ยอดโควิด-19 วันนี้ ผู้ติดเชื้อเพิ่ม 21,838 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 รวม 21,838 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อใหม่ 20,915 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 923 ราย ผู้ป่วยสะสม 707,659 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 21,108 ราย ผู้หายป่วยสะสม 489,586 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 213,444 ราย ผู้เสียชีวิต 212 ราย

ไทยยูเนี่ยน นำทัพแบรนด์ซีเล็ค ร่วมโครงการธงฟ้าช่วยลดภาระค่าครองชีพ

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำผลิตภัณฑ์แบรนด์ ซีเล็คเข้าร่วมโครงการธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ตั้งเป้าช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย รวมถึงประชาชนทั่วไปได้บริโภคสินค้าดีมีคุณภาพในราคาประหยัดลดภาระค่าครองชีพ โดยนำเอาผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง ซีเล็ค ปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ และ ซีเล็ค น้ำพริกผัดทูน่า เข้าร่วมโครงการ โดยจำหน่ายผ่านร้านธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น

นายศรัณย์ รัตนรุ่งเรืองชัย ผู้จัดการทั่วไป บริหารกลุ่มตลาดเกิดใหม่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในนาม ไทยยูเนี่ยน ภายใต้แบรนด์ซีเล็ค รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เพื่อช่วยสนับสนุนมาตรการของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดหาสินค้าที่จำเป็น มีคุณค่าทางโภชนาการ มีคุณภาพ และที่สำคัญเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน เพราะเราจำหน่ายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป ซึ่งโครงการดังกล่าวถือว่าเป็นโครงการที่ช่วยเหลือสังคม เพราะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมทั้งร้านธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยเช่นกัน

“ทางไทยยูเนี่ยน ได้นำเอาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ซีเล็ค โดยนำร่องด้วยปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ ที่ทั้งอร่อย เพราะคัดสรรปลาแมคเคอเรล อุดมด้วยคุณประโยชน์ทั้งโอเมก้า 3, EPA, DHA รวมถึงวิตามินซีและดี มาจำหน่ายในราคา ถูก ทำให้ประชาชนทั่วไปได้บริโภคสินค้าดีมีคุณภาพในราคาประหยัด และ ดี เพราะการันตีคุณภาพจากบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโรงงานมาตรฐานผลิตแบบสากล สินค้าสามารถจัดเก็บไว้บริโภคได้นานถึง 3 ปี โดยไม่ใส่วัตถุกันเสียหรือสารกันบูด โดยผลิตภัณฑ์ซีเล็ค จากไทยยูเนี่ยน ยังถือเป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์แรกที่ได้รับอนุมัติตราสัญลักษณ์ธงฟ้าจากกรมการค้าภายในบนบรรจุภัณฑ์ สำหรับวางจำหน่ายพิเศษ เฉพาะที่ร้านธงฟ้าเท่านั้น ความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของการดำเนินงานของไทยยูเนี่ยน ที่มุ่งมั่นในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการรักษาความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนทางด้านอาหาร ให้แก่อนาคตของคนรุ่นต่อๆไป”

สำหรับผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่นำมาเข้าร่วมโครงการมี 2 รายการ คือ ซีเล็ค ปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ ขนาด 155 กรัม ใน ราคาปลีกแนะนำเพียง 14 บาท (จากราคาปกติ 16 บาท) และซีเล็คน้ำพริกผัดทูน่า x ธงฟ้า ขนาด 90 กรัม ในราคาปลีกแนะนำเพียง 20 บาท (จากราคาปกติ 27 บาท) มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้านธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นมากกว่า 25,000 ร้าน ทั่วประเทศ

WICE เปิดคลังสินค้าใหม่ ย่านบางนา ขยายฐานลูกค้าใหม่

WICE เปิดคลังสินค้าใหม่ย่านบางนา ภายใต้การดำเนินงานบริษัทย่อย ไวส์ ซัพพลายเชน โซลูชั่นส์ ชูกลยุทธ์บริหารจัดการดีมานด์ ซัพพลาย ลดต้นทุนการขนส่ง ขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มโอกาสรับงาน รองรับการเติบโตของธุรกิจค้าปลีก และ E-Commerce ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 100 ล้านบาท

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทเปิดคลังสินค้าใหม่ย่านบางนา ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท ไวส์ ซัพพลายเชน โซลูชั่นส์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่นส์แบบครบวงจร ถือเป็นบริษัทย่อยที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถรับงานหลากหลายในอนาคต อาทิ กลุ่มลูกค้าธุรกิจค้าปลีก (Retail) และ  E-Commerce  ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างสูง จากความต้องการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน จึงเป็นโอกาสดีที่บริษัทผลักดันการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในธุรกิจนี้

บริษัท ไวส์ ซัพพลายเชน โซลูชั่นส์ จำกัด ให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนโซลูชั่นส์แบบครบวงจรในรูปแบบของ 3PL หรือ Third Party Logistics เน้นการให้บริการด้วยนวัตกรรม และ ระบบการจัดการ  โลจิสติกส์ที่ปรับให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารสินค้าขาเข้า (Inbound Logistics) การดำเนินงานพิธีการศุลกากรด้วยผู้ชำนาญการ เชื่อมต่อการขนส่งจากท่าเรือมายังคลังสินค้าเพื่อจัดเก็บและกระจายสินค้าด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน

สำหรับคลังสินค้าแห่งใหม่ ตั้งอยู่ที่ ถ.บางนา-ตราด กม.18 ด้วยพื้นที่ทั้งหมดกว่า 10,000 ตารางเมตร ให้บริการในกลุ่มลูกค้าธุรกิจค้าปลีก (Retail), กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (Custom Electronics), กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และ กลุ่มลูกค้า E-Commerce ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ซึ่งในปัจจุบันมีลูกค้าเข้าใช้บริการแล้ว 60% และยังอยู่ระหว่างดำเนินการเจรจาอีกหลายราย คาดว่าจะมีลูกค้าเข้าใช้บริการเต็มคลังภายในสิ้นปีนี้ โดยตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 100 ล้านบาท

อีกทั้งบริษัทมีความพร้อมที่จะขยายคลังสินค้าหากมีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยมีพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อจัดหาคลังสินค้าหรือบริการก่อสร้างคลังสินค้าให้สอดคล้องกับธุรกิจของลูกค้า โดยตั้งเป้าหมายในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีพื้นที่บริหารจัดการคลังสินค้าจำนวนรวม 100,000 ตารางเมตร ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ

“ขณะที่อุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าเติบโตขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ทั้งจากตัวบริษัทลูกค้าที่มีบริการขนส่งเองอยู่แล้ว และ บริษัทต่างชาติรายใหญ่ผู้ให้บริการจัดการขนส่ง บริษัทจึงมุ่งเน้นกลยุทธ์และการดำเนินงานที่แตกต่าง เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าเป็นสำคัญ เริ่มต้นจากการเข้าใจในธุรกิจของลูกค้า ออกแบบแผนบริหารจัดการขนส่งแบบครบวงจร พร้อมทั้งช่วยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นในกระบวนการต่างๆ ด้วยความชำนาญในขั้นตอนงานโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รวมไปถึงจุดแข็งด้านการให้บริการขนส่งหลากหลายรูปแบบ และ มีเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า และมีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง” นายชูเดช กล่าว

พาราไดซ์ พาร์ค มอบคอมพิวเตอร์ ให้สำนักงานเขตประเวศสนับสนุนปฎิบัติงานโควิด-19

ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ในเครือเอ็ม บี เค นำโดย นายเอกรัตน์ ชลลัมพี (ที่ จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค และคณะ มอบคอมพิวเตอร์ให้สำนักงานเขตประเวศ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ ที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหนองบอน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีนายวรเศรษฐ์ วิศาลศักดิ์ (ที่ จากซ้าย) ผู้อำนวยการเขตประเวศ พร้อมด้วย นางสาวพนิดา แก้วมาก (ที่ จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตประเวศ และนางสกุลทิพย์ วิวัฒน์ศรี (ที่ จากซ้าย) หัวหน้าฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหนองบอน สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร

หารือยกระดับคุมเข้มโควิด-19 โรงงานฯ ตามมาตรการ Bubble and Seal

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงหรรษา รักษาคม ผู้อำนวยการกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค แพทย์หญิงนฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ นายปรนนท์ ฐิตะวรรโณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ นพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการ

เพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ (HEC) ผ่านระบบออนไลน์ ในประเด็นแนวทางการบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมในสถานการณ์โควิด-19 เพื่อกำหนดนโยบายของ กนอ.เกี่ยวกับการบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมในสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 และแนวปฏิบัติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ในการแบ่งกลุ่มพนักงานเป็นกลุ่มๆ เพื่อลดการสัมผัสระหว่างกัน หรือ Bubble And Seal และระบบดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ภายในโรงงาน (โรงพยาบาลสนามในโรงงาน) หรือ Factory Isolation โดยแบ่งกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงและความเสี่ยงต่ำให้กักตัวในสถานประกอบการ เพื่อจำกัดวงของการระบาดของไวรัสโควิด-19 และทำให้การดำเนินงานในภาคการผลิตยังดำเนินต่อไปได้ตามปกติ

“การเฝ้าสังเกตอาการของผู้มีความเสี่ยงสูงและผู้มีความเสี่ยงต่ำนั้น กรมควบคุมโรคได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรแยกจากกันอย่างชัดเจนเป็นคนละกลุ่ม และยังให้เขาทำงานได้ตามปกติ แต่ต้องเฝ้าสังเกตอาการใกล้ชิด ไม่ให้มีการข้ามกลุ่มกันไปมา ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องปิดโรงงาน ไม่เกิดการระบาดในชุมชน และพนักงานยังคงมีรายได้ เพื่อให้กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากขณะนี้ต้องยอมรับว่า ภาคอุตสาหกรรมถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศ ดังนั้น เราจะหามาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการให้ดำเนินงานได้อย่างดีที่สุด”นายวีริศ กล่าว

สำหรับมาตรการ Bubble and Seal จะต้องใช้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคเข้ามากำกับดูแล เช่น ต้องมีการประเมินความเสี่ยงทุกวัน ตรวจคัดกรองกลุ่มที่มีไข้ด้วยแอนติเจนท์ เทสต์ คิท กรณีมีแรงงานเข้ามาใหม่ต้องกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการดูแลด้านสังคมด้วย เช่น จัดเตรียมสถานที่พักในโรงงาน ชุมชน โรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับหากมีผู้ติดเชื้อ รวมทั้งสนับสนุนปัจจัย 4 ในการดำรงชีพ มีการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย  ทั้งนี้ มาตรการ Bubble and Seal ถูกใช้มาแล้วในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง และสามารถจำกัดการระบาดของไวรัสได้ดีในจังหวัดสมุทรสาครในระลอกที่ 2 ดังนั้นจึงมองว่า หาก กนอ.นำไปประยุกต์ใช้กับโรงงานในนิคมฯ ต่างๆ ทั่วประเทศ น่าจะช่วยลดการแพร่ระบาดได้ ขณะเดียวกันรูปแบบที่ใช้ต้องเหมาะสมกับประเภทกิจการพื้นที่และแรงงานด้วย

“กนอ.จะหารือกับหน่วยงานปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เร่งจัดทำมาตรการ แนวทาง และรูปแบบในการดำเนินการ รวมทั้งอาจจะมีการพัฒนาระบบการแชร์ข้อมูลเพื่อรายงานผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินผลการดำเนินงานต่อไป ขณะที่กระทรวงดิจิทัลฯ เองก็พร้อมให้ความช่วยเหลือในเรื่องของสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือสัญญาณ WiFi ด้วย” ผู้ว่าการ กนอ.กล่าวปิดท้าย

วิกฤตการณ์ขาดแคลน Semiconductor ในอุตฯ ยานยนต์

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยภาพรวมชะลอตัว แต่ยังมีบางธุรกิจ/อุตสาหกรรม ที่ได้รับผลกระทบด้านบวก อาทิ อุปกรณ์ทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ การขนส่งสินค้า อุปกรณ์ด้านคอมพิวเตอร์และสื่อสารโทรคมนาคม เป็นต้น ซึ่งอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ด้านคอมพิวเตอร์และสื่อสารโทรคมนาคมเติบโตอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 เนื่องจากกิจการต่างๆ ปรับรูปแบบให้พนักงานทำงานจากที่พักอาศัย (Work from home) แทน รวมทั้งความต้องการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยเหลือเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความบันเทิงในที่พักอาศัยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการ Semiconductor ที่เป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์ดังกล่าวเติบโตขึ้นมากเช่นกัน

ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ผลิต Semiconductor รายใหญ่จำนวน 17 ราย มีส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 90
ของตลาด Semiconductor ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งผลิตเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย อุปกรณ์สื่อสารแบบมีสาย มาร์โฟน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อุปกรณ์ต่อพ่วงของคอมพิวเตอร์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องแม่ข่ายและศูนย์ข้อมูล และมี 7 ราย เป็นผู้ผลิต Semiconductor สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้แก่ NXP Infineon NVDIA AMD Qualcomm Texas instrument และ Renesas โดยผู้ผลิตทั้ง 7 รายนี้ มียอดจำหน่าย Semiconductor สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24 ของยอดจำหน่ายทั้งหมดเท่านั้น และมี NXP Infineon Renesas และ Texas instrument เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของ Semiconductor สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์

ศูนย์สารสนเทศยานยนต์ สถาบันยานยนต์ ได้วิเคราะหถึงสาเหตุของการขาดแคลน Semiconductor ในอุตสาหกรรมยานยนต์นอกจากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิต Semiconductor แล้วนั้น ยังมีสาเหตุอีกหลายประการที่ทำให้เกิดการขาดแคลนSemiconductor ในอุตสาหกรรมยานยนต์

ประการแรก ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี ค.ศ. 2020 โรงงานผลิตยานยนต์ทั่วโลกได้หยุดการผลิตชั่วคราว เพื่อดำเนินการตามมาตรการ Lockdown ของรัฐบาลในแต่ละประเทศ ทำให้คำสั่งซื้อ Semiconductor สำหรับยานยนต์ขาดช่วงไป ประกอบกับความต้องการใช้งาน Semiconductor ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเติบโต ทำให้ผู้ผลิต Semiconductor ปรับสายการผลิตไปผลิต Semiconductor ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอุปกรณ์สื่อสารที่ใช้กับระบบ 5G คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer: PC) และเครื่องแม่ข่าย (Server)

ประการที่สอง แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะฟื้นตัวกลับมาผลิตใหม่อีกครั้ง แต่กระบวนการสั่งซื้อ Semiconductor ใช้เวลานานหลายเดือน โดยการสั่งซื้อ Semiconductor จากโรงงานผลิตเดิมต้องการเวลาล่วงหน้าถึง 4 เดือน ในขณะที่การสั่งซื้อ Semiconductor จากโรงงานใหม่ของผู้ผลิตรายเดิมต้องการเวลาตั้งสายการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 6 เดือน และหากผู้ผลิตรถยนต์ต้องการเปลี่ยนผู้ผลิตรายใหม่ ต้องใช้เวลาในการเตรียมการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี หรือมากกว่า นอกจากนั้น หาก Semiconductor ใช้องค์ความรู้จากสิทธิบัตรของผู้ผลิตรายเดิม จะต้องดำเนินการขออนุญาตผลิตเพิ่มเติม และต้องผ่านกระบวนการภายในบริษัท เพื่อยืนยันคำสั่งซื้อซึ่งจะใช้เวลาเพิ่มขึ้นไปอีก

ประการที่สาม การเพิ่มกำลังการผลิตในสายการผลิตเดิมไม่สามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจาก อัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรม Semiconductor อยู่ที่ประมาณร้อยละ 88 ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงมากแล้ว และการเพิ่มกำลังการผลิตโดยการตั้งโรงงานใหม่จะใช้เวลากว่า 2ปีในการก่อสร้าง ผู้ผลิตต้องมีการออกแบบ Semiconductor และกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ที่ใช้เวลาในการเตรียมการอีกหลายปี กว่าจะเริ่มผลิต Semiconductor ที่มีจำนวนมากได้

โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้พิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการส่งเสริม
การลงทุนอุตสาหกรรมผลิต Silicon Wafer ผลิต Semiconductor และผลิต Printed Circuit Board Assembly เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการของตลาดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ต้องการเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนสูงขึ้น และต้องใช้เงินลงทุนสูง โดย อุตสาหกรรมผลิต Silicon Waferจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 10ปี จากเดิมสูงสุด 8 ปี ในส่วนของอุตสาหกรรมผลิต Semiconductor จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี จากเดิม 5 ปี แต่ต้องมีการลงทุนค่าเครื่องจักรอย่างน้อย 1,500 ล้านบาท ในขณะที่อุตสาหกรรมผลิต Printed Circuit Board Assembly จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี จากเดิม 3 ปี เช่นเดียวกัน แต่ต้องมีการลงทุนค่าเครื่องจักรอย่างน้อย 500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัญหาการขาดแคลน Semiconductor ไม่ได้เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์เพียงเท่านั้น เนื่องจากการพัฒนาทาง Technology และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ส่งผลให้ความต้องการ Semiconductor เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่ากำลังการผลิตในปัจจุบัน โดยทั้งภาครัฐและเอกชนของหลายประเทศพยายามแก้ปัญหา ผ่านการบริหารจัดการกระบวนการจัดซื้อและห่วงโซ่อุปทาน รวมไปถึงการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต แต่อย่างไรก็ดีการลงทุนตั้งโรงงาน่ใหม่จำเป็นต้องใช้เวลา ซึ่งอาจจะยังส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลน Semiconductor ยังคงดำเนินต่อไปในช่วงระยะเวลา 1 2 ปี

ซึ่งสามารถติดตามอ่าน แนวทางมาตรการแก้ปัญหาการขาดแคลน Semiconductor ระยะสั้น แล
ระยะยาว ได้ที่เว็บไซต์สถาบันยานยนต์ http://www.thaiauto.or.th หรือ ศูนย์สารสนเทศยานยนต์

ภูเก็ต ประกาศปิด “ตลาดสาธาณะ 1“ หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด-19

เทศบาลนครภูเก็ต ได้ออกประกาศปิดตลาดสาธารณะ 1 ตลาดบ่านซ้าน ถนนระนอง อำเภอเมืองภูเก็ต เป็นเวลา 7 วัน ระหว่างวันที่ 5-11 สิงหาคม 2564 นี้ หลังพบแรงงานต่างด้าวติดเชื้อโควิด-19 พร้อมตรวจคัดกรองเชิงรุกและสอบสอนโรคกลุ่มพ่อค้า แม่ค้าในตลาดและกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง พร้อมทำความสะอาดฆ่าเชื้อ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่ให้บริการอยู่ในตลาด รวมถึงผู้ไปใช้บริการด้วย

นอกจากนี้ ในส่วนองค์การบริหารส่วนตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง ก็ได้ประกาศปิดสำนักงาน อบต.เทพกระษัตรี เป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 5-6 สิงหาคม 2564 นี้ เนื่องจากมีพนักงานงานของ อบต.เทพกระษัตรี ติดเชื้อโควิด-19 พร้อมพ่นยาฆ่าเชื้อ และจะเปิดทำการอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 แต่ในส่วนงานสาธารณูปโภคเกี่ยวกับการดูแลระบบประปา และงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ระยะ 1-2 วันนี้ อาจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูง จากการลงพื้นที่เชิงรุกในการสอบสวนโรคและคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่พบมีการการแพร่ระบาดของเชื้อ พร้อมกันนี้ ทางจังหวัดภูเก็ตขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัดและงดการเดินทาง หรือการรวมตัว การจัดกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดการระบาดของเชื้อได้

ชัยภูมิ ประกาศปิดสถานศึกษาทุกประเภทต่ออีก 14 วัน

นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังมีผู้ติดเชื้อสะสมและผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศ อยู่ในอัตราที่สูงและยังพบการแพร่ระบาดแบบกลุ่มก้อน (Cluster) ในพื้นที่ที่มีความแออัดหลายพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงผู้ติดเชื้อได้กระจายตัวออกไปในหลายพื้นที่อย่างรวดเร็ว และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน (Cluster) ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในสถานศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มของนักเรียนนักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา

ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติตเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ จึงอาศัยอำนางตามความในข้อ 7 (3) ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2563 ข้อ 9 วรรคสอง ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 20) ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 ประกอบมาตรา 22 (7) และมาตรา 25 มาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชัยภูมิ ในคราวประชุม ครั้งที่ 59/2564 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2564 จึงให้โรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกประเภท ทั้งภาครัฐและเอกชน สถาบันกวดวิชา ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ งดการเรียน การสอน การสอบ การฝึกอบรม ในรูปแบบ On Site หรือ การทำกิจกรรมใด ๆ ที่เสี่ยงต่อการเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) เป็นระยะเวลา 14 วัน ทั้งนี้ ให้จัดการเรียน การสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือการทำกิจกรรมใดๆในรูปแบบ Online , On Air , On Hand และ On Demand ไต้ตามวามหมาะสมตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2564 ถึงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2564 หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

กรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดฝึกอบรมออนไลน์ ป้องกันภัยพิบัติจากสารเคมี

นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กำหนดจัดฝึกอบรม การป้องกันอุบัติภัยจากสารเคมีและเตรียมความพร้อมในการระงับเหตุ.ให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่มีการเก็บหรือการใช้สารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านความปลอดภัยสารเคมีในการป้องกันอุบัติภัยจากสารเคมีและเตรียมความพร้อมในการระงับเหตุที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้อง โดยดำเนินการรับมือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง

การจัดอบรมในครั้งนี้ เป็นในรูปแบบออนไลน์ มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ช่วยทบทวนมาตรการความปลอดภัยของโรงงานที่มีอยู่ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการจัดการภัยพิบัติ ทั้งมิติการเตรียมความพร้อม การรับมือ/ตอบสนองต่อเหตุการณ์ การเยียวยาฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบกิจการโรงงานและผู้ที่ปฏิบัติงานกับสารเคมี ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการจัดการสารเคมีได้อย่างปลอดภัย

สำหรับการฝึกอบรมกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ระหว่างเวลา 08.30 น.- 12.00 น.ผ่านโปรแกรม Zoom ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการฝึกอบรมได้ที่ www.diw.go.th/regis_safety/ ภายในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 หรือหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ กลุ่มความปลอดภัยสารเคมี โทร 0-2202-4220 ในวันและเวลาราชการ

อัตราเงินเฟ้อ ก.ค. ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4

นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค หรือเงินเฟ้อทั่วไปประจำเดือนกรกฎาคม 2564 ขยายตัวร้อยละ 0.45  เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยเป็นผลมาจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพของรัฐบาล ทั้งการลดค่าไฟฟ้า น้ำประปา ในรอบเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2564 การลดค่าเล่าเรียน-ค่าธรรมเนียมการศึกษาและการลดลงของราคาอาหารสดบางประเภท อาทิ เนื้อสุกร ไข่ไก่และผลไม้สด ตามความต้องการในช่วงล็อกดาวน์ ยังเป็นปัจจัยบั่นทอนที่ทำให้เงินเฟ้อในเดือนนี้ชะลอตัว ทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 7 เดือนของปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83

อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวในเดือนนี้ สอดคล้องกับเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องซึ่งขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวเช่นกัน อาทิ ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า ยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์และรถจักรยานยนต์ รวมถึงรายได้เกษตรกรและแม้ว่าเศรษฐกิจของไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 แต่การส่งออกสินค้าของไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ

สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนสิงหาคม 2564 คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในระดับที่ไม่สูงมากนักเพราะมีปัจจัยสำคัญจากมาตรการลดค่าครองชีพผู้บริโภคของภาครัฐและราคาสินค้าเกษตรที่ยังมีโอกาสผันผวนตามสภาพอากาศ รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งเป็นแรงกดดันสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศ อย่างไรก็ตาม แผนการจัดหาและการกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและมีความชัดเจน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง  น่าจะสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้คือ ที่ร้อยละ 1.0 – 3.0 ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2564 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 0.7 – 1.7 ค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง