“คาเฟ่ อเมซอน” ส่งกาแฟ Cold Brew รับเทรนด์สินค้า Home Use

คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่กาแฟสกัดเย็น Café Amazon Cold Brew ออกสู่ตลาด หลังสถานการณ์ระบาดของโควิด  19 ปรับตัวรับเทรนด์สินค้า Home Use/ Home Brew สอดรับพฤติกรรมการบริโภคกาแฟของคนไทย มุ่งสร้างประสบการณ์โฮมบาริสต้าให้กับลูกค้า โดยเน้นความง่าย สะดวก รวดเร็ว สมกับเป็นเจ้าตลาดกาแฟสด ตอบรับช่วงเวลาการอยู่บ้านของผู้คนในปัจจุบัน 

จากสถานการณ์ระบาดของโควิด  19 ตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจกับวิธีการดื่มกาแฟชงเองที่บ้านมากขึ้น โดยคอกาแฟต่างมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคโควิด-19 พร้อมทดลองประสบการณ์การชงกาแฟด้วยตนเอง คาเฟ่ อเมซอน เล็งเห็นโอกาสใหม่ในการตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้ จึงเปิดตัว Café Amazon Cold Brew กาแฟสกัดเย็นที่สามารถชงเองได้ที่บ้านง่าย  ใน 3 ขั้นตอน เพียงแค่ ฉีก-แช่-เอาเข้าตู้เย็น 8 ชั่วโมง ก็พร้อมสำหรับการดื่มด่ำลิ้มรสความสดชื่นเหมือนมีบาริสต้ามืออาชีพจากร้านมาชงให้

สุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR

นายสุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า “ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันใช้เวลาในการอยู่บ้านมากขึ้น และเริ่มหันมาให้ความสนใจในรายละเอียดของการดื่มกาแฟจากแหล่งผลิตต่าง ๆ อีกทั้งยังมุ่งหาความเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟนั้น ๆ คาเฟ่ อเมซอน มุ่งตอบโจทย์กลุ่มคอกาแฟที่มีความสนใจดังกล่าว ที่กำลังมองหาประสบการณ์การดื่มกาแฟที่มีคุณภาพเหมือนได้ลิ้มรสกาแฟจากร้านชื่อดังที่ได้มาตรฐาน จึงเกิดเป็นกาแฟสกัดเย็นทางเลือกใหม่ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี นอกจากจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเป็นทางเลือก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่แล้ว คาเฟ่ อเมซอน ยังให้ความสำคัญกับการคัดสรรเมล็ดกาแฟจากแหล่งเพาะปลูกกาแฟคุณภาพโดยพี่น้องเกษตรกรท้องถิ่นที่ยึดหลักวิถียั่งยืน อีกทั้งยังส่งเสริมการเติบโตร่วมกันกับชุมชนผ่านโครงการ CCS หรือ Community Coffee Sourcing ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาความรู้ และทักษะอาชีพให้กับวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและผลิตกาแฟ รวมถึงเป็นช่องทางการรับซื้อเมล็ดกาแฟที่แน่นอนให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและเกษตรกร ให้มีรายได้จากการซื้อขายในระดับราคาที่เป็นธรรม (Fair Trade) เพื่อสร้างกลุ่มชุมชนให้มีอาชีพอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของ OR ที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตร่วมกัน เพื่อสร้างชุมชนน่าอยู่ และสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ในทุกที่ที่ OR ดำเนินธุรกิจ”

สำหรับกาแฟสกัดเย็น Café Amazon Cold Brew มีวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สูตร ได้แก่ อเมซอน วัลเลย์ ซีเครท กาแฟแท้คั่วบด สำหรับสกัดเย็น (Amazon Valley Secret Roasted Coffee For Cold Brew) กาแฟ สูตรเฉพาะจากเมล็ดกาแฟบนแหล่งปลูกในจังหวัดเชียงรายอันมีชื่อเสียงโดยเกษตรกรชาวเขาในชุมชน 3 พื้นที่ ปางขอน ผาลั้ง และแม่สลอง คั่วในระดับกลาง รสชาตินุ่มละมุนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของธรรมชาติอย่างแท้จริง และอเมซอน เฮาส์เบลนด์ กาแฟแท้คั่วบด สำหรับสกัดเย็น (Amazon House Blend Roasted Coffee For Cold Brew) กาแฟเฮาส์เบลนด์ที่มีส่วนผสมอันลงตัวระหว่างเมล็ดกาแฟอะราบิกา และโรบัสตาคุณภาพดี จากฝีมือการปลูกของเกษตรกรไทย ผ่านกระบวนการผลิตด้วยความพิถีพิถันจากโรงคั่วกาแฟคาเฟ่ อเมซอน คั่วในระดับกลางถึงเข้ม ออกมาเป็นเมล็ดกาแฟที่มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ รสชาติเข้มระดับพอดี นำไปสร้างสรรค์เมนูกาแฟได้หลากหลาย 

ผลิตภัณฑ์ Café Amazon Cold Brew มีวางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ Café Amazon สาขาใกล้บ้านคุณ ทุกสาขา หรือสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทางแอปพลิเคชัน Lazada และ Shopee สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1365 Contact Center

ลิกซิล ขนทัพ 4 แบรนด์ชั้นนำ ร่วมงาน Kitchen & Bath China 2021

ลิกซิล ผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์เพื่อที่อยู่อาศัยและสุขภัณฑ์ ประกอบไปด้วย 4 แบรนด์ชั้นนำภายในเครือ ได้แก่ อเมริกันสแตนดาร์ด (American Standard) โกรเฮ่ (GROHE) อิแนกซ์ (INAX) และ ลิกซิล คิทเช่น (LIXIL Kitchens) ได้จัดแสดงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ในงาน Kitchen & Bath China 2021 พร้อมถ่ายทอดความมุ่งมั่นของลิกซิลในการมุ่งเน้นเนรมิตบ้านที่ดีกว่าเดิมแก่ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ผ่านการนำเสนอแนวคิดและการออกแบบล่าสุดของแบรนด์ชั้นนำทั้งสี่

ลิกซิล เปิดบูธของแบรนด์ทั้ง 4 พร้อมจัดงานแถลงข่าวในวันแรกของการจัดนิทรรศการ โดยมีลีดเดอร์จากลิกซิล อินเตอร์เนชันแนล อาทิ บิจอย โมฮาน (Bijoy Mohan) ผู้นำ ลิกซิล อินเตอร์เนชันแนล ชินจิ อิโต (Shinji Ito) ผู้นำกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ติดตั้งของลิกซิล อินเตอร์เนชันแนล ธอมัส ฟัวร์ (Thomas Fuhr) ผู้นำกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ฟิตติ้งของลิกซิล อินเตอร์เนชันแนล และ พอล ฟลาวเออส (Paul Flowers) ผู้นำฝ่ายออกแบบระดับโลกของลิกซิล อินเตอร์เนชันแนล พร้อมด้วยลีดเดอร์ลิกซิลจากเอเชียอย่าง อันทวน เบแซร์ เดส์ ออรส์ (Antoine Besseyre des Horts) ผู้นำฝ่ายออกแบบระดับโลกของ ลิกซิลเอเชีย ร่วมพูดคุยทางออนไลน์กับสื่อมวลชนและคู่ค้าธุรกิจ โดยมี อเดล เตา (Adele Tao) ผู้นำกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำของลิกซิลประจำจีนแผ่นดินใหญ่ และทีมงานของเธอเป็นหัวหอกในการประชุมเพื่อตอกย้ำความสำเร็จของลิกซิลตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

ปีพ.ศ. 2564 นับเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ เนื่องจากเป็นโอกาสที่ลิกซิลครบรอบ 10 ปี ลิกซิลได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2554 จากการควบรวมกันของ 5 กิจการบริษัทวัสดุก่อสร้างและที่อยู่อาศัยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของญี่ปุ่นอย่าง ทอสเท็ม (TOSTEM) อิแนกซ์ (INAX) ชิน นิกเกอิ (Shin Nikkei) ซันเวฟ (Sunwave) และ โทเอ็กซ์ (TOEX) โดยในปัจจุบันแบรนด์ระดับโลกเหล่านี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของลิกซิลควบคู่ไปกับ อเมริกันสแตนดาร์ด (American Standard) และ โกรเฮ่ (GROHE) ด้วยแนวความคิดที่คล้ายคลึงกันและนำเสนอการผสมผลิตภัณท์ที่ช่วยเสริมมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้ลิกซิลสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ ตลอดจนความพึงพอใจด้านสุนทรียภาพที่หลากหลายของผู้บริโภคได้

บิจอย โมฮาน ผู้นำ ลิกซิล อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า แม้แต่ละแบรนด์ของเราจะมีบุคลิกและจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ต่างก็นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใครเทียบได้และสามารถตอบสนองความต้องการและความชอบของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่ เราภูมิใจที่จะนำเสนอนวัตกรรมอีกมากมายให้กับผู้บริโภคของเราในช่วงแห่งวาระการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของการก่อตั้งลิกซิลกรุ๊ปในงาน KBC 2021 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเครื่องครัวและสุขภัณฑ์ระดับชั้นนำแห่งหนึ่งในเอเชีย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลิกซิลได้ปรับใช้กลยุทธ์ของการมีสินค้าหลากหลายประเภท ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย (Multi-Brand and Multi-Category) ในทวีปเอเชีย เพื่อตอบสนองความความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างกันได้อย่างเต็มที่ โดยได้รับความไว้วางใจในกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับชั้นนำและบริการที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ รวมเป็นจุดแข็งของลิกซิลที่ต่างเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากลูกค้าและผู้ใช้งานจริง

ซาโตชิ โคนาไก ผู้นำกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำของลิกซิลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า เราได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนับเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นว่าตลาดเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชันเพื่อสุขอนามัยที่ดี และเนื่องจากผู้บริโภคใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น ความต้องการในประสบการณ์ด้านสปาที่บ้าน (Home Spa Experiences) ก็ค่อย ๆ มีมากขึ้นเช่นกัน ในฐานะที่เป็นบริษัทขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย (Purpose-Driven Company) เราจะก้าวเป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมและความแปลกใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการที่จีนเป็นเจ้าภาพการจัดงาน KBC ในปีนี้ นับเป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของเราว่าอุตสาหกรรมทั่วโลกกำลังเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

นวัตกรรมและการยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของลิกซิล องค์กรมีการเฝ้าสังเกตและรวบรวมข้อมูลของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการเชิงลึกหรือแม้กระทั่งความต้องการที่แฝงอยู่ของผู้บริโภค อย่างในยุค New Normal ที่ผู้บริโภคได้หันมาให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้เห็นถึงความต้องการในผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอย่าง ก๊อกน้ำแบบไร้สัมผัส (Touchless Faucets) และโซลูชันที่รองรับ IoT (IoT Enabled Solutions) ที่มากขึ้นตามเช่นกัน

ซาโตชิ กล่าวเสริมว่า จุดแข็งของเราอยู่ที่การก้าวนำหน้าในด้านนวัตกรรม การเป็นองค์กรระดับโลกนั้นยังทำให้เราได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เนื่องจากเราสามารถใช้ขีดความสามารถและเทคโนโลยีชั้นเลิศด้านการวิจัยและพัฒนา การออกแบบ และการตลาดได้จากทั่วโลก ลิกซิลได้ตอบสนองต่อเทรนด์ในระดับมหภาค (Macro Trend) ที่สำคัญทั้งในด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ และพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ โดยมุ่งเน้นไปที่การค้าปลีกและการเร่งการพัฒนาก๊อกน้ำและโถสุขภัณฑ์ระบบเซ็นเซอร์เพื่อลดการสัมผัส วัสดุพื้นผิวกันแบคทีเรีย ระบบกรองน้ำ ฝารองนั่งสุขภัณฑ์ระบบอัตโนมัติ และโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะชนิดลดการสัมผัส

“ในช่วงการเกิดโรคระบาด เรายังคงเดินหน้าสร้างสายผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มระดับโลก โดยมีมูลค่าการขายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อนับรวมจากทุกแบรนด์ในเครือของเรา นับเป็นกุญแจสำคัญเนื่องจากมีความต้องการในการปรับปรุงบ้านเพิ่มสูงขึ้น เพราะผู้คนเลือกใช้เวลาอยู่อาศัยที่บ้านกันมากขึ้นในปัจจุบันนี้” ซาโตชิ กล่าวเสริมในตอนท้าย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ลิกซิลได้เปิดศูนย์การออกแบบสุดล้ำแห่งใหม่ในสิงคโปร์ (จากเดิมตั้งอยู่ที่ประเทศไทย) นับเป็น 1 ใน 6 ศูนย์การออกแบบของลิกซิลทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นศูนย์การออกแบบแห่งเดียวในเอเชียนอกประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ทั้งนี้ลิกซิลยังคงเดินหน้าลงทุนต่อในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อเปิดทางสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างครอบคลุมผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

ไฮไลท์สำคัญของแบรนด์ในเครือลิกซิล ณ มหกรรม KBC ประกอบไปด้วย

อเมริกันสแตนดาร์ด (American Standard)

American Standard Booth

อเมริกันสแตนดาร์ด มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพและนวัตกรรมที่สั่งสมมายาวนานมากกว่า 140 ปี โดยเป็นแบรนด์ที่นำเสนอโซลูชันห้องน้ำที่ผสานการออกแบบอย่างพิถีพิถันกับนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งนี้อเมริกันสแตนดาร์ดได้สร้างนิยามของมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสุขอนามัย ความปลอดภัย ความรับผิดชอบ และความสวยงาม ผ่านโซลูชันที่ผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายและประสิทธิภาพสูงสุด

ในมหกรรม KBC 2021 อเมริกันสแตนดาร์ด จะจัดแสดงผลิตภัณฑ์ในธีม “การออกแบบที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย (Purposeful Designs for a Comfortable Living)” พร้อมนำเสนอสุขภัณฑ์อัจฉริยะ อาทิรุ่น E-Lite Shower Toilet และ Smart-Air E-Bidet ซึ่งประกอบไปด้วยฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ในการมอบประสบการณ์การใช้งานห้องน้ำที่สะดวกสบายและถูกสุขอนามัย นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงโซลูชันการดูแลด้านการแพทย์และผู้สูงอายุ ซึ่งจะเป็นชุดโซลูชันนวัตกรรมห้องน้ำใหม่ที่สามารถมอบความสะดวกสบายให้กับทั้งผู้ใช้งานในบ้าน (Residential Users) และ ผู้ใช้งานเชิงพาณิชย์ (Commercial Users)

โกรเฮ่ (GROHE)

GROHE Booth

หากผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยคือหัวใจสำคัญในการแข่งขันของลิกซิลแล้ว “การออกแบบ” ก็นับเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของแบรนด์ โดยในปีนี้ โกรเฮ่จะทำการสื่อสาร “เปลี่ยนอนาคตการใช้น้ำ (Shaping the Future of Water)” เพื่อสื่อสารว่าแบรนด์สามารถเปลี่ยนอนาคตการใช้น้ำในอุตสาหกรรมได้อย่างไร นอกจากนี้จะมีการเปิดตัว โกรเฮ่ สปา (GROHE SPA ) ในฐานะแบรนด์หรูอิสระ ผ่านการนำเสนอ 2 คอลเลคชันแรกที่ส่งมอบคอนเซปต์ “สุขภาพดีผ่านการใช้น้ำ (Health Through Water)” ให้กับบ้านและโรงแรมหรู โดยฟิตติ้งและอุปกรณ์ในห้องน้ำในคอลเลคชัน The New GROHE SPA New Allure ที่แสนหรูหรานั้นได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน และมาพร้อมสีสันที่ลงตัว อีกทั้งระบบฝักบัวติดเพดานแบบโมดูลาร์รุ่นใหม่ของ The new GROHE SPA Rainshower Aqua ก็มาพร้อมกับหัวสเปรย์ที่มีให้เลือกมากถึง 5 รูปแบบ รวมถึงสายน้ำสำหรับช่วงลำตัวของ GROHE SPA AQUA ที่จะมอบประสบการณ์การอาบน้ำรูปแบบสปาที่แสนสงบ ผ่อนคลาย และปลุกความรู้สึกของคุณให้กระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น

อิแนกซ์ (INAX)

INAX Booth

การจัดสรรพื้นที่ที่มีปริมาณจำกัดอย่างชำนาญและการสร้างโลกที่สวยงามภายในพื้นที่นั้น คืองานศิลปะที่ผู้คนปรารถนาในประเทศญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็นแบรนด์เชื้อสายญี่ปุ่นที่แข็งแกร่ง ลิกซิลได้ผสมผสานสุนทรียศาสตร์และไลฟ์สไตล์แบบฉบับของญี่ปุ่นเข้ากับดีเอ็นเอการออกแบบของตัวเอง ในปีนี้ อิแนกซ์ จะจัดแสดงในธีม “แสงและเงา ความใส่ใจที่เรามีให้คุณทั้งกลางวันและกลางคืน (Light and Shadow, Caring for You Day and Night)” นำเสนอผลิตภัณฑ์รุ่น S600 LINE ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่น เพื่อสร้างพื้นที่แห่งความงามขั้นสุดผ่านการเล่นแสงและเงาอย่างชำนาญ มาพร้อมโซลูชันห้องน้ำที่มีระบบฝักบัวอัจฉริยะ, อ่างล้างหน้า Cerafine™, ฝักบัวและนวัตกรรมโถสุขภัณฑ์และฝารองนั่งอัจฉริยะ ที่ได้รวบรวมเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่มีความพิถีพิถัน ผสานเข้ากับไอเดียการต้อนรับแสนละเมียดละไมในแบบญี่ปุ่น เพื่อสร้างช่วงเวลาอันเงียบสงบและมอบความสะดวกสบายสูงสุดในการใช้ห้องน้ำ นอกจากนี้คอลเลกชันที่ได้รับรางวัลยังรวมไปถึงสุขภัณฑ์อัจฉริยะรุ่น SATIS G ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Aqua Ceramic, Plasmacluster® และ Powerful Air Shield Deodorizer เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการรณ์การชำระล้างอย่างถูกสุขอนามัยมากที่สุด

ลิกซิล คิทเช่น (LIXIL Kitchen)

LIXIL Kitchen Booth

ในปีนี้ ลิกซิล คิทเช่นมาพร้อมกับแนวคิดอย่าง เทคโนโลยีที่เหมาะกับมนุษย์และการออกแบบที่เหมาะกับการอยู่อาศัย (Human Fit Technology and Living Fit Design) สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับห้องครัวแบบตะวันออก นำความงดงามแบบฉบับญี่ปุ่นมาผสานเข้ากับห้องครัวแบบจีน โดยลิกซิล คิทเช่นพร้อมที่จะสร้างพื้นที่สำหรับการทำอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ในบ้านของคุณ ด้วยชุดผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์แบบครบชุด

A&W 102 ปี ตำนานความอร่อยสไตล์อเมริกัน

เป็นแบรนด์ที่ครองใจคนทั้งโลกมาอย่างยาวนานถึง 102 ปีเต็ม สำหรับ A&W (เอ แอนด์ ดับบลิว) แบรนด์ร้านอาหารความอร่อยสไตล์อเมริกัน และถือเป็น 38 ปีเต็มที่ก่อตั้งขึ้นในเมืองไทย โดยปัจจุบันภายใต้การบริหารโดย บริษัท โกลคอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON ล่าสุดเพื่อเป็นการฉลองในโอกาสครบรอบ 102 ปี เตรียมดันกลยุทธ์พร้อมงัดหมัดเด็ดสู้ศึกสภาวะเศรษฐกิจ ให้กลุ่มผู้บริโภคได้ทานอาหารคุณภาพดีในราคาสบายกระเป๋ากับโปรเด็ด SUPER SAVE ในราคาเบาๆ 102 บาท

หลุยส์ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON

นางสาวหลุยส์ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โกลคอน คอนซูเมอร์ (GLOCON) กล่าวว่า  “A&W เป็นแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานมาถึง 102 ปี โดยคนทั่วโลกชื่นชอบและจดจำแบรนด์รวมถึงเมนู ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของแบรนด์เป็นอย่างมาก และคนที่ชื่นชอบความอร่อยสไตล์อเมริกัน ก็จะนึกถึง A&W เป็นท็อปออฟมายแบรนด์ในใจของพวกเขา เมนูเด่นๆ ที่ขายดีตลอดกาล และทุกคนพูดถึงนั่นคือ รูทเบียร์ ซิกเนเจอร์ ซึ่งหาทานที่อื่นไม่ได้ ต้องแวะเวียนมาทานที่ A&W เท่านั้น จากความยาวนานของแบรนด์ ทำให้เราต้องเพิ่มความน่าสนใจให้กับแบรนด์อยู่เสมอ ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา โดยเฉพาะหัวใจหลัก นั่นคือ เมนูที่จะทำให้คนชื่นชอบและเกิดการบอกต่อ ซึ่งเราพยายาม R&D เมนูใหม่ๆ ให้แฟนประจำของแบรนด์ได้ลองอะไรใหม่ๆ รวมถึงมีเมนูใหม่ๆ ในการดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ มาเพิ่มเติมด้วย ในขณะเดียวกัน เราก็ยังคงคุณภาพของเมนูอาหารที่มีอยู่ในร้านให้เกิดการซื้อซ้ำมากที่สุด”

“ในโอกาสครบรอบ 102 ปี ทั้งที แน่นอนว่าเราต้องจัดใหญ่ไม่ธรรมดา โดยเรามีแคมเปญเฉลิมฉลอง 102 ปี ร่วมกับ A&W ทั่วโลกในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ในการปรับรูปแบบโลโก้ มีการนำเอาเลข 102 เข้ามาเพื่อให้คนจดจำ แต่เพิ่มลูกเล่นให้มีความน่าสนใจ และเน้นย้ำในทุกข่องทางต่างๆ ทั้งแฟลกชิพสโตร์ และฟู้ดทรัคของเรา พร้อมทั้งมีเมนู SUPER SAVE ในราคา 102 บาท แต่ความคุ้มค่าคือลูกค้าจะได้ทานถึง 5 เมนูในเซ็ตนี้ ที่จะประกอบด้วย นักเก็ตไก่ เมจิกฟรายส์ ข้าวลาบไก่กรอบ ชิคเก้นแรปแอนด์โรล และรูทเบียร์ ที่เป็นซิกเนเจอร์ดริ้งค์ของเรา โดยมีจำหน่ายเฉพาะที่สาขา ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการสร้างทราฟฟิคให้คนมาที่ร้านของเราเพิ่มการบอกต่อให้มากขึ้น นอกจากนั้นในปีนี้ เรายังเน้นกระจายสาขาต่างๆ โดยใช้กลยุทธ์บุกไปหาทุกๆคนให้เราได้ใกล้กันมากขึ้น โดยกระจาย A&W Food Truck เสิร์ฟความอร่อยประจำจุดต่างๆ ในกรุงเทพ และจะได้เห็นจำนวนเพิ่มมากขึ้นภายในปีนี้ นอกจากนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังจะได้เห็นมูฟเม้นท์ใหม่ๆ ของแบรนด์ โดยเน้นกลยุทธ์ Co-partner เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้เรามีเมนูใหม่ๆ ที่หลากหลายและเป็นทางเลือกให้กับแบรนด์มากยิ่งขึ้น ซึ่งอยากให้รอติดตามกัน” นางสาวหลุยส์ กล่าวเพิ่มเติม

พบกับโปรโมชั่นคุ้มๆ แบบ SUPER SAVE ในราคา 102 บาท และเมนูยอดฮิต และเมนูใหม่ๆ ที่พร้อมเสิร์ฟให้อร่อยใกล้บ้านผ่าน เอ แอนด์ ดับบลิว แฟลกชิพ สโตร์ และฟู้ด ทรัค ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล รายละเอียดและโปรโมชั่นโดนๆ ติดตามได้ทาง https://facebook.com/awthai/

SUN เข้าซื้อขายใน SET พร้อมเดินทัพลุยเพิ่มโอกาสธุรกิจ

บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายข้าวโพดหวานแปรรูปและผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตรอื่นๆ ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท “KC” โชว์ศักยภาพแข็งแกร่ง ย้ายเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพิ่มช่องทางขยายการลงทุนทางธุรกิจให้มีการเติบโต และเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนเสริมสภาพคล่อง สู่การต่อยอดธุรกิจและยกระดับความเป็นเลิศด้านอุตสาหกรรมอาหาร ผลักดันรายได้โตต่อเนื่อง

นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้อนุมัติการย้ายหลักทรัพย์ของ SUN เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก (18 มิ.ย. 2564) ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ด้วยทุนจดทะเบียน 322.49 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท นับตั้งแต่ วันที่ 28 ธันวาคม 2560 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) บริษัทฯมุ่งเน้นการส่งเสริมความแข็งแกร่งทางด้านฐานะทางการเงิน โดยบริหารจัดการองค์กรปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสูงสุด เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน และสามารถรุกขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้การดำเนินงานในด้านรายได้และกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับผลประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ในระดับ “ดีมาก (4 ดาว)”

การเข้าจดทะเบียนและซื้อขายหุ้นใน SET จะเอื้ออำนวยและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายฐานผู้ถือหุ้นและกองทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเพิ่มสัดส่วนลงทุน และสภาพคล่องให้สูงขึ้น รวมถึงรองรับกับการขยายงานด้านธุรกิจของบริษัทในอนาคต เนื่องจาก SUN มีแผนที่จะลงทุนในโครงการใหม่ ๆ อาทิ โครงการพลังงานสะอาด โครงการพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง ควบคู่ไปกับแสวงหาพันธมิตรในการพัฒนาโครงการร่วมกัน สำหรับต่อยอดธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น

ด้าน แผนการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% โดยมุ่งเน้นผลักดันธุรกิจ วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ยังคงเป็น Core Business สำคัญที่บริษัทมุ่งมั่นพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค สร้างการรับรู้แบรนด์และเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะผลักดันให้รายได้เติบโตตามเป้าหมาย และส่งผลดีต่อการก้าวไปสู่การเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

SCN ยอดขายกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติเติบโตก้าวกระโดด

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก เผยว่า กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัทกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากที่ก่อนหน้านี้ ธุรกิจ iCNG ได้กลับมามียอดขนส่งแตะ 4,000 MMBTU ต่อวัน หลังจากสถานการณ์โควิด อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบและถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ยอดขายในกลุ่มธุรกิจธรรมชาติเติบโตต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสถานีก๊าซธรรมชาติหลัก ปั๊ม NGV รวมถึงธุรกิจขนส่งก๊าซธรรมชาติ

นอกจากนี้ยังได้รับผลบวกจากการที่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ที่หันมาสนใจใช้ iCNG มากขึ้น เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกกว่า ไม่ผันผวน มีเสถียรภาพชัดเจน และยังเป็นเชื้อเพลิงสะอาด ช่วยลดการปล่อย CO2  ยิ่งทำให้ธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัทอยู่ในจุดที่กำลังรุ่งโรจน์ไม่น้อยหน้าธุรกิจอื่น

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านก๊าซธรรมชาติอย่างครบวงจร มีความพร้อมต่อการรองรับปริมาณงานและการให้บริการด้านก๊าซธรรมชาติอย่างมืออาชีพ เรามั่นใจว่าผลประกอบการจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ดีขึ้นนับจากนี้ จะสามารถช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและโดดเด่นกว่าปีที่ผ่านมาตามเป้าที่วางไว้

TPOLY คว้างานก่อสร้างเดินท่อส่งน้ำ มูลค่า 191 ล้าน

TPOLY คว้างานก่อสร้างโครงการจัดหาน้ำดิบฯ จ.ระยอง มูลค่ากว่า 191 ล้านบาท บิ๊กบอส “ปฐมพล สาวทรัพย์” ระบุลุยเดินหน้าประมูลงานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชนต่อเนื่อง ตั้งเป้า Backlog ปลายปีทะลุ 3,000 ล้านบาท

นายปฐมพล สาวทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับงานก่อสร้างใหม่ เป็นการก่อสร้างงานเดินท่อส่งน้ำและสถานีสูบน้ำ โครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อภาคการผลิตพื้นที่จังหวัดระยอง  อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ซึ่งเป็นโครงการของบริษัท วาย.เอส.เอส.พี. แอกกริเกต จำกัด มูลค่าโครงการ 191,264,587.50 บาท ระยะเวลาการก่อสร้าง 270 วัน

“แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ ยังทวีความรุนแรง แต่บริษัทฯ ก็ยังเข้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะงานที่มีความพร้อมในการก่อสร้าง รวมทั้งการให้บริการภายหลังส่งมอบงาน เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ”นายปฐมพล กล่าว

ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ เดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะงานภาครัฐที่มีการทยอยออกโครงการอย่างต่อเนื่อง และเป็นงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการก่อสร้าง ทั้งงาน ก่อสร้างอาคารโรงพยาบาล สถานศึกษา สนามบิน เป็นต้น รวมทั้ง งานก่อสร้างชลประทานและประปา โดยตั้งเป้า Backlog 3,000 ล้านบาท ภายในปีนี้ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

กัลเดอร์มา เดินหน้ากลยุทธ์ Partnership สานต่อเติบโตยั่งยืน

กัลเดอร์มา ผสานความร่วมมือพันธมิตรคลินิกความงามและแพทย์ความงามชั้นนำของไทยภายใต้กลยุทธ์ ‘Partnership’ พัฒนา academic training สู่ศูนย์กลางทางความรู้ด้านความงามสมัยใหม่ ต่อยอดศักยภาพแพทย์ไทยให้ก้าวสู่เวทีระดับโลก เพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคผ่านการคัดสรรคลินิกคุณภาพ โดยสร้างสรรค์รางวัล ‘The Iconic Award &Top 100 Exclusive Clinic 2021’ ให้เลือกใช้บริการได้ตรงตามความต้องการยิ่งขึ้น 

เภสัชกรพิรพัฒน์ ศรีวัฒนวงศ์ ผู้อำนวยการธุรกิจความงามประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน บริษัท กัลเดอร์มา เปิดเผยว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา บ. กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากศักยภาพของพันธมิตรคลินิกความงามและแพทย์ความงามที่ไว้วางใจในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของกัลเดอร์มา ทั้งสารเติมเต็ม NASHA และ OBT และสารลดเลือนริ้วรอยจากประเทศอังกฤษ ทำให้สามารถเติบโตควบคู่กันอย่างแข็งแกร่ง และเพื่อแทนคำขอบคุณและร่วมเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงได้พัฒนากลยุทธ์ผ่านการส่งมอบความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่สั่งสมมา ผสานกับเทคนิคเฉพาะตัวของแพทย์ด้านความงาม ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ มาร่วมถ่ายทอดเทคนิคและวิวัฒนาการยุคใหม่สู่พันธมิตรคลินิกความงามและแพทย์ความงามให้สามารถต่อยอดการเติบโตไปพร้อมกันกับกัลเดอร์มาได้อย่างยั่งยืนและตอบโจทย์คนไข้ได้อย่างเหมาะสม

โดยในปีที่ผ่านมา กัลเดอร์มา ได้สร้างสรรค์แคมเปญพิเศษขึ้น 2 โครงการ คือ โครงการ The Iconic Award &Top 100 Exclusive Clinic 2021 และโครงการ GAIN (Galderma Aesthetics Injector Network) ซึ่งเป็น training platform ในการฝึกสอนแพทย์สำหรับการฉีดสารเติมเต็มให้มีความปลอดภัยและความสวยงามด้วยผลิตภัณฑ์ของกัลเดอร์มา

The Iconic Award &Top 100 Exclusive Clinic 2021 คือรางวัลเกียรติยศที่มอบให้แก่พันธมิตรคลินิกความงามที่มีศักยภาพการเติบโตและความสำเร็จร่วมกับกัลเดอร์มาอย่างแท้จริง โดยบริษัทฯ ใช้เกณฑ์การวัดผลแบบออร์แกนิค เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงสุดควรคู่แก่รางวัลที่เราตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับมาตรฐานรางวัลดังกล่าวให้เป็นที่ยอมรับทั้งในกลุ่มธุรกิจความงามและกลุ่มผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกคลินิกที่ผ่านการรับรอง ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐานตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น โดยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.galdermaaestheticsthailand.com ส่วนโครงการ GAIN Training Platform นั้น บริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากทีมแพทย์เฉพาะทางความงามและการปรับรูปหน้าชั้นนำของเมืองไทยกว่า 30 ท่าน เข้าร่วมเป็น training mentor เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ ทักษะและพัฒนาศักยภาพของแพทย์ความงามในเมืองไทยผ่านการจัดอบรมในรูปแบบโปรแกรมระดับโลก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ในอนาคตกัลเดอร์มาวางแผนที่จะผลักดันให้ทีมแพทย์ training mentor ของไทยก้าวสู่การเป็น speaker ในเวทีระดับโลกต่อไป

Advancing Dermatology for Every Skin Story คือปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของกัลเดอร์มา เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพผิวในทุกช่วงชีวิตของผู้บริโภค ผ่านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดูแลความงาม รวมไปถึงการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพความงาม พร้อมเดินหน้าพัฒนากลยุทธ์ ‘Partnership’ ร่วมกับเหล่าพันธมิตรด้านธุรกิจความงามเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จร่วมกัน

“กัลเดอร์มาให้ความสำคัญอย่างมากเกี่ยวกับการพัฒนา academic training platform เพื่อพัฒนาทักษะทางหัตถการของแพทย์ด้วยเทคนิคที่ทันสมัยและให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตรฐานระดับโลกสู่กลุ่มผู้บริโภค เพื่อสร้างความมั่นใจในทุกครั้งที่ใช้บริการ” เภสัชกรพิรพัฒน์ กล่าวสรุป

TWPC ติดโผ FTSE SET Shariah Index เริ่ม 21 มิ.ย.นี้

บมจ. ไทยวา (TWPC) ปลื้ม ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Shariah Index มีผลวันที่ 21 มิ.ย.นี้ ตอกย้ำการเป็นบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ ช่วยยกระดับความน่าสนใจลงทุนของสถาบันทั้งในและต่างประเทศ  ฟากซีอีโอ “โฮ เรน ฮวา” ระบุว่าการเข้าไปอยู่ในดัชนี FSTSH จะช่วยสนับสนุนโอกาสในการขยายฐานผู้ลงทุนใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ และเพิ่มความน่าสนใจทำให้องค์กรเป็นที่รู้จักในระดับสากล ช่วยสนับสนุนการต่อยอดธุรกิจในอนาคต มุ่งเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ มั่นใจผลงานปีนี้โตทะลุเป้าหมายระดับ 10% 

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยวา (TWPC) เปิดเผยว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศผลการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series มีผลวันที่ 21 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป โดยบริษัทฯ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าคำนวณในดัชนี FTSE SET Shariah Index (FSTSH) ซึ่งเป็นดัชนีหลักทรัพย์ระดับนานาชาติ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายฐานผู้ลงทุนใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ และเพิ่มความน่าสนใจทำให้องค์กรเป็นที่รู้จักในระดับสากล มีโอกาสช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจในอนาคตได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE SET Shariah Index ถือเป็นเครื่องมือที่เหมาะกับผู้ลงทุนทุกประเภทที่ต้องการลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainability Investment) ที่คัดเลือกหลักทรัพย์จากดัชนี FTSE SET All-Share และผ่านการคัดเลือกตามหลักศาสนาอิสลาม โดยประกอบด้วยหุ้นที่มีสภาพคล่อง อีกทั้งเป็นการดำเนินธุรกิจมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) อีกด้วย โดยปัจจุบันมีกองทุนรวม 2 กองทุน ที่อ้างอิงตามดัชนี FTSE SET Shariah Index ได้แก่ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อิสลามิก ฟันด์ (MIF) และ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีอิสลามิกหุ้นระยะยาว (MIF-LTF)

“การได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Shariah Index (FSTSH) ถือเป็นการตอกย้ำการเป็นบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น และเป็นที่ยอมรับจากคู่ค้า ตลอดจนช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจในอนาคตได้เป็นอย่างดี”

นาย โฮ เรน ฮวา กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในส่วนต่างๆ ตามแผนที่วางไว้ แม้จะยังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่มีการใช้งาน การลงทุนเพิ่มกำลังผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ในโครงการผลิตพลาสติกชีวภาพ (ไบโอพลาสติก) เพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินงานของธุรกิจให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว

ส่วนแนวโน้มผลงานในไตรมาส 2/2564 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์ราคาแป้งข้าวโพดที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ลูกค้าหันมาใช้แป้งมันสำปะหลังเป็นสินค้าทดแทน ในขณะที่ความต้องการแป้งมันสำปะหลังยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศจีน รวมถึงจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ คนละครึ่ง-เราชนะ-เรารักกัน ที่สนับสนุนให้ธุรกิจอาหารในประเทศยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับลูกค้าตลาดส่งออกยังเติบโตได้ต่อเนื่อง บริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่าภาพรวมในปี 2564 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยรายได้ที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เทียบจากปีก่อน ประกอบกับการเติบโตของอัตราการทำกำไร เนื่องจากแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ในส่วนต่างๆ ขยายตัวในทุกธุรกิจอย่างชัดเจน

SFT รับ winner 2 รางวัล จากเวทีประกวดระดับอาเซียน

นายซุง ชง ทอย (ที่ จากซ้าย) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทยจำกัด (มหาชนหรือ SFT รับ รางวัล จากเวที HP Inkspiration Awards 2021 (HP Indigo Digital Print) ประเทศสิงคโปร์ ในสาขาฉลากฟิลม์หดรัดรูป (Shrink Sleeves) ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 14 โดยได้รับความสนใจจากผู้ผลิตและผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมการพิมพ์ดิจิทัลที่โดดเด่น และมีประเทศในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกมากกว่า 20 ประเทศ รวมถึงประเทศญี่ปุ่นที่ได้เข้าร่วมการประกวดในครั้งนี้ ตอกย้ำ SFT ในฐานะผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน 

WHO มอบรางวัลให้แก่ พญ. อารยา ทองผิว

ดรดาเนียล เคอร์เทซ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (ซ้าย) มอบรางวัล Regional Director’s Special Recognition Award จากองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO SEARO) ให้แก่ พญ. อารยา ทองผิว อายุรแพทย์เฉพาะทางเบาหวาน และต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน (ขวา) ในงาน World No Tobacco Day Award 2021″ เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี พ.ศ. 2564 ณ โรงพยาบาลเปาโล ในฐานะผู้ดำเนินงานด้านการส่งเสริม และสนับสนุนเครือข่ายวิชาชีพในการควบคุมการบริโภคยาสูบ ในโครงการรณรงค์เลิกสูบบุหรี่ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551 โดย พญอารยา ได้ช่วยให้ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังละเลิกการสูบบุหรี่ได้สูงถึง 46% จากผู้ป่วยที่ร่วมโครงการกว่า 1,500 คน นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าโครงการเลิกบุหรี่ในโรคเรื้อรัง ขณะนี้มีแม่ข่ายทุกเขตของกระทรวงสาธารณสุข และกทม. รวม 13 เขต ซึ่งจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง