18 ปี ไฮโซปาร์ตี้ ร่วมสมทบทุนซื้อเครื่อง PAPR ให้ทีมแพทย์ ลดเสี่ยงสู้โควิด-19

ชุ่มชื่นหัวใจเมื่อได้เห็นธารน้ำใจของคนไทยที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับ หญิง – ปรียามล ธนวิสุทธิ์ บอสสาวแห่ง บริษัท เวบ พับลิชชิ่ง จำกัด ที่ถือโอกาสครบรอบ 18 ปี บริษัทฯ จึงชวน เหล่าเซเลบริตี้เมืองไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสมทบทุนใน โครงการ HiSo We Love ครั้งที่ 2 ส่งมอบกำลังใจร่วมสู้ภัย COVID-19 ซื้อเครื่อง PAPR (Powered Air Purifying Respirator) หรือ ชุดอุปกรณ์ปกป้องระบบทางเดินหายใจขั้นสูง ที่ป้องกันเชื้อให้กับผู้สวมใส่ได้ถึง 99.97% ทำให้ผู้สวมใส่หายใจได้สะดวกมากกว่า การใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งจัดเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายชั่วโมงในการให้การรักษาผู้ป่วยโควิด ในสถานพยาบาลที่มีความเสี่ยงสูงในวิกฤตโควิดระบาดอย่างรุนแรงในขณะนี้ มอบให้กับ ศ.(วุฒิคุณ) นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานแพทย์รามาธิบดีรุ่นที่ 23 และประธานวิชาการราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย และ รศ.ทพ.เฉลิมพล ลี้ไวโรจน์ อาจารย์พิเศษคณะทันตแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อส่งต่อให้กับโรงพยาบาล 7 แห่ง ได้แก่ กลุ่มงานกุมารเวชกรรม รพ.สระบุรี จ.สระบุรี, รพ.บ้านบึง จ.ชลบุรี, รพ.นครชัยศรี 5 จ.นครปฐม, รพ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม, รพ.บางปะกอก 8 (แผนกฉุกเฉิน) กรุงเทพฯ, องค์กรแพทย์ รพ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา และ โรงพยาบาลยี่งอเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นราธิวาส เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ของบุคลากรทางการแพทย์และแพทย์ในขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยมี วิชัย-วิจิตรา ส่งทวีผล, ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี, ดร.อุษณีย์ มหากิจศิริ ลีโอณีโอ, ดร.อารียา อัศวานันท์, สุริยน ศรีอรทัยกุล, วสุ-พริมรตา แสงสิงแก้ว, ปุณณภา เตชะโรจน์กุล, นรรจาพร จงควินิต, วสุ สกุลอนันต์, รวมพล โรจนกิจ, ภัทรพล นิธิสุนทร, บุญปวีณ บุญมีโชติ และ สรัลชนา อภิสมัยมงคล ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคารบิวตี้ เจมส์ เซ็นเตอร์

ปรียามล ธนวิสุทธิ์ กล่าวว่า แม้ว่าปีนี้ทางไฮโซปาร์ตี้จะไม่ได้จัดฉลองครบรอบ 18 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นวิกฤตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราเล็งเห็นความสำคัญของการเสียสละ และแบ่งปันสิ่งต่างๆ เพื่อสังคม จึงดำเนินโครงการ HiSo We Love ครั้งที่ 2 ชวนเหล่าเซเลบริตี้ร่วมสมทบทุนเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องกรองอากาศ PAPR (Powered Air Purifying Respirator) ประกอบด้วย หน้ากาก หรือ หมวกคลุม ติดเครื่องกรองอากาศ ที่ใช้ร่วมกับชุด PPE ที่มีมอเตอร์ดูดอากาศผ่านระบบ Filter ระดับ P3R สามารถกันเชื้อไวรัสและฝุ่นละอองได้ถึง 99.97% เพื่อส่งต่ออากาศบริสุทธิ์ให้กับแพทย์ผู้สวมใส่ ผ่านเข้าหน้ากากที่มีระบบ Anti-fog จึงไม่มีฝ้าระหว่างใช้งาน และผู้ใส่ชุด PAPR จะไม่มีส่วนใดของร่างกายสัมผัสกับอากาศภายนอกได้โดยตรง ซึ่งเหมาะกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำหน้าที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิดเป็นจำนวนมากและเป็นเวลานาน หรือแม้แต่ในห้องผ่าตัดผู้ป่วยโควิด หรือผู้ปฏิบัติการใน Lab ต่างๆ ส่งต่อให้กับโรงพยาบาล เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าให้กับแพทย์และปกป้องแพทย์ด่านหน้าของสังคมต่อไป

ศ.(วุฒิคุณ) นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานแพทย์รามาธิบดีรุ่นที่ 23 และประธานวิชาการราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย เผยว่า ปัจจุบันกำลังแพทย์พยาบาลซึ่งทำงานดูแลผู้ป่วยโควิดอยู่ในโรงพยาบาลระดับต่างๆ ที่อยู่ทั่วประเทศนั้นค่อนข้างเรียกได้ว่าเต็มมือมากครับ เพราะจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน แต่ในขณะเดียวกันมีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนเท่าเดิม หรือน้อยลงหากบุคลากรทางการแพทย์มีการติดเชื้อ ดังนั้นการปกป้องในขั้นต้นจึงมีความสำคัญมาก โดยเครื่อง PAPR เป็นเครื่องที่ช่วยกรองอากาศที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ รพ.มีผู้ป่วยโควิดจำนวนมากทำให้มีโอกาสที่เชื้อลอยอยู่ในอากาศ ดังนั้นการมีเครื่อง PAPR ก็ช่วยกรองอากาศให้สะอาดและส่งอากาศนั้นเข้าไปในหมวก หรือในแมสก์ของคุณหมอ หรือพยาบาลที่ใส่ชุด PPE ทำให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย และรู้สึกอึดอัดลดน้อยลง เพราะว่าอากาศที่อัดเข้าไปที่บริเวณแมสก์หรือหน้ากาก ดังนั้นโครงการของไฮโซปาร์ตี้จึงเป็นโครงการที่ดี ช่วยเป็นสะพานบุญในการนำเครื่อง PAPR ให้ผมในฐานะประธานรุ่นแพทย์รามาธิบดีรุ่นที่ 23 เพื่อนำไปมอบให้กับคุณหมอที่ดูแลผู้ป่วยโควิดตามโรงพยาบาลต่างๆ และในช่วงวิกฤตแบบนี้ ผมอยากฝากถึงประชาชนทุกท่านว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลตัวของเราเอง พยายามลดความเสี่ยงให้มากที่สุด ทั้งการใส่แมสก์ให้กระชับ และใส่แมสก์สองชั้นเสมอ เว้นระยะห่าง ร่วมมือช่วยกันลดจำนวนเคสของผู้ป่วยโควิดในประเทศไทย เพื่อบุคลากรจะได้มีเพียงพอที่จะไปดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลในขณะนี้ครับ

รศ.ทพ.เฉลิมพล ลี้ไวโรจน์ อาจารย์พิเศษคณะทันตแพทย์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เหตุการณ์โควิดเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ ซึ่งพบว่าแพทย์ด่านหน้าต้องรับคนไข้ในส่วนของ Emergency และในส่วนของ รพ.สนามต่างๆ ที่มีอุปกรณ์ส่วนใหญ่คือชุด PPE แล้วคุณหมอต้องมีการใส่ Face shield หรือ แว่นตา รวมถึงการใส่แมสก์ที่ต้องใส่สองชั้น ทำให้ระหว่างที่คุณหมอทำงานก็มีความร้อนเกิดขึ้น หายใจไม่สะดวก ทำให้บางครั้งการทำงานหลายๆ ชั่วโมง มีอาการเหนื่อยล้าและอาจเป็นลม เหตุนี้เราจึงเลือกการมอบเครื่อง PAPR ที่สามารถช่วยดึงอากาศบริสุทธิ์ โดยตัวเครื่องจะติดแนบกับตัวคุณหมอ ซึ่งสามารถทำงานต่อเนื่องได้ถึง 68 ชั่วโมง เราจึงมองว่าอุปกรณ์นี้จะช่วยให้คุณหมอทำงานระยะยาวในด่านหน้าได้ดี และเลือกมอบให้โรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกลและโรงพยาบาลสนาม รวมถึงแผนกฉุกเฉินต่างๆ ที่รับคนไข้ได้จำนวนมาก เพราะคุณหมอบางท่านต้องรับคนไข้ถึง 400 – 600 คน

ด้าน เซเลบริตี้ ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี เผยว่า ดีใจที่มีส่วนร่วมกับโครงการ Hiso We Love เพื่อสนับสนุนเครื่อง PAPR ให้ทางโรงพยาบาลค่ะ เพราะจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้นทุกวัน ทำให้แพทย์ต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม ต้องขอบคุณสะพานบุญจากไฮโซปาร์ตี้ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดค่ะ

วสุ-พริมรตา แสงสิงแก้ว กล่าวว่า เรา 2 คน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการฯ โดยครั้งนี้ก็เป็นการมอบเครื่องช่วยระบบทางเดินหายใจขั้นสูงซึ่งเป็นที่ต้องการของบุคลากรทางการแพทย์เพราะต้องใส่ชุด PPE ทำงานต่อเนื่องนานๆ แล้วทำให้หายใจค่อนข้างลำบาก เครื่อง PAPR ก็จะช่วยผ่อนความเหนื่อยล้าให้กับแพทย์ได้

 

คันทรี่ กรุ๊ป มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์แก่ รพ.สนาม

ดร. วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เป็นตัวแทน “กลุ่มคันทรี่ กรุ๊ป มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ภายใต้ชื่อโครงการ  “Medical Equipment for Hospital to help COVID-19 patients” ให้แก่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ บรมราชชนนี (โรงพยาบาลธัญญารักษ์) ที่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลสนามดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยมีนายแพทย์ สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันฯ พร้อมด้วยนายแพทย์ ล่ำซำ ลักขณาภิชนชัช รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ และคณะบุคลากรเป็นตัวแทนรับมอบ

ย้ำเพิ่มมาตรฐานจัดส่งสินค้า กล่องบรรจุภัณฑ์อาหาร ป้องกันโควิด-19

นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายในการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างในขณะนี้ โดยการกระจายขนส่งสินค้าต้องคุมเข้มด้านความปลอดภัยขับเพื่อลดความเสี่ยงในการติดและแพร่กระจายของเชื้อโรค ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้องค์การตลาด (อต.) กระทรวงมหาดไทยกระจายสินค้าขนส่งในสถานการณ์โควิด-19 ด้วยการเพิ่มความระมัดระวังขั้นสูงสุด ด้วยมาตรการรักษาความสะอาดกล่องบรรจุภัณฑ์อาหารและสินค้าท้ายยานพาหนะต้องปกปิดมิดชิด รักษาความสะอาดยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่ง โดยทำการฆ่าเชื้อเป็นประจำ สม่ำเสมอ ฉีดพ่นฆ่าเชื้อบริเวณใกล้พื้นผิวสัมผัสมากที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดการฟุ้งกระจาย แล้วเช็ดถูพื้นผิวทำความสะอาดอีกชั้นเพื่อความปลอดภัยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

เบื้องต้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา การกระจายสินค้าไปยังเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา ทัณฑสถานบำบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยาและทัณฑสถานวัยหนุ่มพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

ผู้สูงอาย 60 ปีขึ้นไปที่ลงทะเบียนแล้ว รับวัคซีนได้ตามนัดหมาย เริ่มพรุ่งนี้ (10 ส.ค.)

เพจเฟซบุ๊กไทยร่วมใจกรุงเทพฯปลอดภัย แจ้งว่า หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร -หอการค้าไทย แจ้งให้ผู้สูงอาย 60 ปีขึ้นไป ที่จองคิวฉีดวัคซีนทางโทรศัพท์ เข้ารับการฉีดวัคซีนตามที่ได้นัดหมาย โดยรับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า  AstraZeneca เข็มที่ 1 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนไทยร่วมใจฯ

สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 -59 ปีที่ลงทะเบียนฉีดวัคซีนไทยร่วมใจกรุงเทพฯปลอดภัยรอบวันที่ 7-26  ก.ค.64 ให้มาฉีดวัคซีนในวันที่ 10-14 ส.ค.64 โดยมีรายละเอียดคือ คิวฉีดเดิม 7-10 ก.ค. เปลี่ยนเป็นคิวฉีดใหม่วันอังคารที่ 10 ส.ค. คิวฉีดเดิม 11-14 ก.ค.เปลี่ยนเป็นคิวฉีดใหม่วันพุธที่ 11 ส.ค.คิวฉีดเดิม 15-18 ก.ค. เปลี่ยนเป็นคิวฉีดใหม่วันพฤหัสบดีที่ 12 ส.ค. คิวฉีดเดิม 19-22 ก.ค. เปลี่ยนเป็นคิวฉีดใหม่วันศุกร์ที่ 13 ส.ค. และคิวฉีดเดิม 23-26 ก.ค. เปลี่ยนเป็นคิวฉีดใหม่วันเสาร์ที่ 14 ส.ค. นี้ สามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ที่ 25 จุด ตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ในเวลาเดิม ส่วนผู้ที่มีคิวนัดหมายตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. 64 เป็นต้นไป ระบบจะแจ้งคิวฉีดวัคซีนใหม่ให้ทราบทันทีเมื่อได้รับการจัดสรรวัคซีน

ก.แรงงาน ชี้แจงสมัครผู้ประกันตน ม.40 ไม่กระทบสิทธิบัตรทอง

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวในสื่อโซเชียลว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้วจะไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น ในเรื่องนี้ กระทรวงแรงงาน ขอชี้แจงว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ “ล็อกดาวน์” ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่จะได้รับเงินเยียวยาเป็นเวลา 1 เดือน จะต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 และไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น ในเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการสมัครมาตรา 40 มีทั้งหมด 3 ทางเลือก ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 70 บาทต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 3 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และค่าทำศพ ทางเลือกที่ 2 ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท ต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 4 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทำศพ และเพิ่มบำเหน็จชราภาพอีกหนึ่งกรณี และทางเลือกที่ 3 ผู้ประกันตนจ่าย 300 บาท ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 5 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทำศพ บำเหน็จ ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร ซึ่งสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) หรือสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และในขณะนี้สำนักงานประกันสังคมยังลดเงินสมทบได้ลดเงินสมทบ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เหลือร้อยละ 60 ของเงินสมทบเดิม เป็นระยะเวลา 6 เดือนตั้งวันที่ 1 ส.ค. 64 -31 ม.ค. 65 ให้แก่ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 เดิมจ่าย 70 บาท เหลือ 42 บาทต่อเดือน ทางเลือกที่ 2 เดิมจ่าย 100 บาท เหลือ 60 บาทต่อเดือน และทางเลือกที่ 3 เดิมจ่าย 300 บาท เหลือ 180 บาท

นางเธียรรัตน์ ยังกล่าวยืนยันว่า การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร ทั้งนี้ การสมัครมาตรา 40 เพื่อให้ได้มีหลักประกันทางสังคมจากรัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ยังไม่มีหลักประกันทางสังคมจึงได้สั่งการให้นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เร่งรัดให้สำนักงานประกันสังคมอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการอาชีพอิสระได้สมัครมาตรา 40 เพื่อเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อมีเงินออมในระยะยาว สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและอุดหนุนเยียวยาจากมาตรการต่างๆ จากภาครัฐได้ในอนาคต

ยื่นก่อน ได้ก่อน เงินเยียวยานายจ้าง 9 ประเภทกิจการ ใน 10 จังหวัด

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ประกาศย้ำ นายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐใน 10 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ที่ยังไม่ยื่นขอรับเงินชดเชยเยียวยา ขอให้ท่านดำเนินการยื่นแบบความประสงค์ขอรับเงินโดยด่วน ขั้นตอนคือเข้าระบบ e-service บนเว็บไซต์ www.sso.go.th ของสำนักงานประกันสังคม กรอกข้อมูล แล้วส่งกลับมาให้สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานประกอบการนั้นตั้งอยู่ กรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลให้แนบสำเนาบัญชีธนาคารกลับมาด้วย ส่วนนายจ้างบุคคลธรรมดาให้ผูกบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน เพื่อสำนักงานประกันสังคมจะโอนเงินได้อย่างรวดเร็ว

ยอดโควิด-19 วันนี้ ผู้ติดเชื้อเพิ่ม 19,603 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 รวม 19,603 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อใหม่ 19,290 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 313 ราย ผู้ป่วยสะสม 747,245 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 19,819 ราย ผู้หายป่วยสะสม 527,908 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 214,421 ราย ผู้เสียชีวิต 149 ราย

ยอดโควิด-19 วันนี้ ผู้ติดเชื้อเพิ่ม 19,983 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2564 รวม 19,983 ราย จำแนกเป็น ผู้ติดเชื้อใหม่ 19,633 ราย ผู้ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 350 ราย ผู้ป่วยสะสม 727,642 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้หายป่วยกลับบ้าน 18,503 ราย ผู้หายป่วยสะสม 508,089 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)ผู้ป่วยกำลังรักษา 214,786 ราย ผู้เสียชีวิต 138 ราย

“ท็อปส์” ร่วมโครงการ Care and Share Food for All แบ่งปันอาหารส่วนเกิน

ทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญกับวิกฤต “ความหิวโหย” ที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเป็นการระบุจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ล่าสุดอัตราการขาดสารอาหารเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 10 “ท็อปส์” ในเครือเซ็นทรัล รีเทล  ผู้นำด้านค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของประเทศ  จัดโครงการ “FOOD for GOOD DEED อาหารปันสุข” ภารกิจแบ่งปันอาหารส่วนเกิน (Surplus food) จากการจำหน่ายในแต่ละวัน ได้แก่ เบเกอรี่ ผัก และผลไม้ ที่ยังมีคุณภาพดีสามารถนำไปปรุงอาหารและรับประทานได้  บริจาคให้แก่ผู้ขาดแคลนผ่านองค์กรต่างๆ โดยความร่วมมือล่าสุด ท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ 33 สาขา บริจาคอาหารส่วนเกินให้กับ สหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย  ในโครงการ “Care and Share Food for All”  (ให้ใจและแบ่งปันอาหารสำหรับทุกคน) เพื่อช่วยเหลือเด็กยากจน เด็กทุพลภาพ (พิการ ตาบอด) ผู้สูงอายุและคนเจ็บป่วยในชุมชน รวมไปถึงผู้ลี้ภัยในพื้นที่ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์คาทอลิกทั่วประเทศ

นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการสูญเสียอาหาร และขยะอาหารที่เกิดจากกระบวนการผลิตสินค้าพื่อจำหน่ายในแต่ละวัน จึงมีเจตนารมณ์ในการลดปริมาณขยะอาหารในประเทศไทย ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals:SDGs) ข้อ12: ว่าด้วยเรื่องสร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Ensure sustainable consumption and production patterns) โดยในข้อ 12.3 มีเป้าประสงค์ที่ครอบคลุมประเด็นการลดของเสียที่เป็นอาหาร (food waste)  เพื่อจัดการอาหารส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด บริษัทฯ ได้จัดทำโครงการ “FOOD for GOOD DEED อาหารปันสุข” เกิดจากแนวคิดที่ว่า อาหารทุกชนิดที่เราจำหน่ายมีคุณค่าและไม่ควรถูกทิ้งอย่างสูญเปล่า เพราะการทิ้งอาหารที่ยังมีคุณภาพดี  นอกจากจะสูญเสียทรัพยากรแล้ว ยังเป็นการสร้างขยะอาหารให้เกิดขึ้นอย่างไม่จำเป็น  และจะเกิดประโยชน์มากกว่าหากเรานำอาหารที่ยังมีคุณภาพเหล่านั้นนำกลับมาทำให้เกิดคุณค่า ด้วยการส่งมอบให้กับหน่วยงานที่ดูแลเพื่อนำไปส่งต่อให้ผู้อื่นที่ขาดแคลน

ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ  ได้แก่ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ   ซัสทีแนนนซ์ (SOS) มูลนิธิวีวีแชร์ ส่งมอบอาหารส่วนเกิน ได้แก่ ผัก ผลไม้ เบเกอรี่ และล่าสุด ท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ 33 สาขา ได้สนับสนุนโครงการ “Care and Share Food for All”   (ให้ใจและแบ่งปันอาหารสำหรับทุกคน) ภายใต้การดูแลของสหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย  บริจาคอาหารส่วนเกิน ให้กับ ศูนย์คาทอลิกทั่วประเทศ 33 ศูนย์ เพื่อนำไปมอบให้กับกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่ศูนย์คาทอลิกดูแล เช่น  เด็กยากจน เด็กทุพลภาพ (พิการ ตาบอด) ผู้สูงอายุและคนเจ็บป่วยในชุมชน รวมไปถึงผู้ลี้ภัยในพื้นที่” นับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) ตามเป้าหมายอันดับที่ 2 การพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ

ซิสเตอร์บังอร มธุรสสุวรรณ เลขาธิการสหพันธ์ฯ ณ อารามพระหฤทัย คลองเตย หนึ่งในผู้รับผิดชอบโครงการ “Care and Share Food for All”  (ให้ใจและแบ่งปันอาหารสำหรับทุกคน) กล่าวว่า “โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่สหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการกำจัดความหิวโหยและการสูญเสียอาหารโดยเปล่าประโยชน์ในประเทศไทย เพื่อนำมายังผู้ยากจนในทุกกลุ่ม ตลอดจนผู้ที่มีอาหารไม่เพียงพอ ทั้งในชุมชนและกลุ่มบุคคลที่อยู่ในความดูแลของคณะนักบวชและ/หรือในสังฆมณฑลต่างๆ ซึ่งเป็นการแสดงออกซึ่งความรักและการแบ่งปันที่เป็นรูปธรรมตามจิตตารมณ์ของพระเยซูคริสตเจ้า และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ โครงการ “Care and Share Food for All” ได้รับการสนับสนุนจากท็อปส์  โดยเริ่มต้นโครงการครั้งแรกเมื่อเดือน มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา มีการรับมอบอาหารส่วนเกินจากท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์  6 สาขา ในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และ พัทยา เพื่อส่งต่อไปยังศูนย์คาทอลิก 5 แห่ง ที่เข้าร่วม ซึ่งการดำเนินโครงการประสบผลสำเร็จอย่างมาก จนปัจจุบันได้ขยายความช่วยเหลือเพิ่มอีก 28 ศูนย์ รวมเป็น 33 ศูนย์ทั่วประเทศ และรับมอบอาหารส่วนเกิน จากท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ รวม 33 สาขา”

ซิสเตอร์ปิยฉัตร บุญมูล ผู้อำนวยการศูนย์ธารชีวิตสตรี อธิการ คณะศรีชุมพาบาลบ้านพัทยา หนึ่งในศูนย์คาทอลิกที่รับอาหารส่วนเกินจาก ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขา บ้านแอนด์บียอนด์พัทยา และ พัทยาใต้ ตึกคอม กล่าวว่า “รู้สึกขอบคุณต่อความใจดี มีเมตตาจิตแก่สังคม เพราะโครงการ “FOOD for GOOD DEED อาหารปันสุข” ที่ร่วมส่งมอบอาหารส่วนเกินให้กับโครงการ Care and Share Food for All ของสหพันธ์อธิการเจ้าคณะนักบวชในประเทศไทย มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อเยาวสตรีและบรรดาสตรีที่เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์คาทอลิก คนที่ไม่เงินซื้อข้าวหรือตกงานก็ได้ทานอาหารที่รับมา ยิ่งปัจจุบันมีสถานการณ์ COVID-19 ทางศูนย์ฯ ได้แบ่งบางส่วนของขนมปังประมาณ 30-50 ชิ้น เพื่อนำไปแจกให้กับชาวบ้านที่มารอรับอาหารชายหาดเมืองพัทยาอีกด้วย” ทั้งนี้ ศูนย์ธารชีวิตสตรีเข้าร่วมโครงการเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และมีประชาชนได้รับอาหารจากท็อปส์ราว 200-250 คนต่อวัน

นายสเตฟาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  โครงการ “FOOD for GOOD DEED อาหารปันสุข”จะยังคงดำเนินต่อไป เพราะถือได้ว่าเป็นการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอีกรูปหนึ่ง นอกจากความร่วมมือกับมูลนิธิต่าง ๆ ที่มารับสินค้าและนำไปส่งต่อชุมชนแล้ว เรายังยินดีให้ความร่วมมือกับชุมชนต่าง ๆ ที่มีความพร้อมและประสงค์ขอรับอาหารส่วนเกินจากร้านค้าของเรา เพื่อนำไปบริหารจัดการส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังผู้ที่ขาดแคลนภายในชุมชนใกล้เคียงสาขา การดำเนินโครงการดังกล่าวนอกจากจะได้ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความลำบากให้หลุดพ้นจากความหิวโหย การบริจาคอาหารส่วนเกินยังมีประโยชน์อีกหลากหลายมิติด้วยกัน  ได้แก่ ลดปริมาณการสูญเสียอาหาร  ลดปริมาณขยะอาหารส่วนเกินของประเทศที่ส่งผลต่อมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม  ซึ่งในประเทศไทยขยะอาหารที่ถูกทิ้งในแต่ละวันมีปริมาณสูงมากและไม่ได้รับการบริหารจัดการที่ดีพอ การทับถมของขยะอาหารจึงส่งผลเสียมากมายทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขอนามัยของประชาชน และคุณภาพชีวิต  จากวันนั้นถึงวันนี้ “ท็อปส์ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ แฟมิลี่มาร์ท” 109 สาขาทั่วประเทศ ได้ร่วมแบ่งปันอาหารส่วนเกินไปแล้วว่า 1,608,161 มื้อ ซึ่งนอกจากช่วยให้ผู้คนได้อิ่มท้องเพื่อมีแรงสู้ต่อแล้ว ยังช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้อีก 727,501.60 กิโลกรัม

ภาพเด็กน้อยและผู้คนที่ยิ้มออกเมื่อได้รับอาหาร คือ แรงผลักดันและแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เรามุ่งมั่นที่จะเดินหน้าช่วยเหลือสังคมต่อไป เพราะท็อปส์รู้ดีว่าทุกมื้อที่อิ่มท้อง ย่อมหมายถึงหนึ่งชีวิตที่สามารถก้าวต่อไปได้ และพร้อมกลับมาเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศไทยไปด้วยกัน

ติดตามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่  www.tops.co.th, เฟซบุ๊ก TopsThailand หรือแอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand หรือสนใจช้อปสินค้า ท็อปส์ คลิกที่นี่เลย!

ยูนิซิตี้ มัดรวมผลิตภัณฑ์สร้างภูมิ ขยายช่องทางสั่งซื้อออนไลน์

บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด สร้างแพลตฟอร์มการขายตอบ Customer journey ยุคดิจิทัลไลฟ์สไตล์ เสริมช่องทางขายสำนักงานใหญ่ (Head office) และยูนิซิตี้ DSC 27 สาขาในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มการขายทางออนไลน์แบบครบวงจรเพิ่มเป็นทางเลือกใหม่ ทั้ง Unicity App, Facebook, Line@, E-mail และ Website รับสังคมไทยยุค ‘Social distancing’ เพิ่มความสะดวกตอบโจทย์ความต้องการนักธุรกิจยูนิซิตี้แบบครบวงจร เสริมช่องทางขายแบบออฟไลน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19  และเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่สังคมไทย

ยูนิซิตี้ จึงได้พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีสารอาหารสร้างภูมิคุ้มกันมารวมไว้ให้ได้เลือกตามความต้องการ เพราะในแต่ละวันมีโอกาสเสี่ยงที่จะสัมผัสกับเชื้อโรคได้โดยไม่รู้ตัว หากช่วงใดร่างกายอ่อนแอก็จะส่งผลไปที่ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเหตุให้เกิดอาการป่วยได้

ทั้งนี้ สามารถป้องกันร่างกายให้ห่างไกลโรคได้ด้วยการดูแลตนเอง ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ ผักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้แจ่มใส รวมไปถึงเลือกเสริมสารอาหารสูตรเฉพาะที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เช่น วิตามินซี วิตามินและแร่ธาตุ สารพฤกษเคมี รวมไปถึง น้ำมันปลาซึ่งมีส่วนประกอบของวิตามินอีที่สูง และจุลินทรีย์ชนิดดี ซึ่งปัจจุบันมีผลการวิจัยหลายฉบับที่ยืนยันถึงประโยชน์ต่อสุขภาพเกี่ยวกับการลดการอักเสบและลดความเครียดของเซลล์ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพที่ดีของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

สนใจผลิตภัณฑ์ติดต่อ บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด (สำนักงานใหญ่) ช่องทางออนไลน์ และศูนย์ DSC  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.unicity.com หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-092-6777