เฟซบุ๊คแฟนเพจ NBT2HD SPORT โพสต์ยืนยันว่า สถานีโทรทัศน์ช่อง NBT 2HD จะรับหน้าที่การถ่ายทอดสดศึกยูโร2020 ให้แฟนบอลชาวไทยได้รับชมกันทั้ง 53 แมตซ์ เริ่มตั้งแต่คู่เปิดสนามวันที่ 11 มิ.ย. 64 ถึง 11 ก.ค. 64 ประเดิมคู่แรก ตุรกี พบกับ อิตาลี ตามเวลาไทย 02.00 น.(วันที่ 12 มิ.ย.)ติดตามรับชมทางช่อง NBT 2HD กดเลข 2
ชวนเกมเมอร์ทะยานสู่โลกสุดล้ำ “True 5G Cloud Gaming by Netboom”
ปรากฏการณ์ความมันส์ สะท้านวงการเกมเริ่มขึ้นแล้ว… ทรู 5G โชว์เหนือ เครือข่ายอัจริยะตัวจริง ปลดล็อกการเล่นเกมแบบเดิมๆ พลิกโฉมจาก PC สเปกสูง หรือ คอนโซล ลงบนสมาร์ทโฟนกับ “True 5G Cloud Gaming by Netboom” ที่ผนึกกับ Bifrost Cloud ผู้ให้บริการเทคโนโลยีคลาวด์ระดับโลกจากแดนมังกร ผสานเครือข่ายอัจริยะทรู 5G ที่เร็วแรงกว่า ครอบคลุมยิ่งกว่า ให้เหล่าเกมเมอร์ได้อิน ฟินสุดๆไปกับ กราฟฟิคสวยสมจริง เอฟเฟกต์ทะลุจอ เล่นได้ลื่นไหล ไม่สะดุด บนแอป Netboom โดยไม่ต้องโหลดเกมลงมาบนเครื่องให้เปลืองเนื้อที่ เลือกมันส์สะใจกับ 300 เกมดังระดับ AAA อาทิ Overwatch, FallGuy, PUBG, League of Legend และ Tekken 7 ลูกค้าทรูสนุกเหนือใครด้วย “Exclusive Speed” โดย Bifrost Cloud ได้เปิดช่องทางด่วนเฉพาะเครือข่ายทรู ให้เล่นได้เร็วกว่าเครือข่ายอื่นถึง 3 เท่า พร้อมเข้าถึง 3 โหมดการใช้งานทั้ง1. Free Game Mode ที่ให้ยืมเกมหลากหลายแนวมาทดลองเล่น 2. Instant Play Mode ที่ให้เชื่อมต่อกับเกมสโตร์ดังอย่าง Steam, Epic Game, Origin เพื่อดึงเกมมาเล่นได้ทันที 3. PC Mode ที่ให้ใช้งานสมาร์ทโฟนเสมือนมี PC ติดตัวไปด้วยทุกที่ พิเศษยิ่งขึ้นลูกค้าทรู 5G เล่นฟรี 30 วัน (80 ชั่วโมง) มูลค่า 299 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจ True 5G Ultra Max Speed 699 บาท ขึ้นไป พร้อมซื้อเครื่อง Galaxy S21 Series 5G ตั้งแต่วันที่ 11 – 30 มิถุนายน 2564 หรือซื้อเครื่อง 5G รุ่นอื่น พร้อมแพ็กเกจ True 5G Ultra Max Speed 1,199 บาท ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 11 – 18 มิถุนายน 2564 โดยสามารถซื้อเครื่องที่ร่วมรายการได้ผ่านช่องทางทรูช้อป และทรู ช้อปใน 7-Eleven ทั่วประเทศ
นายพิรุณ ไพรีพ่ายฤทธิ์ หัวหน้าคณะทำงานและกรรมการยุทธศาสตร์ 5G บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ความร่วมมือกับพันธมิตร Bifrost Cloud จากประเทศจีนเปิดให้บริการ “True 5G Cloud Gaming by Netboom” ในไทยครั้งนี้ นับเป็นมิติใหม่ของวงการคลาวด์เกมที่เกมเมอร์ชาวไทยจะได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมที่แตกต่างจากเดิม ด้วยความโดดเด่นของอัจฉริยภาพทรู 5G และคลาวด์เทคโนโลยี ทำให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการเล่นเกมเป็นแพลตฟอร์ม PC และคอนโซล ได้บนสมาร์ทโฟนแบบสนุกสะใจ ไม่มีสะดุด ผ่านแอป Netboom ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกโฉมวงการเกม เพราะเกมเมอร์จะเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา และยังจะเต็มอิ่มกับเอฟเฟกต์คมชัด กราฟฟิกเสมือนจริง อีกทั้งด้วยคุณสมบัติของทรู 5G ทีมีความหน่วงต่ำ ก็ยิ่งทำให้ การประมวลผลของเกมก็เป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจ ตอบสนองการเล่นได้อย่างว่องไวไม่ดีเลย์ และยังเลือกเล่นได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ 1. Free Game Mode ทดลองเล่นเกมในหลากหลายแนว 2. Instant Play Mode เชื่อมต่อกับเกมสโตร์ดัง อย่าง Steam, Epic Game, Origin เพื่อดึงเกมโปรดมาเล่นได้ทันที และ 3. PC Mode ให้ใช้งานสมาร์ทโฟน เหมือนใช้บน PC ได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องดาวน์โหลดเกมลงเครื่อง ลดปัญหาการสิ้นเปลืองดาต้า รวมทั้งลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลอีกด้วย และต้องขอบคุณพันธมิตร Bifrost Cloud ที่จัดความพิเศษให้ลูกค้าทรู เปิดช่องทางด่วนเฉพาะเครือข่ายทรู ให้เล่นได้เร็วกว่าเครือข่ายอื่นถึง 3 เท่าอีกด้วย ซึ่งมั่นใจว่า “True 5G Cloud Gaming by Netboom” นี้ จะเปิดประสบการณ์ใหม่ทีตรงใจคอเกมชาวไทยยุค 5G ได้อย่างแน่นอน
มร.นิ ไฮเช้ง Founder & CEO of Bifrost Cloud Pte.Ltd. กล่าวว่า รู้สึก ตื่นเต้น และดีใจแทนคอเกมชาวไทยที่วันนี้จะได้สัมผัสกับมิติใหม่ของการเล่นเกมพีซี และคอนโซล บนสมาร์ทโฟน ไปกับ True 5G Cloud Gaming by Netboom ที่เร็ว ไหลลื่น ไม่สะดุด ด้วยการสตรีมมิ่งเกมจากคลาวด์ ผ่านเครือข่ายอัจฉริยะ ทรู 5G ซึ่งจะมาเติมเต็มประสบการณ์การเล่นเกมที่สนุกกว่า มันส์กว่า และเหนือชั้นกว่า กับทัพเกมระดับ AAA จาก Netboom กว่า 300 เกม อาทิ Overwatch เกมยิงปืนผสม MOBA ยักษ์ใหญ่ของค่าย Blizzard ที่มีผู้เล่นสูงถึง 40 ล้านคน FallGuy ต้นฉบับความสนุกโหด มัน ฮา ของเกมที่เป็นกระแส และมีคนเล่นนับล้านเพียงแค่สัปดาห์เดียว PUBG เกมแนว Survival ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเกมหนึ่งในปัจจุบัน League of Legend เกมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Dota และ Tekken 7 หนึ่งในตำนานเกมต่อสู้ ที่กำเนิดในยุค 90 และมีประวัติมายาวนานถึง 7 ภาค จึงขอเชิญชวนบรรดาเกมเมอร์ก้าวสู่อีกขั้นของการเล่นเกมสุดล้ำ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะประทับใจ สนุกสนาน เพลิดเพลิน เต็มประสิทธิภาพทัดเทียมเกมเมอร์ทั่วโลกได้ในแพ็กเกจสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่นี่ที่เดียว”
สำหรับการเปิดตัว “True 5G Cloud Gaming by Netboom” ครั้งนี้ ทรู ได้จัดเตรียมความพิเศษให้แก่ลูกค้า ดังนี้
o ลูกค้าทรู 5G เล่นฟรี 30 วัน เมื่อสมัครแพ็กเกจ True 5G Ultra Max Speed พร้อมซื้อเครื่อง Galaxy S21 Series 5G ที่ทรูช็อปทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2564
o ลูกค้า True 5G รายเดือนรับสิทธิทดลองใช้งาน Netboom ฟรี 10 นาที และรับชั่วโมงการใช้งานเพิ่มฟรีทันทีสูงสุด 24 ชั่วโมง เมื่อสมัครสมาชิกประเภทรายเดือนครั้งแรกที่ Netboom
o ลูกค้าทรูแพ็กเกจอื่นๆ ทั้งรายเดือนและเติมเงิน รับเน็ตฟรี 1 GB พร้อมใช้งาน Netboom 80 ชั่วโมง/เดือน เมื่อสมัครแพ็กเกจเสริม 299 บาท โดยกด USSD *900*1302# โทรออก
o แพ็คเกจเสริม ราคา 399 บาท รับชั่วโมงการใช้งาน Netboom 80 ชั่วโมง, internet data 5GB และสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน Netboom ได้โดยไม่เสียค่าดาต้า เป็นระยะเวลา 30 วัน พร้อมให้บริการตั้งแต่ วันที่ 1 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและข่าวสารของ True 5G Cloud Gaming by Netboom ได้ที่เว็บไซต์ http://5g.truemoveh.com/th/cloudgame

TCMC ปิดไตรมาส 1/64 สุดปัง กวาดรายได้แตะ 1.8 พันล้านบาท
บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน (TCM Corporation Plc.) หรือ TCMC เผยผลประกอบการไตรมาสแรกของปี (1/2564) เริ่มส่งสัญญานฟื้นตัว กวาดรายได้แตะ 1.8 พันล้านบาท จากยอดขายเพิ่มจากกลุ่มธุรกิจออโตโมทีฟและลีฟวิ่ง พร้อมประกาศความสำเร็จปิดดีลซื้อกิจการค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ในประเทศอังกฤษ ‘Arlo & Jacob’ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงกลุ่มลูกคาผู้บริโภคโดยตรง (B2C) เร่งเครื่องพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ รองรับการเติบโตหลังโควิด-19
นางสาว ปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCMC เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2564 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 1,838.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,630.39 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.78 และมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 15.29 ล้านบาท ทำได้ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 26.47 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19
“สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2564 โรคระบาดโควิด-19 ยังคงมีผลกระทบต่อกิจการของบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มวัสดุปูพื้น จากการที่ลูกค้าหลักของเราอยู่ในภาคการท่องเที่ยวและบริการ (hospitality) ได้แก่ โรงแรม คาสิโน โรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง ศูนย์ประชุม ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 และอาจยังไม่ฟื้นตัวได้ในเร็ววันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ เริ่มมีทิศทางดีขึ้น ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว และในส่วนของกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่ยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่เราได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ให้มีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้นในทุก ๆ ด้าน และการประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มธุรกิจ ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เราจะมีความพร้อมและกลับมาอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นางสาวปิยพร กล่าว
ประสบความสำเร็จเข้าซื้อกิจการต่อเนื่อง กลุ่มลีฟวิ่งยังคงเติบโตแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ นอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแล้ว ในแง่กลยุทธ์เรายังได้ขยายฐานการผลิตและช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน บริษัทได้เข้าซื้อโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ปิดตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด ซึ่งได้มาช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงที่ปริมาณคำสั่งซื้อที่เข้ามามากเป็นประวัติการณ์ และในปีนี้เราได้เข้าซื้อกิจการแบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติอังกฤษ Arlo & Jacob ซึ่งมีโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ 5 แห่งอยู่ในทำเลที่โด่ดเด่นทั่วประเทศอังกฤษ การเข้าซื้อครั้งนี้จะทำให้เรามีช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มผู้บริโภคโดยตรง (B2C) ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น และนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ และนอกจากร้านค้าปลีก Arlo & Jacob ยังมีช่องทางการขายแบบออนไลน์ ซึ่งจะเป็นการปรับรูปแบบธุรกิจเข้าสู่กระแสความนิยมในปัจจุบัน และส่งเสริมกลยุทธ์ของธุรกิจที่มีอยู่ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ
โดยในไตรมาส 1/2564 กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) มีรายได้สูงขึ้นร้อยละ 37.23 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยังมีความต้องการซื้อต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แม้ในช่วงสิ้นปี 2563 ประเทศอังกฤษได้เกิดการระบาดของโควิด-19 อีกระลอก ทำให้รัฐบาลอังกฤษประกาศใช้มาตรการบังคับให้กิจการค้าปลีกที่ไม่ใช่ธุรกิจจำเป็นต้องหยุดกิจการจนถึงสิ้นไตรมาสแรก และเพิ่งให้เปิดทำการในวันที่ 12 เมษายน 2564 ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่เป็นจ้าของร้านค้าปลีกต่างๆ และแม้ในช่วงที่ล็อคดาวน์ ก็ยังมีคำสั่งซื้อผ่านมาจากช่องทางออนไลน์ และยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 กลุ่มธุรกิจยังคงสามารถทำยอดขายได้ 1,311.62 ล้านบาท สูงขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อนถึง 37.23% แต่เนื่องจากกลุ่มธุรกิจยังคงประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนโฟม ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก ทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น เและการขนส่งระหว่างประเทศที่ยังคงเป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังไม่สามารถควบคุมการบริหารต้นทุนได้ดีนัก อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจมีการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย รวมถึงการได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษ ทำให้ค่าใช้จ่ายบริหารลดลงร้อยละ 35.01 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้หลังจากหักค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงิน ค่าภาษีและส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มีผลกำไรสุทธิ 7.27 ล้านบาท
ปัจจุบัน กลุ่มทีซีเอ็ม ลีฟวิ่ง มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ในเครือ ได้แก่ Alstons, Ashley Manor, AMX Design, Alexander & James และ Arlo & Jacob ซึ่งบริษัทมีความเชื่อมั่นว่าทั้ง 5 แบรนด์ จะสามารถตอบสนองความต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์ของลูกค้าในประเทศอังกฤษที่สูงขึ้นมาก จากการต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน และมีแนวโน้มการขยับขยายที่พักอาศัยจากในเมืองสู่นอกเมืองมากขึ้น ทำให้ยังคงมีความต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยในอนาคตบริษัทมีแผนการขยายตลาดให้กว้างออกไปอีก ให้ครอบคลุมทั้งทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง
เร่งเครื่องปรับการบริหารจัดการต้นทุนกลุ่มธุรกิจฟลอร์ริ่ง กลุ่มออโตโมทีฟ ปรับปรุงเครื่องจักร ทำ lean organization เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการตอบสนองลูกค้าให้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมรับออเดอร์หลังโควิด ในส่วนของกลุ่มวัสดุปูพื้น (TCM Flooring) กลุ่มธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหยุดชะงักของอุตสาหกรรมบริการและธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้มีรายได้จากการขายและบริการ 304.64 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 34.65 เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทางทั่วโลก ถึงแม้จะมีทิศทางเศรษฐกิจดีขึ้นจากการกระจายวัคซีนได้อย่างกว้างขวางในแถบทวีปยุโรปและอเมริกา แต่ผู้ประกอบการยังคงออมเงินเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ จึงยังไม่เห็นการลงทุนในด้านการตกแต่ง แต่จากการที่กลุ่มธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ทำให้กลุ่มธุรกิจมีผลขาดทุนสุทธิ 49.28 ล้านบาท ถือว่าสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 24.31
เพื่อเป็นการกระตุ้นรายได้ บริษัทได้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มลูกค้าในส่วนของที่อยู่อาศัย (Residential) ที่ยังมีกำลังซื้อให้มากขึ้น ซึ่ง ณ ปัจจุบัน สถานการณ์ในตลาดต่างประเทศเริ่มคลี่คลาย ธุรกิจท่องเที่ยวมีทิศทางที่ดีขึ้น และมีการติดต่อจากลูกค้าต่างประเทศเข้ามามากขึ้น บริษัทจึงมุ่งเน้นการเติบโตของรายได้จากลูกค้าในตลาดที่เริ่มมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว ได้แก่ ตลาดอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มพรมลักช์ชัวรี่ เช่น พรมในร้านแบรนด์เนม พรมบนเครื่องบินส่วนตัว เป็นต้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) มีรายได้จากการขายและบริการที่ 222.43 ล้านบาท สูงขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 208.49 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.69 ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงปลายปี 2563 ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายการขายและบริหารโดยรวมลดลงจากความพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน และจำกัดงบประมาณต่างๆ ทำให้สิ้นไตรมาส 1 กลุ่มธุรกิจนี้มีผลกำไรสุทธิ 26.72 ล้านบาท สูงขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 75.21 โดยแนวโน้มของอุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์หุ้มบุในรถยนต์ให้ตอบสนองกับกระแสความนิยมรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาดูสถานการณ์โควิดในประเทศไทย ที่กลับมาระบาดอีกระลอก ซึ่งอาจจะส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศต้องชะลอตัวอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2564 สัดส่วนรายได้ของบริษัทจากแต่ละกลุ่มธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง โดยรายได้จากการขายและบริการของ กลุ่มธุรกิจ ทีซีเอ็ม ลีฟวิ่ง ได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญทำให้กลายเป็นรายได้หลัก คิดเป็นร้อยละ 71.33 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.71 กลุ่มธุรกิจ ทีซีเอ็ม ฟลอร์ริ่ง มีสัดส่วนรายได้จากการขายและบริการเป็นลำดับที่สอง อยู่ที่ร้อยละ 16.57 ลดลงร้อยละ 12.02 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากไตรมาสที่ 1 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ รวมถึงการได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 ในขณะที่ กลุ่มธุรกิจ ทีซีเอ็ม ออโตโมทีฟ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 12.10 ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์มีปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โรคระบาดในประเทศไทยและนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนอุตสาหกรรมและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในส่วนของทั้งปี 2564 นี้ บริษัทมองว่าเศรษฐกิจในประเทศอาจจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่สำหรับต่างประเทศ ตลาดมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งเราเองก็ได้ทำการปรับองค์กรให้มีลักษณะลีนขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น เพื่อให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น มีการนำระบบเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ ในขณะเดียวกัน ในแง่ของกลยุทธ์เราก็แสวงหาโอกาสในการเข้าซื้อธุรกิจใหม่ที่จะช่วยเสริมธุรกิจที่มีอยู่เดิม รวมถึงการขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ เพื่อปิดโอกาสการเกิดความเสี่ยงหรือลดผลกระทบจากความเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โควิด-19 จึงเป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเองและพัฒนาปรับปรุงตั้งแต่นโยบายจนถึงการปฏิบัติ เพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง แข็งแกร่งในระยะยาว

วิเคราะห์อย่างไรให้เข้าใจ Insight ลูกค้า
ในปัจจุบัน ปฎิเสธไม่ได้ว่าผู้ประกอบการไม่ว่าจะมีธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ ต่างต้องการ DATA มากกว่ายอดขายเสียอีก เพราะการได้ครอบครองข้อมูลจำนวนมาก นำมาซึ่ง Insight หรือมุมมองของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ที่สามารถนำมาต่อยอดสู่แผนการตลาดที่มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์สินค้าและบริการให้โดนใจ ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ประกอบการเริ่มต้นอย่างถูกวิธี มีรูปแบบการได้มาของข้อมูลหรือ DATA ที่ดี ตลอดจนวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำ ก็อาจพลิกเกมธุรกิจ เปลี่ยนกลยุทธ์ ปรับทิศทางการตลาดให้ธุรกิจอยู่รอดและไปต่อได้ไกลเลยทีเดียว
Insight ไม่ใช่ Instinct ข้อมูลลูกค้าที่ดีไม่ควรมีแค่การคาดเดา
หากย้อนกลับไปคำว่า DATA อาจดูเป็นเรื่องไกลตัว และเป็นข้อจำกัดของธุรกิจขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอีไทยเมื่อเทียบกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องมือวิเคราะห์ DATA ครบครัน และมีการลงทุนทำ DATA มานานแล้ว ด้วยศักยภาพของข้อมูลแบบเจาะลึก ทั้งรายละเอียดการขายและ Insight ลูกค้าที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่ร้านค้าขนาดกลางและเล็ก มักจะเลือกใช้การคาดเดาและดึงข้อมูลจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองเป็นหลัก บวกกับสัญชาตญาณหรือ Instinct ในการประเมินและสรุปภาพรวมธุรกิจจากที่ตนเองเข้ามาสำรวจตรวจงานในสาขาเพียงไม่กี่นาทีมาเป็นตัวตัดสินใจแทนเสียส่วนใหญ่

ด้วยเพราะ DATA มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากมายในการทำธุรกิจในปัจจุบัน รายการ SME Biz Talk ซีซั่น 2 จัดขึ้นโดย LINE for Business ที่มุ่งเน้นให้ความรู้เสริมทักษะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในการวางกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน จึงนำเอาประเด็นนี้มาเป็นหัวข้อสำคัญในการพูดคุยอย่างเข้มข้นในช่วง Share Talk กับที่ปรึกษาการตลาดผู้คร่ำหวอดในวงการอย่าง หนุ่ย-ณัฐพล ม่วงคำ เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน ซึ่งช่วยจุดประกายไอเดียให้กับเจ้าของธุรกิจ และยังได้รู้จักเครื่องมือที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเองได้อีกด้วย
DATA หาได้ง่ายหากใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เป็น
หนุ่ย-ณัฐพล เผยว่าวิธีคาดเดาจากประสบการณ์ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะต้องยอมรับว่าสมัยก่อนเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลหรือเทคโนโลยี DATA มีจำกัด เครื่องมือที่ใช้อาจมีไม่มากพอ ทั้งยังมีราคาแพง ใช้งานยาก แต่ทุกวันนี้จุดเริ่มต้นในการเปิดธุรกิจง่าย ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านก็สามารถขายออนไลน์ได้ และการเข้าถึง DATA ก็ทำได้ง่าย ลงทุนต่ำ ไม่จำเป็นต้องเขียน Code เป็น ก็สามารถใช้ข้อมูลมาทำธุรกิจได้ด้วยเครื่องมือดิจิทัลที่อยู่ในมือทุกคน ทำให้ผู้ประกอบเริ่มหันมาสนใจและอาศัย DATA เข้ามาช่วยตัดสินใจได้ดีขึ้น แม่นยำ และมองเห็นถึงปัญหาที่แท้จริง ใช้การคาดเดาน้อยลง เห็นทั้งปัญหาที่ไม่เคยรู้และโอกาสที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งตอนนี้ DATA เป็นตัวช่วยที่สำคัญในการตัดสินใจได้มากที่สุดของผู้ประกอบการไปแล้ว
ถึงแม้ DATA จะอยู่ใกล้ตัวและมีข้อดีมากมาย แต่สิ่งที่ยากกว่าคือวิธีการเข้าถึงข้อมูลเพื่อหา Insight ให้ได้ ซึ่งเจ้าของเพจการตลาดวันละตอน กล่าวว่า ทุกคนมีข้อมูลอยู่รอบตัว แต่อาจไม่เคยรู้หรือสังเกต ไม่ว่าจะเป็น Sale Data หรือ Transaction Data แม้กระทั่งการทัก Chat ของลูกค้า ก็นับเป็น DATA หรือข้อมูลชั้นดี ซึ่งข้อมูลธุรกรรม ข้อมูลการแชทกับลูกค้าที่มีอยู่แล้ว หรือเรียกรวมได้ว่าข้อมูล “พฤติกรรมการซื้อ” นั้น คือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องนำมาวิเคราะห์ให้ขาดต่อไป
โดย หนุ่ย ได้ยกตัวอย่างธุรกิจที่ตนได้เคยร่วมให้คำแนะนำ เช่น ร้านกาแฟ ที่เมื่อดูข้อมูลจากเครื่องบันทึกการขาย พบว่ายอดขายส่วนใหญ่มาจากขนมไทยและเมนูอื่นที่ไม่ใช่กาแฟเป็นหลัก เจ้าของร้านจึงเร่งปรับวิธีสื่อสารใหม่หลังจากการเห็น Insight นี้เพื่อตอบสนองลูกค้าให้ตรงจุด หรือร้านขายเสื้อผ้าเด็กอ่อนที่มียอดขายเติบโตขึ้นเป็นขั้นบันไดภายใน 2 เดือน เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลพฤติกรรมการซื้อพบว่าส่วนใหญ่มาจากการเปิดให้ซื้อเป็นรอบๆ ทำให้เกิดการซื้อซ้ำง่ายกว่าการขายแบบปกติ รวมถึงการวางจำหน่ายสินค้าให้เป็นการซื้อตามช่วงวัยของลูกที่โตขึ้น ยังส่งผลทำให้เกิดการซื้อต่อเนื่อง เหล่านี้ยิ่งสะท้อนชัดว่าการเข้าถึงรูปแบบการเก็บข้อมูลที่ดี สามารถทำให้เห็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการเด่นชัดขึ้น
สำหรับวิธีเก็บข้อมูลนั้น หนุ่ย กล่าวว่าธุรกิจเอสเอ็มอีควรลองสังเกตจากการเก็บข้อมูลลูกค้าใกล้ตัว อาจเลือกวิธีการเก็บข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มหรือเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ อย่างเช่น MyShop ที่ระบบจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่างๆ เป็น DATA ที่มีโครงสร้างสำเร็จรูปไว้อยู่แล้ว เช่น วันเวลาที่ขาย สินค้าอะไร คนทัก Chat เป็นใคร ที่อยู่ในการส่ง จำนวนสั่งซื้อเท่าไร ทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำมาวิเคราะห์ต่อได้ทันที
อีกวิธีหนึ่งคือการนำ Chat มาเป็น DATA ซึ่งอาจไม่มีฟอร์แมทสำเร็จรูปเหมือนกรณี MyShop แต่สามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน เพียงนำข้อมูลมาบันทึกใหม่ ทำให้พร้อมใช้ เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ หรือแม้กระทั่งการใช้ Survey ของ LINE Official Account หรือการสอบถามจากลูกค้า เพื่อช่วยในการเก็บข้อมูล แล้วนำมาวิเคราะห์ต่อว่าสิ่งที่ร้านพยายามนำเสนอนั้น ลูกค้าชอบแบบไหนมากกว่ากัน เป็นต้น ซึ่งวิธีนี้เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเอสเอ็มอีไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ยุ่งยาก หากขายผ่าน LINE อยู่แล้วก็สามารถเก็บข้อมูลที่ LINE ได้เลย ซึ่งฟีเจอร์ เครื่องมือต่างๆ ถูกดีไซน์เพื่อการเก็บ DATA ชั้นดีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องคิดก่อนว่าอยากรู้ข้อมูลแบบไหน และจะเก็บ DATA อะไร แล้ว DATA นั้นจะมาช่วยธุรกิจให้ดีขึ้นได้อย่างไร

แปลง DATA ให้เป็นสถิติ วิเคราะห์เทรนด์ลูกค้า
ส่วนวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น หนุ่ย-ณัฐพล เปิดเผยว่าไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ผู้ประกอบการต้องรู้จักเปลี่ยน DATA ที่เป็นตัวเลขหรือตัวหนังสือให้เป็นภาพที่พร้อมอ่านได้ง่ายๆ เช่น ตัวเลขยอดขาย อาจนำมาแยกเป็นวัน เพื่อดูว่ามีความผิดปกติในข้อมูลหรือสัญญาณบางอย่าง (Signal) แล้วหมั่นตั้งข้อสังเกตว่าอะไรเกิดขึ้น เช่น วันนี้ขายดีมากกว่าปกติ และการสังเกตข้อมูลที่เป็น Seasonal หรือพฤติกรรมซ้ำๆ เป็นต้น การนำข้อมูลมาทำเป็นภาพหรือกราฟแผนภูมิ จะทำให้เห็นภาพรวมในหลายมิติชัดขึ้น ช่วยสะท้อนสิ่งที่ผู้ประกอบการยังไม่รู้ เพื่อนำไปสู่ทางแก้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด อีกทั้งยังมีวิธีการตั้งคำถาม ที่ต้องอาศัยการฝึกใช้เครื่องมือและตั้งคำถามถึงพฤติกรรมลูกค้า ก็จะสามารถแยกประเภทลูกค้า และเห็นคำตอบอื่นๆ ที่ต้องการ
“ทั้งการแปลงให้เป็นภาพ และการตั้งคำถามเป็นการเก็บข้อมูลที่อยู่ภายใต้ DATA Thinking Framework ซึ่งต้องมีปัจจัยในการคิด คือ What เราอยากรู้อะไรและเราจำเป็นต้องรู้อะไร จากนั้นก็มาสู่ How เราจะรู้ได้อย่างไร ข้อมูลถูกเก็บไว้ที่ไหน แล้วค่อยมาคิด Why ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ที่มาที่ไปของข้อมูลคืออะไร และสุดท้ายก็คือ How เมื่อเรารู้แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ อาจเป็นการเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อเพิ่มยอดขาย ต่อยอดแคมเปญ หรือทำโปรโมชั่น เช่นหากร้านกาแฟขายขนมได้มากกว่า ก็อาจเพิ่มสัดส่วนของขนมให้มากขึ้น ซึ่งมันเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่ต้องใช้การฝึกฝน อดทน และเวลา”
และเพื่อให้เห็นชัดเจนว่า DATA คือผู้ทรงอิทธิพลในโลกธุรกิจจริงๆ คุณหนุ่ยได้ยกกรณีศึกษา ธุรกิจดอกไม้สดกระจายทั่วกรุงเทพ พบว่ามีสองสาขาที่ยอดขายใกล้เคียงกันแต่ลักษณะสินค้าขายดีต่างกัน จึงเกิดคำถามว่า ยอดขายมาจากอะไร? สินค้าแบบไหน? พอทำให้เป็นภาพก็เข้าใจบริบทมากขึ้น ซึ่งสาขาชิดลม ดอกไม้ไทยที่ใช้ไหว้สักการะขายดี ส่วนสาขาทองหล่อ มักเป็นดอกไม้ต่างชาติที่นำไปประดับบ้าน ซึ่งข้อมูลนั้นมาจากการสอบถามลูกค้าจนรู้พฤติกรรมที่แท้จริง ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้สามารถวางกลยุทธ์ ส่งโปรโมชั่นแยกแต่ละสาขาได้ง่ายขึ้น อาจจะเพิ่มดอกไม้มงคล เทียนหอมสำหรับชิดลม ขณะที่สาขาทองหล่อ อาจจะเพิ่มขายของตกแต่งบ้านเพิ่มเติมได้ เพื่อเป็นสีสันมากขึ้น
หรืออีกกรณีศึกษา ร้านค้าขายคาร์ซีทออนไลน์ ที่ต้องการเก็บ DATA สินค้าขายดีแต่ละจังหวัด ทำให้เข้าใจลูกค้าว่าเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณสมบัติตามสภาพอากาศของตน ซึ่งภาคเหนือและกรุงเทพจะเลือกเนื้อผ้ามันๆ เพราะอากาศเย็นสบายและอยู่ในห้องแอร์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาคอื่นๆ จะเลือกเนื้อผ้าระบายอากาศได้ดีมากกว่า นั่นจึงเป็นที่มาให้ร้านค้าแห่งนี้เลือกที่จะขยายโปรดักส์ตามสภาพอากาศที่แตกต่างกัน
เหล่านี้ช่วยตอกย้ำชัดว่า DATA เป็นเรื่องสำคัญต่อการทำธุรกิจ ทุกคนต้องรู้จริงและใช้ให้เป็น เพื่อจะนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจให้ได้มากที่สุดนั่นเอง สำหรับผู้ที่สนใจ ติดตามชมรายการ SME Biz Talk ซีซั่น 2 ย้อนหลังทั้ง 2 ตอนได้ที่ LINE TV ช่อง LINE for Business และเตรียมรับชมรายการ SME Biz Talk ซีซั่น 2 ตอนที่ 3 ในหัวข้อ “ทำคอนเทนต์ยังไงให้ยอดขายพุ่ง” ได้ในวันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป เอสเอ็มอีไทยต้องไม่พลาด!

เปิดตัวสติกเกอร์ชุดพิเศษ “มาร่วมเป็นวัคซีนฮีโร่กันเถอะ” ดาวน์โหลดฟรี
LINE ประเทศไทย ร่วมกับสติกเกอร์ครีเอเตอร์แถวหน้า และ หมอพร้อม Official Account เปิดตัวสติกเกอร์ชุดพิเศษ “มาร่วมเป็นวัคซีนฮีโร่กันเถอะ” เพื่อรณรงค์ชวนคนไทยฉีดวัคซีนต้านโควิด 19 ด้วยประโยคง่ายๆ แฝงความน่ารักผ่านคาแรคเตอร์ยอดนิยมของไทย เพียงเพิ่มเพื่อนกับ หมอพร้อม Official Account และดาวน์โหลดสติกเกอร์ได้แล้ววันนี้ ใช้งานได้ฟรี 90 วัน
สติกเกอร์ชุดพิเศษ “มาร่วมเป็นวัคซีนฮีโร่กันเถอะ” ประกอบด้วยสติกเกอร์ 8 คาแรคเตอร์โดย 4 ครีเอเตอร์ชื่อดังในสังกัด LINE CREATORS Licensing Business ร่วมสร้างสรรค์ ได้แก่
· N9 ครีเอเตอร์ที่ได้รับรางวัล Super Star ลักษณะเด่นของคาแรคเตอร์จะมีความกวน ซน เข้าถึงเทรนด์ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยส่งคาแรคเตอร์ หมีหงุดหงิด และ จิ๊บ จิ๊บ มาร่วมสื่อสารในสติกเกอร์ชุดพิเศษนี้
· Tora jung ครีเอเตอร์ เจ้าของคาแรคเตอร์หมีนุ่ม ต่ายนิ่ม เป็นสติกเกอร์ที่ได้รับความนิยมตลอดกาลตั้งแต่ปี 2016 สำหรับคู่รักที่ชอบแสดงความรักต่อกันในมุมคิวท์ ๆ โดยในสติกเกอร์ชุดพิเศษนี้ หมีนุ่ม ต่ายนิ่ม ก็เข้ามาร่วมสื่อสารด้วยประโยคฮิต “ไปฉีดวัคซีนกัน”
· moonlight ครีเอเตอร์เจ้าของคาแรคเตอร์ ชิบุง สุนัขพันธ์ชิบะอินุ นิสัยขี้เล่น ซุกซน ด้วยความน่ารัก สดใส ของคาแรคเตอร์ จึงได้รับความนิยมมากทำให้ได้รับคัดเลือกเป็นครีเอเตอร์ดาวรุ่งในปี 2018 โดยในสติกเกอร์ชุดพิเศษนี้ ชิบุง ได้มาอวดความสดใสด้วยการอวดความมั่นใจว่าได้ “ฉีดวัคซีนแล้วจ้า”
· Isree Wannawittayapa ครีเอเตอร์เจ้าของคาแรคเตอร์ Pudding Hamster หนูแฮมสเตอร์โรโบรอฟสกี เป็นหนูแฮมตัวน้อย ๆ อ้วน ๆที่มีนิสัยกวน ๆ ขี้เล่น ขี้อ้อน แลดูน่ารัก เป็นที่รักของแฟนสติกเกอร์ชาวไทย โดยร่วมรณรงค์ให้คำแนะนำในสติกเกอร์ชุดพิเศษด้วยคำแนะนำแสนอบอุ่น “พักผ่อนเยอะๆ นะ”
ขอเชิญเพิ่มเพื่อนกับ หมอพร้อม Official Account เพื่อติดตามอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนแต่ละเข็ม (AEFI) ในระยะ 1 วัน 7 วัน และ 30 วัน และรับหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนเมื่อครบโดส (Vaccination Certificate) พร้อมรับสติกเกอร์ชุดพิเศษ “มาร่วมเป็นวัคซีนฮีโร่กันเถอะ” ฟรี ตั้งแต่วันนี้ ถึง 7 กรกฎาคมนี้ ที่ https://line.me/S/sticker/23708

AF ติดโผทำเนียบหุ้นน่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ในปี64
กรุงเทพฯ – บมจ.ไอร่า แฟคตอริ่ง “AF” ปลื้ม สถาบันไทยพัฒน์ คัดเลือก AF ติดโผ1ใน 24 “บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน” หรือ ESG Emerging List ปี 2564 พร้อมระบุ การได้รับคัดเลือกนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการ ภายในองค์กรที่ดี พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมถึงการตอบโจทย์ด้านการให้บริการ สะท้อนให้มีผลประกอบการทางการเงินที่ดี ภายใต้สถานการณ์โควิดที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ การลงทุน ในปัจจุบัน
นายอัครวิทย์ สุกใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกติดในทำเนียบ “บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน” หรือ ESG Emerging List ที่มีการพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน โดย สถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100
ล่าสุด AF ติด1 ใน 24 หลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 ด้วยการคัดเลือกจาก 824 บริษัท /กองทุน/ทรัสต์เพื่อการลงทุน โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG Rating สถาบันไทยพัฒน์ จำนวนกว่า 15,260 ชุดข้อมูล ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาจะคัดเลือกจากหลักทรัพย์ที่มีการดำเนินงานโดดเด่น หรือกระบวนการทำงานทางธุรกิจให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพิ่มเติมจากเดิมในรอบปีการประเมิน รวมถึงความริเริ่มด้าน ESG หรือที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน ซึ่งสร้างผลกระทบทางตรงต่อการเติบโตของรายได้
นายอัครวิทย์ กล่าวว่า การได้รับคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำให้เห็นความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการ ภายในองค์กรที่ดี โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมถึงการตอบโจทย์ด้านการให้บริการที่มีคุณภาพต่อคู่ค้า และ ลูกค้า อย่างต่อเนื่อง จนสะท้อนให้มีผลประกอบการทางการเงินที่ดี ภายใต้สถานการณ์โควิด ที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ การลงทุน ในปัจจุบัน ดังนั้นจากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ AF สามารถตอกย้ำถึงความเป็นหุ้นคงทน (Durable Stocks) ที่จะก้าวสู่การสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้อย่างคุ้มค่า และจะเป็นประโยชน์แก่นักลงทุนที่กำลังมองหาบริษัทจดทะเบียนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ทั้งนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้งหน่วยงาน ESG Rating ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนและองค์กรธุรกิจทั่วไป รวมทั้งจัดทำช่องทางการเผยแพร่ข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินการได้ดีให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้เกณฑ์ ESG เพื่อสร้างผลตอบแทนทางการเงินที่น่าพอใจในระยะยาว พร้อมๆ กับการสร้างผลกระทบทางสังคมในเชิงบวก
TWPC ส่งซิก Q2/64 แนวโน้มธุรกิจสดใส
บมจ.ไทยวา (TWPC) ประเมินแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2/64 ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง จากความต้องการแป้งมันสำปะหลังยังเติบโตเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์อาหาร มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นใกล้แตะ 20% จากเดิม 14% ฟากซีอีโอ “โฮ เรน ฮวา” ระบุว่าความต้องการและปริมาณการส่งออกแป้งมันยังเติบโตแข็งแกร่ง ช่วยผลักดันผลงานปีนี้เข้าเป้ารักษาการเติบโตระดับ Double digit พร้อมการเติบโตของ Margin ได้ มุ่งเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เผยโรงงานวุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยวที่บางเลน จ.นครปฐม ผ่านการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย “IPHA”เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ตอกย้ำความมั่นใจด้านความปลอดภัยมาตรการป้องกันโรคโควิด-19
นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC เปิดเผยว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2/2564 ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์ราคาแป้งข้าวโพดปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทำให้ความต้องการใช้แป้งมันสำปะหลังและจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้ธุรกิจอาหารยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบที่ 3 ในประเทศไทยนี้ ไม่ได้กระทบกับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นสินค้าประเภทอาหารและส่วนประกอบในอาหารขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่สินค้าแป้งมันสำปะหลังของบริษัทส่วนใหญ่ ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน และไต้หวัน
ธุรกิจอาหารส่งออกของบริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะช่องทางการขายที่สำคัญ เช่น Wholesale และหน่วยรถเงินสด เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ คนละครึ่ง-เราชนะ-ม.33 รวมทั้งล่าสุดสัดส่วนการส่งออกในธุรกิจอาหารปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ใกล้เคียง 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 14% ซึ่งน่าจะสนับสนุนให้รายได้รวมในปี 2564 ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตสองหลัก (Double digit) ได้จากปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยผลิตสินค้าประเภท “ไบโอพลาสติก” ซึ่งเป็นผลผลิตต่อยอดจากพืชผลทางการเกษตร และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบประเภทสินค้าภาชนะ และของใช้ในการเกษตรทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปีนี้ และทยอยรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ และรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญในด้านการผลิตอาหารปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ได้มีการยกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด เริ่มตั้งแต่การบริหารจัดการสถานที่ กระบวนการผลิต และบุคลากรตามมาตรการร่วม และมาตรฐานด้านสุขอนามัย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคในการซื้อสินค้าที่มีมาตรฐานปลอดภัยจากโรคโควิด -19 และเมื่อสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันจัดทำ มาตรฐาน IPHA ขึ้นมา TWPC โดยโรงงานวุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยวที่บางเลน จังหวัดนครปฐม จึงได้เป็นสถานประกอบการในกลุ่มโรงงานวุ้นเส้นที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย “IPHA” หรือ Industrial and Production Hygiene Administration ตอกย้ำความมั่นใจด้านความปลอดภัยในมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 และเป็นโรงงานวุ้นเส้นภายใต้แบรนด์มังกรคู่ หงษ์ กิเลนคู่ และโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว ที่ได้รับการรับรองเป็นแห่งแรกในประเทศไทยอีกด้วย
อาคารซันทาวเวอร์ส เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตน ม.33
สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2 เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่อาคารซันทาวเวอร์ส เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยได้รับความร่วมมือจากสิงห์ เอสเตท โรงพยาบาลเปาโล เกษตร เริ่มให้บริการตั้งแต่วันนี้
ทั้งนี้ ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่อาคารซันทาวเวอร์ส เป็นหนึ่งใน 45 จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการของกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม ในการเร่งการกระจายวัคซีนเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยว่า ภายหลังอาคารซันทาวเวอร์สได้รับเลือกจากสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ให้เป็นหนึ่งในจุดฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ทางสิงห์ เอสเตท ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนภาครัฐในการแก้ไขปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ โดยได้จัดเตรียมสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนไว้ตามมาตรฐานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลเปาโล เกษตร แบ่งพื้นที่ให้บริการตามมาตรฐานศูนย์ฉีดวัคซีน ทั้งพื้นที่ลงทะเบียน พื้นที่เตรียมวัคซีน จุดให้คำปรึกษาจากแพทย์ พื้นที่ฉีดวัคซีน พื้นที่สำหรับสังเกตอาการ รวมถึงห้องฉุกเฉิน ซึ่งสามารถรองรับผู้ประกันตนที่มาฉีดวัคซีนได้จำนวน 2,000 ต่อวัน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญด้านการเว้นระยะห่าง การบริหารพื้นที่ไม่ให้แออัด และปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด สามารถเชื่อมั่นในความปลอดภัยสูงสุด
โรงพยาบาลเปาโล เกษตร ยังสนับสนุนด้านบุคลากรด้านการแพทย์ที่มาให้บริการฉีดวัคซีน รวมถึงในกรณีที่มีผู้ป่วยจากการแพ้วัคซีนที่รุนแรง หรือภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์อื่นๆ นอกจากนี้ยังจัดเตรียมห้องพยาบาลที่มีอุปกรณ์ ยา และเวชภัณฑ์สำหรับการช่วยกู้ชีวิตขั้นสูง พร้อมทีมบุคลากรการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน, นายจำลอง ช่วยรอด คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน, นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม, เรือเอกสาโรจน์ คมคาย ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สํานักงานประกันสังคมรักษาราชการในตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวง และคณะ ได้เดินทางมาเยี่ยมชมการดำเนินการของศูนย์ฉีดวัคซีนที่ซันทาวเวอร์ส และกล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ ในการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตน มาตรา 33 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่แรงงาน ให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อให้ภาคธุรกิจได้มีการขับเคลื่อนต่อไปได้โดยเร็ว
สำหรับผู้ประกันตนที่จะเข้ารับบริการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ของสำนักงานประกันสังคม จะต้องแจ้งความประสงค์รับวัคซีนไว้กับฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และได้บันทึกลงระบบ e – service ของสำนักงานประกันสังคมไว้แล้ว โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตามจุดบริการซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้กำหนดจุดฉีดวัคซีนไว้ทั้งสิ้น 45 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร โดยที่อาคารซันทาวเวอร์ส ให้บริการตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน –26 มิถุนายน 2564 ซึ่งนับเป็นการผนึกกำลังของภาคเอกชนที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนภารกิจของภาครัฐ เพื่อกระจายวัคซีนโควิด 19 ไปยังประชาชนอย่างทั่วถึง และรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยนำพาประเทศชาติให้ก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน

ไลอ้อน แนะนำ “เปา ซิลเวอร์ นาโน เอ็กซ์เพิร์ท” ฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19
บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย ขอแนะนำ ผงซักฟอกเปา ซิลเวอร์ นาโน เอ็กซ์เพิร์ท ให้พลังซักสะอาด พิสูจน์แล้ว ฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ 99.99% และยับยั้งแบคทีเรีย* ลดกลิ่นอับ ไม่ง้อแดด มั่นใจในทุกสถานการณ์ ให้เสื้อผ้าสะอาดแบบมีอนามัยทุกการสวมใส่ มีให้เลือก 3 สูตร ได้แก่ ผงซักฟอกเปา ซิลเวอร์ นาโน เอ็กซ์เพิร์ท สูตรเข้มข้น สำหรับซักมือ และ เครื่องฝาบน, ผงซักฟอกเปา ซิลเวอร์ นาโน เอ็กซ์เพิร์ท ซอฟท์ ผสมสารปรับผ้านุ่ม ให้ผ้านุ่มหอมในขั้นตอนเดียว และ ผงซักฟอกเปา ซิลเวอร์ นาโน เอ็กซ์เพิร์ท สำหรับซักเครื่องฝาหน้า ให้ปริมาณฟองพอเหมาะ ทุกสูตรมาพร้อมเทคโนโลยีความหอมนานต่อเนื่องทุกครั้งที่สัมผัส *ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ได้มากกว่า 99.99% จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการในประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือน ธันวาคม 2563 และผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S.aureus และ E.coli ได้ 99.9% ในห้องปฏิบัติการทดสอบในประเทศไทย เมื่อเดือน กันยายน 2563
ผงซักฟอกเปา ซิลเวอร์ นาโน เอ็กซ์เพิร์ท สูตรเข้มข้น หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าทั่วไป หรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ Lion Shop Online, LINE Official Account @lionfamily, Lazada, Shopee และ JD Central สามารถติดตามรายละเอียดรวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ของไลอ้อนเพิ่มเติมได้ทาง FB : LionFamilyThailand, PaoSilverNanoThailand และ www.lion.co.th
ไทยออยล์ จัดโครงการส่งพลังงาน สร้างพลังใจ ฝ่าวิกฤติโควิด-19
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงยืดเยื้อและทวีความรุนแรงมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม ประชาชนคนทั่วไป ผู้ประกอบกิจการ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นหน้าด่านสำคัญในการช่วยบรรเทาวิกฤตินี้มาโดยตลอด วัคซีนโควิด-19 จึงเป็นความหวังที่จะช่วยลดความรุนแรงและลดโอกาสการเสียชีวิตได้ และเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้คนไทยสามารถกลับมาใช้ชีวิตและฟื้นคืนเศรษฐกิจให้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง
ไทยออยล์ ในฐานะองค์กรที่อยู่คู่คนไทยและร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยการสร้างความมั่นคงทางพลังงานมาตลอด 60 ปี ได้เล็งเห็นถึงภาระอันยิ่งใหญ่ของหน่วยงานทางการแพทย์และโรงพยาบาล ที่นอกจากจะต้องทุ่มเทในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มาโดยตลอดแล้ว ยังต้องระดมสรรพกำลังเพื่อให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด รวมถึงการตรวจคัดกรองเชิงรุก และงานสาธารณสุขอื่นๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นในวิกฤตการณ์ระลอกใหม่นี้ ซึ่งล้วนแต่ต้องมีการเดินทางของบุคลากร การขนส่งหรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งภาระค่าใช้จ่ายที่หลายหน่วยงานต้องแบกรับ ไทยออยล์จึงเร่งดำเนินการเข้าช่วยเหลือเพื่อแบ่งเบาภาระเหล่านี้ ภายใต้ โครงการส่งพลังงาน สร้างพลังใจ ช่วยคนไทยฝ่าวิกฤติโควิด-19 ด้วยการสนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงรวมถึงเคมีภัณฑ์เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ที่เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพและได้มาตรฐานจากโรงกลั่นไทยออยล์ เพื่อสนับสนุนภารกิจในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไป
นอกจากนี้ โครงการส่งพลังงาน สร้างพลังใจ โดยไทยออยล์ยังเข้าร่วมสนับสนุนระบบบริหารและจัดการศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังและศรีราชา ณ ศาลาประชาคมอ่าวอุดม จังหวัดชลบุรี เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ทั้งนี้ มูลค่าการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ ภายใต้ โครงการส่งพลังงาน สร้างพลังใจ รวมทั้งสิ้นกว่า 8,500,000 บาท

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมากในประเทศไทย ส่งผลให้หน่วยงานต่างๆ ต้องเร่งทำงานเชิงรุก ทั้งการรักษาพยาบาล และเร่งสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและทั่วถึง ไทยออยล์ตระหนักถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนให้เกิดการกระจายและเข้าถึงวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นที่มาของโครงการ “ส่งพลังงาน สร้างพลังใจ” เรามีความตั้งใจที่ช่วยเหลือสังคมในภาวะวิกฤตนี้ ด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของไทยออยล์ ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง และเคมีภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อโรค และเจลแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงความห่วงใยและความปลอดภัยสู่บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชน และชุมชนรอบโรงกลั่นของไทยออยล์ โดยเราเชื่อมั่นว่าในไม่ช้าคนไทยทุกคนจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ได้อย่างราบรื่นและสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขอีกครั้ง”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่าหนึ่งปี ตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก จนถึงปัจจุบัน ไทยออยล์มีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือสังคมผ่านโครงการต่างๆ มาโดยตลอด อาทิ ส่งมอบเครื่องออกซิเจน ไฮโฟลว์ ส่งมอบหน้ากากป้องกันใบหน้า (Face Shield) ชุด PPE เจลแอลกอฮอล์ ถุงกำลังใจให้กับโรงพยาบาลและรอบชุมชนโรงกลั่น, และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ ที่จำเป็น โดยยังคงเดินหน้าสานต่อการสนับสนุนด้วยทรัพยากรและศักยภาพที่มีอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งรวมมูลค่าการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด มีมูลค่าเกือบ 30,000,000 บาท และเรายังคงมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนต่อไป โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าไทยออยล์จะเป็นหนึ่งพลังใจที่จะส่งต่อไปให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
