00 น. รอบที่ 4 เวลา 13.00 น. รอบที่ 5 เวลา 13.30 น. รอบที่ 6 เวลา 14.00 น. รอบที่ 7 เวลา 14.30 น. รอบที่ 8 เวลา 15.00 น. รอบที่ 9 เวลา 15.30 น. รอบที่ 10 เวลา 16.00 น. รอบที่ 11 เวลา 16.30 น. รอบที่ 12 เวลา 17.30 น. รอบที่ 13 เวลา 17.30 น. รอบที่ 14 เวลา 18.00 น.

ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ตั้งแต่คลินิกตรวจสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ การสาธิตทำเครื่องดื่มสุขภาพและการใช้สมุนไพรตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย อาทิ น้ำตรีผลา น้ำกระชาย ซึ่งมีวิธีทำง่าย ๆ สำหรับนำกลับไปทำได้ที่บ้าน และผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมยังได้รับแจกสมุนไพรกลับไปปลูกที่บ้านอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมากมาย อาทิ ผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอกเคลือบสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามที่มีส่วนผสมของน้ำมันกฤษณาบริสุทธิ์ ลูกอมสมุนไพรจากกาแฟและกระชายขาว ผลิตภัณฑ์ความงามช่วยบำรุงผิวหน้าเจลว่านหางจระเข้ที่มีสารสกัดจากว่านหางจระเข้ 100 % เครื่องดื่มชื่นใจและดูแลสุขภาพที่มีส่วนผสมของน้ำกระชายผสมมะนาวและน้ำผึ้ง น้ำสมุนไพรรวมจากน้ำส้มควายผสมน้ำผึ้งพร้อมดื่ม แยมส้มควายภูเก็ตที่นำไปทาเป็นแยมทานกับขนมปังหรือจะชงเป็นชาก็ได้รสชาติและสุขภาพที่ดี ซึ่งส้มควายเป็นสมุนไพรเพื่อสุขภาพ พืชท้องถิ่นของจังหวัดภูเก็ต ที่นำมาให้ได้จับจ่ายกันในงานนี้ เป็นต้น

งานสมุนไพรไทย ทลายโรค ทลายโควิด มีตั้งแต่วันนี้จนถึง 14 มิถุนายน 2564 ณ ลานกิจกรรมเอ็ม บี เค อเวนิว โซน A ,B ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์

‘ภูตะวัน’ เอสเอ็มอีรุ่นใหม่ ชู 4 กลยุทธ์ ฝ่าโควิด-19

‘ภูตะวัน’ ต่อยอดความสำเร็จธุรกิจ 20 ปี สร้างคลัสเตอร์เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์-ชุมชนเกษตรกรอินทรีย์ไทยผ่านแบรนด์ ‘intree’ เจาะลูกค้ายุคนิวนอร์มอลมองหาสินค้าส่วนผสมธรรมชาติออแกนิคระดับเข้มข้น พร้อมแชร์ 4 กลยุทธ์หนุนธุรกิจกลับมาโตเท่าเดิมก่อนโควิดระบาด หวังเป็นต้นแบบเอสเอ็มอีไทยรุ่นใหม่ ไปไกลในต่างประเทศ

ฉัตรชัย วงศ์มานะโรจน์ศรี ผู้ก่อตั้ง และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูตะวัน เฮิร์บ แอนด์ คอสเมติค จำกัด

นายฉัตรชัย วงศ์มานะโรจน์ศรี ผู้ก่อตั้ง และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูตะวัน เฮิร์บ แอนด์ คอสเมติค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ส่วนผสมจากธรรมชาติแบรนด์ ‘ภูตะวัน’ เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) การผลิตสินค้าจากส่วนผสมธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์ (Organic) ในประเภทต่างๆ รวมถึงการนำองค์ความรู้ทางวิชาการถ่ายทอดต่อไปยังชุมชนเกษตรกรท้องถิ่น ผู้เพาะปลูกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พืชสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพสูง เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าแบรนด์ภูตะวัน มาตลอดระยะเวลาร่วมสองทศวรรษ

ทั้งนี้ ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของแบรนด์ภูตะวัน บริษัทได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญดังกล่าว พร้อมใช้จุดเด่น ‘ธรรมชาติ’ เป็นตัวกลางสร้างการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้บริโภค เกษตรกร และ องค์กรเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ อินทรี (intree : Organic mountain) มีจุดเด่นสินค้าส่วนผสมจากวัตถุดิบธรรมชาติระดับเข้มข้นในปริมาณที่สูงกว่า 90% และให้ความปลอดภัยสูง โดยใช้วัตถุดิบออแกนิคที่ได้รับการรับรองจาก USDA, ECO-CERT และ สถาบันระดับโลก รวมทั้งยังเป็น Biodegradable วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและย่อยสลายได้ในแหล่งน้ำ โดยไม่ทำลายประการัง เป็นต้น

โดยบริษัท ได้ใช้สองแหล่งวัตถุดิบหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ อินทรี’ (intree : Organic mountain) คือ อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากการรวมกลุ่มของชาติพันธุ์ต่างๆ ได้จัดตั้งกลุ่มเกษตรกรชาวไทยภูเขาในชื่อ ‘กลุ่มเกษตรยิ้มออแกนิค’ ร่วมเพาะปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ คือ ‘ตะไคร้แดง’ มีคุณสมบัติพิเศษด้านกลิ่นหอมแรง และความเข้มข้นของน้ำมันในปริมาณที่สูง

และแหล่งผลิตวัตถุดิบสำคัญแห่งที่สอง คือ ทุ่งเริง จังหวัดเชียงใหม่ โดยกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ในพื้นที่แห่งนี้ร่วมปลูกกุหลาบมอญ ซึ่งถือเป็นราชินีดอกไม้บนดอย ซึ่งปลูกได้ดีที่สุดบนภาคเหนือของประเทศไทย โดยมีคุณค่าจากสารสกัด Rosa Poly Phenal ออกฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว คืนความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาให้กับเซลล์ผิว ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์

สำหรับผลิตภัณฑ์ intree จับกลุ่มเป้าหมายระดับบน โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 25-35 ปีมีรูปแบบการใช้ชีวิตทันสมัย ห่วงใยสิ่งแวดล้อม รักการเดินทางท่องเที่ยว ใส่ใจความสะอาดให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง และชื่นชอบของใช้-สินค้าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ และ ผลิตภัณฑ์ออแกนิค ปัจจุบัน intree มีกลุ่มลูกค้าหลักในเมืองประมาณ 60% และอื่นๆราว 40% รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่สนใจผลิตภัณฑ์ออแกนิคที่มีคุณภาพและส่วนผสมระดับเข้มข้น

นายฉัตรชัย กล่าวว่า บริษัทได้ปันผลกำไรประมาณ 5% เพื่อคืนกลับไปยังชุมชนดังกล่าวให้นำไปพัฒนาและขยายการเพาะปลูกและการทำกิจกรรมพืชออแกนิคของชุมชนบนภูเขาจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเช่นกัน

โดยบริษัทวางเป้าหมายจากการเปิดตัวพร้อมทำตลาดผลิตภัณฑ์ intree ในครั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าว่าประเทศไทยเป็นแหล่งปลูกพืชออแกนิคที่มีคุณภาพสูงและมีเอกลักษณ์ระดับโลก โดยกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ภูเขาของไทยยังได้รับการส่งเสริมด้านเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน จากรายได้ที่เป็นรูปธรรมจากการนำส่งวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้าออแกนิคให้กับบริษัท

พร้อมสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทเอกชนและการมีส่วนร่วมของชุมชน  ที่จะเข้าไปร่วมงานและสนับสนุน  และเป็นต้นแบบให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) อื่นๆ ในอนาคต ผ่านกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจของบริษัท รวมถึงสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคต่อแบรนด์ Intree by Phutawan  ด้วยเป็นแบรนด์ที่สร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างยอดขายที่ยั่งยืนผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ และ ช่องทางออฟไลน์ ควบคู่กันไปกับแบรนด์ภูตะวันให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้น

นายฉัตรชัย กล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจภายใน 2 ปี (2564 – 2565) บริษัทจะมุ่งดำเนินการใน 4 กลยุทธ์หลัก คือ กลยุทธ์ที่ 1 สร้างภาพการเติบโตในช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 200%  กลยุทธ์ที่ 2 ลดการขยายสาขาร้าน ปัจจุบันมี 18 แห่งทั่วประเทศ โดยปรับหน้าร้านเป็นรูปแบบขนาดเล็ก เพื่อให้กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงได้สะดวกสบายในทุกที่ พร้อมสื่อสารแบรนด์ไปยังร้านค้าพันธมิตรที่มีแนวทางการทำตลาดคล้ายคลึงกันเพื่อขยายตลาดและเติบโตไปพร้อมกัน กลยุทธ์ที่ 3 มุ่งขยายการเติบโตแบรนด์และการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) มากขึ้น ผ่านความร่วมมือ (Cooperate) ต่างๆกับเอกชนเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจในรูปแบบขายปริมาณมาก โดยใช้ความน่าเชื่อถือและเรื่องราว (story) สินค้าและแบรนด์ที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน มาร่วมใช้สื่อสารการตลาด และกลยุทธ์ที่ 4 ขยายการตลาดและการเติบโตไปที่ตลาดส่งออก โดยเน้นการเป็นแบรนด์สินค้าไทยที่เกิดจาก  Made From Local Farmer และเป็นสินค้าจากวัตถุดิบในประเทศไทยอย่างแท้จริง

ปัจจุบันภูตะวันมีหน้าร้านสาขาต่างประเทศ ทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย ฮ่องกง อุซเบกิส-ถาน ออสเตรีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ กว่า 17 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย โอมาน คูเวต ออสเตรีย สิงคโปร์ อุชเบกิซสถาน ฮ่องกง รัสเชีย มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ลาว ไต้หวัน บัลกาเรีย และ โปแลนด์

ทั้งนี้ จากกลยุทธ์ดังกล่าวบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ระดับเดิม หรือ มีอัตราเท่ากับในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2562 โดยมียอดขายอยู่ที่ 120 ล้านบาท

ผลิตภัณฑ์แบรนด์ อินทรี’ (intree : Organic mountain) มีผลิตภัณฑ์วางจำหน่าย 2 กลิ่น ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เลมอนกราส ออแกนิค และ กุหลาบมอญ ออแกนิค ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็น แชมพูและคอนดิชั่นเนอร์, ชาวเวอร์เจล, บอดี้สครับ, โซฟบาร์ และ ครีมบำรุงผิว ราคาตั้งแต่ 120 – 480 บาท โดยสามารถซื้อสินค้าได้ทั้ง 18 สาขาของภูตะวัน หรือทางเว็บไซต์ https://phutawanshop.com/ ,www.greenerybasket.com หรือเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/phutawan.official/ และทาง Line Official @PhutawanshopOfficial

 

เปิดภารกิจ ซีอีโอ ออร์กานอน นำทัพในไทยเป็นทางการ

บริษัท ออร์กานอน จำกัด (NYSE: OGN) ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะบริษัทระดับโลกซึ่งเป็นเพียงบริษัทเดียวเท่านั้นที่มุ่งให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้หญิงโดยเฉพาะ ณ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ในโอกาสนี้ บริษัท ออร์กานอน ประเทศไทย นำโดย มร. คุง คาเรล เคราท์บ๊อช (Koen C. Kruijtbosch) กรรมการผู้จัดการ ได้เปิดตัวออร์กานอนในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ผู้หญิงไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นในทุกวัน ผ่านการรับฟังทุกความต้องการด้านสุขภาพของผู้หญิง และเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ รวมทั้งเน้นย้ำความเชื่อของบริษัทที่ว่าเสียงของผู้หญิงคือสิ่งสำคัญ ออร์กานอน ประเทศไทย จึงได้เลือกให้ ซินดี้-สิรินยา บิชอพ เป็นตัวแทนเสียงของผู้หญิงไทยในการแสดงออกถึงสุขภาวะของผู้หญิงผ่านกิจกรรม Wall of Voices ที่จัดแสดงอยู่บริเวณด้านนอกของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ร่วมกับตัวแทนผู้หญิงจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก

มร. คุง คาเรล เคราท์บ๊อช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์กานอน ประเทศไทย จำกัด

มร. คุง คาเรล เคราท์บ๊อช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์กานอน ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “เราเชื่อว่าผู้หญิง คือรากฐานสำคัญที่จะทำให้โลกมีสุขภาวะที่ดีขึ้น และการทำให้ผู้หญิงมีสุขภาพที่ดีขึ้นในอนาคต จึงหมายถึงการสร้างสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้าให้กับครอบครัวและสังคมรอบตัวของพวกเธอ เราจึงให้ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เราทำ เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับฟังและทำความเข้าใจความต้องการด้านสุขภาพของผู้หญิง รวมถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ยาและแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสม เพื่อทำให้ผู้หญิงได้มีชีวิตและมีสุขภาพที่ดีขึ้นในทุกวัน”

ซินดี้-สิรินยา บิชอพ

ซินดี้-สิรินยา บิชอพ นางแบบชื่อดังของประเทศไทย นักกิจกรรม และทูตสันถวไมตรี UN Women ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเสียงของผู้หญิงไทยในกิจกรรมนี้

นอกจากปัญหาคุณแม่วัยใสแล้ว อัตราการเกิดที่ต่ำก็เป็นอีกความท้าทายที่สำคัญของประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปี 2563 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 600,000 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบสามปี

“ด้วยความเชี่ยวชาญด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ เราจะนำความสามารถของเรามาช่วยแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร และปัญหาอัตราการเกิดต่ำซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทยได้ นอกจากนี้ เราจะนำความเชี่ยวชาญของเราในด้านผลิตภัณฑ์ยาและแนวทางแก้ปัญหาต่างๆ มาใช้รักษาโรคและอาการที่ส่งผลต่อ สุขภาพของผู้หญิงในทุกช่วงวัยของชีวิต เช่น โรคกระดูกพรุน ที่ผู้หญิงไทยอายุระหว่าง 40-80 ปี จำนวนถึง 1 ใน 5 ต้องทุกข์ทรมานด้วยโรคนี้ ดังนั้น ด้วยความเชี่ยวชาญที่เรามี ผมจึงอยากให้ผู้หญิงไทยทุกคนได้มั่นใจว่า นับจากนี้ ออร์กานอนประเทศไทยจะอยู่ตรงนี้เพื่อรับฟังความต้องการด้านสุขภาพของคุณ และจะทำทุกวิธีที่เป็นไปได้เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาด้านสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นให้กับคุณ” มร. คุง คาเรล เคราท์บ๊อช กล่าวสรุป

 ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน การเปิดตัวในครั้งนี้ ออร์กานอนมียาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์มากกว่า 60 รายการ ซึ่งมีการให้บริการในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ธุรกิจหลักของออร์กานอน ได้แก่

  • กลุ่มสุขภาพผู้หญิงและการเจริญพันธุ์: ความเชี่ยวชาญหลักของออร์กานอน คือ อนามัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะด้านการคุมกำเนิดและการเจริญพันธุ์ เรามุ่งมั่นที่จะต่อยอดไปยังด้านอื่นๆ ที่จะช่วยรักษาโรคและอาการที่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้หญิงในทุกช่วงวัยของชีวิต นอกเหนือจากการให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้หญิงแล้ว เราจะมุ่งพัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้หญิงซึ่งกระทบต่อการดำเนินชีวิต หรือสร้างภาระหนักหน่วงให้กับผู้หญิง นอกจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์แล้ว การเข้าถึงยาก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน ขณะที่เราพยายามให้ผลิตภัณฑ์ของเราได้เข้าถึงผู้หญิงทั่วโลกมากขึ้น เราก็ยังทุ่มเทเพื่อให้มั่นใจว่าผู้หญิงสามารถเข้าถึงวิธีการรักษาของเราด้วย
  • กลุ่มเภสัชภัณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับ (Established brands): เรามีผลิตภัณฑ์ยาที่หลากหลายกว่า 49 รายการ ครอบคลุมการรักษาอาการในหลายๆ โรค ไม่ว่าจะเป็นโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด อาการด้านระบบทางเดินหายใจ การบรรเทาการปวด และโรคภูมิแพ้

 ผู้หญิงคือศูนย์กลางในการพัฒนานวัตกรรมของออร์กานอน ปรัชญาในการค้นคว้าและพัฒนายาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ของออร์กานอน คือการทำธุรกิจที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้ป่วย โดยมีเป้าหมายเพื่อค้นหาและพัฒนาตัวเลือกด้านการดูแลสุขภาพสำหรับผู้หญิง ที่จะช่วยให้ผู้หญิงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างดีที่สุดในทุกวัน

ความสามารถในระดับโลกที่ครอบคลุมด้านการพัฒนาทางคลินิกและความปลอดภัยของคนไข้ การดูแลควบคุม และการแพทย์ ทำให้ออร์กานอนสามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ยา การวินิจฉัย และเครื่องมือที่มีศักยภาพสูงสุดเพื่อให้เกิดผลที่มีประสิทธิภาพต่อสุขภาพของผู้หญิง

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับออร์กานอนได้ที่ www.organon.com

TWPC ได้รับการรับรอง IPHA 

บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC โดยโรงงานวุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยวที่บางเลน จังหวัดนครปฐม ผ่านการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย “IPHA – Industrial and Production Hygiene Administration” ตอกย้ำความมั่นใจด้านความปลอดภัยในมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 และเป็นโรงงานวุ้นเส้นภายใต้แบรนด์มังกรคู่ หงษ์ กิเลนคู่ และโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยวรายแรกในประเทศไทย 

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง  และผู้นำตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่าบริษัทให้ความสำคัญในด้านการผลิตอาหารปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ได้มีการยกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุดหรือมาตรฐาน IPHA เริ่มตั้งแต่การบริหารจัดการสถานที่ กระบวนการผลิต และบุคลากรตามมาตรการร่วม และมาตรฐานด้านสุขอนามัย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคในการซื้อสินค้าที่มีมาตรฐานปลอดภัยจาก COVID-19 โดยโรงงานงานวุ้นเส้นภายใต้แบรนด์มังกรคู่ หงษ์ กิเลนคู่ และโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว ที่จังหวัดนครปฐม ถือเป็นสถานประกอบการในกลุ่มโรงงานวุ้นเส้นเจ้าแรกที่ได้รับการรับรองดังกล่าวอีกด้วย

สำหรับมาตรฐาน IPHA เป็นมาตรฐานใหม่ ภายใต้ความร่วมมือของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ กรมควบคุมโรค สถาบันอาหาร และสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอร่วมกันวางกรอบการพิจารณา เพื่อมอบให้แก่สถานประกอบการที่มีการบริหารจัดการสถานที่ กระบวนการผลิต และบุคลากร ตามมาตรการร่วม และมาตรฐานด้านสุขอนามัย ที่มีการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการจัดการเพื่อป้องกัน COVID-19 อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ไทยวา ยังเดินหน้า โครงการ“ ไทยวา ร่วมใจ สู้โควิด-19” ต่อเนื่อง โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งความห่วงใย ให้แก่โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ในการปฏิบัติงานในสถานการณ์สู้โรคโควิด-19 ผ่านการส่งมอบผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปวุ้นเส้นมังกรคู่ เรดดี้ น้ำดื่มไทยวา และอาหารปรุงสำเร็จด้วยก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ตรากิเลนคู่ รวมถึงอาหารพร้อมทาน ให้กับโรงพยาบาลสนาม และชุมชนที่ยังขาดแคลนอาหาร รวมถึงร่วมกับ “เรื่องเล่าแบ่งปัน” ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ร่วมส่งมอบผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปวุ้นเส้นมังกรคู่ เรดดี้ ให้แก่ชุมชนต่างๆ ทั่วกรุงเทพและปริมณฑลอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทฯ มีแผนการดำเนินธุรกิจ โดยกำหนดกลยุทธ์ที่จะมุ่งเน้นไปที่การจัดหาวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาขับเคลื่อนความเร็วและประสิทธิภาพตลอดกระบวนการทำงานของทั้งองค์กรและนวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ และเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยผลิตสินค้าประเภท “ไบโอพลาสติก” ซึ่งเป็นผลผลิตจากพืชผลทางการเกษตร และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% เพื่อนำไปใช้ในรูปแบบประเภทสินค้าภาชนะ และของใช้ในการเกษตรทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปีนี้ และทยอยรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้แต่จะรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

 

WICE เผยแนวโน้มธุรกิจ Q2/64 โตต่อเนื่อง

นายชูเดช คงสุนทร (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และ นางสาวบุศรินทร์ ต่วนชะเอม (ขวา)ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ หรือ WICE ให้ข้อมูลสรุปผลประกอบการไตรมาส 1/64 มีรายได้รวม 1,287.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ 81.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 169.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมให้ข้อมูลทิศทางธุรกิจไตรมาส 2/64 เติบโตต่อเนื่อง ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถรับชมบันทึกเทปได้ที่  www.set.or.th/streaming/vdos-oppday

BIZ ตุนงานในมือกว่า 2 พันล้าน ส่งมอบภายในปีนี้

บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIZ โชว์ศักยภาพในการก่อสร้างศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อเป็นศูนย์รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าด้านการแพทย์ สามารถตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกจนถึงระยะแพร่กระจาย และทำการรักษาตรงจุด ช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดจากโรคมะเร็ง มั่นใจผลงานปี 64 สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ลุยส่งมอบงานตามนัด หลังตุนงานในมือกว่า 2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งมอบภายในปีนี้

นายวรวิทย์ สีลภูสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและทรัพยากรมนุษย์ บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ที่มีความเชียวชาญทางด้านติดตั้งชุดเครื่องมือทางการแพทย์ สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยวิธีรังสีรักษาชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยถึงความพร้อมของบริษัท ฯ ที่ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งในทุก ๆ ระยะ เพื่อเป็นทางเลือกให้ทำการรักษาได้ตรงจุดและหายขาด และทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

“บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นอันดับแรก เพราะผู้ป่วยคือผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจัดจำหน่ายโดยตรง มีความต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีระดับที่สูงและทันสมัย เพื่อให้เหมาะสมกับการรักษาอาการโรคมะเร็งในปัจจุบัน ซึ่งการใช้อนุภาคโปรตอน เป็นการรักษาด้วยรังสีที่สมบูรณ์แบบ  เพราะสามารถให้ปริมาณรังสีที่สม่ำเสมอครอบคลุมเป้าการรักษา และยังมีประสิทธิภาพสูงในการฆ่าเซลล์มะเร็ง แพทย์จึงสามารถเพิ่มปริมาณรังสีสูงสุดที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้หมด ในขณะเดียวกันก็ลดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยมะเร็งในเด็ก และในผู้สูงอายุ ซึ่งมีความทนทานต่อผลข้างเคียงได้น้อยจากการรักษา”

สำหรับโครงการจัดตั้งศูนย์รักษาผู้ป่วยโรงมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทำ Customer Acceptance Test ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 95% และขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นขั้นตอนการเก็บข้อมูลเฉพาะของลำรังสีอนุภาคโปรตอน โดยข้อมูลนี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการประมวลแผนการรักษา ในระบบเครื่องวางแผนการรักษา (Treatment Planning System) โดยจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เพื่อเตรียมพร้อมในการเริ่มรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอนต่อไป

นายวรวิทย์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมก่อตั้ง “โครงการจัดตั้งศูนย์รักษาผู้ป่วยโรงมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน” ซึ่งเป็นเครื่องแรกในภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เครื่องเร่งอนุภาคโปรตอนดังกล่าว เป็นเครื่องมือที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ  การก่อสร้างอาคาร การติดตั้งระบบสนับสนุน (supported Facility) ตลอดไปถึงการติดตั้งตัวเครื่อง และบริษัทฯ ได้สร้างทีมงานวิศวกรที่มีคุณภาพ และมีความเชี่ยวชาญให้เข้าใจในเทคโนโลยีชั้นสูง จากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถติดตั้งในโครงการต่อ ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพเท่ากับโครงการจัดตั้งศูนย์รักษาผู้ป่วยโรงมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ขอให้นักลงทุนทุกคนมั่นใจในศักยภาพของทีมบริหาร และบุคลากรขององค์กรว่า จะสามารถนำพาองค์กรเติบโตได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน  ไม่ได้มุ่งเน้นแต่ในด้านการตลาดเพียงอย่างเดียว เพราะบริษัทฯ ยังมีทรัพยากรที่มีคุณภาพในการนำเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อส่งต่อการรักษาที่ทันสมัยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อลดอาการเจ็บป่วย และ “ผู้ป่วย” ยังถือว่าเป็น Stakeholder ที่สำคัญอย่างที่สุด

ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่รายได้และกำไรของบริษัทฯยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด  จากการส่งมอบเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งให้กับโรงพยาบาลภาครัฐที่เป็นคู่สัญญา ได้ตามแผนงานที่วางไว้ โดยมีรายได้รวม 551.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 288.30 ล้านบาท หรือ 109.62% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 81.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.48 ล้านบาท หรือ 435.07% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.28 ล้านบาท

โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 2,188 ล้านบาท ส่วนใหญ่ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ และอยู่ระหว่างเข้าร่วมประมูลในหลายโครงการ ทำให้เห็นถึงทิศทางธุรกิจในปีนี้ที่คาดว่ารายได้และกำไรจะมีโอกาสสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

วรวิทย์ สีลภูสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและทรัพยากรมนุษย์ บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
วรวิทย์ สีลภูสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและทรัพยากรมนุษย์ บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

เตรียมช้อป! อย่ารอช้า B2S 6.6 มหัศจรรย์เลข 6

บีทูเอส ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จัดแคมเปญ 6.6 มหัศจรรย์เลข 6 ลดกลางปี พบกับไอเท็มสุดฮิต กว่า 666 รายการ ยกขบวนมาลดผ่านเว็ป www.b2s.co.th พร้อมมอบความคุ้มค่าอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ – 6 มิ.ย. 64 เท่านั้น

เอาใจนักช้อปออนไลน์ ด้วยโค้ดส่วนลดพิเศษ! สูงสุด 300 บาท* ช้อปกันให้คุ้มได้ที่ https://bit.ly/3p6kKaw เพียงกรอกโค้ดส่วนลด

•ใส่โค้ด B2SSC300 รับส่วนลด 300 บาท สำหรับช้อปครบ 2,500 บาทขึ้นไป
•ใส่โค้ด B2SSC150 รับส่วนลด 150 บาท สำหรับช้อปครบ 1,500 บาทขึ้นไป
•ใส่โค้ด B2SSC80 รับส่วนลด 80 บาท สำหรับช้อปครบ 800 บาทขึ้นไป
พิเศษ! สำหรับสมาชิก The 1 แลกคะแนนเพียง 66 คะแนนเท่านั้น! ที่แอปพลิเคชั่น The 1 ก็รับส่วนลดทันที! 100 บาท สำหรับซื้อสินค้าครบ 666 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ที่ร้าน B2S ทุกสาขา หรือสามารถช้อปผ่านแชตก็แลกคะแนนรับส่วนลดได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นช้อปผ่านช่องทาง
•LINE B2S THAILAND Chat & Shop ที่ https://bit.ly/3dxVl5v
•LINE B2S สาขาใกล้บ้าน ดูรายชื่อสาขาได้ที่ https://bit.ly/2OyCxsS
•Facebook inbox B2S Thailand ที่ http://m.me/B2SThailand

ดูโปรโมชั่นเพิ่มเติมที่ https://bit.ly/3fA3uqY ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 64 – 6 มิ.ย. 64 เท่านั้น

บุญถาวร ร่วมยินดี ท็อปส์ มาร์เก็ต ฉลองเปิดสาขาใหม่

นายสิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญถาวรกรุ๊ป จำกัด พร้อมด้วย นายสิทธิชัย ทยานุวัฒน์ (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญถาวร เซรามิค จำกัด และ นายสาโรจน์ เจิมธเนศ (ซ้ายสุด) กรรมการผู้จัดการ บริษัทบุญถาวร แอสเซท จำกัด “Boon Asset” ร่วมแสดงความยินดีกับ นายสเตฟาน คูม (ขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัดในเครือเซ็นทรัล รีเทล และนางสุจิตา เพ็งอุ่น (ที่ 2 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายปฏิบัติการ Large Format บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล  เนื่องในโอกาส เปิดท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาใหม่อย่างเป็นทางการ ครบครันสินค้าคุณภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมบริการช้อปปิ้งผ่านช่องทางออนไลน์หลากรูปแบบ ตอบสนองพฤติกรรมนักช้อปยุคใหม่  และโปรโมชั่นฉลองเปิดร้านอีกมากมาย ที่ ชั้น 1 Design Village เกษตร-นวมินทร์

ไมเนอร์ ฟู้ดฯ เร่งรณรงค์ให้พนักงานฉีดวัคซีน

ไมเนอร์ ฟู้ดฯ ผู้นำในธุรกิจแบรนด์อาหารชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี สเว่นเซนต์ เบอร์เกอร์ คิง บอนชอน แดรี่ควีน ซิซซ์เล่อร์ และ เดอะ คอฟฟี่คลับ มีความมุ่งหวังอย่างสูงที่จะให้พนักงานในระดับปฎิบัติการหน้าร้าน และพนักงานที่สำนักงานใหญ่ ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะเราทราบดีว่าธุรกิจอาหารเป็นฟันเฟืองสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

ประพัฒน์ เสียงจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ การระบาดของไวรัส Covid-19 ในปัจจุบัน  บริษัทฯ ได้ดำเนินการให้ความรู้ และแนวทางการลงทะเบียน เพื่อฉีดวัคซีนให้แก่พนักงานที่ให้บริการในร้าน รวมถึงพนักงานขับรถส่งอาหาร ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อให้พนักงานได้รับทราบข้อเท็จจริง และตระหนักถึงความสำคัญในการฉีดวัคซีน พร้อมเร่งดำเนินการโครงการ “Minor Food 100% Vaccinated Covid – 19”

ซึ่งในปัจจุบันเราได้เร่งรณรงค์ให้พนักงานทุกระดับฉีดวัคซีนอย่างเร็วที่สุด โดยบริษัทฯ มีจังหวัดนำร่องที่พนักงานของไมเนอร์ ฟู้ดฯ ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 100% แล้วทุกแบรนด์ อย่างเช่นใน จังหวัดภูเก็ต  และ อำเภอเกาะสมุย โดยพนักงานที่ได้รับวัคซีนแล้วจะได้เข็มกลัดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกๆ คน และหากร้านได้รับวัคซีนครบ จะมีโปสเตอร์ติดหน้าร้านว่า พนักงานร้านนี้ 100% ได้รับวัคซีนครบแล้ว จากเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่แค่ปลอดภัยของตัวพนักงานแต่ยังส่งผลถึงครอบครัว และชุมชนที่พนักงานอยู่อาศัย

ต่อจากนี้ ไมเนอร์ ฟู้ดฯ ยังคงมุ่งเน้นมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัดและปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการ ทุกสาขาทั่วประเทศโดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. คัดกรองพนักงานทุกคนก่อนเข้าปฏิบัติงานในร้านทุกวัน และหากมีพนักงานเข้าข่ายมีอาการเบื้องต้นจะส่งพบแพทย์ทันที พร้อมเฝ้าระวังอาการอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน
  2. ให้พนักงานที่ปฏิบัติงานใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ในกรณีที่หน้ากากอนามัยไม่เพียงพอจะให้ความสำคัญแก่พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในการปรุงอาหารก่อน
  3. ให้พนักงานทุกคนใส่ถุงมืออนามัยตลอดเวลาปฎิบัติงาน ล้างมือและฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์เข้มข้น 70% ทุก 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
  4. ทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ผ่านการสัมผัสด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  5. ทำการจัดส่งแบบเว้นระยะห่าง (Social Distance) เพื่อเป็นการลดการแพร่กระจายของไวรัส และยืนห่างจากลูกค้าอย่างน้อย 2 เมตร ดูแลจนกว่าลูกค้าจะได้รับอาหารเรียบร้อย
  6. แนะนำให้ลูกค้าชำระเงินด้วยบัตรเครดิต เพื่อลดการสัมผัส ซึ่งสามารถชำระผ่านบัตรเครดิตได้ทุกช่องทางการสั่ง ทั้งโทร. 1112 เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น และในกรณีลูกค้าชำระด้วยเงินสด พนักงานจะโทรถามลูกค้าก่อนว่าชำระด้วยธนบัตรใด เพื่อเตรียมเงินทอนให้วางอยู่บนกล่องไปพร้อมกับการจัดส่ง

นายประพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  ลูกค้าสามารถใช้บริการดีลิเวอรีผ่านช่องทาง www.1112delivery.com หรือ แอพพลิเคชั่น 1112Delivery หรือ โทร. 1112Delivery และบริการ Drive-Thru ผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ ทั้งนี้บริษัทฯ ขอยืนยันในความมุ่งมั่นในดำเนินการป้องกันและควบคุม เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า และพนักงานในทุกสาขาทั่วประเทศ และบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะร่วมกันก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน และเป็นกำลังใจให้แก่ทีมแพทย์พยาบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย