ร.ต.ท.หญิง ภัทรศยา ฤกษ์รัตน์ หรือผู้หมวดไวกิ้ง – โดดเด้งทะลุแมสก์

ดังชั่วข้ามคืน! หลังปรากฏภาพสะดุดตา.. สะดุดใจ.. กระตุกต่อมอยากรู้เธอคือใคร? ผู้ขโมยซีนการแถลงข่าวจับกุม พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หรือ ผู้กำกับโจ้

สำหรับตำรวจสาวรายหนึ่งที่นั่งคุกเข่ากับพื้นอยู่ข้างๆ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เพราะรับหน้าที่นำโทรศัพท์มือถือจ่อไมค์ให้เสียงปลายสายของ ผู้กำกับโจ้ ดังเพิ่มขึ้น ระหว่างตอบข้อซักถามจากสื่อมวลชนเมื่อคืนที่ผ่านมา (26 ส.ค. 64)

เธอผู้นี้คือ ร.ต.ท.หญิง ภัทรศยา ฤกษ์รัตน์ ชื่อเล่น ไวกิ้ง จบนักเรียนนายร้อยรุ่น 72 มีความสามารถพูดได้ 3 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ และ จีน และความสามารถพิเศษด้านการร้องเพลง ปัจจุบันเป็นนายตำรวจติดตาม พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สามารถติดตามเธอได้ที่ Facebook : Patarasaya Rerkrut(Viking), IG: @patarasayaa และ YouTube: VikkiPatara

ขยายเวลาเข้าระบบจองวัคซีนซิโนฟาร์ม รอบที่ 3 ถึงวันนี้ (14 ส.ค.) เวลา 18.00 น.

รายงานข่าว แจ้งว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขยายเวลาการเข้าระบบจองวัคซีนซิโนฟาร์ม สำหรับบุคคลธรรมดา รอบที่ 3 วันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 เนื่องด้วยระบบแอปพลิเคชั่น CRA SINOP และเว็บไซต์การเข้าจองวัคซีนซิโนฟาร์ม สำหรับบุคคลธรรมดา มีความล่าช้าทำให้ผู้ลงทะเบียนในรอบที่ 3 เข้าจองวัคซีนเสร็จไม่ได้ตามเวลาที่กำหนดจำนวน 99,812 ราย เพื่อให้ทุกท่านได้รับวัคซีนโดยเร็ว จึงขอประกาศ “ขยายระยะเวลา” ให้ผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าจองวัคซีนอีกจำนวน 20,624 ราย สามารถเข้าจองวัคซีน เลือกโรงพยาบาล เลือกวันนัดฉีด และรับ QR Code เพื่อนำไปชำระเงินได้ จนถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2564 เวลา 18.00 น.

ไดกิ้น ผนึก เอสซีจี สร้างห้องไอซียูสนาม รองรับผู้ป่วยโควิด-19

ในสถานการณ์โควิด-19 ของเมืองไทย ที่มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน ได้สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตขั้นรุนแรง ที่ส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งมีเตียงไม่เพียงพอที่จะรองรับจำนวนผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินอาการหนักในกลุ่มสีแดง ที่ต้องการการรักษาในห้องไอซียูเท่านั้น ทำให้หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ต่างเร่งขยายขอบเขตการรักษาด้วยการสร้างห้องไอซียูสนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดงโดยเฉพาะ

โดยล่าสุด ไดกิ้น (Daikin) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการปรับอากาศคุณภาพสูง และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกน้อยที่สุด จนขึ้นแท่นเป็นแบรนด์อันดับ ที่สามารถครองใจเหล่าผู้บริโภคภายในครัวเรือน และผู้ประกอบการชั้นนำมาอย่างยาวนาน ได้ผนึกกำลังกับ เอสซีจี (SCG) หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เข้าร่วมโครงการสำคัญด้วยการร่วมสร้าง ห้องไอซียูสนาม สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีแดง โดย ห้องไอซียูสนาม นี้จะช่วยแยกผู้ป่วยโควิด-19 ออกจากผู้ป่วยทั่วไป และยังช่วยป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลคนไข้ให้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันได้สร้างเสร็จสิ้นแล้ว แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสระบุรีโรงพยาบาลราชวิถีโรงพยาบาลบางขุนเทียน และยังมีแผนขยายออกไปอีกกว่า 10 แห่งภายในระยะเวลา เดือน ก่อนสิ้นไตรมาส เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ ห้องไอซียูสนาม ทาง ไดกิ้น (Daikin) ได้รับผิดชอบในเรื่องของการเข้าวางระบบการปรับอากาศ และติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในโรงพยาบาลให้เป็นห้องความดันลบที่ทำให้อากาศภายในบริสุทธิ์ และป้องกันการกระจายเชื้อออกสู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งนับเป็นหัวใจหลักของการสร้าง ห้องไอซียูสนาม โดยผลิตภัณฑ์ และระบบที่ทาง ไดกิ้น (Daikin) เลือกใช้คือ VRV (Variable Refrigerant Volume) เครื่องปรับอากาศแบบรวมศูนย์ ซึ่งเป็นระบบเครื่องปรับอากาศที่สามารถควบคุมสั่งการจากห้องพยาบาลที่แยกออกจากส่วนผู้ป่วย ช่วยให้สะดวกต่อการปฏิบัติการของบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยระบบควบคุม iTouch Manager (ITM) ที่สามารถเฝ้าสังเกตการณ์ และควบคุมอุณหภูมิได้จากห้องพยาบาลที่แยกส่วนออกมา พร้อมระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะ กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินภายในห้องผู้ป่วย โดยเทคโนโลยี VRV สามารถแปรผันปริมาณการทำความเย็นให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์ ควบคู่กับเทคโนโลยี Fan Filter Unit ที่มาพร้อม HEPA Filter จาก American Air Filter (AAF) ที่เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือของ ไดกิ้น (Daikin) เพื่อช่วยเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าไปภายในห้องไอซียู และ ไดกิ้น (Daikin) ยังออกแบบระบบกรองเชื้อไวรัสที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ โดยใช้ HEPA Filter และฆ่าเชื้อด้วยระบบ UV-C จาก AAF ที่มีความปลอดภัยสูงสุด เพื่อเสริมประสิทธิภาพห้องความดันลบให้กับ “ห้องไอซียูสนาม” มีความปลอดภัยต่อบริเวณรอบข้าง

โดยวางระบบการปรับอากาศ ห้องไอซียูสนาม ทาง ไดกิ้น (Daikin) สามารถผลิต ก่อสร้าง และติดตั้งแล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา วัน โดยมีทีมงานวิศวกรที่มีความแม่นยำ และชำนาญสูงในเรื่องการวางระบบอากาศอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะเข้าร่วมโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ก่อนวางแผนการติดตั้ง และเริ่มก่อสร้างไปพร้อมๆ กับทาง เอสซีจี (SCG) ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการปรับปรุงไอซียูแบบทั่วไปอาจต้องใช้เวลากว่า เดือน ซึ่ง ห้องไอซียูสนาม นั้นจะมีจำนวน 10 เตียง ในราคาการก่อสร้าง และติดตั้งทุกระบบราว 12 ล้านบาท

อาคิฮิสะ โยโคยามา (Akihisa Yokoyama) ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวถึงแนวคิดหลักในการสร้าง ห้องไอซียูสนาม และการพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องว่า สำหรับโครงการก่อสร้างห้องไอซียูสนามให้แก่โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ไดกิ้นได้คัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และใช้สุดยอดเทคโนโลยีในการวางระบบการปรับอากาศที่ถูกออกแบบโดยทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญ และมีความแม่นยำสูงในการเข้าวางระบบภายในระยะเวลาที่ถูกจำกัดเพียง วัน เนื่องจากสถานการณ์ที่มีจำหน่วยผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนจึงต้องเร่งมือในการก่อสร้างห้องไอซียูสนาม เพราะหากเกิดความผิดพลาดในการวางระบบขึ้น เราจะไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้ว ดังนั้นทีมวิศวกรที่มีความชำนาญสูงจึงเปรียบเสมือนเป็นหัวเรือหลักของโครงการนี้ โดยการวางระบบการปรับอากาศ และติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในห้องไอซียูสนามได้ถูกออกแบบให้เป็นห้องความดันลบที่ทำให้อากาศภายในบริสุทธิ์ และป้องกันการกระจายเชื้อออกสู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อมอบความปลอดภัยสูงสุดให้แก่ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไดกิ้นได้มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อสรรค์สร้าง ผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องคำนึงถึงสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภคมาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ซึ่งนอกเหนือจากการมอบอากาศที่ดีและบริสุทธิ์สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่แล้ว ไดกิ้นยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างอากาศสะอาดเพื่อที่อยู่อาศัย ที่ชื่อว่าสตรีมเมอร์ซึ่งสามารถช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ได้อย่างมีประสิทธิภาพถึง  99.9% โดยได้ทำการทดสอบกับเชื้อไวรัสโคโรน่าในประเทศไทยจากความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงช่วยขจัดก๊าซอันตรายจากสารเคมีได้อีกด้วย จากการที่เราพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้ง จึงทำให้เครื่องปรับอากาศ และเครื่องฟอกอากาศของไดกิ้น ได้รับความไว้วางใจ และเชื่อมั่นจากเหล่าผู้บริโภคภายในครัวเรือน รวมถึงผู้ประกอบการชั้นนำระดับประเทศมากมาย

ช่วยเหลือเด็กชายวัย 11 ขวบและครอบครัวในชลบุรีสู้โควิด-19

จากกรณีโพสต์บนโซเชียลมีเดียของเด็กชายวัย 11 ขวบ ในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ขอรับบริจาคอาหารช่วยชีวิตตนเองและครอบครัวจำนวน 8 คน เพราะเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ครอบครัวตกงาน ไม่มีรายได้ รวมถึงมีสมาชิกในครอบครัวพิการทางสายตา โลตัสได้รับทราบข่าวจึงร่วมมือกับจิตอาสาบ้านเอื้ออาทรเนินเนินพลับหวานเข้าไปส่งมอบอาหารผ่าน โครงการข้าวกล่องเต็มอิ่ม เติมยิ้มร้านอาหาร โดยตั้งมั่นในการช่วยเหลือครอบครัวและชุมชนในละแวกทุกวันตลอดระยะเวลาของโครงการ

โครงการข้าวกล่องเต็มอิ่ม เติมยิ้มร้านอาหาร นับเป็นโครงการของโลตัสที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบใน 10 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มที่มีโลตัสตั้งอยู่ ในการส่งต่อข้าวกล่อง 100,000 กล่องให้มูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสานำไปแจกจ่ายให้ผู้ขาดแคลนอย่างทั่วถึง ในขณะเดียวกันเองโลตัสยังรับซื้อผลผลิตโดยตรงจากเกษตรกรในการปรุงอาหาร และว่าจ้างร้านอาหารที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยในศูนย์อาหารให้ผลิตข้าวกล่องเพื่อสร้างรายได้ในช่วงวิกฤติในเดือนสิงหาคม 2564 นี้

มูลินิธิหรือเครือข่ายจิตอาสาท่านใดสนใจรับข้าวกล่องจาก โลตัส เพื่อนำไปกระจายต่อ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ผ่านลิงก์ https://bit.ly/3kXOx5h โลตัสจะทำการติดต่อกลับในกรณีที่ได้รับการจัดสรร

สำนักงานประกันสังคม พร้อมแล้ว! ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 2 เริ่ม 16 ส.ค. นี้

พญ.นิธยาพร ลิมปะพันธุ์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม แจ้งผลการเตรียมความพร้อมสำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยคณะทำงานบริหารจัดการและกระจายวัคซีนได้เตรียมจัดศูนย์ฉีดวัคซีน เพื่อให้บริการผู้ประกันตนมาตรา 33 ในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 หลังจากที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับวัคซีนเข็มแรกจากประกันสังคมแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 1.3 ล้านคน

พญ.นิธยาพร กล่าวว่า วัคซีนเข็มที่ 2 จะเริ่มฉีดในวันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป เป็นวัคซีนยี่ห้อ AstraZeneca ทั้งหมด โดยแบ่งผู้ประกันตนตามสูตรการฉีด ดังนี้

  • สูตร 1 (AZ+AZ) คือผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็น AstraZeneca และจะครบกำหนดฉีดเข็ม 2 ภายใน 12-16 สัปดาห์ จะฉีดเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนยี่ห้อ AstraZeneca เหมือนเดิม โดยผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้รับเข็ม 1 ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 28 กันยายน 2564
  • สูตร 2 (SV+AZ) แบบฉีดสลับวัคซีน ตามมติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 คือผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกเป็นยี่ห้อ Sinovac จะได้รับเข็ม 2 ภายใน 3-4 สัปดาห์ เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ทั้งหมดเช่นกัน โดยผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้รับเข็ม 1 ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 27 สิงหาคม 2564

และผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกลุ่มจังหวัดภาคผลิตสำคัญ 5 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร และนครปฐม ที่ได้รับวัคซีนตามสูตร 2 (SV+AZ) ตั้งแต่ 22 กรกฎาคม – 13 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม – 27 สิงหาคม 2564

โดยสำนักงานประกันสังคมได้เตรียมพร้อมศูนย์ฉีดวัคซีนกระจายทั่วพื้นที่ กทม.ทั้ง 12 เขตความรับผิดชอบ รวม 26 จุดฉีด และทั้ง 5 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว จะส่งแจ้งนัดหมายให้ผู้ประกันตนทราบล่วงหน้าผ่าน SMS เข้าโทรศัพท์มือถือให้ผู้ประกันตนทราบโดยเร็วที่สุด

สำหรับผู้ประกันตนที่ฉีดวัคซีนหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว สำนักงานประกันสังคมอยู่ระหว่างดำเนินการประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะอัพเดทในสัปดาห์หน้า

พญ.นิธยาพร กล่าวว่า ขอให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุกท่าน เมื่อทราบกำหนดนัดหมายแล้ว โปรดเตรียมตัวให้พร้อม เหมือนกันกับการฉีดเข็มแรก คือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดการออกกำลังกายหนัก สวมเสื้อที่สะดวกในการฉีด เช่น เสื้อแขนสั้น

ที่สำคัญคือ เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) ติดตัวมาด้วยในวันที่ฉีดวัคซีน และมาให้ทันตามกำหนดนัดหมาย เพื่อร่วมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ไปด้วยกัน

หากท่านอยู่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็ม 2 ตามกำหนดข้างต้น แต่ไม่ได้รับ SMS นัดหมาย สามารถตรวจสอบวันนัดหมายฉีดวัคซีน เข็มที่ 2 ได้ที่หน้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th อีกช่องทางหนึ่ง หากไม่พบข้อมูล ขอให้รีบแจ้งนายจ้าง หรือฝ่ายบุคคล (human resource: HR) ของบริษัทลูกจ้างด่วน หรือหากมีข้อสงสัย ติดต่อสายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

เตรียมส่งมอบศูนย์กักตัวชุมชน 3 แห่ง รองรับผู้ป่วยโควิดสีเขียวในพื้นที่ลพบุรี

นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นำคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดลพบุรี ลงพื้นที่ตรวจติดตามความพร้อมในการจัดตั้ง Community Isolation (CI) หรือศูนย์กักตัวในชุมชน เพื่อรองรับผู้ป่วยสีเขียว ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ตามที่ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ได้อนุมัติให้หน่วยขึ้นตรงของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จัดเตรียมสถานที่ 3 แห่ง ประกอบด้วย 1.แหล่งสมาคมหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2.อาคารคงสมพงษ์ กองพลรบพิเศษที่ 1 ค่ายเอราวัณ และ 3.อาคารกองร้อยนักเรียนที่ 1 กองพันนักเรียนโรงเรียนสงครามพิเศษ ค่ายเอราวัณ โดยทั้ง 3 แห่ง มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมกันการจัดหาวัสดุอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการรองรับผู้ป่วยโควิด -19 ซึ่งเป็นผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวเพื่อใช้สำหรับกักตัวสังเกตอาการ ตามมาตรการสาธารณสุข ที่ ศบค.กำหนด โดยมี คณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 3 แห่ง ให้การต้อนรับ และนำชมสถานที่ ทั้ง 3 แห่ง ซึ่งสามารถรองรับผู้ป่วย ชาย-หญิง ได้เกือบ 400 คน ขณะนี้มีคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 90 เหลือเพียงการทดสอบระบบการควบคุมการติดต่อสื่อสารด้วยอินเตอร์คอม และกล้อง CCTV โดยสถานที่ทั้ง 3 แห่ง จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่แยกผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัว และเมื่อมีอาการที่รุนแรงในขณะกักตัวภายในศูนย์ จะมีทีมแพทย์พยาบาล จากโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช และจากหน่วยตรวจโรคศูนย์สงครามพิเศษ เป็นผู้ดูแลและประเมินอาการอีกครั้ง เพื่อจะสามารถส่งต่อยังสถานพยาบาลได้ในทันที โดยคาดว่าจะสามารถส่งมอบพื้นที่ และเปิดศูนย์เพื่อให้บริการแก่ประชาชนอย่างเป็นทางการ ทั้ง 3 ศูนย์ ได้ในต้นสัปดาห์หน้านี้ เพื่อเตรียมรองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ป่วยจากชุมชน และคลัสเตอร์ ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี และผู้ติดเชื้อจากพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ที่ได้ลงทะเบียน ขอกลับมารักษาอาการป่วยตามภูมิลำเนาในพื้นที่จังหวัดลพบุรี

ทั้งนี้ การดำเนินการของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ถือเป็นนโยบาย และข้อห่วงใยของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้สั่งการให้หน่วยทหารทั่วประเทศ ใช้อาคารสโมสร หรืออาคารเอนกประสงค์ในค่ายทหารทั่วประเทศ เป็นโรงพยาบาลสนาม ศูนย์กักตัวชุมชน เพื่อประเมินอาการ และดูแลผู้ป่วยสีเขียวในเบื้องต้น ลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ และลดปัญหาอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลหลัก ก่อนประสานส่งต่อให้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามระบบของสาธารณสุข ในแต่ละพื้นที่ต่อไป

คาดเปิดลงทะเบียนรับวัคซีนซิโนฟาร์ม สำหรับองค์กร/นิติบุคคล ครั้งถัดไป วันที่ 23-27 ส.ค. นี้

รายงานข่าวจาก ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งว่า ขณะนี้มีผู้ยื่นความประสงค์ขอรับการจัดสรรวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ระยะที่ 2 สำหรับองค์กร/นิติบุคคล ครั้งที่ 2 วันที่ 13 สิงหาคม 2564 เต็มจำนวนแล้ว
สำหรับองค์กร/นิติบุคคลที่ลงทะเบียนได้สำเร็จ ให้รอรับการจัดสรรผ่านทางอีเมลผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ติดตามการขอยื่นความประสงค์รับการจัดสรรวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม สำหรับองค์กร/นิติบุคคล ครั้งถัดไปในวันที่ 23-27 สิงหาคม 2564

เชิญชวนคุณแม่ตั้งครรภ์ ลงทะเบียนรับวัคซีนซิโนฟาร์ม เริ่มวันนี้ (12 ส.ค.)

รายงานข่าว แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2564 ทาง ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 12-16 สิงหาคม 2564 ผ่านทาง LINE Official รพ.จุฬาภรณ์ >>

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะส่งข้อความ SMS ถึงคุณแม่ที่ลงทะเบียนเข้ามาทุกท่านให้เข้ามาดำเนินการทำแบบคัดกรองและใบยินยอม และนัดหมายการเข้ารับวัคซีนต่อไป

สำหรับเงื่อนไขการเข้ารับสิทธิ์ ดังนี้

  1. คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
  2. เข้ารับบริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อาคาร 9 (ทีโอทีเดิม) ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น
  3. ในวันฉีดวัคซีนกรุณานำเอกสารการฝากครรภ์ และบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงเป็นหลักฐานในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน

เปิดตัวห้องไอซียูความดันลบเคลื่อนที่ อัจฉริยะควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์

นางสาววิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เชื้อแพร่กระจายทางอากาศ การรักษาผู้ป่วยจากไวรัสโควิดจึงมีความจำเป็นต้องแยกจากผู้ป่วยทั่วไป โดยแยกไปรักษาดูแลในห้องความดันลบ แต่จากความรุนแรงของการระบาด ทำให้ห้องความดันลบที่มีอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ มีไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยอาการหนักที่เพิ่มขึ้นได้

วช.จึงได้สนับสนุนทุนวิจัย ผศ.ดร.ณัฐพล ฤกษ์เกษมสันต์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในการวิจัยพัฒนาห้องไอซียูความดันลบเคลื่อนที่ จนเป็นผลสำเร็จ ทำให้การเพิ่มห้องความดันลบเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สามารถทำได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ที่สำคัญสามารถป้องกันการแพร่เชื้อกระจายออกไปสู่ภายนอก และช่วยปกป้องแพทย์และพยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลได้เป็นอย่างดี

ผศ.ดร.ณัฐพล ฤกษ์เกษมสันต์ อาจารย์ประจำภาควิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยว่า หลังจากได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ในการพัฒนานวัตกรรมห้องไอซียูความดันลบเคลื่อนที่จนเป็นผลสำเร็จ จึงมีการพัฒนาต่อยอดการทำงานของห้องไอซียูความดันลบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สนับสนุนการทำงานของแพทย์และพยาบาลให้เกิดความสะดวก พัฒนาระบบควบคุมภายในให้มีความทันสมัย เป็นระบบอัจฉริยะสามารถทำงานเองได้โดยอัตโนมัติ สามารถปรับเปลี่ยนแรงดันภายในห้องไปตามการใช้งาน ในกรณีทีมีการขนส่งผู้ป่วยเข้ามาในห้อง เมื่อมีการเปิด-ปิดประตู คอมพิวเตอร์จะควบคุมและปรับแรงดันในห้องผู้ป่วยและห้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ สามารถแจ้งเตือนได้เมื่อผู้ใช้งานลืมเปิดประตูทิ้งไว้ โดยระบบควบคุมสามารถเชื่อมต่อและรายงานผลของห้องผ่านมอนิเตอร์หน้าห้อง

สำหรับห้องประสิทธิภาพของไอซียูความดันลบเคลื่อนที่เป็นห้องสำเร็จรูป  ขนาด 3  6.5 เมตร / ยูนิต พื้นที่ภายในแบ่งออกเป็น 2 ห้องคือ ห้องสำหรับผู้ป่วยและห้องสำหรับผู้ดูแล มีระบบคอมพิวเตอร์คอยควบคุม แต่ละห้องมีระบบปรับอากาศ มีระบบควบคุมแรงดันอากาศอัตโนมัติ มีความดันที่เหมาะสมและสัมพันธ์กันตลอดเวลาและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อมั่นใจได้ว่า อากาศภายในห้องที่อาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนจะไม่ไหลออกมาสู่ภายนอก

ปัจจุบันได้มีการผลิตห้องไอซียูและนำไปติดตั้งที่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง ในกรุงเทพมหานครและปริมลฑล เช่น โรงพยายาบาลสนามบุษราคัม โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลเลิศสิน โรงพยาบาลทหารผ่านศึก โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และจะนำติดตั้งที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เร็วๆ นี้

สสว. เปิดลงทะเบียนปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ช่วยกลุ่มท่องเที่ยวและร้านอาหาร

นาย เปิดเผยว่า จัดโครงการสนับสนุน SME รายย่อยวงเงิน 1,200 บาท เพื่อช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีกลุ่มท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และสปาใน 10 จังหวัดนำร่องเปิดการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจภัตตาคารและร้านอาคารใน 29 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อยแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยร่วมดำเนินการสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อยอนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 1 ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี วงเงินกู้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 3 แสนบาท และนิติบุคคลไม่เกิน 5 แสนบาท คุณสมบัติหลักคือเป็นผู้ประกอบการที่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นและโครงการฟื้นฟู หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี คาดว่าจะให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มากกว่า 5 พันรายขึ้นไป ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ประมาณ 5 พันล้านบาท

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจยื่นกู้ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ที่จะเริ่มวันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป โดยสแกนคิวอาร์โคดของธนาคารกรอกรายละเอียด ซึ่งแต่ละธนาคารจะมีเจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนและติดต่อกลับเพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพิจารณาและอนุมัติเงินกู้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Cale Center 1357