DITP เผยอาหารฮาลาลไทยเป็นที่ยอมรับตลาดโลก

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ส่งออกอาหารฮาลาลไทย ยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากทั่วโลก เร่งยกระดับมาตรการป้องกันปนเปื้อนโควิด-19 พร้อมเดินหน้า “โครงการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยปลอดการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” (Thailand Delivers with Safety) วางเป้าปีนี้ส่งออกอาหารฮาลาลไปยังประเทศมุสลิม (OIC) มูลค่า 122,087.61 ล้านบาท

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้ทั่วโลกเกิดความกังวลด้านอาหารปลอดภัยมากขึ้น ที่ผ่านมากรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพการตลาดฮาลาลสู่สากล อาทิ การสร้างภาพลักษณ์สินค้าและบริการฮาลาล การส่งเสริมการส่งออกสินค้าฮาลาลไปยังกลุ่มประเทศเป้าหมาย ฯลฯ ซึ่งการส่งออกอาหารฮาลาลไทย ยังคงได้รับความเชื่อมั่นด้วยกระบวนการผลิตตามบทบัญญัติศาสนาอิสลาม มีข้อกำหนดที่มาของวัตถุดิบ ส่วนผสม กรรมวิธีการผลิต กระบวนการเพาะปลูกการเพาะเลี้ยง และการปฏิบัติของบุคลากรในกระบวนการผลิตอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปลอดภัยจากสิ่งต้องห้าม โดยได้รับการตรวจสอบและรับรองเครื่องหมายฮาลาลจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศ

นอกจากนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าทั่วโลก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้บูรณาการกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ยกระดับกระบวนการผลิต ด้วยการออกมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในกระบวนการผลิตอาหารเพื่อการส่งออกอย่างเข้มงวด เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้ประกอบการ ผู้จัดส่งวัตถุดิบ อาหารแช่เยือกแข็ง รวมถึงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ให้ปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน โดยมาตรการดังกล่าว มุ่งให้ผู้ประกอบการ และ Supplier ที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งวัตถุดิบจากเรือ หรือท่าเรือ เพิ่มความเข้มข้นในการลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนมากับวัตถุดิบ Ingredient และภาชนะบรรจุ โรงงานผู้ผลิตต้องมีการควบคุมกระบวนการผลิตที่เข้มงวด ทั้งคุณภาพและความปลอดภัยในการรับวัตถุดิบจากเรือ หรือท่าเรือ การจัดเก็บในห้องเย็น การแปรรูป การบรรจุ รวมถึงมาตรการในการขนส่ง การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อภายในตู้คอนเทนเนอร์ การควบคุมสุขอนามัยของพนักงานและสิ่งแวดล้อมในโรงงาน ตั้งแต่สถานที่และอาคารผลิต ระบบสุขาภิบาล การเคร่งครัดในการทำความสะอาด และฆ่าเชื้อในอาคารผลิต เครื่องจักร พื้น ผนัง รวมทั้งพื้นที่ผิวจุดเสี่ยงที่มีการสัมผัสร่วมกันตามความถี่ที่เหมาะสม มีมาตรการคัดกรองบุคลากร สถานที่ทำงาน การอบรม ให้พนักงานมีความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม

“นอกจากการยกระดับมาตรการที่เข้มข้นแล้ว เรายังเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าโดยการจัด “โครงการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยปลอดการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” (Thailand Deliver with Safety) โดยคุมเข้มมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้ประกอบการ ผู้จัดส่งวัตถุดิบ รวมถึงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าทั่วโลก และเป็นการตอกย้ำว่าไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตอาหาร และมีเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล มีความปลอดภัยทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การเก็บเกี่ยว การขนส่ง มีระบบป้องกันตนเองของพนักงานในโรงงาน การบรรจุ และการขนส่งจนถึงมือผู้บริโภค”นายสมเด็จ กล่าว

สำหรับทิศทางการส่งออกอาหารฮาลาลในปี 2564 ประเทศไทยมีเป้าหมายการส่งออกไปยังประเทศมุสลิม (OIC) มูลค่าประมาณ 122,087.61 ล้านบาท อัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 โดยในปี 2563 มีมูลค่าส่งออก 118,531.66 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตสำคัญในการป้อนสินค้าฮาลาลประเภทต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และได้รับการยอมรับอย่างมากจากผู้บริโภคภายในประเทศและตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น ไก่ กุ้ง ทูน่ากระป๋อง ข้าว ผลไม้สดและแห้ง ผักสดแช่เย็นและแช่แข็ง ของขบเคี้ยว อาหารสำเร็จรูป frozen food, ready to eat food เครื่องสำอาง แฟชั่น เป็นต้น โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่ส่งออกไปยังประเทศมุสลิมมากที่สุด คือ ข้าว น้ำตาลทราย อาหารทะเล กระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ตามลำดับ

ตลาดอาหารฮาลาล เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง มีมูลค่าตลาดทั่วโลกประมาณ 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งไทยมีความได้เปรียบในด้านโลจิสติกส์ และมีสินค้าที่มีความหลากหลายตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และปัจจุบันไทยมีบริษัทที่ได้รับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลประมาณ 5,000 บริษัท มีผลิตภัณฑ์ที่ขอรับการรับรองฮาลาลมากกว่า 160,000 รายการ (ข้อมูลของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย)

ปัจจุบัน ไทยส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมมากเป็นอันดับ 13 ของโลก โดยประเทศที่มีการส่งออกไปยังประเทศมุสลิมเป็นจำนวนมาก ได้ แก่ จีน สหรัฐอเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน อินเดีย เบลเยี่ยม บราซิล สหราชอาณาจักร แคนาดา อินโดนีเซีย และไทย ตามลำดับ

พิซซ่าควอตโตร ไซส์ใหญ่เต็มคำพิซซ่าแท้ 4 หน้าในถาดเดียว

โดมิโนส์ พิซซ่า พิซซ่าแท้สัญชาติอเมริกันเปิดมิติใหม่แห่งวงการพิซซ่าด้วยเมนู พิซซ่าควอตโตร (Quattro) มิกซ์หน้าอร่อย 4 หน้ารวมไว้ใน 1 เดียวด้วยหน้าท็อปฮิตถาดใหญ่อิ่มอร่อยเต็มคำที่มาเอาใจแฟนพันธุ์แท้พิซซ่าด้วย 3 หน้าหลักทั้งพิซซ่าควอตโตรต้นตำรับ ที่รวมหน้าฮาวายเอี้ยน, เอ็กซ์ตร้าวากันซ่า, อัลติเมท เปปเปอโรนี, เอ็กซ์ตรีมชีส พิซซ่าควอตโตรหมูทะเล ที่รวมหน้าฮาวายเอี้ยน, อัลติเมท เปปเปอโรนี, ค็อกเทลกุ้ง, ซีฟู๊ดไอส์แลนด์ และ พิซซ่าควอตโตรจ้าวสมุทร ที่รวมหน้าค็อกเทลกุ้ง, ซีฟู๊ดไอส์แลนด์, ซีฟู๊ดมาเนีย, ซีฟู๊ดไอส์แลนด์ มาพร้อมความพิเศษของแป้งที่มีให้เลือก 2 แบบไม่ว่าจะเป็นแป้งบางกรอบ (Thin & Crispy) กรอบอร่อยสไตล์อเมริกัน หรือแป้งหนานุ่ม (Classic Hand-Tossed) แป้งโดว์นวดสด นุ่มอร่อยด้วยสูตรลับเฉพาะของโดมิโน่ส์พิซซ่า

ทุกถาดเรารังสรรค์ด้วยความตั้งใจ แป้งพิซซ่าที่ดีที่สุด ชีสนำเข้าที่ดีที่สุดยืด หอม อร่อย กับท็อปปิ้งแน่นจัดเต็ม เพื่อให้แฟนพิซซ่าอร่อยตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย ทั้งนี้โดมิโนส์ พิซซ่า เรายังคงยึดมั่นและใส่ใจในการบริการด้วยมาตรการ Clean & Safe อร่อยปลอดภัย ลดเลี่ยงการสัมผัส พร้อมเดินหน้าให้บริการส่งความอร่อยให้คุณถึงหน้าบ้านด้วยความห่วงใยและความปลอดภัยสูงสุด

สำหรับเมนู พิซซ่าควอตโตร (Quattro) พร้อมเสิร์ฟร้อนสำหรับลูกค้าทุกสาขา หรือโทร 1612 สำหรับบริการส่งฟรีถึงบ้านแบบรวดเร็วทันใจ หรือสั่งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://www.dominospizza.co.th/ ในราคาเริ่มต้น 299 บาท/ถาด เพื่อฉลองแคมเปญใหม่ จากปกติราคา 499 บาท/ถาด ยิ่งกว่านั้น เมื่อสั่งซื้อพิซซ่าควอตโตร (Quattro) สามารถแลกซื้อไก่ 6 ชิ้นในราคา 99 บาท (จากราคาปกติ 129 บาท) หรือแลกซื้อพาสต้าในราคา 99 บาท (จากราคาปกติ 129 บาท) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook : https://www.facebook.com/DominosPizzaThailand และ Line Official : @dominospizzath

แม็คโคร ตั้งเป้าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ประกาศเจตนารมณ์รับวันสิ่งแวดล้อมโลก ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นศูนย์ในปี 2573 ขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียวตลอดห่วงโซ่ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไปแล้ว 2 หมื่นตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี พร้อมเดินหน้าหยุดขายโฟมบรรจุอาหารทุกสาขาทั่วประเทศสิ้นปี 2564

ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)

ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม็คโครมีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจเพื่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ เริ่มตั้งแต่การไม่ให้ถุงพลาสติกหูหิ้วตั้งแต่วันแรกของการเปิดดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งช่วยลดการทิ้งถุงพลาสติกลงสู่สิ่งแวดล้อมไปกว่า 4,400 ล้านชิ้น ล่าสุด เนื่องในวาระครบรอบ 32 ปีของแม็คโคร เราได้ประกาศเจตนารมณ์ในการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นศูนย์ ในปี 2573 ผ่านการวางโรดแมปการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด การส่งเสริมให้ลูกค้าผู้ประกอบการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านแผนเชิงรุกในการหยุดขายโฟมบรรจุอาหารและทดแทนด้วยบรรจุภัณฑ์แบบย่อยสลายได้

ในปีนี้การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของแม็คโคร ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากหลายโครงการ ทั้งการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar rooftop) จำนวน 52 สาขา ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปได้ประมาณ 20,000 ตัน CO2e ต่อปี เทียบได้กับการปลูกต้นไม้ 1.3 ล้านต้น , การบริหารจัดการพลังงานภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ จากการเปลี่ยนโคมไฟแสงสว่างเป็นหลอด LED ประสิทธิภาพสูง ใน 26 สาขา การบริหารจัดการระบบทำความเย็นและน้ำยาทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ของระบบตู้แช่อาหารสด รวมทั้ง เปลี่ยนเครื่องทำความเย็น (Chiller) ระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง จำนวน 17 สาขา ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง 5,460,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปได้ 2,800 ตัน CO2e ต่อปี

ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากประกาศความเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งไทยรายแรกที่ตั้งเป้าลดการจำหน่ายภาชนะโฟมใส่อาหารแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผ่านโครงการแม็คโครรักษ์โลก Say Hi to Bio, Say No to Foam ในปี 2562 จนถึงปัจจุบันแม็คโคร 52 สาขา หยุดจำหน่ายโฟมบรรจุอาหาร ลดการจำหน่ายไปแล้วกว่า 32.78 ล้านชิ้น ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายหยุดขายโฟมบรรจุอาหารในทุกสาขาทั่วประเทศภายในปี 2564 นอกจากหยุดยั้งการสร้างขยะย่อยสลายยากให้แก่โลกแล้ว แม็คโครยังจัดกิจกรรมรณรงค์ผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านโชห่วย ที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่สำคัญ หันมาใช้บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายง่ายเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ดร.อนันต์ กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากวิกฤตโควิด-19 เราทุกคนยังต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนบนโลกจึงล้วนมีส่วนสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับการดำเนินงานและ พันธกิจของแม็คโคร ที่มุ่งสู่การเป็นธุรกิจสีเขียวตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สร้างความตระหนักและชวนเชิญลูกค้าประชาชนให้เห็นความสำคัญของวิกฤตการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกด้วย

ทั้งนี้ แม็คโคร ได้รับรางวัลในด้านสิ่งแวดล้อมมากมาย อาทิ รางวัลประกาศเกียรติคุณในฐานะที่เป็นองค์กรที่สนับสนุนกิจกรรมการลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme) ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร ประจำปี 2561 โดย องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก, ในปี 2563 รับรางวัลด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมระดับยอดเยื่ยม Platinum จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค GSEE (Global Sustainable Energy and Environment) และโล่ห์ประกาศเกียรติคุณจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Programm : T-Ver) ประจำปี 2563 จำนวน 3 รางวัล

ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)

พิซซ่า ฮัท เปิดเกมแข่งกินเผ็ดแบบ Virtual Challenge

พิซซ่า ฮัท 1150 (Pizza Hut) แบรนด์พิซซ่าระดับโลกภายใต้การบริหารของบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด จัดเกมการแข่งขัน “Hottest Pizza Challenge” ใครกันจะแน่กว่า…กับเมนู ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต ครั้งแรกในประเทศไทย ท้าผู้บริโภคมาประชันความเร็วและความอึดในการกินเผ็ดแบบสุดขั้วขั้นเทพ ลุ้นรับรางวัลมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท ! เปิดรับผู้แข่งขันตั้งแต่วันนี้จนถึง 16 มิถุนายน 2564

กติกาการแข่งขันง่ายมาก ผู้สมัครร่วมแข่งขันเพียงสั่งพิซซ่า ฮัท “ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต” ขนาดบิ๊กสไลซ์ (Big Slice) อย่างน้อย 1 ชิ้น แล้วบันทึกวิดีโอขณะรับประทานจนหมดชิ้น โดยห้ามดื่มน้ำและใช้นาฬิกาจับเวลาที่สามารถบันทึกเวลาเป็นหน่วยมิลลิวินาทีเพื่อแสดงเวลาตลอดการแข่งขัน เมื่อรับประทานหมดพูดสโลแกน “พิซซ่า ฮัท ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต เผ็ดซี้ดซี้ด ชีสเยิ้มเยิ้ม” จากนั้นโพสต์คลิปลงเฟซบุ๊กของตนเอง และพิมพ์ #Pizzahuthottestcontest #ซี้ดเด็ดฮัทซัมยังฮอต พร้อมโพสต์คลิปในคอมเมนต์ใต้โพสต์การแข่งขันในเฟซบุ๊ก Pizza Hut (TH) โดยผู้เข้าแข่งขัน 20 คนที่ทำเวลาได้ดีที่สุดในรอบแรกจะได้รับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน WIKO Power U20 วีโก สมาร์ทโฟน พลังแบตยาว ตอบโจทย์ทุกความต้องการ คนละ 1 เครื่อง ทันที !

สำหรับผู้แข่งขันที่ทำเวลาดีที่สุดในรอบแรกจำนวน 5 คน จะผ่านเข้าไปแข่งต่อในรอบไฟนอลชิงรางวัลเงินสดในวันที่ 26 มิถุนายน 2564 เพื่อค้นหาผู้กล้าที่เอาชนะความเผ็ดซี้ดสุดโหดของ “ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต” จากพิซซ่า ฮัท ไปได้ โดยการแข่งขันรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นในรูปแบบ LIVE ซึ่งได้รับเกียรติจากคุณปิงปอง-ธงชัย ทองกันทม พิธีกรสายเอนเตอร์เทน มาการันตีความสนุกแซ่บตลอดการแข่งขันอีกด้วย และผู้ชม ผู้เชียร์ที่อยู่ทางบ้านสามารถรับชมการแข่งขันและร่วมสนุกทายผลผู้ชนะผ่านทางคอมเมนต์ได้แบบเรียลไทม์

ผู้สนใจร่วมเกมการแข่งขัน “Hottest Pizza Challenge” ใครกันแน่กว่ากับเมนู ซี้ดเด็ดฮัท ซัมยังฮอต สามารถศึกษากติกา เงื่อนไข และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3bCFQYE* หรือเฟซบุ๊ก Pizza Hut (TH)

 

BEAUTY แต่งตั้งผู้แทนร้านค้าปลีกรายใหญ่ภาคตะวันออก

ดร.พีระพงษ์ กิตติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ลงนามในสัญญาร่วมกับ นายสมพงษ์ เกียรติยุทธชาติ กรรมการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็น.พี.ฟลาวเวอร์ ตัวแทนจำหน่ายเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคในเขตภาคตะวันออก เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยผ่านช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกรายย่อย ครอบคลุมพื้นที่เขตภาคตะวันออก 8 จังหวัด ประกอบไปด้วย จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี และนครนายก ซึ่งมีจุดจำหน่ายรวมทั้งสิ้นกว่า 1,500 จุดจำหน่าย ณ สำนักงาน ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็น.พี.ฟลาวเวอร์ จ.ชลบุรี

รพ.นวเวช ต้อนรับผู้บริหารสหพัฒน์ เยี่ยมชมการทำงาน

นายไกรวิน ศรีไกรวิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นวเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ ทีมงานของ โรงพยาบาลนวเวช ต้อนรับคณะผู้บริหารจาก บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) อาทิ นางผาสุข รักษาวงศ์, นายเวทิต โชควัฒนา, นางชัยลดา ตันติเวชกุล, นายเพชร พะเนียงเวทย์ ในโอกาสที่เข้าเยี่ยมชมศักยภาพการให้บริการ การบริหารจัดการ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานและทันสมัยของโรงพยาบาลนวเวช

AQUA มอบข้าวสารอาหารแห้งสู้โควิด-19

บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ส่งบริษัทย่อย บริษัท ไทยคอนซูมเมอร์ ดิสทริบิวชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด ร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมกับ เนชั่นทีวี มอบข้าวสารอาหารแห้งให้กับวัดเปร็งไพบูลย์ธัญญาหาร จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อช่วยเหลือพระสงฆ์ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยมี นายพลสิทธิ ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นตัวแทนมอบให้กับพระสงฆ์

SCN เตรียมนำบริษัทย่อยจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์

บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก นำบริษัทย่อย “บริษัท สแกน แอดวานซ์ พาวเวอร์ จำกัด” หรือ SAP ลงนามแต่งตั้ง บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA)

SAP เกิดจากความร่วมมือของ 3 หุ้นส่วนผู้มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจพลังงานสะอาดคือ บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN (ถือหุ้น 53.5%) บริษัท พร้อมพาวเวอร์ จำกัด หรือ PP (ถือหุ้น 26.3%) และบริษัท ไทย แอดวานซ์ โซลาร์ จำกัด หรือ TAS (ถือหุ้น 20.2%) ก่อตั้งเป็น “บริษัท สแกน แอดวานซ์ พาวเวอร์ จำกัด” เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา มุ่งเข้าร่วมลงทุนในสัญญาซื้อขายไฟภาคเอกชน (Private PPA) และสัญญาเช่าโครงการโซลาร์รูฟท็อปอย่างไม่จำกัด โดยที่ผ่านมา SAP ได้รับการตอบรับจากบรรดาผู้ประกอบการเอกชนเป็นอย่างดี ด้วยนโยบายการเข้าไปติดตั้งให้แก่ผู้ประกอบโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ผู้ประกอบการสามารถประหยัดค่าไฟได้ เป็นการลดต้นทุนอย่างเห็นได้ชัด

จำนวน ณ ปัจจุบันบริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด ได้ลงนามสัญญาร่วมกับผู้ประกอบการแล้วกว่า 27 ราย ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 18.7 เมกะวัตต์ ตั้งเป้ากำลังการผลิตติดตั้งรวม 110 เมกะวัตต์ภายในปี 2567 ซึ่งทั้งหมดจะใช้เงินลงทุนราว 3,000 ล้านบาท ในช่วงที่ผ่านมา SCN รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการมาแล้วกว่า 9.30 ล้านบาท

โดยการลงนามแต่งตั้ง บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ในครั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการเงินและเพิ่มโอกาสทางด้านธุรกิจ รวมถึงเป็นการเสริมให้บริษัทสามารถวางแผนและดำเนินการบริหารให้มีรากฐานที่มั่นคง และเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

THG x KBTG เปิดตัวแพลตฟอร์มลงทะเบียนฉีดวัคซีนทางเลือก

ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ร่วมมือกับ KBTG เปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัล เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนแสดงความสนใจวัคซีนทางเลือก ผ่านช่องทาง Line @THGinfo เริ่ม 1 มิ.ย. มีคนลงทะเบียนแล้ว 9 แสนคน โดยยังไม่มีการชำระเงิน จนกว่าจะนำเข้าวัคซีนได้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อหนุนคนไทยเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยเร็ว

นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG

นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยาวนานร่วมปีครึ่ง ส่งผลให้มีคนไทยติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และทุกคนต่างแสวงหาแนวทางป้องกันในการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันที่ได้รับการยอมรับในประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ดังนั้นบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป เจ้าของเครือโรงพยาบาลเครือธนบุรี จึงได้ศึกษาการนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเสริมทางเลือกให้แก่ประชาชน นอกจากวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้แก่ประชาชน และสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทยให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้เริ่มเปิดให้ประชาชนที่สนใจฉีดวัคซีนทางเลือกลงทะเบียนผ่านช่องทาง LINE @THGinfo ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมียอดลงทะเบียนหลังจากเปิดระบบทะลุ 900,000 คน ในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถนำเข้าวัคซีนทางเลือกผ่านองค์การเภสัชกรรมได้ประมาณเดือนตุลาคมนี้ จากนั้นจึงเริ่มเปิดให้ประชาชนชำระค่าวัคซีนผ่านระบบ Payment Gateway อย่างไรก็ตามหากบริษัทฯ ไม่สามารถนำเข้าวัคซีนได้ภายในเดือนธันวาคมนี้จะคืนเงินให้ทุกราย พร้อมกันนี้ทางบริษัทยังเปิดบริการตรวจ Neutralizing Antibody (nAb) หรือการตรวจปริมาณภูมิคุ้มกัน ซึ่งสามารถตรวจได้หลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 4-8 สัปดาห์ ที่สามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีน ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นในการป้องกันโรค

นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)

ด้าน นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า KBTG ร่วมมือกับบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ได้สร้างแพลตฟอร์มเพื่อเป็นช่องทางให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับการฉีดวัคซีนทางเลือกกับโรงพยาบาลในเครือข่ายของโรงพยาบาลธนบุรี จำนวน 2 โดส ผ่านแอพลิเคชันไลน์ (LINE) @THGinfo โดยผู้ลงทะเบียนเพียงกรอกประวัติ โรคประจำตัว เลือกภาคและโรงพยาบาลในเครือธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ทีมีอยู่ 17 แห่งทั่วประเทศเพื่อรับการฉีดวัคซีน ซึ่งเมื่อลงทะเบียนสำเร็จทางโรงพยาบาลจะแจ้งเลขที่การลงทะเบียนให้ และจะแจ้งวัน เวลา นัดหมายฉีดวัคซีนให้ทราบต่อไปผ่านทางแอพลิเคชันไลน์

นายเรืองโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับความร่วมมือพัฒนาแพลตฟอร์มในครั้งนี้ KBTG ได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ ร่วมถึงการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก เพื่อให้ง่ายต่อการลงทะเบียนและติดต่อสื่อสารต่อไป เป็นการเพิ่มโอกาสการเข้ารับวัคซีนทางเลือกให้แก่คนไทย ซึ่งจะส่งผลต่อการยับยั้งการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เร่งการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อสามารถเปิดประเทศได้โดยเร็ว ทำให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่าง ๆ ฟื้นตัวส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนเดิมได้อีกครั้ง

ปัจจุบัน บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในผู้นำด้านดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรและบริการที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ภายใต้แนวคิด ‘ดูแลคุณในทุกช่วงชีวิต’ (Lifetime Health Guardian for All) จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพแก่ประชาชนมากว่า 40 ปี บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นับตั้งแต่เริ่มเกิดการแพร่ระบาดในปีที่ผ่านมา ทั้งการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจได้สะดวก ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบไดรฟ์ทรู การร่วมมือกับผู้ประกอบการโรงแรมในการจัดตั้งหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ หรือฮอสพิเทล (Hospitel) รองรับผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังจัดหาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องช่วยหายใจเพิ่มเติมเพื่อดูแลรักษาคนไข้อย่างทันท่วงที

ชวนเหล่านักเขียนมาปล่อยของใน MAJOR WRITER CONTEST ครั้งที่ 2

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป สานต่อโครงการ MAJOR WRITER CONTEST คุณเขียน เราสร้าง ครั้งที่ 2 เฟ้นหาพล็อตเรื่องคุณภาพนำมาพัฒนาเป็นบทภาพยนตร์ หลังได้กระแสตอบรับอย่างท่วมท้นในการประกวดครั้งที่ 1 โดยในปีที่ผ่านมา MAJOR WRITER CONTEST ได้นำผลงานที่ชนะเลิศการประกวด มาพัฒนามาเป็นบทภาพยนตร์เพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ออกสู่สายตาผู้ชม ครั้งนี้ถึงเวลาปล่อยของ ชวนเหล่านักเขียนมาโชว์พลังไอเดียสุดสร้างสรรค์ ส่งผลงานเข้าประกวด ไม่จำกัดจำนวนเรื่องต่อคน ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน-31 กรกฎาคม 2564 ชิงเงินรางวัลเรื่องละ 30,000 บาท

สำหรับโครงการ MAJOR WRITER CONTEST คุณเขียน เราสร้าง ครั้งที่ 2 เป็นการเพิ่มพื้นที่ในการพัฒนาศักยภาพแก่วงการบทภาพยนตร์ เปิดโอกาสให้คนมีฝันที่มีไอเดียอยู่เต็มกระเป๋าและต้องการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านบทภาพยนตร์ เปิดกว้างให้นักเขียนทั่วไป ไม่จำกัดอายุ เพศ เพียงแค่คุณมีความสามารถในการเล่าเรื่อง ส่งผลงานเรื่องย่อภาพยนตร์ 1-2 หน้า ไม่กำหนด Font และ format ได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน-31 กรกฎาคม 2564 ชิงเงินรางวัลเรื่องละ 30,000 บาท โดยผลงานที่มีไอเดียสุดเจ๋งจะได้รับการพิจารณานำมาพัฒนาเป็นบทภาพยนตร์ในกลุ่มบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ในเครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป

อย่าปล่อยให้ไอเดียเจ๋งๆ อยู่แค่ในความคิด…ผู้สนใจสามารถส่งผลงานพร้อมประวัติโดยย่อของคุณมาที่อีเมล์ [email protected] และติดตามความเคลื่อนไหวและการประกาศผลผ่านทาง Fanpage Major Group โดยจะประกาศผลงานที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกจำนวน 10 เรื่อง ผ่านสู่รอบ Pitching กับคณะกรรมการ ในวันที่ 1 กันยายน 2564 โดยผู้ที่ผ่านเข้ารอบจะได้ร่วมการ Pitching กับคณะกรรมการในวันที่ 14 กันยายน 2564 และจะประกาศผลผู้ที่ได้รับคัดเลือกผลงานในวันที่ 24 กันยายน 2564

สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัล… ลิขสิทธิ์จะเป็นของโครงการประกวด 1 ปี หลังจากนั้นจะเป็นของผู้เขียน สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้เขียน #MajorWriterContest #คุณเขียนเราสร้าง