โรงงานแม่แตงในกลุ่ม UAC ร่วมมอบถุงยังชีพสู้โควิด-19

บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC สาขาโรงงานแม่แตง ร่วมกับหน่วยงานเทศบาลตำบลแม่แตง จ.เชียงใหม่ มอบถุงยังชีพให้กับชาวบ้านที่ประสบความเดือดร้อนในช่วงวิกฤติจากการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ในเขตพื้นที่ จำนวน 100 ถุง ภายใต้ “โครงการร่วมมอบถุงยังชีพแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ สถานการณ์ COVID 19” โดยมีร.ต.ท.วีรวัฒน์ ภูเลื่อน นายกเทศมนตรีตำบลแม่แตง เป็นผู้รับมอบ พร้อมทั้งลงพื้นที่เพื่อมอบถุงชีพให้กับชุมชน ในเขตพื้นที่ตำบลแม่แตง เพื่อส่งต่อธารน้ำใจ ช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับคนในชุมชน

กลุ่มมิตรผล ช่วยเหลือสังคมในวิกฤติโควิด-19 ต่อเนื่อง

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงรุนแรง และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่ กลุ่มมิตรผล ที่ยืนเคียงข้างและช่วยเหลือคนไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งแรกในปี 2563 จนถึงวันนี้ที่สถานการณ์ยังคงน่าเป็นกังวล โดยกลุ่มมิตรผล ได้ผนึกความร่วมมือกับ พาเนล พลัส บริษัทในเครือที่ผลิตวัสดุทดแทนไม้ ผลิตและส่งมอบเตียงสนามไม้อย่างเร่งด่วน พร้อมมอบเงินสนับสนุนเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ และปรับปรุงสถานที่สำหรับการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในจังหวัดราชบุรีผ่าน “กองทุนมิตรผล-บ้านปู รวมใจช่วยไทย สู้ภัย COVID-19” รวมมูลค่ากว่า 3,300,000 บาท

โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ จัดตั้งขึ้นที่อาคารอัคคธัมมสถาน ศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนา วัดเขาวัง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี นับเป็นโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 5 ของอำเภอเมือง และแห่งที่ 8 ของจังหวัดราชบุรี ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัด สามารถรองรับผู้ป่วยได้ถึง 400 เตียง และยังสามารถขยายเพิ่มเป็น 500 เตียงได้ หากจำนวนผู้ติดเชื้อยังมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ได้เตรียมพร้อมและเปิดรับผู้ป่วยเข้ามาดูแลตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา

คุณบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ กลุ่มมิตรผล กล่าวถึงการมอบเตียงสนามในครั้งนี้ว่า “ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน กลุ่มมิตรผลภายใต้การดำเนินงานของกองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ ได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นการมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ด้วยการทำงานที่รวดเร็ว ไม่ซ้ำซ้อน และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด ในส่วนของโรงพยาบาลสนามจังหวัดราชบุรีแห่งนี้ ภายหลังจากเห็นยอดผู้ติดเชื้อของจังหวัดที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน เพราะความเป็นอยู่และการดูแลผู้ติดเชื้อเป็นเรื่องสำคัญ โดยได้หารือกับทางจังหวัดราชบุรีไม่นาน ก็ตัดสินใจให้การสนับสนุน และให้ทางจังหวัดดำเนินการได้เลย โดยจากการทำงานร่วมกัน ทำให้โรงพยาบาลสนามเตรียมพร้อมเสร็จภายในหนึ่งสัปดาห์ แข่งกับเวลาและจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวัน”

อัมพร กาญจนกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พาเนล พลัส จำกัด กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่นี้ เป็นการแพร่ระบาดที่รวดเร็วและส่งผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นวงกว้าง รวมถึงผู้ติดเชื้อก็ขาดแคลนเตียงในการรักษา ทำให้ต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นทั่วประเทศ บริษัท พาเนล พลัส จำกัด ในฐานะของผู้ผลิตวัสดุทดแทนไม้ มองเห็นว่าธุรกิจของเราสามารถช่วยเหลือสังคมและผู้ที่ได้รับผลกระทบในช่วงเวลานี้ได้ เราจึงได้คิดค้นและต่อยอดการผลิตแผ่นไม้สู่การผลิตเตียงสนามที่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ ให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้ป่วย ยึดหลักความแข็งแรง ทนทาน ประกอบเร็ว
โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที สามารถเช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ และเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อมเพราะผลิตจากวัสดุธรรมชาติ โดยเราได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และร่วมกับกลุ่มมิตรผลในการมอบให้กับโรงพยาบาลสนามในหลายจังหวัดไปแล้วกว่า 1,000 เตียง ได้แก่ จังหวัดสงขลา สมุทรสาคร สุพรรณบุรี กรุงเทพฯ และล่าสุดที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเราหวังว่าเตียงสนามไม้ที่เราได้ตั้งใจผลิตเพื่อมอบให้โรงพยาบาลสนาม จะมีส่วนช่วยให้ผู้ติดเชื้อและผู้ที่รอเตียงก้าวผ่านความยากลำบากในครั้งนี้ไปได้”

กลุ่มมิตรผล ยังคงตั้งปณิธานที่จะเดินหน้าช่วยเหลือสังคมไทย และบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ ผ่านกองทุนมิตรผล-บ้านปูรวมใจช่วยไทย สู้ภัย COVID-19  ในการกระจายความช่วยเหลือที่รวดเร็ว เข้าถึง อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความหวังว่าจะประเทศไทยจะกลับมาปลอดภัยและสามารถก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด

SYS ส่งมอบเตียงกระดาษให้โรงพยาบาลสนาม

บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด หรือ SYS ผู้ผลิตเหล็กเอชบีม ไวด์แฟลงก์มานานมากกว่า 25 ปี เดินหน้าให้ความช่วยเหลือทั้งหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน และ ประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง โดยสถานการณ์ปัจจุบัน มีผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการใช้เตียงจำนวนมาก  SYS จึงได้มีนโยบายให้ความช่วยเหลือส่งมอบเตียงให้กับ 14 หน่วยงาน เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19

นายเจษฎา ปลั่งมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด หรือ SYS เผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบใหม่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว SYS เข้าใจถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาเตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิดกลุ่มที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการน้อย โดยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนเตียงกระดาษ สำหรับ โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนามและศูนย์พักคอย จำนวน 14 แห่ง ในพื้นที่จังหวัด ปราจีนบุรี 200 เตียง, สมุทรปราการ 370 เตียง, สุรินทร์ 130 เตียง, อุบลราชธานี 100 เตียง, จันทบุรี 100 เตียง, อยุธยา 100 เตียง และ อุตรดิตถ์ 100 เตียง รวมส่งมอบเรียบร้อยแล้ว 1,100 เตียง

ทั้งนี้ SYS ยังคงดำเนินการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์ความเดือดร้อนช่วงโควิด 19 และขอร่วมเป็นกำลังใจให้กับคนไทยทุกคนฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

ไดกิ้น ผนึก ม.มหิดล ร่วมทดสอบเทคโนโลยีสตรีมเมอร์ ช่วยยับยั้งโควิด-19

มร.อาคิฮิสะ โยโกยามา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด หนึ่งในบริษัทชั้นนำเครื่องปรับอากาศระดับโลก เปิดเผยว่า บริษัทได้ประกาศร่วมมือทางวิชาการอย่างเป็นทางการกับคณะ เทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนโลยี “สตรีมเมอร์” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของไดกิ้น ในการช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย และตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีปรับอากาศระดับโลกของไดกิ้น

ทั้งนี้ เมื่อเดือน กรกฏาคม ปี 2020 บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ได้ประกาศผลประสิทธิภาพจากการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยโตเกียว (The University of Tokyo) และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์โอคายาม่า (Okayama University of Science) ประเทศญี่ปุ่น ว่า สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ได้ถึง 99.9% ด้วยการปล่อยประจุ Streamer เป็นเวลา 3 ชั่วโมง และเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคชาวไทยขึ้นไปอีกขึ้น

ทาง บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด จึงร่วมมือกับ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทดสอบประสิทธิภาพประจุสตรีมเมอร์ (Streamer) กับเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ที่เก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยติดเชื้อจากการระบาดภายในประเทศไทย ซึ่งผลทดสอบยืนยันว่าเทคโนโลยีสตรีมเมอร์ สามารถช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ที่แพร่ระบาดในประเทศไทยได้ 99.9 % สอดคล้องกับผลการทดสอบจากประเทศญี่ปุ่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. หทัยรัตน์ เลิศสำราญ และคณะทีมคณาจารย์จากคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของสตรีมเมอร์ที่อยู่ภายในเครื่องฟอกอากาศไดกิ้นรุ่น MCK55TVM6, MC55UVM6 และ MC40UVM6 และเครื่องปรับอากาศไดกิ้นรุ่นใหม่ล่าสุด เซ-ต้าส (ZETAS) เพื่อยืนยันว่าเทคโนโลยีสตรีมเมอร์สามารถช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ที่แพร่ระบาดอยู่ในประเทศไทย โดยทำการทดสอบกับเชื้อไวรัสที่เก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งได้นำตัวอย่างไปเพาะเลี้ยงเพื่อคัดแยกชนิด และเพิ่มกำลังของเชื้อเพื่อที่จะได้ทดสอบประสิทธิภาพของสตรีมเมอร์ที่อยู่ในเครื่องฟอกอากาศและเครื่องปรับอากาศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จากผลการทดสอบได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าประสิทธิภาพเทคโนโลยีสตรีมเมอร์ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องฟอกอากาศไดกิ้นทั้ง 3 รุ่น ประกอบด้วย MCK55TVM6, MC55UVM6 และ MC40UVM6 รวมถึงเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่เซ-ต้าส (ZETAS) ด้วยการเปิดเครื่องสตรีมเมอร์ เป็นเวลา 6 ชั่วโมง สามารถช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ได้ 99.9 % ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง (อ้างอิงจากผลทดสอบวันที่ 18 มิถุนายน 2564)

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพเทคโนโลยีสตรีมเมอร์นั้น ได้ทำการทดสอบภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 สำหรับเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ภายในกล่องอะคริลิคขนาด 31 ลิตร 2 กล่อง ซึ่งถูกติดตั้งอุปกรณ์สตรีมเมอร์ที่ได้นำแกะออกจากเครื่องฟอกอากาศไดกิ้นรุ่น MC40UVM6 ไว้ภายในกล่องอะคริลิค 1 กล่อง และอีกกล่องไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์สตรีมเมอร์ โดยไวรัสที่ทำการทดสอบถูกบรรจุอยู่ในสารละลายไวรัส ซึ่งถูกนำมาใส่ในหลุมของจานทดลอง 6 หลุม (6-well plate) หลุมละ 0.5 มล. และวางบนเครื่องเขย่า ที่มีรอบเขย่า 12 ครั้ง/นาที ภายในกล่องอะคริลิค

อุปกรณ์สตรีมเมอร์ทำงานโดยการปล่อยพลาสม่าผ่านอากาศลงไปยังจานทดลอง 6 หลุมที่มีสารละลายไวรัสอยู่ซึ่งตั้งอยู่บนเครื่องเขย่าที่กำลังทำงาน จากนั้นทำการเก็บสารละลายไวรัสทุกๆ 1, 2 , 3, จนถึง 6 ชั่วโมง จากจานทดลอง และนำไปนับจำนวนไวรัสที่รอดชีวิตด้วยวิธีนับจำนวนพลัค (Plaque method) โดยใช้วิธี TCID50 ซึ่งใช้เซลล์ Vero E6 สำหรับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2)

มร.อาคิฮิสะ โยโกยามา กล่าวว่า ผลการทดสอบครั้งนี้ได้ตอกย้ำประสิทธิภาพของเทคโนโลยีสตรีมเมอร์ว่าสามารถช่วยยั้บยั้งเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ได้อย่างมีประสิทธิภาพในประเทศไทย เพราะการทดสอบดำเนินการด้วยเชื้อโคโรน่าไวรัสที่ระบาดในประเทศไทย ภายใต้สภาพแวดล้อมในประเทศไทยถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ ทั้งยังตอกย้ำว่าไดกิ้นเล็งเห็นถึงความสำคัญของการมอบอากาศที่ดีและสมบูรณ์แบบ (Perfecting the Air) ให้แก่ผู้ใช้งานในประเทศไทยทุกคน

ความร่วมมือระหว่างบริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด และมหาวิทยาลัยมหิดลในครั้งนี้ ยังถือเป็นการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศในประเทศไทย ในการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพที่สามารถพิสูจน์ได้ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดี และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้บริโภค  

เทคโนโลยีสตรีมเมอร์ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) จนในปี 2547 เทคโนโลยีสตรีมเมอร์ได้ถูกนำมาใช้งานจริง โดยใช้หลักการทำงานในการปล่อยประจุไฟฟ้าพลาสม่าสตรีมเมอร์ (Streamer discharge) ที่มีประสิทธิภาพในการสลายสสารอันตราย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีฟอกอากาศที่สร้างอิเล็คตรอนความเร็วสูงอย่างเสถียร และถือเป็นคุณสมบัติที่ทำได้ยากในเวลานั้น เพราะประสิทธิภาพในการสลายสสารด้วยวิธีออกซิเดชั่น (Oxidation) ของสตรีมเมอร์ นั้นมากกว่าการปลดปล่อยประจุพลาสม่าแบบทั่วไป (glow discharge) เพราะมีพลังงานสูงกว่า 2-3 เท่า

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผสานกับโมเลกุลของอากาศทำให้อิเล็กตรอนความเร็วสูงเหล่านี้ มีคุณสมบัติในการสลายสสารด้วยกระบวนการออกซิเดชั่น ทำให้สตรีมเมอร์สามารถกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ แบคทีเรียและมลพิษทางอากาศภายในอาคาร เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ ได้อย่างต่อเนื่อง

รพ.กรุงเทพ เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19

จากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ ที่มีมากขึ้นทุกวัน ตอกย้ำถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 โดยรวมของประเทศไทยที่อยู่ในภาวะวิกฤตจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นอกจากการยกการ์ดสูง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์หรือสบู่ เว้นระยะห่าง ลดการสัมผัสพื้นที่สาธารณะ วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

ด้วยความตระหนักถึงความจำเป็นของการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ นำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพร่วมสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพดี สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ลดความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และช่วยลดอัตราการเสียชีวิต เดินหน้าสนับสนุนการฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ จัดหน่วยบริการความร่วมมือฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน  ทั้งหน่วยฉีดภายในโรงพยาบาลและเปิดนอกสถานพยาบาลบนพื้นที่ใจกลางเมือง  ร่วมกับ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร หอการค้าไทย และศูนย์การค้าสยามพารากอน ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 เป็นทางเลือกเสริม เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการบริการอย่างรวดเร็ว ด้วยประสิทธิภาพการบริหารจัดการและมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ลดความเสี่ยงจากการระบาดซ้ำ เป็นภารกิจฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

พญ.เมธินี ไหมแพง รองประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สร้างผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั้งประเทศและทั่วโลก รวมถึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนเป็นเรื่องเร่งด่วน  ลดการแพร่เชื้อ ลดความรุนแรงของโรค และลดความสูญเสีย โรงพยาบาลกรุงเทพในฐานะโรงพยาบาลที่อยู่เคียงข้างคนไทยมากว่า 50 ปี ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญการพร้อมในการจัดการด้านมาตรฐานความปลอดภัย ที่ผ่านมาได้ช่วยสังคมไทยในด้านการแพทย์และสาธารณสุขในรูปแบบต่างๆ ทั้งการ การช่วยเหลือในด้านเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ แก่โรงพยาบาลรัฐ และการมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ ตลอดจนสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันแก่ผู้ด้อยโอกาสและชุมชน

ที่ผ่านมาโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้เปิดหน่วยบริการวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐ สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ณ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เนื่องจากมีการระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้าง การจัดสรรพื้นที่ภายในโรงพยาบาลสำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยทั่วไป ยังคงมาตรการความปลอดภัยและเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด งดการเข้าเยี่ยมของญาติ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ยังเปิดหน่วยบริการฉีดวัคซีน ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ยังเป็นหนึ่งใน 25 หน่วยฉีด ให้กับ โครงการ “ไทยร่วมใจ กรุงเทพฯ ปลอดภัย” ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้ง่าย สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการฉีดวัคซีนให้กับหน่วยงานต่าง ๆ  อาทิ สมาคมสายการบินประเทศไทย  พระสงฆ์ แม่ชีจากวัดต่างๆ  รวมไปถึงผู้พิการทางสายตา ผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ นอกจากการเปิดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่จุดบริการทั้งสองแห่งของโรงพยาบาลกรุงเทพ ยังผนึกกำลังร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดหน่วยบริการฉีดวัคซีนทางเลือก ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ซึ่งถือเป็นวัคซีนตัวเลือกที่เริ่มฉีดให้แก่คนไทย โดยการจัดสรรขององค์กรและหน่วยงานภาคอุตสาหกรรมที่กระจายฉีดให้แก่ประชาชนเป็นกลุ่มแรก อีกทั้งร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ดำเนินโครงการฉีดวัคซีนแจนส์เซน (Janssen) ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) แก่พลเมืองฝรั่งเศสที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางและมีข้อจำกัดในการเดินทางสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยดำเนินการฉีดวัคซีนใน 8 หน่วยฉีดในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพทั่วประเทศ

นอกจากนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพได้ร่วมส่งเสริมสุขภาพ เพื่อเป็นการเสริมเกราะคุ้มกัน ลดความรุนแรงจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ เตรียมเปิดให้บริการวัคซีนทางเลือก โมเดอร์นา (Moderna) ในช่วงปลายปีนี้ ด้วยความมุ่งมั่นว่าขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและภูมิคุ้มกันมากขึ้น เพื่อก้าวข้ามภาวะวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

มอบเครื่องดื่มวิตามินซี “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” สู้ภัยโควิด-19

นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร กรรมการ และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)และ กนกกร ใจชื่น ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด เดินทางไปมอบเครื่องดื่มวิตามินซี “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” กลิ่นเลมอน กลิ่นส้ม และกลิ่นมิกซ์เบอรรี่ ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง 200% ให้กับหน่วยงานท้องถิ่นที่ดูแลและให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนในพื้นที่เขตบางปะกง  อันได้แก่  โรงพยาบาลบางปะกง รับมอบโดยนายแพทย์สุธน คุณรักษา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางปะกง,  โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพิมพา รับมอบโดย นางสาวพรทิพย์ มิ่งเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพิมพา  และสำนักงานประกันสังคมจังหวัดฉะเชิงเทรา รับมอบโดย คุณหัฎฐริภิม ณมงคลบุญวงษ์ หัวหน้าสำนักงานประกันสังคมจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อส่งมอบให้เป็นกำลังใจ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีตัวเลขสูงขึ้นทุกวัน ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยในวงกว้างอย่างรวดเร็ว  ทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเสียสละความปลอดภัยส่วนตัว และต้องทำงานอย่างเหน็ดเนื่อยเนื่องจากมีผู้ป่วยและผู้ที่เดือดร้อนมาติดต่อขอเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก  บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  ขอเป็นส่วนหนึ่งสนับสนุนการทำงานเพื่อสังคมของหน่วยงานต่างๆ ที่ช่วยเหลือประชาชนท่ามกลางวิกฤติการณ์นี้ โดยขอเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งกำลังใจ ด้วยการส่งมอบเครื่องดื่มวิตามินซี “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ  เราหวังว่ากำลังใจของเราชาวไทยทุกคน จะทำให้พวกเราคนไทยผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน

ระวัง “มิจฉาชีพ” หลอกขอข้อมูลรับเงินเยียวยาสู้โควิด-19

นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการรับสิทธิรับเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม รวม 13 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ว่า ขณะนี้มีผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวนกว่า 3.1 ล้านคน ที่มีสัญชาติไทย จะได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายครั้งเดียวโดยโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชนเท่านั้น ซึ่งเงินเยียวยาจะเริ่มโอนเงินรอบแรกในวันที่ 4 – 6 สิงหาคม 2564 นี้ ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนให้ ทุกวันศุกร์ ของสัปดาห์ถัดไป โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถตรวจสอบสิทธิรับเงินเยียวยา ผ่านเว็บไซต์ www.sso.go.th</a href=”http:>

นอกจากนี้ ขอย้ำเตือนไปยังผู้ประกันตนมาตรา 33 ว่า ขณะนี้พบมิฉาชีพได้จัดทำ google form และส่งข้อความผ่าน SMS ปลอม ไปสอบถามข้อมูล ส่วนตัว เพื่อหลวกลวงให้ผู้ประกันตนแจ้งความประสงค์รับเงินเยียวยา 2,500 บาท และให้กรอกเลขบัตรประจําตัวประชาชน เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ จนนำไปกดลิงค์เพื่อยืนยัน ซึ่งเป็นการใช้ความสับสนของผู้ประกันตนมาเป็นกลลวง ที่อาจนำมาซึ่งความเสียหาย ทั้งทรัพย์สิน และการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ที่มิฉาชีพจะนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ สำนักงานประกันสังคมจึงขอเตือนให้ผู้ประกันตน โปรดระมัดระวังอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยติดต่อสอบถามที่สายด่วนสำนักงานประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชม.

กทม. เปิดสายด่วน 50 สำนักงานเขต เสริมสายด่วน 1330

พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้เร่งดำเนินการค้นหาเชิกรุกเพื่อนำผู้ป่วยโควิด-19 เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างต่อเนื่องและเพื่อให้การควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย กสทช. True, Dtac  AIS และ NT จัดตั้ง“สายด่วนโควิดเขต” เป็นสายตรงถึง 50 สำนักงานเขตๆ ละ 20 คู่สาย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาโดยเร็ว โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะนี้บางเขตเริ่มทยอยให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว และจะดำเนินการให้ครบทั้ง 50 เขตโดยเร็ว ทั้งนี้ผู้ป่วยที่มีผลตรวจโควิดจาก Antigen test หรือ RT- PCR  สามารถโทรติดต่อสายด่วน 1330  หรือสายด่วนของสำนักงานเขตได้ นอกจากการดำเนินการเกี่ยวกับ HI/CI แล้วยังประสานให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ในเรื่องอื่นๆ ด้วย โดยสายที่โทรเข้ามาเขตจะบันทึกข้อมูลผู้ป่วยไปที่ระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อให้ สปสช. เป็นผู้แจกจ่ายเคสให้กับทีมที่ต้องเข้าไปประเมินตามลักษณะอาการของผู้ป่วย ส่วนรายที่ต้องเข้าระบบ HI และ CI ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง จะเป็นผู้ดูแล ร่วมกับคลินิกชุมชนอบอุ่นและคลินิกภาคเอกชนที่เป็นเครือข่าย สำหรับหมายเลขสายด่วนของสำนักงานเขตสามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ กรุงเทพมหานครโดยสำนักงานประชาสัมพันธ์

เริ่มแล้ว! จัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ ถึง รพ.ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้เริ่มทยอยจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยส่งไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อฉีดเป็น Booster dose (เข็ม ) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ทำงานด่านหน้าในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19

ด้าน นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กรณีวัคซีนโควิดไฟเซอร์ กล่าวว่า ทั่วประเทศจะได้รับวัคซีนครบทุกจังหวัด เพื่อเร่งฉีดเป็นกระตุ้นเข็ม 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ทำงานด้านหน้า ซึ่งจะมีการทยอยส่งไปให้เบื้องต้น จะส่งไปเป็นจำนวน 50% ของบุคลากรที่ได้ลงชื่อตามความสมัครใจไว้ในแต่ละโรงพยาบาล คาดว่าจะมีการดีเดย์ฉีดพร้อมกันทั่วประเทศใน 2-3 วันนี้ แต่พื้นที่ไหนที่ได้รับวัคซีนแล้ว มีความพร้อมก็สามารถฉีดก่อนได้ทันที ส่วนเรื่องโปร่งใสของข้อมูลการฉีดวัคซีนไฟเซอร์นั้น แต่ละโรงพยาบาลจะสามารถเช็กรายชื่อบุคลากรที่มีความประสงค์รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ได้ ส่วนประชาชนทั่วไปก็สามารถตรวจสอบข้อมูลนี้ได้ เพราะทุกโดสที่ฉีดจะต้องมีการรายงานผลเข้ามาที่ MOPH IC ของกระทรวงสาธารณสุข

ก.ต่างประเทศ เร่งช่วย 7 คนไทย รุกล้ำแนวชายแดนลาว

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า  สถานกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต อยู่ระหว่างประสานงานกับแขวงจำปาสัก ในการให้ความช่วยเหลือคนไทย 7 คน ที่ถูกจับกุม ข้อหาล้ำแนวชายแดนไทย-ลาว เข้าไปเก็บของป่าในบริเวณพื้นที่ช่องทางธรรมชาติ อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ตรงข้ามกับเมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก สปป.ลาว และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้คนไทยทั้ง 7 คน สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้โดยเร็ว

ขณะนี้ ทั้งหมดอยู่ที่ศูนย์กักตัวหลัก 21 ของแขวงจำปาสัก โดยแผนกการต่างประเทศของแขวงจำปาสัก ได้มีหนังสือแจ้งการจับกุมคนไทยทั้ง 7 คน อย่างเป็นทางการแล้ว โดยจะกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ของ สปป.ลาว ก่อนจะดำเนินการตามกฎหมายและส่งตัวกลับประเทศไทยต่อไป ส่วนกรณีที่เป็นข่าวว่า สปป. ลาว ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่คนไทยทั้ง 7 คนนั้น จากการตรวจสอบกับฝ่าย สปป. ลาว ปรากฎว่า ยังไม่มีการพิจารณาฉีดวัคซีนให้คนไทยทั้ง 7 คนตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนแต่อย่างใด