นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ (ที่ 3 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบั
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ (ที่ 3 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบั
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งที่พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้ป่วยของโรงพยาบาลฯ รวมถึงประชาชนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน ที่ได้ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมเรียบร้อยแล้ว
จากข้อมูลปัจจุบันของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้ารับฉีดวัคซีนโควิด-19 เต็มจำนวนตามที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐแล้วโดยเริ่มฉีดในวันที่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 พร้อมกันกับโรงพยาบาลและจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศ เป็นเวลา 54 วันต่อเนื่องโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งเป็นไปตามระยะเวลาที่รัฐกำหนดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้ารับบริการ รวมจำนวนกว่า 15,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ มีผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 100 ปี จำนวน 3 ราย ได้ลงทะเบียนขอเข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถือเป็นแบบอย่างที่ดีและยังช่วยกระตุ้นให้กลุ่มผู้สูงอายุกล้าที่จะตัดสินใจเข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและลดการเจ็บป่วยขั้นรุนแรงหากป่วยเป็นโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของวัคซีน ความมั่นใจในศักยภาพของทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และคุณภาพมาตรฐานของโรงพยาบาลฯ โดยผู้สูงอายุกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้เตรียมความพร้อมในทุก ๆ มิติ อาทิ ทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ การให้บริบาลทางการแพทย์ขั้นสูง คุณภาพมาตรการการดูแลผู้สูงวัยและผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับวัคซีนเป็นสำคัญ

เภสัชกรหญิงอาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า นับตั้งแต่บำรุงราษฎร์ทราบถึงแนวทางการกระจายฉีดวัคซีนตามที่ภาครัฐจัดสรรให้แก่ประชาชนผ่านจุดฉีดวัคซีนของโรงพยาบาลต่างๆ นั้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์พร้อมที่จะสนับสนุนเพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง จึงได้วางแผนถึงกระบวนการในการฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบเพื่อความพร้อมในการเปิดให้บริการแก่ประชาชนในระยะแรก สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป โดยบำรุงราษฎร์ได้คำนึงถึงคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล พร้อมจัดทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์และสหสาขาวิชาชีพเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำและดูแลผู้มาใช้บริการอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน ทั้งก่อนการฉีด ระหว่างการฉีด โดยเฉพาะหลังการฉีด 30 นาที จำเป็นต้องมีการสังเกตอาการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และในกรณีที่ผู้เข้ารับบริการฉีดวัคซีนมีเหตุจำเป็นที่ต้องออกนอกบริเวณ ควรต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบ และหลังจากครบ 30 นาทีก่อนกลับบ้านจะมีการวัดสัญญาณชีพเพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับการฉีดมีภาวะปกติ ในกรณีหากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ จะมีแพทย์และทีมฉุกเฉินประจำจุดฉีดวัคซีน ห้องปฐมพยาบาล พร้อมด้วยรถเข็นฉุกเฉิน (emergency cart) ที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ตลอดจนยาและเวชภัณฑ์ตามมาตรฐานสากลที่สามารถให้การดูแลช่วยเหลือได้ทันท่วงที นอกจากนี้ โรงพยาบาลฯ ยังอำนวยความสะดวก โดยจัดลำดับการรับบริการ แบบทางเดียว ให้ผู้มารับวัคซีนอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างและลดการสัมผัสที่ไม่จำเป็น รวมถึงห้องฉีดวัคซีนที่ให้บริการครั้งละหนึ่งคนไม่ปะปนกับใคร มีฉากกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัวอีกด้วย
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้จัดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ชั้น 10 อาคาร A (อาคารคลินิก) ตั้งแต่เวลา 8.00 – 16.00 น. โดยมีการกำหนดขั้นตอนการรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ดังนี้

นพ. อชิรวินทร์ จิรกมลชัยสิริ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลวัคซีนโควิด-19, หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม, แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้คำแนะนำแก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง ว่าควรได้รับการฉีดวัคซีน หากไม่แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน เนื่องจากผู้ที่มีโรคประจำตัวดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงถึงชีวิตหากติดเชื้อโควิด- 19 ได้ สำหรับอาการแพ้วัคซีนนั้นแยกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ 1. การแพ้วัคซีนรุนแรง (anaphylaxis) 2. ผลข้างเคียงของวัคซีน (side effects) หรือ 3. อาการเป็นลม (vasovagal syncope) ที่อาจเกิดจากความเครียด เจ็บปวด ทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติหยุดทำงานชั่วคราว จนเกิดอาการหน้ามืด ใจสั่น เป็นลม หมดสติได้ โดยมีวิธีสังเกตอาการ และวิธีปฏิบัติตัว ดังนี้
1. ภาวะแพ้วัคซีน เป็นปฏิกิริยาของร่างกายผ่านระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 มักเกิดขึ้นภายในเวลา 15-30 นาทีหลังรับวัคซีน ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดคือ ผื่นคันคล้ายลมพิษ อาจมีอาการบวม นอกจากนี้อาการที่พบร่วมกันได้แก่ หายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก ชีพจรเต้นเร็ว คลื่นไส้อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ หมดสติ โดยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นหลายระบบพร้อมกัน ซึ่งจำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลด้วยการให้ยาฉีดที่เป็น Adrenaline หรือ Epinephrine แล้วอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในเวลา 24 ชั่วโมง
2. ผลข้างเคียงของวัคซีน มักจะเกิดขึ้นหลังฉีดไปหลายชั่วโมง จนถึง 3 วัน อาการที่เกิดขึ้น เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด อาการมักหายไปเองได้ โดยไม่ต้องให้การรักษา หรือรักษาตามอาการ แต่หากมีอาการปวดมาก อาจประคบด้วยความเย็นบริเวณที่ฉีดวัคซีน แล้วให้ยาแก้ปวดพาราเซตตามอล
3. อาการเป็นลม เป็นอาการหน้ามืดที่สามารถพบได้บ่อยในผู้ที่มีสุขภาพร่างกายหรือจิตใจอ่อนแอ เช่น คนป่วย อดนอน หิว หรืออยู่ในสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน แสงแดด ความเครียด ความวิตกกังวล ยืนเป็นเวลานาน เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หน้าซีด เหงื่อแตก ความดันโลหิตลดต่ำลงและเป็นลมหมดสติได้ โดยภาวะดังกล่าวสามารถหายได้เอง หากได้พักผ่อน อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี และไม่มีความจำเป็นต้องได้ยารักษา
ในกรณีที่ผู้มาฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้วมีผลข้างเคียงหรือแพ้เล็กน้อยแบบไม่รุนแรง สามารถรับวัคซีนเข็มที่สองได้ตามกำหนด ไม่มีข้อห้ามในการรับฉีดวัคซีนเข็มต่อไป แต่สำหรับกรณีที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้วมีอาการแพ้ชนิดรุนแรง (anaphylaxis) แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีนเข็มที่สอง เพื่อหาสาเหตุว่าอาการแพ้ชนิดรุนแรงเกิดจากอะไร และปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่สองเป็นอีกยี่ห้อที่มีส่วนผสมที่ต่างจากวัคซีนเข็มแรก ซึ่งสาเหตุที่แพ้วัคซีนชนิดรุนแรงมักเกิดจากส่วนประกอบที่มีอยู่ในวัคซีน ที่พบบ่อยคือ Polyehtylene glycon (PEG) ซึ่งวัคซีน/ยาที่มีส่วนประกอบของ PEG ได้แก่ วัคซีนชนิด mRNA vaccine (Pfizer หรือ Moderna) ยาฉีด methylprednisolone ยาคุมชนิดฉีด (Depo-Provera) ยาระบาย miralax หากมีประวัติแพ้รุนแรงต่อกลุ่มนี้ อาจให้วัคซีนกลุ่มอื่น เช่น Sinovac vaccine เพราะไม่มีส่วนผสมเหล่านี้อยู่ อีกส่วนประกอบอื่นในวัคซีนที่อาจแพ้ คือ polysorbate ซึ่งมีรูปร่างคล้าย PEG ทำให้อาจพบการแพ้ร่วมกันได้ (cross-reactivity) ซึ่งวัคซีนที่มีส่วนประกอบของ polysorbate ได้แก่ ตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ วัคซีนปอดบวม วัคซีนโควิด -19 ของ AstraZeneca, Sputnik-V, Johnson & Johnson
หากพบว่ามีอาการรุนแรงหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 ควรรีบพบแพทย์ทันที หรือรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ข้อมูลวัคซีนโควิด-19 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โทร. 1378 และสามารถติดตามบทความสุขภาพของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้ที่ https://www.bumrungrad.com/th/centers/covid19-vaccine-Information

โรงพยาบาลนวเวช เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพของคนในชุมชน และต้องการให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 จึงให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการเป็นศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชนที่ลงทะเบียนจองคิวผ่านระบบหมอพร้อมไว้ก่อนหน้านี้ โดยโรงพยาบาลได้เตรียมการบริการที่มีมาตรฐาน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ เตรียมความพร้อมของอาคารสถานที่ จุดคัดกรองก่อนการเข้ารับการบริการฉีดวัคซีน ห้องพักคอยเพื่อสังเกตอาการ และมีทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่เตรียมพร้อมตลอดเวลา หากประชาชนเกิดอาการไม่พึงประสงค์ หรือมีอาการภาวะฉุกเฉินอื่น ๆ โดยได้เริ่มให้บริการฉีดแล้วตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
การเป็นศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการบริการที่สะดวกมากขึ้น โดยโรงพยาบาลนวเวชหวังว่าศักยภาพที่มี จะช่วยทำให้การฉีดวัคซีนซึ่งเป็นวาระแห่งชาติสำเร็จตามเป้าหมายที่รัฐวางไว้ สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตโควิด
สำหรับประชาชนที่ต้องการฉีดวัคซีนโควิด-19 กับโรงพยาบาลนวเวช สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2483 9999 หรือ www.navavej.com

ดร.วิศาล สายเพ็ชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลนครธน (ที่ 3 จากซ้าย) ส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ สบู่เหลวล้างมือ หน้ากากพลาสติกคลุมหน้า สำหรับสวมใส่ป้องกันการกระเด็
บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TPS ร่วมกับโรงเรียนดรุณสิกขาลัย (โครงการ วมว.รุ่นที่ 12) โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลั
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เป็นกลุ่มเปราะบางที่ควรได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งลูกหลานที่ดูแลผู้สูงอายุกลุ่มนี้หลายคนประสบปัญหาเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุหลายคนไม่มีแม้แต่ลูกหลานที่จะมาคอยดูแล ทางสหพัฒน์จึงได้ให้การสนับสนุนโครงการ “มอบธารน้ำใจสู่ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ทั่วประเทศ” ซึ่งสภากาชาดไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดขึ้นเพื่อออกไปเยี่ยมบ้าน มอบสิ่งของ พร้อมให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่กลุ่มเปราะบางดังกล่าว
“สหพัฒน์ได้สนับสนุนโครงการมอบธารน้ำใจสู่ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ทั่วประเทศ โดยมอบผลิตภัณฑ์บะหมี่ซื่อสัตย์ จำนวน 300,060 ซอง และน้ำเต้าหู้โทฟุซัง จำนวน 50,400 กล่อง รวมมูลค่ากว่า 2.3 ล้านบาท ซึ่งสหพัฒน์คาดหวังว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และหวังว่ากิจกรรมนี้จะช่วยสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน และสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ยากไร้ในสังคมไทย” นายบุญชัย กล่าว

บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวน เหตุไร้ปัจจัยใหม่หนุน แนะจับตาการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ จึงให้กรอบดัชนี1,590-1,630 จุด พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นลุ้นเข้าคำนวณดัชนี SET50 –SET100 ในรอบครึ่งปีหลัง 2564 มีผลเริ่มใช้ 1 ก.ค. 64 นี้

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด ประกอบกับการติดตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนของรัฐบาล แม้ศบค. รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ลดลงจากระดับ 3 พันคนต่อวันเหลือ 2 พันคนต่อวัน แต่ในกทม.ยังมีคลัสเตอร์เฝ้าระวังใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ต่างจังหวัดบางแห่งยังพบคลัสเตอร์ใหม่เช่นกัน
ส่วนปัจจัยต่างประเทศมีประเด็นเรื่องประธานาธิบดีโจ ไบเดนปฏิเสธข้อเสนอของพรรครีพับลิกัน (GOP) ที่จะเพิ่มงบประมาณรายจ่ายด้านโครงการสาธารณูปโภคอีกราว 5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากยอดเดิมที่เสนอไว้ก่อนหน้านี้ที่ราว 9.28 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่างบประมาณที่ประธานาธิบดีไบเดนต้องการ จึงคาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,590-1,630 จุด
ทั้งนี้ยังคงต้องจับตาปัจจัยในรอบสัปดาห์นี้ อาทิ การประชุมครม.ตัวเลข GDP ในไตรมาส 1/2564ของญี่ปุ่น-อียู และอียูเปิดเผยความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ส่วนสหรัฐเปิดเผยดุลการค้าเดือนเม.ย.และตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน อัตราหมุนเวียนแรงงาน รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ด้านจีนรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพฤษภาคม ส่วนสหรัฐ จะมีการรายงานสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนเม.ย. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และการประชุมนโยบายการเงิน และสหรัฐ รายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. รวมทั้งการแถลงมติอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
สำหรับปัจจัยหนุนในประเทศด้านการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งในกทม.ซึ่งเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลเริ่ม 7 มิ.ย. และในต่างจังหวัดเร่งระดมฉีดวัคซีนมากขึ้น และการเร่งดำเนินการในส่วนของโมเดล Phuket Sandbox ซึ่งจะดีเดย์ 1 ก.ค. เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว และกรณีที่สหรัฐแบ่งปันวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตามแผนแบ่งปันวัคซีนรวมทั้งสิ้น 80 ล้านโดสให้ทั่วโลกภายในสิ้นเดือนมิ.ย. รวมทั้งนางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐเปิดเผยว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 4 ล้านล้านดอลลาร์ที่เสนอโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นและอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถือเป็นปัจจัยที่ตลาดรับรู้ข่าวไปแล้ว
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบครึ่งปีหลัง 2564 ได้แก่ STGT- IRPC -STA -KCE และหุ้นที่มีโอกาสเข้าคำนวณ SET100 ได้แก่ STGT- RCL -TTA -DCC –PSL- PTL- SYNEX -SINGER โดยคาดตลาดจะประกาศรายชื่อในช่วงกลางเดือนมิ.ย. 64 และมีผลเริ่มใช้ 1 ก.ค. 64 นี้
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินกรอบทองคำในสัปดาห์นี้ว่า ราคาทองคำจะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,930 $/Oz โดยแนะนำให้รอซื้อเมื่ออ่อนตัวเนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมากว่า 7.6% ในเดือนที่ผ่านมาทำให้เป็นเป้าหมายในการทำกำไร อย่างไรก็ตามในระยะยาวหากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น เราคาดว่าทองคำจะกลับมา outperform สินทรัพย์อื่นๆ อีกครั้ง
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต เดินหน้าแก่บุคลากรและนักศึกษา ทั้งชาวไทยและต่างชาติ คาดฉีดครบภายในสิ้นเดือนมิถุ

รองศาสตราจารย์ ดร.พันธ์ ทองชุมนุม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางวิทยาเขตภูเก็ต ถือเป็นวิทยาเขตนานาชาติ กำลังเร่งดำเนินการฉีดวัคซี
ส่วนกลุ่มนักศึ
ขณะที่บุ
“วิทยาเขตภูเก็ตได้แต่งตั้
ทั้งนี้ ม.อ.ภูเก็ต ได้เร่งเชิญชวนและทำความเข้

บมจ.เทคโนเมดิคัล หรือ TM ปลื้ม สถาบันไทยพัฒน์ คัดเลือก TM ติดโผ1 ใน 24 “บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน” หรือ ESG Emerging List ปี 2564 ระบุ การได้รับคัดเลือกนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการ ภายในองค์กรที่ดี พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมถึงการตอบโจทย์ด้านการให้บริการ ระดับสากล พร้อมประกาศเดินหน้ายกระดับการพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ให้บริการผู้สูงอายุแบบครบวงจร ดันรายได้แบบ Recurring income สู่รายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
นางสุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกติดในทำเนียบ “บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน” หรือ ESG Emerging List ที่มีการพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุน โดยสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100
ล่าสุด TM ติด1ใน 24 หลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2564 ด้วยการคัดเลือกจาก 824 บริษัท / กองทุน / ทรัสต์เพื่อการลงทุน โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG Rating สถาบันไทยพัฒน์ จำนวนกว่า 15,260 จุดข้อมูล ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาจะคัดเลือกจากหลักทรัพย์ที่มีการดำเนินงานโดดเด่น หรือกระบวนการทำงานทางธุรกิจให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพิ่มเติมจากเดิมในรอบปีการประเมิน รวมถึงความริเริ่มด้าน ESG หรือที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน ซึ่งสร้างผลกระทบทางตรงต่อการเติบโตของรายได้
นางสุนทรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ TM ได้รับคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำให้เห็นความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ดี โดยบริษัทฯพร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคู่ค้า ลูกค้า ด้วยมาตรฐาน ระดับสากล จนสะท้อนถึงผลประกอบการทางการเงินที่ดี ภายใต้สถานการณ์โควิด พร้อมยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้
จากประเด็นดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นหุ้นคงทน (Durable Stocks)ที่จะก้าวสู่การสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้อย่างคุ้มค่า ซึ่งเป็นประโยชน์แก่นักลงทุนที่กำลังมองหาบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ตามเกณฑ์ ESG Rating
พร้อมกันนี้ บริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์โครงสร้างธุรกิจ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ ที่ยกระดับมุ่งสู่การพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ให้บริการผู้สูงอายุแบบบูรณาการครบวงจร โดยเพิ่มไลน์ธุรกิจสร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งเป็นการดำเนินการผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท ทีเอ็ม เนิร์สซิ่ง แคร์ จำกัด (TMNC) โดย TM ถือหุ้นสัดส่วน 80% และอีก 20% เป็นกลุ่มแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงอายุ โดยศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทางดังกล่าว คาดจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ ประมาณช่วงปลายปี 2566 ส่งผลให้บริษัทฯทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้เข้ามาเฉลี่ย 100 -150 ล้านต่อปี โดยรายได้ดังกล่าวเข้ามาชัดเจนตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตด้านผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้การสร้างมูลค่าเพิ่มในส่วนของรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
บมจ.เซนต์เมด (SMD) ผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับ เคาะราคาขายหุ้น IPO ที่ 7.20 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 9-11 มิ.ย. 64 พร้อมเตรียมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ 17 มิถุนายนนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SMD” เตรียมเดินหน้าขยายศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ให้เช่าเครื่องมือทางการแทพย์ หนุนผลงานปี 64 รายได้เติบโต 15%
วันที่ 8 มิถุนายน 2564 บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 4 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ SMD ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน)

นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บมจ.เซนต์เมด ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 7.20 บาทต่อหุ้น โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 9-11 มิถุนายนนี้ และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 17 มิถุนายน 2564 โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SMD”
สำหรับการจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนรายย่อยในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มนักลงทุน ที่มาเข้าร่วมรับฟังแผนดำเนินงานและเป้าหมายในอนาคต โดย SMD ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต ซึ่งเตรียมพร้อมก้าวสู่ความเลิศด้านการจัดจำหน่ายและบริการเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีศักยภาพเติบโตสูงจากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันต่างๆ โดยเฉพาะการเผชิญต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้หลายโรงพยาบาลเปลี่ยนจากซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์เป็นการเช่าเพื่อสำรองกระแสเงินสด ส่งผลให้ตลาดเครื่องมือแพทย์ให้เช่าของ SMD เติบโต ประกอบกับจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับ ทำให้มีฐานลูกค้าที่ครอบคลุมและมีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
“การกำหนดราคาหุ้น IPO ของ SMD ที่ราคา 7.20 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากแผนการลงทุนที่ชัดเจน จะช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น ประกอบกับมีความมั่นคงของผลการดำเนินงาน การรันตีได้จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก ส่งผลให้ SMD มีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาวในอนาคตข้างหน้า” นายกิตติพันธ์ กล่าว

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า SMD การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ของ SMD ถือเป็นก้าวสำคัญในการจะเพิ่มศักยภาพ และฐานะการเงินเพื่อรองรับแผนขยายการลงทุนต่างๆ จากประสบการณ์การทำงานที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปีซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลกกว่า 30 ราย โดยผลิตภัณฑ์ของ SMD อยู่ในกลุ่มตลาดที่เน้นการแข่งขันด้านคุณภาพมากกว่าการแข่งขันด้านราคา อีกทั้ง การเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ ที่เป็นฐานรายได้หลักที่อยู่ในกลุ่มสินค้าในห้องฉุกเฉินและหอผู้ป่วย ICU และเครื่องช่วยหายใจ รวมถึงสำหรับผู้ป่วยหยุดหายใจขณะนอนหลับ ทำให้เป็นข้อได้เปรียบ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานสามารถเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอและโดดเด่นกว่าในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ทั้งนี้ SMD มีทุนจดทะเบียนจำนวน 107 ล้านบาท แบ่งเป็น 214 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 80 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 54 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 25.23 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ได้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต จากแผนรุกขยายธุรกิจเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เช่า และโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ โดยได้ร่วมมือกับรพ.ศิริราช และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก พร้อมทั้งมีแผนขยายไปสู่โรงพยาบาลชั้นนำอีกหลายแห่ง เพื่อดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ
ขณะเดียวกัน การระดมทุนทำให้มีฐานทุนเพิ่มขึ้นและสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO ลดลงมาต่ำกว่า 0.5 เท่า จากปี 2563 อยู่ที่ 1.87 เท่า ทำให้ SMD สามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอตามนโยบายที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปี (2564-2566) ตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี หลังเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายเตียงสำหรับตรวจการนอนหลับโดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนเตียงตรวจเฉลี่ยปีละ 8 เตียงตรวจ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2566 จะมี 28 เตียงตรวจ จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 4 เตียงตรวจ นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มเครื่องมือแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาจำหน่ายเพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทั้งโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน และการลงทุนให้เช่าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้ SMD มีแนวโน้มที่จะเติบโตในระยะยาว สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมผู้สูงอายุ และนโยบายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)
สำหรับผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้มีจากการขายและบริการรวม 155.4 ล้านบาท เติบโต 38.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 112.3 ล้านบาท หลังความต้องการใช้อุปกรณ์การแพทย์ของภาครัฐที่เพิ่มขี้นต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาหลายองค์กรในภาคเอกชน ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อสินค้าของ SMD เพื่อนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลมากขึ้น ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2564 ทำได้ 8.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 464.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 2.2 ล้านบาท หลังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบได้อย่างโดดเด่น