รับสมัคร 15 สตาร์ทอัพนักนวัตกรรมไทยบินโชว์ผลงานใน CES 2022

บริษัท โซเชียลแล็บ จำกัด ร่วมกับ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สมาคมไทยไอโอที พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผนึกกำลังร่วมกันเฟ้นหา 15 สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการเทครุ่นใหม่ ที่พร้อมนำนวัตกรรมเทคโนโลยีด้าน Hardware ที่สร้างสรรค์ออกสู่เวทีโลก และประกาศความพร้อมติดสปีดอุตสาหกรรมดิจิทัลเดินหน้า ผลักดันนวัตกรรมไทยให้ตอบโจทย์ธุรกิจสู่เวทีโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Thailand Pavilion” ในงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก   งาน Consumer Electronics Show (CES) 2022 เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 5-8 มกราคม 2564 ซึ่งสตาร์ทอัพทั้ง 15 คนที่ได้รับการคัดเลือก จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ครั้งสำคัญที่เกิดจากความร่วมมือของ Gadget Accelerator หรือ GAX ผู้สนับสนุนจากทั้ง ภาครัฐ และเอกชน เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญจากวงการนักประดิษฐ์ รวมถึงนักออกแบบ ที่จะช่วยเตรียมความพร้อมและบ่มเพาะสตาร์ทอัพทุกคนให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปแสดงผลงาน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของสตาร์ทอัพไทยที่จะได้เรียนรู้ เข้าใจเทรนด์โลกเทคโนโลยีแห่ง อนาคต พัฒนาช่องทางขยายตลาด สร้างเครือข่ายกับพันธมิตรต่างประเทศ และโอกาสในการต่อยอดธุรกิจกับนักลงทุนรายใหญ่

ผู้สนใจที่อยากจะร่วมเป็น 1 ใน 15 สตาร์ทอัพนักนวัตกรรมไทย ที่บินไปโชว์ผลงานไกลถึงงาน CES 2022 ณ เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถสมัครส่งผลงานได้ที่ shorturl.asia/RG6Hk ตั้งแต่วันนี้ – 22 มิถุนายน 2564

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อีเมล [email protected], Facebook: Gax Community และ Facebook: Ceemeagain

นักลงทุนคาดหวังฉีดวัคซีน Covid-19 ช่วยฟื้นตัวเศรษฐกิจ

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนพฤษภาคม 2564 พบว่า “ดัชนีฯ  ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 126.40 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% จากเดือนก่อน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด  รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการไหลเข้าของเงินทุน สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกสามในไทย รองลงมาคือความขัดแย้งระหว่างประเทศ และผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนพฤษภาคม 2564 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

  • ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (สิงหาคม 2564) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120 -159) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 40
  • ความเชื่อมั่นนักลงทุนเกือบทุกกลุ่มอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ยกเว้นความเชื่อมั่นนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”
  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON)
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
  • ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ แผนการกระจายวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19
  • ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกสาม

“ผลสำรวจ ณ เดือนพฤษภาคม 2564 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับตัวลดลง 3% อยู่ที่ระดับ 125.37 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9% อยู่ที่ระดับ 150.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% อยู่ที่ระดับ 118.75 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติคงตัวที่ระดับ 120.00

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 SET index ผันผวนอยู่ระหว่าง 1,548.13 —1,593.59 โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในสัปดาห์แรก ตามแรงหนุนของตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรป และความคาดหวังที่จะได้จำนวนวัคซีนเพิ่มขึ้นจากการร่วมมือของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างหนักในช่วงกลางเดือน เนื่องจากนักลงทุนกังวลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มสูงเกิดคาด ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมถึงอาจลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดการไว้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งปัจจัยในประเทศซึ่งพบคลัสเตอร์การระบาดใหม่หลายแห่งในกรุงเทพ  จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 2 พันรายต่อวัน การพบไวรัสสายพันธุ์อินเดียในประเทศไทย และความล่าช้าของการกระจายวัคซีน โดยมีปัจจัยบวกคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลมูลค่ารวม 2.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้ SET index ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ปิดที่ 1,593.59 จุด

ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน และยุโรป จากการทยอยเปิดประเทศหลังจากประชาชนจำนวนมากได้รับวัคซีนแล้ว ซึ่งจะทำให้ภาคการส่งออกไทยได้อานิสงส์ไปด้วย การติดตามผลการประชุมธนาคารกลางในยุโรป สหรัฐ  ญี่ปุ่นและอังกฤษ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการเฝ้าระวังการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย อาทิ มาเลเซีย เวียตนาม ในส่วนของปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การสรรหาและแจกจ่ายวัคซีนในประเทศให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 100 ล้านโดสภายในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนและจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ ผลการพิจารณา พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มเติม วงเงิน 5 แสนล้านบาท และผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้”

ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมิถุนายน 2564

ผลจากดัชนีสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดที่คงมุมมองเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว ว่า กนง. จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และอายุ 10 ปี คาดการณ์ว่า ณ สิ้นไตรมาส 2 มีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงนักจากวันที่ทำการสำรวจ (21 พ.ค. 64) โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นที่คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปีอาจไม่เปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่าจะมีความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น และการออก พรก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากการระบาดของ COVID-19 และความไม่แน่นอนของการฉีดวัคซีนที่อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวลงได้เช่นกัน

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมิถุนายน 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนกุมภาพันธ์นี้อยู่ที่ระดับ 47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งที่แล้วและยังอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” สะท้อนมุมมองของตลาดที่คาดว่าการประชุม กนง. ในเดือนมิถุนายนนี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.5 เนื่องจาก เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลงจากการระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 และ ธปท. ได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจและ SME ต่างๆ ความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจึงลดลง
  • ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปีและ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” โดยดัชนีปรับตัวลดลงจากครั้งก่อนจากการมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนจะไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปี และ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 2 น่าจะไม่แตกต่างไปจากวันที่ทำการสำรวจ (21 พ.ค. 64) ที่ระดับ 1.06% และ 1.86% ตามลำดับ  โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ ได้แก่ อุปสงค์และอุปทานในตลาดตราสารหนี้ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลก รวมถึง เศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก

LPN เปิดตัว 2 โครงการใหม่ไตรมาสสอง

LPN รุกเปิดตัว 2 โครงการใหม่ไตรมาส 2 ทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านระดับ Premium มูลค่า 5,500 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “Balance is More” คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ฉลาดเลือก และ “Simply Luxury” บ้านอยู่อาศัยที่มีความเรียบหรู สง่างาม เป็นส่วนตัว เชื่อกระตุ้นยอดขายในไตรมาสสองของปี 2564 ทะลุ 3,000 ล้านบาท

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จะยังคงมีอยู่ โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ใน 2 ทำเล ย่านจรัญสนิทวงศ์-สามแยกไฟฉาย และแจ้งวัฒนะ ในไตรมาสสองของปี 2564 มูลค่าโครงการรวม 5,500 ล้านบาท

ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย

โครงการแรกที่เปิดตัวเป็นโครงการคอนโดมิเนียม “ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย” มูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 3 อาคาร บนทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพในย่านฝั่งธนบุรี ที่สามารถเดินทางเข้า-ออกสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบายทั้งทางรถยนต์และรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีจรัญ 13 และสถานีไฟฉาย ออกแบบภายใต้แนวคิด “Balance is More : การใช้ชีวิตที่มากกว่า” อย่าง “พอดี” กับการอยู่อาศัยในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ห้องละ 1.5 ล้านบาท โดยเปิดตัวในเฟสแรก มูลค่า 960 ล้านบาท

ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย

“ทำเล จรัญฯ-ไฟฉาย เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีศักยภาพของฝั่งธน เดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก เป็นทำเลที่ยังมีความต้องการของตลาด จากผลการสำรวจพบว่า ทำเล “จรัญสนิทวงศ์” มีจำนวนอาคารชุดเหลือขายเพียง 965 หน่วย มีอัตราการขายเฉลี่ย 5% ต่อเดือน โดยมีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 89,700 บาทต่อตารางเมตร โดยในปี 2563 คอนโดมิเนียมในย่านจรัญฯ มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (capital gain) จากการซื้อมาและขายออกไปเฉลี่ยอยู่ที่ ที่ 8% ต่อปี ในขณะที่ผู้บริโภคในทำเลนี้มีกำลังซื้อสูง ทำให้ LPN ตัดสินใจเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลนี้ ในระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable Price) พร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบทุกโจทย์ความต้องการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถมีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น” นายโอภาส กล่าว

ลุมพีนี วิลล์ จรัญ-ไฟฉาย ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด เพื่อชีวิตที่ “พอดี” อย่างเช่นห้องสตูดิโอที่มีขนาด 25 ตารางเมตร มากกว่าห้องสตูดิโอมาตรฐาน (24 ตร.ม.) ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งพื้นที่ทำงาน และพักผ่อน (Working & Relaxing Space) และห้องขนาด 1 ห้องนอน ถูกออกแบบให้รองรับกับการใช้ชีวิตที่บ้านที่มากขึ้นทั้งการทำงาน และการพักผ่อน (Work & Life Balance) พร้อมกับออกแบบหน้าต่างให้มีขนาดที่กว้างขึ้นเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เพิ่มความโปร่งโล่ง ให้ได้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในอาคาร

การออกแบบโครงการคำนึงถึงรูปแบบการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายผ่านการออกแบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในแบบ “Passive Design” ให้แต่ละอาคารมีโครงสร้างเป็น “L-Shape” และออกแบบภูมิสถาปัตย์ฯ ให้แต่ละอาคารไม่ทับซ้อนกัน เพื่อเปิดมุมมองให้ห้องพักทุกห้องสามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกอาคารได้ทุกห้อง และทำให้เกิดทิศทางลมระหว่างอาคาร ช่วยประหยัดการใช้พลังงานในอาคารอีกด้วย

นอกจากนี้ ตัวโครงการยังถูกออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวภายใต้แนวคิดของ “Playground” ขนาดใหญ่ ให้สามารถใช้งานได้จริงโดยแบ่งพื้นที่เป็น สวนสำหรับการออกกำลังกาย สวนพักผ่อน สวนผักและผลไม้แบบ Organic เพื่อส่งเสริมกิจกรรมและอาหารเพื่อสุขภาพ สวนที่อยู่เหนือชั้นอาคารจอดรถที่ช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และติดตั้ง Solar Cell เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนสำหรับระบบไฟฟ้าในพื้นที่สวนของโครงการ เป็นส่วนที่ “มากกว่า” อย่าง “พอดี” สำหรับทุกคนในแต่ละมุมของโครงการ

บ้าน 365 เมืองทอง
บ้าน 365 เมืองทอง

และปลายเดือนมิถุนายน 2564 LPN มีแผนเปิดตัวโครงการ “บ้าน 365 เมืองทอง” มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ที่ระดับราคาเริ่มต้นที่ 9-19 ล้านบาท “บ้าน 365 เมืองทอง” เป็นบ้านในระดับ Premium บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองทองธานี ติดทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่ออกแบบภายใต้แนวคิดหลัก “Simple Luxury” เรียบหรู สง่างาม เป็นส่วนตัว ผสมผสานการออกแบบของสถาปัตยกกรรมสไตล์ Modern บนการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์ทุก Lifestyle การใช้ชีวิต ใน Concept “A Place of My Crafted Life” ประกอบด้วย ทาวน์โฮมสูง 3 ชั้น บ้านแฝดสูง 3 ชั้น และโฮมออฟฟิศ สูง 4 ชั้น รวมทั้งสิ้น 190 หลัง

“ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยมาตรการการดูแลผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Healthy) ลดการสัมผัส (Touchless) และการเว้นระยะห่าง(Social Distancing) โดยการนัดหมายล่วงหน้า รวมถึงการเยี่ยมชมโครงการโดยใช้ Virtual Visit ที่ลูกค้าสามารถขอชมห้องตัวอย่างออนไลน์เพื่อการตัดสินใจเบื้องต้นได้ ทำให้บริษัทมีความมั่นใจเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสสองของปี โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ในไตรมาสสองของปี 2564 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายยอดขาย 10,000 ล้านบาทในปี 2564 นี้ และในช่วงไตรมาสสามของปี 2564 เรามีแผนที่จะเปิดโครงการบ้านพักอาศัยอย่างต่อเนื่องในอีกหลายทำเล อาทิ ลาดพร้าว 101 และ บางบัวทอง เพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการของผู้บริโภค” นายโอภาส กล่าว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LPN Call Center 02-689-6888 หรือ Facebook : LPN Connect หรือแอพพลิเคชั่น LINE OA ที่ @LPNConnect http://bit.ly/PR-LPN-2020

 

B52 ย้ายหุ้นเทรดหมวดพาณิชย์ ประเดิม 11 มิ.ย.นี้

บมจ.บี-52 แคปปิตอล (B52) ติดปีกบิน หลังตลาดหลักทรัพย์อนุมัติ ย้ายหุ้นเทรดจากกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจแฟชั่น ไปอยู่กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดพาณิชย์ ประเดิมวันที่ 11 มิ.ย.นี้ ฟาก “นราวดี วรวณิชชา”ซีอีโอ ระบุการย้ายหุ้นเทรดหมวดพาณิชย์ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังจากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เดินหน้าขยายธุรกิจเครือข่ายค้าปลีกทั่วประเทศกว่า 120,000 ร้านค้า ผ่านแพลตฟอร์ม “ทันใจดี”เต็มสปีด พร้อมลุยธุรกิจออนไลน์ และดิจิทัล หนุนผลงานปีนี้เทิรน์อะราวด์ ผลักดันอนาคตเติบโตยั่งยืน

นางสาวนราวดี วรวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี-52 แคปปิตอล หรือ B52 เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดแนวทางในการทบทวนและปรับย้ายกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน โดยพิจารณาจัดตามประเภทธุรกิจที่สร้างรายได้ส่วนใหญ่ให้บริษัทเป็นสำคัญ และจะทบทวนความเหมาะสมของกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทเป็นประจำทุกปี

ทั้งนี้ จากการพิจารณาโครงสร้างรายได้ และลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัท ประกอบกับข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 2563 (แบบ 56-1) และงบการเงินประจำปี 2563 แล้ว พบว่ามีบริษัทที่โครงสร้างรายลักษณะการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้ปรับย้ายบริษัทให้อยู่กลุ่มอุตสาหกรรม และหมวดธุรกิจที่เหมาะสมยิ่งขึ้น โดย บมจ.บี-52 แคปปิตอล (B52) มีรายได้หลักจากธุรกิจการให้บริการทางพาณิชย์ จัดจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของบริษัท จึงปรับย้ายจากกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) หมวดธุรกิจแฟชั่น (Fashion) ไปยัง กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Services) หมวดธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) และการปรับย้ายกลุ่มอุตสาหกรรม และหมวดธุรกิจให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

“การย้ายหุ้น B52 เข้าไปซื้อขายในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการหมวดพาณิชย์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังจากที่บริษัทฯได้ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อให้มีรายได้และกำไรเติบโตได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันหมวดพาณิชย์ เป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน  ดังนั้น หุ้นของบริษัทน่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีด้วยเช่นกัน”

นางสาวนราวดี กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี2564 บริษัทวางเป้าหมายกลับมาเทิร์นอะราวด์ หลังปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งมีเป้าหมาย และแนวทางที่ชัดเจน มุ่งเน้นการทำธุรกิจในเครือข่ายค้าปลีกทั่วประเทศกว่า 120,000 ร้านค้า ผ่านแพลตฟอร์ม “ทันใจดี” ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal ซึ่งจะทำให้ร้านค้าปลีกมีความเข้มแข็ง และเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท B52 อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัทกำลังดำเนินงานธุรกิจผ่านร้านค้าปลีกในเครือข่าย เช่น การให้บริการทางการเงินกับพันธมิตรแก่ร้านค้า (B2B) และ แก่ลูกค้าของร้านค้า (B2C) ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทฯ เช่น สินเชื่อเอสเอ็มอี สินเชื่อรถแลกเงิน เป็นต้น รวมทั้งบริษัทได้เพิ่มรูปแบบการให้บริการสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์แบบครบวงจร ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ผ่านร้านค้าปลีกทั่วประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทกำลังดำเนินงานขยายธุรกิจออนไลน์ และดิจิทัล ผ่านบริษัท วันดิจิตอลเน็ตเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ B52 ที่มีฐานลูกค้ากว่า 2 ล้านคนในแต่ละเดือน หรือ 24 ล้านคนในแต่ละปี โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรให้บริษัทได้เพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย

NDR จ่อส่งมอบรถ EV ล็อตแรก 30 คัน ภายในมิ.ย.นี้

นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ  บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน)  หรือ NDR, นายสรณัญซ์ ชูฉัตร (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) จำกัด  และ นายภัทรวิน มหัธนสกุล (ที่ 2 จากซ้าย) Cluster Manager จาก Robinhood เดินหน้าโปรเจ็ค EV ลงพื้นที่ดูโรงงานประกอบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯมีแผนส่งมอบรถล็อตแรกจำนวน 30 คันภายในเดือนมิถุนายน จากนั้นจะส่งมอบอีก 70 คันในเดือนกรกฎาคม 2564  โดยมี นาย กรกฤช จุฬางกูร (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานบริหาร บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี ให้การต้อนรับและนำทีมพาเยี่ยมชมไลน์การประกอบ ณ บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี จำกัด อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา

โดมิโนส์ พิซซ่า แจกฟรี Chocolate Lava Cake สำหรับผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19

บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์ โดมิโนส์ พิซซ่า พิซซ่าแท้สัญชาติอเมริกัน ชวนคนไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่พร้อมจัดแคมเปญให้ผู้ผ่านการฉีดวัคซีน รับฟรี! ช็อกโกแลต ลาวา 1 ชิ้น มูลค่า 75 บาท

โดย บริษัท โดมิโน่ เอเซีย แปซิฟิค จำกัด สนับสนุนให้ชาวไทยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 อย่างรวดเร็ว และครอบคลุมทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยปลอดภัยจากวิกฤตโรคระบาดดังกล่าว และยังเป็นทางออกระดับต้น ๆ ที่จะช่วยลดภาระหมอและพยาบาล รวมถึงบุคลากรทางการแทพย์ ดังนั้นโดมิโนส์ พิซซ่า จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนแคมเปญฉีดวัคซีนหยุดเชื้อเพื่อชาติจึงได้จัดแคมเปญมอบสิทธิสำหรับผู้ที่ผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพียงแสดงบัตรรับรองการฉีดวัคซีน สามารถรับฟรี ช็อกโกแลต ลาวา 1 ชิ้น มูลค่า 75 บาท ที่ร้านโดมิโนส์ พิซซ่าทุกสาขา จำนวน 500 สิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 7 – 30 มิถุนายน 2564

ทั้งนี้ โดมิโนส์ พิซซ่า เรายังคงยึดมั่นและใส่ใจในการบริการด้วยมาตรการ Clean & Safe อร่อยปลอดภัย ลดเลี่ยงการสัมผัส พร้อมเดินหน้าให้บริการส่งความอร่อยให้คุณถึงหน้าบ้านด้วยความห่วงใยและความปลอดภัยสูงสุด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook : https://www.facebook.com/DominosPizzaThailand Line Official : @dominospizzath

DMT ศึกษาพัฒนางานโครงข่ายฟีดเดอร์รถไฟฟ้าสีแดง

‘บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง’ หรือ DMT เดินหน้าศึกษาขยายไลน์ธุรกิจใหม่ หลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะ เล็งเสนอรูปแบบพัฒนาฟีดเดอร์รถไฟฟ้าสายสีแดงด้วยระบบ Smart Feeder หากภาครัฐเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในปลายปีนี้

นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ DMT เปิดเผยว่า จากนโยบายดำเนินธุรกิจที่มุ่งนำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และร่วมพัฒนาเครือข่ายด้านคมนาคมของประเทศให้มีความเข้มแข็งด้วย Technology ที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ร่วมมือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาและพัฒนาโครงการพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เชื่อมโยงเครือข่ายการเดินทางระหว่างชุมชนสู่ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า สนามบิน เป็นต้น โดยใช้ระบบ Smart Feeder เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยในเดินทาง

ทั้งนี้ DMT ให้ความสนใจเข้าร่วมพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง หลังสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) มีนโยบายให้เอกชนเข้าร่วมพัฒนาโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทาง เพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเริ่มจากการศึกษาพัฒนาระบบฟีดเดอร์โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางเข้าสู่สถานีต่าง ๆ

“เราสนใจศึกษาพัฒนาโครงการระบบขนส่งรอง (Feeder) ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยเราจะนำประสบการณ์การดำเนินงานด้านการบริหารโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาร่วมกับพันธมิตร เพื่อพัฒนาโครงการให้ประชาชนที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ รวมถึงประชาชนโดยรอบให้สามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยใช้ระบบ Smart Feeder ที่บริษัทฯ ศึกษา เช่น ระบบรถโดยสารขนาดตั้งแต่ EV Mini Bus, EV Full Size Bus, และ Tram Bus ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน (Electric Vehicle : EV) ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีระบบ Smart Card, QR Code, และ EMV (Europay, Mastercard, and Visa) เพื่อรองรับ Cashless Society ในการชำระค่าโดยสาร มีระบบสนับสนุนการสื่อสาร WiFi ระบบดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนด้วยกล้อง CCTV ในรถโดยสาร มี Mobile Application เพื่อให้ประชาชนสามารถคาดการณ์การเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพและจัดทำป้ายรถโดยสาร Smart Bus Stop และศึกษาการนำพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์มาเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่ป้ายรถโดยสาร เป็นต้น รวมเรียกโครงการทั้งหมดนี้ว่า Smart Feeder เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยในเดินทาง โดยการศึกษาพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงจะเป็นโครงการเริ่มต้นเพื่อนำร่องไปสู่การพัฒนาเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ภาครัฐอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในอนาคตอันใกล้” นายธานินทร์ กล่าว

รศ.ดร.สกุล ห่อวโนทยาน ผู้จัดการโครงการฯ ในนาม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล.

รศ.ดร.สกุล ห่อวโนทยาน ผู้จัดการโครงการฯ ในนามสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. กล่าวว่า การพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งผลการศึกษาขั้นต้นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) กำหนดพื้นที่นำร่องในการพัฒนาโครงข่ายการเดินทางเชื่อมโยงรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง โดยส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการลงทุนและร่วมประกอบการ โดย สจล. ร่วมกับ DMT ได้ตกลงทำความร่วมมือ ในการศึกษาพัฒนาโครงข่าย Feeder ในพื้นที่นำร่องดังกล่าว เนื่องจากเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่เกิดจากการศึกษาร่วมกัน เช่น การบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบนท้องถนน การลดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะหลัก และการเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง รวมทั้งการเพิ่มโอกาสในการลงทุนประกอบการ เป็นต้น เพื่อเป้าหมายของการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม

EFORL ขายหุ้นกลุ่มบริษัท “วุฒิศักดิ์”

EFORL ขายหุ้นสามัญทั้งหมดจนสิ้นสภาพบริษัทย่อย ของบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในกลุ่มบริษัทวุฒิศักดิ์ ลดผลกระทบจากการขาดทุนจากการดำเนินงานของธุรกิจความงาม มุ่งเน้นการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์

นายปรีชา นันท์นฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จํากัด  (มหาชน) หรือ EFORL ตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เปิดเผยว่า  คณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2564 ( 4 มิถุนายน 64) อนุมัติการขายหุ้นทั้งหมดของบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (“WCIH”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวน 101,849,993 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 56 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง

ซึ่งบริษัทจะขายหุ้นในราคาหุ้นละ 0.01 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 1,018,499.93 บาท ให้แก่  คุณทัศนี คนการ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวโยงกันตามประกาศสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดย WCIH ประกอบธุรกิจการลงทุนในกลุ่มบริษัท “วุฒิศักดิ์” ซึ่งประกอบด้วย บจก.วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป, บจก.ดับบลิว.เอส.เซอร์จีรี่ 2014, บจก.ดับบลิว เวลเนส อินเตอร์, บจก.วุฒิศักดิ์ คอสเมติก อินเตอร์, บจก.ดับบลิว โกลบอล และ บจก.วุฒิศักดิ์ ฟามาซี อินเตอร์ จำกัด

“การขายหุ้น WCIH ทั้งหมด จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทดีขึ้น ลดผลกระทบจากการขาดทุนจากการดำเนินงานของ WCIH และบริษัทย่อยของ WCIH ในงบการเงินรวมของบริษัท เนื่องจากการดำเนินของกลุ่มบริษัทวุฒิศักดิ์ไม่เป็นไปตามประมาณการ ส่งผลให้ WCIH มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับแนวโน้มการดำเนินงานของ WCIH และบริษัทย่อยของ WCIH มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิต่อเนื่องและหลายบริษัทหยุดประกอบธุรกิจ บริษัทสามารถจะมุ่งเน้นการทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทดีขึ้น และเพื่อให้บริษัทสามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะเงินทุนหมุนเวียนใช้ในการดำเนินธุรกิจหลักอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”นายปรีชา กล่าว

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเครื่องมือทางการแพทย์  ซึ่งเป็นรายได้หลัก และตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้ป่วยโควิด – 19 เช่น เครื่องเอกซเรย์ปอดแบบ Portable เครื่อง Oxygen Hi  Flow เครื่องตรวจสมรรถภาพปอดแบบ  Portable เครื่องวัดสัญญานชีพผู้ป่วยในห้องควบคุมความดันลบ เป็นต้น เพื่อป้อนให้กับโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในอนาคต  ขณะที่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีเม็ดเงินจากการเพิ่มทุนกว่า 176 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากขึ้นด้วย  และมั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโต 15% ตามแผนงานที่วางไว้ จากปีที่ผ่านมา และในวันที่ 11 มิถุนายน 2564 จะปรับย้ายกลุ่มอุตสาหกรรมจากกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Services) ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค (Consumer Products) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

 

NCAP แต่งตั้ง ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา เป็น CO-CEO

NCAP เดินเกมธุรกิจไฟแนนซ์ ประกาศแต่งตั้ง “ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา” ดํารงตําแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) พร้อมขับเคลื่อนบริษัทย่อยแห่งใหม่ “บริษัท เน็คซ์ มันนี่ จำกัด” คาดจดทะเบียนแล้วเสร็จ Q3/64 โดย NCAP ถือหุ้น 80% เพื่อเสริมแกร่งรายได้และกำไรในอนาคต พร้อมออก NCAP – ESOP W1 เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติ 15 ก.ค.นี้

บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCAP แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการแต่งตั้ง นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ให้ดํารงตําแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) มีผลตั้งแต่ วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป นับเป็นการส่งเสริมนโยบายของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากท่านเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจด้านการเงินและเทคโนโลยี เข้ามาเสริมทัพแผนการขยายธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลของกลุ่มบริษัท ภายใต้ “บริษัท เน็คซ์ มันนี่ จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่ จากเดิมบริษัทฯ แข็งแกร่งในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ภายใต้การนำทัพของ นายสมชัย ลิมป์พัฒนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ “บริษัท เน็คซ์ มันนี่ จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 50,000,000 บาท แบ่งออกเป็นจำนวน 500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เพื่อประกอบกิจการให้สินเชื่อส่วนบุคคล โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 80% นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา 10% และ บุคคลธรรมดารายอื่น 10% และมีกรรมการประกอบด้วย นางสาวสุธิดา มงคลสุธี นางสาววาสนา พงศ์แสงลึก นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา สำหรับเงินทุนที่บริษัทใช้ในการลงทุนครั้งนี้ มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินการซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการดำเนินการของบริษัท โดยคาดประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อขยายธุรกิจ และเพิ่มช่องทางการรับรู้รายได้และกำไร โดยคาดว่าจะดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2564

นอกจากนี้ มีมติอนุมัติการออกใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทเพื่อเสนอจัดสรรให้แก่ผู้บริหาร (รวมถึงผู้บริหารที่ดํารงตําแหน่งกรรมการของบริษัทและ/หรือบริษัทย่อย) และ/หรือ พนักงานของบริษัทและ/หรือบริษัทย่อย ครั้งที่ 1 (“NCAP – ESOP W1”) จํานวนไม่เกิน 38,000,000 หน่วย อายุไม่ เกิน 5 ปี โดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้ง การเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจํานวน 19,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 450,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 469,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่ม ทุนจํานวน 38,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิ NCAP – ESOP W1 และการแก้ไข หนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4 เรื่องทุนจดทะเบียน เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทดังกล่าว

SONIC เล็งขยับเป้าปี 64 ชี้ขนส่งทางเรือเติบโตแกร่ง

“โซนิค”จ่อปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมเติบโต20% รับอานิสงส์การส่งออกสดใส   แถมค่าระวางเรือมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี หนุนขนส่งทางเรือสัดส่วนรายได้พุ่งเป็น 77%  ขณะที่หุ้น SONIC ติด1 ใน 24 หุ้นที่น่าลงทุนกลุ่ม ESGปี 2564  สะท้อนถึงการเติบโตที่ยังยืน    

ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC ผู้นำธุรกิจให้บริการการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เนื่องจากการส่งออกทางเรือเริ่มกลับมาสดใส หลังจากที่หลายประเทศ เช่น จีน สหรัฐอเมริกา รวมทั้งยุโรป ได้มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ลง ทำให้กิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน

“บริษัทมีโอกาสที่ปรับเป้ารายได้ปี 64 เพิ่มขึ้น  จากเดิมที่ตั้งเป้าว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโต 20% แต่จากผลประกอบการไตรมาสแรก ที่ผ่านมารายได้โตกว่า 94 % เกินเป้าค่อนข้างมาก และจากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ยังสดใสตลอดทั้งปี ส่วน SONIC จะปรับเป้าหมายเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น คงต้องรอดูผลประกอบการไตรมาส 2 /64 ก่อน” ดร.สันติสุข กล่าว

สำหรับรายได้หลักของ SONIC  มาจากการให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือเป็นหลัก  ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตค่อนข้างสูงคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 77% จากปีที่ผ่านมามีสัดส่วนรายได้ 65%  สืบเนื่องมาจากค่าระวางที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ขนส่งทางอากาศมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 5% ขนส่งทางบกอยู่ที่ 18% โดยนอกจากฐานลูกค้าเดิมที่ยังให้ความเชื่อมั่นต่อการให้บริการของ SONIC แล้ว  บริษัทยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ตลอดเวลา

ส่วนความคืบหน้าของธุรกิจการปล่อยสินเชื่อรถหัวลากให้กับกลุ่มพันธมิตร  ภายใต้โมเดล “โลจิสซิ่ง”(โลจิสติกส์+ลิสซิ่ง) ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายเดิม 40 คัน ภายในไตรมาส2/2564  ขณะที่การเปิดพื้นที่ให้บริการรับฝากตู้คอนเทนเนอร์ บริเวณแหลมฉบัง ยังเป็นการขยายฐานลูกด้านโลจิสติกส์ รองรับลูกค้าในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC

ดร.สันติสุข กล่าวต่อว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทนอกจากจะมุ่งเน้นการสร้างรายได้ให้มีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืนแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล โดยล่าสุดหุ้น SONIC ได้รับการคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ ให้เป็น 1 ใน 24  หลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 ซึ่งสะท้อนถึงการที่บริษัทให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล  ควบคู่ไปกับการวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว

“การที่หุ้น SONIC ถูกคัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในกลุ่ม ESG  มองว่าส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของบริษัท  ซึ่งจะทำให้หุ้น SONIC เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนประเภทสถาบันมากขึ้น  เพราะโดยปกติกองทุนต่างๆ  นอกจากจะเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีแล้ว ยังให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาล และเราเองก็มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน” ดร.สันติสุข กล่าว