UAC ส่งโรงงาน PPP หนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์สู้โควิด-19

บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC และ โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (PPP) ได้ร่วมสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประเภทแอลกอฮอล์ เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และหน้ากากอนามัย ให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลกกแรต โดยมี นายอำภร รัดเลิศ นายก อบต.กกแรต พร้อมด้วย นางสาวฉวีวรรณ พงศทัต รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับมอบ เพื่อใช้ในช่วงสถานการณ์การระบาดของดไวรัสโควิด-19 ณ องค์การบริหารส่วนตำบลกกแรต จังหวัดสุโขทัย

IHL มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฝ่าโควิด-19

บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์และสิ่งของอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ชุดอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ (PPE) ข้าวกล่อง น้ำผลไม้ และน้ำสมุนไพร โดยมูลนิธิอินเตอร์ไฮด์ ให้กับสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อช่วยสนับสนุนในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ในการดูแล รักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ฯ จ.สมุทรปราการ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา IHL ได้ดำเนินการเพื่อช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้แก่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ในวิกฤตโควิด-19 โดยมูลนิธิอินเตอร์ไฮด์ มาอย่างต่อเนื่อง

SSP ขึ้นทำเนียบหุ้นน่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging

SSP สุดปลื้ม! ขึ้นแท่นหุ้นน่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 64 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์ ตอกย้ำปัจจัยพื้นฐานแกร่ง โตแรงฝ่าวิกฤติโควิด ฟาก “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” เปิดแผนงานครึ่งปีหลังเตรียม COD โรงไฟฟ้าญี่ปุ่น-เวียดนาม เพิ่ม หนุนผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง 

นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยถึงกรณีที่สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ได้ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 โดย SSP อยู่มีรายชื่อหุ้นอยู่ในกลุ่มดังกล่าว ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงหลักการคิดในการบริหารธุรกิจของบริษัทฯ ที่ไม่ได้มองเพียงมิติของผลกำไรจากการดำเนินงานเพียงเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ของความยั่งยืน โดยหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 มีทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์

ทั้งนี้  การพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน กลุ่ม ESG Emerging ในปีนี้ นับเป็นปีที่สองของการประเมิน โดยใช้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ปรากฏในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG และความริเริ่ม หรือลักษณะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นด้าน ESG ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ หรือการประหยัดต้นทุนของกิจการในรอบปีการประเมิน

นายวรุตม์ กล่าวอีกว่า แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น และเวียดนาม เตรียมขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

อนึ่ง ผลการดำเนินงานของ SSP ในไตรมาส 1/64 แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทฯยังคงรักษาความสามารถทำกำไรได้ในระดับสูง มีกำไรหลักจากการดำเนินงานจำนวน 178.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วนกำไรหลักจากการดำเนินงาน 35.6% ของรายได้รวม  สะท้อนการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เอส แอนด์ พี ร่วมใจสู้ภัย โควิด-19

บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) นำโดย มณีสุดา ศิลาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร เดินหน้าส่งกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยโรคโควิด-19 เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่สนับสนุนงานด้านโควิด-19 และประชาชนในชุมชนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยส่งมอบอาหารกล่องพร้อมทานเอส แอนด์ พี จำนวน 3,300 กล่อง และน้ำดื่ม มูลค่ารวมทั้งสิ้น 383,355 บาท ระหว่างวันที่ 8-24 พฤษภาคม 2564 ภายใต้โครงการ “S&P ร่วมใจสู้ภัย โควิด-19 ปี 2564”

มณีสุดา ศิลาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร กล่าวว่า เอส แอนด์ พี มีความห่วงใยต่อสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย โดยเอส แอนด์ พีได้รับการสนับสนุนข้าวกล้องงอก จากคุณหญิงพรรณทอง มณีศิลป์ บริษัท ข้าวแม่ จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรของเอส แอนด์ พี เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารกล่องพร้อมทาน คุณภาพดี มีคุณค่าทางโภชนาการ ในการนี้ เอส แอนด์ พี ได้ส่งมอบอาหารกล่องพร้อมทานหลากหลายเมนู ปรุงสดใหม่ทุกวัน จำนวน 3,300 กล่อง และน้ำดื่มเอส แอนด์ พี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่สนับสนุนงานด้านโควิด-19 รวมทั้งบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนในชุมชนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 เพื่อให้อิ่มท้อง และช่วยเติมพลังให้แก่กันท่ามกลางสถานการณ์โควิดระลอกใหม่นี้

เอส แอนด์ พี ส่งมอบอาหารกล่องพร้อมทานให้แก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อกระจายความช่วยเหลือรวม 22 แห่ง อาทิ ชุมชนริมคลองวัดสะพาน, ชุมชนแฟลต22, ชุมชนแฟลต23, ชุมชนวัดคลองเตยใน2, ชุมชนวัดคลองเตยใน3 โดยมี พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้แทนรับมอบ รวมทั้งยังกระจายความช่วยเหลือให้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำนักงานประกันสังคม, ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์, โรงพยาบาลบุษราคัม (โดยกระทรวงสาธารณสุข), ฮอสพิเทล โรงแรมข้าวสาร พาเลส (โดยโรงพยาบาลวชิรพยาบาล), โรงพยาบาลสนามจุฬาลงกรณ์ (โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ฯลฯ

เอส แอนด์ พี ขอส่งมอบกำลังใจและความห่วงใย ด้วยการสนับสนุนอาหารสะอาด ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการแก่บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้เสียสละ รวมถึงประชาชนไทย เพื่อเป็นพลังให้เราก้าวผ่านวิกฤตนี้อย่างเข้มแข็งไปด้วยกัน

รพ.หัวเฉียว เปิดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 วันแรก!!

โรงพยาบาลหัวเฉียวพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนโคโรนาไวรัส (COVID-19) สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ที่ลงทะเบียนผ่าน Application “หมอพร้อม” โรงพยาบาลฯ สามารถบริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้วันละ 600 คน

ทั้งนี้ โรงพยาบาลฯ มีระบบบริหารจัดการด้วยมาตรการความปลอดภัย มีการเว้นระยะห่างไม่แออัด มีการติดตั้งแอลกอฮอล์ในทุกจุดบริการ และปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ในบริเวณพื้นที่รับวัคซีนมีทีมบุคลากรการแพทย์ พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ รองรับในกรณีที่มีผู้ป่วยจากการแพ้วัคซีนที่รุนแรง หรือภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์อื่นๆ เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็ว

โดยทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลหัวเฉียว พร้อมให้บริการด้วยใจ ตามมาตรฐานคุณภาพการรักษาพยาบาล เพื่อให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

นักลงทุนคาดหวังฉีดวัคซีน Covid-19 ช่วยฟื้นตัวเศรษฐกิจ

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนพฤษภาคม 2564 พบว่า “ดัชนีฯ  ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 126.40 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% จากเดือนก่อน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด  รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการไหลเข้าของเงินทุน สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกสามในไทย รองลงมาคือความขัดแย้งระหว่างประเทศ และผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนพฤษภาคม 2564 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

  • ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (สิงหาคม 2564) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120 -159) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 40
  • ความเชื่อมั่นนักลงทุนเกือบทุกกลุ่มอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ยกเว้นความเชื่อมั่นนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”
  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON)
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
  • ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ แผนการกระจายวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19
  • ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกสาม

“ผลสำรวจ ณ เดือนพฤษภาคม 2564 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับตัวลดลง 3% อยู่ที่ระดับ 125.37 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9% อยู่ที่ระดับ 150.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% อยู่ที่ระดับ 118.75 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติคงตัวที่ระดับ 120.00

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 SET index ผันผวนอยู่ระหว่าง 1,548.13 —1,593.59 โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในสัปดาห์แรก ตามแรงหนุนของตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรป และความคาดหวังที่จะได้จำนวนวัคซีนเพิ่มขึ้นจากการร่วมมือของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างหนักในช่วงกลางเดือน เนื่องจากนักลงทุนกังวลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มสูงเกิดคาด ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมถึงอาจลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดการไว้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งปัจจัยในประเทศซึ่งพบคลัสเตอร์การระบาดใหม่หลายแห่งในกรุงเทพ  จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 2 พันรายต่อวัน การพบไวรัสสายพันธุ์อินเดียในประเทศไทย และความล่าช้าของการกระจายวัคซีน โดยมีปัจจัยบวกคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลมูลค่ารวม 2.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้ SET index ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ปิดที่ 1,593.59 จุด

ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน และยุโรป จากการทยอยเปิดประเทศหลังจากประชาชนจำนวนมากได้รับวัคซีนแล้ว ซึ่งจะทำให้ภาคการส่งออกไทยได้อานิสงส์ไปด้วย การติดตามผลการประชุมธนาคารกลางในยุโรป สหรัฐ  ญี่ปุ่นและอังกฤษ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการเฝ้าระวังการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย อาทิ มาเลเซีย เวียตนาม ในส่วนของปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การสรรหาและแจกจ่ายวัคซีนในประเทศให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 100 ล้านโดสภายในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนและจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ ผลการพิจารณา พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มเติม วงเงิน 5 แสนล้านบาท และผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้”

ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมิถุนายน 2564

ผลจากดัชนีสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดที่คงมุมมองเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว ว่า กนง. จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และอายุ 10 ปี คาดการณ์ว่า ณ สิ้นไตรมาส 2 มีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงนักจากวันที่ทำการสำรวจ (21 พ.ค. 64) โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นที่คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปีอาจไม่เปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่าจะมีความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น และการออก พรก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากการระบาดของ COVID-19 และความไม่แน่นอนของการฉีดวัคซีนที่อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวลงได้เช่นกัน

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมิถุนายน 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนกุมภาพันธ์นี้อยู่ที่ระดับ 47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งที่แล้วและยังอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” สะท้อนมุมมองของตลาดที่คาดว่าการประชุม กนง. ในเดือนมิถุนายนนี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.5 เนื่องจาก เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลงจากการระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 และ ธปท. ได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจและ SME ต่างๆ ความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจึงลดลง
  • ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปีและ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)” โดยดัชนีปรับตัวลดลงจากครั้งก่อนจากการมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนจะไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปี และ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 2 น่าจะไม่แตกต่างไปจากวันที่ทำการสำรวจ (21 พ.ค. 64) ที่ระดับ 1.06% และ 1.86% ตามลำดับ  โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ ได้แก่ อุปสงค์และอุปทานในตลาดตราสารหนี้ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลก รวมถึง เศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก

B52 ย้ายหุ้นเทรดหมวดพาณิชย์ ประเดิม 11 มิ.ย.นี้

บมจ.บี-52 แคปปิตอล (B52) ติดปีกบิน หลังตลาดหลักทรัพย์อนุมัติ ย้ายหุ้นเทรดจากกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจแฟชั่น ไปอยู่กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดพาณิชย์ ประเดิมวันที่ 11 มิ.ย.นี้ ฟาก “นราวดี วรวณิชชา”ซีอีโอ ระบุการย้ายหุ้นเทรดหมวดพาณิชย์ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังจากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เดินหน้าขยายธุรกิจเครือข่ายค้าปลีกทั่วประเทศกว่า 120,000 ร้านค้า ผ่านแพลตฟอร์ม “ทันใจดี”เต็มสปีด พร้อมลุยธุรกิจออนไลน์ และดิจิทัล หนุนผลงานปีนี้เทิรน์อะราวด์ ผลักดันอนาคตเติบโตยั่งยืน

นางสาวนราวดี วรวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี-52 แคปปิตอล หรือ B52 เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดแนวทางในการทบทวนและปรับย้ายกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน โดยพิจารณาจัดตามประเภทธุรกิจที่สร้างรายได้ส่วนใหญ่ให้บริษัทเป็นสำคัญ และจะทบทวนความเหมาะสมของกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทเป็นประจำทุกปี

ทั้งนี้ จากการพิจารณาโครงสร้างรายได้ และลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัท ประกอบกับข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 2563 (แบบ 56-1) และงบการเงินประจำปี 2563 แล้ว พบว่ามีบริษัทที่โครงสร้างรายลักษณะการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้ปรับย้ายบริษัทให้อยู่กลุ่มอุตสาหกรรม และหมวดธุรกิจที่เหมาะสมยิ่งขึ้น โดย บมจ.บี-52 แคปปิตอล (B52) มีรายได้หลักจากธุรกิจการให้บริการทางพาณิชย์ จัดจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของบริษัท จึงปรับย้ายจากกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) หมวดธุรกิจแฟชั่น (Fashion) ไปยัง กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Services) หมวดธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) และการปรับย้ายกลุ่มอุตสาหกรรม และหมวดธุรกิจให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

“การย้ายหุ้น B52 เข้าไปซื้อขายในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการหมวดพาณิชย์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังจากที่บริษัทฯได้ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อให้มีรายได้และกำไรเติบโตได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันหมวดพาณิชย์ เป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน  ดังนั้น หุ้นของบริษัทน่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีด้วยเช่นกัน”

นางสาวนราวดี กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี2564 บริษัทวางเป้าหมายกลับมาเทิร์นอะราวด์ หลังปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งมีเป้าหมาย และแนวทางที่ชัดเจน มุ่งเน้นการทำธุรกิจในเครือข่ายค้าปลีกทั่วประเทศกว่า 120,000 ร้านค้า ผ่านแพลตฟอร์ม “ทันใจดี” ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal ซึ่งจะทำให้ร้านค้าปลีกมีความเข้มแข็ง และเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท B52 อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัทกำลังดำเนินงานธุรกิจผ่านร้านค้าปลีกในเครือข่าย เช่น การให้บริการทางการเงินกับพันธมิตรแก่ร้านค้า (B2B) และ แก่ลูกค้าของร้านค้า (B2C) ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทฯ เช่น สินเชื่อเอสเอ็มอี สินเชื่อรถแลกเงิน เป็นต้น รวมทั้งบริษัทได้เพิ่มรูปแบบการให้บริการสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์แบบครบวงจร ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ผ่านร้านค้าปลีกทั่วประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทกำลังดำเนินงานขยายธุรกิจออนไลน์ และดิจิทัล ผ่านบริษัท วันดิจิตอลเน็ตเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ B52 ที่มีฐานลูกค้ากว่า 2 ล้านคนในแต่ละเดือน หรือ 24 ล้านคนในแต่ละปี โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรให้บริษัทได้เพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย

NDR จ่อส่งมอบรถ EV ล็อตแรก 30 คัน ภายในมิ.ย.นี้

นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ  บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน)  หรือ NDR, นายสรณัญซ์ ชูฉัตร (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) จำกัด  และ นายภัทรวิน มหัธนสกุล (ที่ 2 จากซ้าย) Cluster Manager จาก Robinhood เดินหน้าโปรเจ็ค EV ลงพื้นที่ดูโรงงานประกอบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯมีแผนส่งมอบรถล็อตแรกจำนวน 30 คันภายในเดือนมิถุนายน จากนั้นจะส่งมอบอีก 70 คันในเดือนกรกฎาคม 2564  โดยมี นาย กรกฤช จุฬางกูร (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานบริหาร บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี ให้การต้อนรับและนำทีมพาเยี่ยมชมไลน์การประกอบ ณ บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี จำกัด อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา

โดมิโนส์ พิซซ่า แจกฟรี Chocolate Lava Cake สำหรับผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19

บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์ โดมิโนส์ พิซซ่า พิซซ่าแท้สัญชาติอเมริกัน ชวนคนไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่พร้อมจัดแคมเปญให้ผู้ผ่านการฉีดวัคซีน รับฟรี! ช็อกโกแลต ลาวา 1 ชิ้น มูลค่า 75 บาท

โดย บริษัท โดมิโน่ เอเซีย แปซิฟิค จำกัด สนับสนุนให้ชาวไทยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 อย่างรวดเร็ว และครอบคลุมทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยปลอดภัยจากวิกฤตโรคระบาดดังกล่าว และยังเป็นทางออกระดับต้น ๆ ที่จะช่วยลดภาระหมอและพยาบาล รวมถึงบุคลากรทางการแทพย์ ดังนั้นโดมิโนส์ พิซซ่า จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนแคมเปญฉีดวัคซีนหยุดเชื้อเพื่อชาติจึงได้จัดแคมเปญมอบสิทธิสำหรับผู้ที่ผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพียงแสดงบัตรรับรองการฉีดวัคซีน สามารถรับฟรี ช็อกโกแลต ลาวา 1 ชิ้น มูลค่า 75 บาท ที่ร้านโดมิโนส์ พิซซ่าทุกสาขา จำนวน 500 สิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 7 – 30 มิถุนายน 2564

ทั้งนี้ โดมิโนส์ พิซซ่า เรายังคงยึดมั่นและใส่ใจในการบริการด้วยมาตรการ Clean & Safe อร่อยปลอดภัย ลดเลี่ยงการสัมผัส พร้อมเดินหน้าให้บริการส่งความอร่อยให้คุณถึงหน้าบ้านด้วยความห่วงใยและความปลอดภัยสูงสุด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook : https://www.facebook.com/DominosPizzaThailand Line Official : @dominospizzath

DMT ศึกษาพัฒนางานโครงข่ายฟีดเดอร์รถไฟฟ้าสีแดง

‘บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง’ หรือ DMT เดินหน้าศึกษาขยายไลน์ธุรกิจใหม่ หลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะ เล็งเสนอรูปแบบพัฒนาฟีดเดอร์รถไฟฟ้าสายสีแดงด้วยระบบ Smart Feeder หากภาครัฐเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในปลายปีนี้

นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ DMT เปิดเผยว่า จากนโยบายดำเนินธุรกิจที่มุ่งนำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และร่วมพัฒนาเครือข่ายด้านคมนาคมของประเทศให้มีความเข้มแข็งด้วย Technology ที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ร่วมมือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาและพัฒนาโครงการพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เชื่อมโยงเครือข่ายการเดินทางระหว่างชุมชนสู่ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า สนามบิน เป็นต้น โดยใช้ระบบ Smart Feeder เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยในเดินทาง

ทั้งนี้ DMT ให้ความสนใจเข้าร่วมพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง หลังสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) มีนโยบายให้เอกชนเข้าร่วมพัฒนาโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทาง เพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเริ่มจากการศึกษาพัฒนาระบบฟีดเดอร์โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางเข้าสู่สถานีต่าง ๆ

“เราสนใจศึกษาพัฒนาโครงการระบบขนส่งรอง (Feeder) ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยเราจะนำประสบการณ์การดำเนินงานด้านการบริหารโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาร่วมกับพันธมิตร เพื่อพัฒนาโครงการให้ประชาชนที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ รวมถึงประชาชนโดยรอบให้สามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยใช้ระบบ Smart Feeder ที่บริษัทฯ ศึกษา เช่น ระบบรถโดยสารขนาดตั้งแต่ EV Mini Bus, EV Full Size Bus, และ Tram Bus ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน (Electric Vehicle : EV) ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีระบบ Smart Card, QR Code, และ EMV (Europay, Mastercard, and Visa) เพื่อรองรับ Cashless Society ในการชำระค่าโดยสาร มีระบบสนับสนุนการสื่อสาร WiFi ระบบดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนด้วยกล้อง CCTV ในรถโดยสาร มี Mobile Application เพื่อให้ประชาชนสามารถคาดการณ์การเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพและจัดทำป้ายรถโดยสาร Smart Bus Stop และศึกษาการนำพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์มาเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่ป้ายรถโดยสาร เป็นต้น รวมเรียกโครงการทั้งหมดนี้ว่า Smart Feeder เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยในเดินทาง โดยการศึกษาพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงจะเป็นโครงการเริ่มต้นเพื่อนำร่องไปสู่การพัฒนาเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่ภาครัฐอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในอนาคตอันใกล้” นายธานินทร์ กล่าว

รศ.ดร.สกุล ห่อวโนทยาน ผู้จัดการโครงการฯ ในนาม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล.

รศ.ดร.สกุล ห่อวโนทยาน ผู้จัดการโครงการฯ ในนามสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. กล่าวว่า การพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งผลการศึกษาขั้นต้นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) กำหนดพื้นที่นำร่องในการพัฒนาโครงข่ายการเดินทางเชื่อมโยงรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง โดยส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการลงทุนและร่วมประกอบการ โดย สจล. ร่วมกับ DMT ได้ตกลงทำความร่วมมือ ในการศึกษาพัฒนาโครงข่าย Feeder ในพื้นที่นำร่องดังกล่าว เนื่องจากเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่เกิดจากการศึกษาร่วมกัน เช่น การบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบนท้องถนน การลดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะหลัก และการเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง รวมทั้งการเพิ่มโอกาสในการลงทุนประกอบการ เป็นต้น เพื่อเป้าหมายของการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม