ซีพี ออลล์ ชูคาถาบรรษัทภิบาล ค่านิยม 3 ประโยชน์

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ ตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ประกาศเจตนารมณ์องค์กรธรรมาภิบาล ปี 64 ชูคาถาบรรษัทภิบาล “ซื่อสัตย์ โปร่งใส ยุติธรรม คำนึงถึงชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มทั้งภายในและภายนอกองค์กร บนพื้นฐานค่านิยมเครือเจริญโภคภัณฑ์ ‘3 ประโยชน์’ ตอบโจทย์ประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร

นางสาวลาวัณย์ เตียงหงษากุล ประธานคณะอนุกรรมการบรรษัทภิบาล บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ ได้กำหนดนโยบายบริหารองค์กรตามหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) โดยให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี ส่งเสริมการต่อต้านคอร์รัปชัน เป็นแนวทางให้ผู้บริหารและพนักงานในบริษัททุกคนใช้เป็นกรอบในการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังให้ทุกคนยึดมั่นในคาถาบรรษัทภิบาล ซื่อสัตย์ โปร่งใส ยุติธรรม คำนึงถึงชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมกันสร้างค่านิยมในการดำเนินงานที่ปราศจากการคอร์รัปชันให้เป็นวัฒนธรรมขององค์กร ซึ่งถือเป็นหนึ่งหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของซีพี ออลล์ ตลอดมา

นอกจากนี้ ซีพี ออลล์ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่องค์กรแห่งความยั่งยืน ภายใต้ปณิธาน “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” มาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี พร้อมตระหนักถึง 3 ประโยชน์บนพื้นฐานค่านิยมเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งประกอบไปด้วย

1. ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ยืนหยัดความซื่อสัตย์ถือ ‘ทุจริตคอร์รัปชัน’ เป็นศัตรูในทุกส่วนงาน คำนึงถือผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล รวมถึงได้เข้าร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) และเครือข่ายต่างๆ ในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อแสดงพลังในการป้องกันการทุจริตที่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ

2. ประโยชน์ต่อประชาชน การขับเคลื่อนธุรกิจทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับพนักงานกว่า 170,000 คนทั่วประเทศและส่งเสริมอาชีพกลุ่มเปราะบาง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม นอกจากนี้ยังส่งเสริมผู้ประกอบการ SME จำหน่ายสินค้าผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น กว่า 1,000 ราย รวมทั้งมีการบริหารผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการ เพื่อให้ประชาชนในสังคมเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

3. ประโยชน์ต่อองค์กร ถือเป็นบทพิสูจน์ความเป็นองค์กรชั้นนำ ในฐานะภาคธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในทุกมิติ ปีที่ผ่านมา 2563 ซีพี ออลล์ได้รับการรับรองจากสถาบันชั้นนำระดับประเทศ และระดับโลก ถึง 4 สถาบัน ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์(DJSI) ซึ่งซีพี ออลล์ ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่ม World Index ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (2561-2563) และกลุ่ม Emerging Markets Index ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 (2560-2563) ในกลุ่มอุตสาหกรรม Food & Staples Retailing, ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก FTSE4Good Index ในกลุ่ม Food & Drug Retailers ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (2561-2563) อีกทั้งยังมีคะแนนสูงสุดติด 1 ใน 5 ของบริษัทชั้นนำทั่วโลกในกลุ่มค้าส่งค้าปลีกอาหาร และอุตสาหกรรมการให้บริการผู้บริโภค, สถาบันไทยพัฒน์ คัดเลือกซีพี ออลล์ ให้อยู่ใน Universe ของหลักทรัพย์ ESG 100 กลุ่มบริการ (Services) ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 3 (2561-2563) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2563 ให้ซีพี ออลล์ เป็นหุ้นยั่งยืน ปีที่ 3 ติดต่อกัน (2561-2563) ในกลุ่มบริการ (Services)

ในช่วงที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการวางมาตรการการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในและภายนอกองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 นี้ ซีพี ออลล์ ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าประกาศเป็นนโยบายสำคัญขององค์กร เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และจัดอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรทุกหน่วยงาน ทุกระดับชั้น พร้อมกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อคู่ค้าหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจทุกกลุ่มอย่างชัดเจน ตอกย้ำให้พนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกได้รับรู้ถึงช่องทางในการรับแจ้งเบาะแสหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน รวมทั้งมีการติดตามผลการดำเนินงานของทุกภาคส่วนเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการความยั่งยืนและบรรษัทภิบาลทุกไตรมาส เพื่อดูแลควบคุมนโยบาย ปรับปรุง ให้คำแนะนำต่างๆ ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนสร้างเครือข่ายผู้นำรุ่นใหม่ด้านธรรมาภิบาล ผ่านรูปแบบกิจกรรมเฟ้นหาสุดยอด Mister & Miss Good Governance เพื่อเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงออกถึงแนวคิดเรื่องธรรมาภิบาลที่ทันยุค ทันสมัย และให้ผู้ชนะดำรงตำแหน่งเป็น “แอมบาสเดอร์” ส่งเสริมธรรมาภิบาลขององค์กรอย่างยั่งยืน

“ธรรมาภิบาลนั้น เมื่อทุกคนในองค์กรร่วมกันยึดมั่นปฏิบัติ ตระหนักถึงความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส จะทำให้เกิดความสุข ความไว้วางใจและเชื่อใจกันและกัน ทำให้องค์กรนั้นเกิดพลังในการสร้างสรรสิ่งใหม่ๆ ที่ดีต่อสังคม ชุมชน และประเทศชาติ มีแต่ความเจริญตราบใดที่ผู้คนไม่เริ่มทุจริต เห็นแก่ตัว หาผลประโยชน์เข้าตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เกิดการกัดกินองค์กร ทำให้เกิดการกัดกร่อน องค์กรเกิดความไม่มั่นคง และในที่สุดพลังขององค์กรก็จะหายไป ดังนั้น ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ซีพี ออลล์ ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทนำเสนอสินค้าคุณภาพ และบริการความสะดวกมอบแด่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม และมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ รวมพลังผู้บริหารและพนักงานทุกคน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนต่อไป” นางสาวลาวัณย์ กล่าวทิ้งท้าย

เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เปิดแคมเปญ-พรีเซนเตอร์สุดปัง

เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เดินหน้าลุยตลาดกาแฟปรุงสำเร็จ ทุ่มงบ 700 ล้านบาทส่งแคมเปญการตลาด “สิ่งดีๆ มีมากกว่าที่เห็น” ซึ่งเป็นแคมเปญยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี พร้อมเปิดตัว ณเดชน์ คูกิมิยะ และ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ คู่รักซุปตาร์นั่งแท่นพรีเซนเตอร์ ชวนฟินกาแฟซองรสชาติเหมือนกาแฟสด กับคอนเซ็ปต์ใหม่ “กลมกล่อม หอม ครบ จบในซอง” พร้อมประเดิมกิจกรรมเฟสแรกสร้างกระแส #กาแฟสดณเดชน์ญาญ่า มัดใจคอกาแฟและคนอยู่บ้านทั่วประเทศ

ปัจจุบัน เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เป็นผู้นำตลาดกาแฟปรุงสำเร็จที่มีมูลค่า 14,900 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 55% ทั้งนี้ ตลาดกาแฟสำเร็จรูปยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจากอัตราการบริโภคกาแฟในบ้านมีการเติบโตที่ดี เกิดจากปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น และกาแฟปรุงสำเร็จเป็นทางเลือกที่ดี ตอบโจทย์คอกาแฟในด้านความคุ้มค่า ความสะดวก ชงง่าย และอร่อย ไม่ต้องออกไปดื่มกาแฟนอกบ้าน (ที่มาข้อมูลจาก ดัชนีค้าปลีกนีลเส็น)

ศรีประภา จิงประเสริฐสุข ผู้จัดการธุรกิจกาแฟสำเร็จรูปและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด

นางสาวศรีประภา จิงประเสริฐสุข ผู้จัดการธุรกิจกาแฟสำเร็จรูปและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เราจับเทรนด์ความนิยมการดื่มกาแฟในบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น มาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญการตลาดของเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรูในปีนี้ เพื่อสร้างความคึกคักให้กับตลาดในครึ่งปีหลัง เรายินดีมากกับการร่วมงานกันครั้งแรกของแบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งของไทย กับ ณเดชน์ และ ญาญ่า ซึ่งเป็นนักแสดงขวัญใจมหาชน เนสกาแฟเป็นเจ้าแรก ๆ ในตลาดที่นำเอาเรื่องราวความผูกพันดี ๆ ที่มีมากกว่าที่เห็นของทั้งคู่มาสร้างเป็นแคมเปญใหญ่ ซึ่งเราคาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่คอกาแฟสดและผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ๆ พร้อมกระตุ้นการดื่มกาแฟในบ้าน

สำหรับกิจกรรมการตลาดเฟสแรก เนสกาแฟได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณาชุด “กลมกล่อม หอม ครบ” ความยาว 30 และ 15 วินาที นำเสนอเรื่องราวความรู้ใจกันของคนสองคน ที่เป็นคอกาแฟเหมือนกัน ก็จะรู้ว่ากาแฟไหนดี และจะเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กันและกันเท่านั้น อย่างณเดชน์ที่รู้ใจญาญ่าและเลือกชงเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ในทุกเช้า มอบกลิ่นหอมของกาแฟแท้ ๆ และรสชาติกลมกล่อมจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้าคั่วบดละเอียดทั้ง 2 สายพันธุ์ โดยได้เริ่มออนแอร์
ทางสถานีโทรทัศน์และสื่อดิจิทัลชั้นนำทั่วประเทศ พร้อมทั้งช่องทางเฟซบุ๊กและยูทูบของเนสกาแฟ https://www.youtube.com/watch?v=zDQDXEAOPJE ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายนนี้เป็นต้นมา

นอกจากนี้ ยังมีสื่อโฆษณานอกบ้านสุดครีเอท ชูความหอมของผลิตภัณฑ์พร้อมข้อความโดนใจ ไม่ว่าจะเป็น “ซองนี้จะหอมไปถึงไหน” “พหอมโยธิน” “รัชดมภิเษก” หรือ “สูดขุมวิท” “มาภูเก็ต หาดก็เด็ด เนสกาแฟก็หอม” เป็นต้น ซึ่งมีการเปิดตัวพร้อมกันในเดือนนี้ในกรุงเทพฯ และในจังหวัดใหญ่ทั่วประเทศ เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี บุรีรัมย์ อุบลฯ หาดใหญ่ ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช

นางสาวศรีประภา ทิ้งท้ายว่า จากกิจกรรมในเฟสแรก เราตั้งเป้าที่จะเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 50 ล้านคนทั่วประเทศ และสร้างกระแส #กาแฟสดณเดชน์ญาญ่า ไปทั่วประเทศ พร้อมทั้งตอกหมุดการเป็นผู้นำในตลาดกาแฟปรุงสำเร็จอย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ เรายังเตรียมกิจกรรมการตลาดที่แปลกใหม่ เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับคอกาแฟในเร็ว ๆ นี้

คอกาแฟสามารถดื่มด่ำกับความกลมกล่อม หอม ครบ จบในซอง กับเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ใน 4 รสชาติ ได้แก่ ริช อโรมา เอสเปรสโซ โรสต์ สูตรน้ำตาลน้อย สูตรไม่มีน้ำตาลทราย มีจำหน่ายในร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และช่องทางออนไลน์ของเนสท์เล่ ลาซาด้า https://bit.ly/3rhWOQO และช้อปปี้ https://bit.ly/39cxkyl

สามย่านมิตรทาวน์ ฉลอง Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจ

เพราะเราเชื่อว่าความรักมีหลากหลาย ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ จึงร่วมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจหรือ Pride Month ตามแนวคิด ความรัก (LOVE) และ ความเป็นอิสระ (FREEDOM) พร้อมส่งเสริมให้ทุกคนภูมิใจในความเป็นตัวเอง และร่วมเฉลิมฉลองกับแคมเปญ “SAMYAN MITR PROUD 100% LOVE ส่งต่อความรักเต็มร้อย ให้คุณเป็นตัวเองได้เต็มที่” ตั้งแต่วันนี้ – 11 กรกฎาคม 2564

โดยได้นำ “สีรุ้ง” สัญลักษณ์แห่งวิถีความหลากหลายทางเพศ มาตกแต่งอย่างสวยงามทั่วศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เพื่อสนับสนุนและเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความภาคภูมิใจนี้ ซึ่งหลังจากการเปิดตัวเพียงบางส่วนก็ได้รับการตอบรับที่ดี เรียกกระแสฮือฮาทางโลกออนไลน์ ตั้งแต่อุโมงค์เชื่อมมิตรจากรถไฟฟ้า MRT สถานีสามย่านมาที่สามย่านมิตรทาวน์ที่ถูกเนรมิตด้วยธงสีรุ้ง และส่งต่อความสดใสขึ้นมายังบันไดทางเชื่อมต่อกับทางเข้าศูนย์การค้าชั้น B1 หรือถ้าใครไม่ได้เดินทางด้วย MRT ก็จะเห็นความอลังการของสีสันจากทางเข้าศูนย์การค้าฯ ชั้น G ฝั่งถนนพญาไท และอีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ Pride Night Lights การแสดงโชว์ไฟบนพื้นที่ผิวนอกอาคาร ฝั่งถนนพระราม 4 ซึ่งจัดแสดงทุกวัน เวลา 18.30 – 21.00 น. แถมยังแฝงกิมมิกเล็ก ๆ ลงบนสติ๊กเกอร์ Pride Month Edition ทุกจุดคัดกรอง สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าที่ได้รับ ปิดท้ายด้วยการเติมอรรถรสด้วยการเปลี่ยนเพลงในศูนย์การค้าฯ ให้เป็น Pride Playlist ตลอดทั้งเดือน
นอกจากนี้ สามย่านมิตรทาวน์ยังร่วมผนึกพลังรักเต็มร้อยกับพันธมิตรร้านค้าภายในศูนย์ฯ เดินหน้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้ด้วยเรื่องราวของสินค้าและโปรโมชั่นจากแบรนด์ต่าง ๆ อาทิ

Mind Space managed by นายอินทร์…ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลอง “Pride Month” ปี 2021 ผ่านที่คั่น #อินทร์Y Collection สุดพิเศษเอาใจสาวกวาย จากนายอินทร์ด้วยสัญลักษณ์ “หัวใจสีรุ้ง” บนที่คั่น แจกให้สำหรับสมาชิกร้านนายอินทร์ ที่ซื้อหนังสือนิยายวายครบทุก 500 บาท รับฟรี ที่คั่น #อินทร์Y 1 ชิ้น ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2564

แบรนด์ Levi’s กับคอลเลคชั่น Levi’s® Pride 2021 ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ เชื่อในความสวยงามของทุกคน จึงร่วมผลักดันและให้ความสำคัญของความเท่าเทียมผ่านแฟชั่นยีนส์ โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะมอบให้แก่องค์กร OurRight Action International (องค์กรดูแลและปกป้อง LGBTIQA+) พบคอลเลคชั่น Levi’s® Pride 2021 ได้วันที่ 14 มิ.ย. 64 นี้ ที่ร้านลีวายส์® สาขาสามย่านมิตรทาวน์ #LiveInLevis #LevisPrideHOUSE Samyan

สถาบัน ANGKRIZ ได้ปรับโลโก้เป็น Pride Month ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทน ‘ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ LGBTQIA’ อย่างเป็นสากล ซึ่งทางสถาบัน ได้ใช้เป็นรูป profie ในทุกช่องทางของสถาบัน

เช่นเดียวกันกับ โรงหนังขวัญใจผู้ชื่นชอบหนังทางเลือกอย่าง House Samyan ซึ่งถึงแม้จะปิดให้บริการตามนโยบายของภาครัฐจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน นี้ แต่ก็ยังร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อความรักด้วยการปรับโลโก้แบรนด์ตลอดทั้งเดือน

ร้าน Party Animals Bangkok นอกจากปรับโลโก้ร่วมเฉลิมฉลองเดือน Pride Month แล้ว ยังมีคอลเลคชั่นเซ็ตลูกโป่งสายรุ้งหลากหลายสีสัน (Colorful Balloon Collection) เติมความสดใสให้แก่ผู้รับและผู้ให้ตลอดทั้งเดือนนี้

เพราะความรักไม่มีขีดจำกัด ทาโก้ เบลล์ จึงร่วมฉลองพลังแห่งรักไปกับความอร่อยที่ไม่มีที่สิ้นสุดกับเมนูพิเศษ Taco Supreme (ทาโก้ ซูพรีม) ไก่หมักเครื่องเทศ มาพร้อมซอสเผ็ดสูตรพิเศษ และซาวร์ครีม พร้อมผักสดและเชดด้าชีส ไม่ว่าจะจับคู่กับแป้งแบบกรอบ หรือแบบนุ่มก็อร่อยฟินได้ทั้งคู่

เสริมทัพด้วยโปรโมชั่นสุดปังกับร้าน Muteki ที่จัดหนักจัดเต็ม กับ Happy Set โปรโมชั่นต้อนรับ Pride Month อย่างเซ็ตสุดคุ้มเพียง 219 บาท ทุกเซ็ต! ซึ่งประกอบไปด้วยอาหารจานหลัก และเครื่องเคียงอีก 4 อย่างด้วยกัน เช่น เซ็ตข้าวหน้าปลาซาบะอย่างซีอิ๊ว Saba Don (Half), เซ็ตข้าวหน้าปลาแซลมอนย่างซีอิ๊ว Salmon Don (Half), เซ็ตข้าวแกงกะหรี่หมูทอด/ไก่ทอด Pork/Chicken Katsu Curry Rice,เซ็ตข้าวหน้าไก่ทอด Chicken Katsu และเมนูเซ็ตอื่น ๆ อีกมากมาย

รวมถึงโซเชี่ยลแคมเปญ ห่วงใยมิตรแจกสเปรย์แอลกอฮอล์ : เพียงโชว์สติ๊กเกอร์จุดคัดกรอง Pride Month Edition และกดรับสิทธิ์ผ่าน Mitr App รับฟรี! สเปรย์แอลกอฮอล์พกพา ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. – 11 ก.ค. 64 (41 วัน) จำกัดการแลกวันละ 50 ชิ้น , จำกัด 2,050 ชิ้น ตลอดแคมเปญตอกย้ำความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วย Samyan Colorway ในระหว่างวันที่ 22-28 มิถุนายน 2564 พื้นที่โปรโมชั่นชั้น G งานที่รวบรวมสินค้า Pride Collection จากแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ พร้อมกับสินค้าเด็ดที่เป็น Rare Item จากกลุ่ม LGBTIAQ+ และจากกลุ่มคนทั่วไปที่ยอมรับและเข้าใจในความแตกต่าง พร้อมแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ จากสินค้าแบบ Unisex ในรูปแบบที่หลากหลายตอบสนองทุกความต้องการในแบบไม่จำกัดเพศ

ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เปิดให้บริการ 11.00 – 20.00 น. และโซน 24 ชม.เปิด 07.00 – 20.00 น. หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง พร้อมดำเนินมาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

จุดตกแต่งภายใต้แคมเปญประกอบด้วย
1. จุดตกแต่งภายในศูนย์ ชั้น B1 บริเวณอุโมงค์ และทางเข้า MRT บริเวณทางเข้าศูนย์การค้าฯ ชั้น G ฝั่ง South
2. บริเวณหน้าศูนย์การค้าฯ พบกับ Pride Night Lights เวลา 18.30 – 21.00 น. ทุกวัน
3. สติ๊กเกอร์จุดคัดกรอง ปรับเป็น Pride Month Edition เป็นกิมมิกน่ารัก ๆ สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่ได้รับ
4. ปรับโลโก้สามย่านมิตรทาวน์ต้อนรับเดือนแห่งความภาคภูมิใจ ซึ่งประกอบไปด้วยสายรุ้งท้ง 6 สี การเปลี่ยนเพลงในศูนย์การค้าฯให้เป็น Pride Playlist และมี Online Content ต่าง ๆ ตลอดทั้งเดือนมิถุนายนนี้

“กรมชลประทาน” เนรมิตเมืองอัจฉริยะเหนือน้ำสุดล้ำ

กรมชลประทาน เนรมิตเมืองอัจฉริยะเหนือน้ำในชื่อ “RID Floating City” ที่นำเสนอความหลากหลายของนวัตกรรมสู่สายตาประชาชนให้ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับนิทรรศการเสมือนจริงรูปแบบ 360 องศา ภายใต้งาน “RID TEAM สานพลังน้ำเป็น 1 เพื่อทุกคน” การเรียนรู้ที่มาพร้อมกับความสนุกสนานของเรื่องราวเกี่ยวกับสายน้ำ และการบริหารจัดการน้ำที่สร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืนให้กับคนไทยมาตลอด 119 ปี ระหว่างวันที่ 11-13 มิถุนายนนี้ ทางเว็บไซต์กรมชลประทาน http://119year.rid.go.th/ 

 นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทานจัดงานวันสถาปนาครบรอบ 119 ปี ในรูปแบบนิทรรศการเสมือนจริง 360 องศา ภายใต้งาน RID TEAM สานพลังน้ำเป็น 1 เพื่อทุกคน         โดยมีแนวคิด “สนุกไปกับนวัตกรรมแห่งสายน้ำ” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจที่กรมชลประธานต้องการนำเสนอศักยภาพความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชน ทั้งในเรื่องการจัดหา พัฒนาและบริหารจัดการน้ำ

นิทรรศการถูกจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กรมชลประทานจึงปรับรูปแบบการนำเสนอเป็นระบบออนไลน์ทั้งหมด เพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม โดยเชื่อว่านิทรรศการนี้จะสร้างความเพลิดเพลินให้กับทุกคนด้วยการเดินทางผ่านสายน้ำสู่เมืองอัจฉริยะเหนือน้ำ (RID Floating City) ที่จัดแสดงเรื่องราวของการบริหารจัดการน้ำ พันธกิจ และวิสัยทัศน์ ตลอดระยะเวลา 119 ปี ของกรมชลประทาน กับความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในสร้างวิถีชีวิตและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงการเตรียมพร้อมสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะที่มุ่งสร้างความมั่นคงด้านน้ำ(Water Security) เพื่อเพิ่มคุณค่าการบริการ ภายในปี 2580  โดยเป็นการสอดแทรกเกร็ดความรู้ที่มาพร้อมกับความสนุกสนานผ่าน Virtual Exhibition 360 องศา ทางเว็บไซต์กรมชลประทาน http://119year.rid.go.th/” 

นิทรรศการแบ่งออกเป็น 5 โซน ดังนี้  โซนที่ 1 : ปณิธานแห่งสายน้ำ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นำเสนอโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ผ่านโมเดลจำลอง 3 มิติ, โซนที่ 2 :  การเดินทางแห่งสายน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน นำเสนอแผนงานและโครงการภายใต้การบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน ในการกระจายนํ้า โดยการขุดคลองเชื่อมโยงนํ้าระหว่างแม่นํ้าสายหลักและต่อยอดสู่การสร้างประตูระบายน้ำ รวมถึงการพัฒนาแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ ด้วยเทคนิคโฮโรแกรม 3 มิติ, โซนที่ 3 : เรื่องเล่าจากสายน้ำ การบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน นำเสนอการบริหารจัดการน้ำและมาตรการเตรียมรับมือปัญหาตลอดจนการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (Smart Water Operation Center ) หรือ SWOC  เพื่อทำหน้าที่ติดตาม รวบรวมข้อมูลสภาพภูมิอากาศ  สภาพน้ำในแม่น้ำแบบเรียลไทม์, โซนที่ 4 :        ชีวิตกับสายน้ำ การบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม โดยเปิดโอกาสให้ประชาชน และสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำ มีส่วนร่วมและเข้าใจขั้นตอนการส่งน้ำและบำรุงรักษาแหล่งน้ำ ผ่านการเล่นเกมตอบคำถาม ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้หลักคิดว่า

การจัดการน้ำอย่างสมดุลเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และ โซนที่ 5 :  นวัตกรรมแห่งสายน้ำ กรมชลประทานกับการก้าวไปสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะ นำเสนอนวัตกรรมเด่นที่จะนำพาให้             กรมชลประทานก้าวไปสู่ความเป็นองค์กรอัจฉริยะ 4.0 อาทิ กระบวนการสำรวจภาคพื้นดินด้วยสัญญานดาวเทียม กระบวนการสำรวจพื้นผิวน้ำ ด้วยเทคโนโลยี Echo Sounder แบบ Multi beam กระบวนการสำรวจทางอากาศโดยใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพทางอากาศ เป็นต้น

สำหรับนิสิตนักศึกษา นักเรียน เกษตรกร และผู้สนใจเข้าร่วมชมนิทรรศการเสมือนจริง 360 องศา :    “RID TEAM : สานพลังน้ำ เป็น 1 เพื่อทุกคน” อย่างใกล้ชิด ในรูปแบบออนไลน์ และร่วมกิจกรรมเล่นเกมส์     เพื่อลุ้นรับของรางวัลส่งตรงถึงบ้าน กว่า 10,000 ชิ้น ตลอดทั้ง 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-13 มิถุนายนนี้ ได้ที่ https://www.rid.go.th/main/

SUSCO x HOMEBOY ทำเสื้อ Limited Collection สุดกวน

SUSCO ปั๊มน้ำมันคุณภาพของคนไทย ร่วมกับ HOMEBOY แบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่น จัดทำเสื้อ Limited Collection สุดกวนแบบเท่ๆ เอาใจวัยรุ่น ที่คนกลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้มีสไตล์ เพื่อสะท้อนแนวคิด Fuel Your Day เติมพลังให้วันของคุณ โดยไอเดียในการดีไซน์ ได้นำสโลแกนใหม่ของ SUSCO ประกอบกับลายการ์ตูนสุดแนว ใช้สีหลักของแบรนด์ SUSCO คือ สีเหลือง และ สีน้ำเงิน สกรีนบนเสื้อ Hoodie (ฮู้ด) สีดำ กับบนเสื้อ T-Shirt (เสื้อยืด) คอกลม มีให้เลือก 2 สี คือ สีขาว และสีดำ ผลิตด้วยเนื้อผ้าที่สวมใส่สบาย

สำหรับ HOMEBOY เป็นแบรนด์เสื้อผ้าเจาะกลุ่มวัยรุ่น ที่มีไลฟ์สไตล์ในแนวเอ็กซ์ตรีม สนุกสนานกับชีวิต รักเสียงดนตรี และเล่นกีฬา การร่วมกับ SUSCO จัดทำเสื้อ Limited Collection สุดกวนแบบเท่ๆ ในครั้งนี้ เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์แนวเอ็กซ์ตรีมมีให้เลือก คือ

  • HOMEBOY x SUSCO TEE (BOXSET) SIZE :  M / L / XL ใน BOXSET ประกอบด้วย กล่องหัวจ่าย SUSCO /  สติ๊กเกอร์ HOMEBOY x SUSCO / การ์ด STORY คูปองส่วนลดน้ำมัน 30 บาท และ เสื้อยืด HOMEBOY x SUSCO ราคา 750 บาท
  • HOMEBOY x SUSCO HOODIE (BOXSET) SIZE : M / L / XL ใน BOXSET ประกอบด้วย สติ๊กเกอร์ HOMEBOY x SUSCO / การ์ด STORY คูปองส่วนลดน้ำมัน 30 บาท ราคา 1,090 บาท

ผู้สนใจ สามารถแวะชมสินค้าได้ที่ HOMEBOY สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น G  และสามารถสั่งซื้อได้ผ่าน Line : @homeboy หรือ INBOX มาที่ Instagram : @homeboybkk ราคาดังกล่าวไม่รวมค่าขนส่ง (สินค้ามีจำนวนจำกัด)

ท่องโลกนวัตกรรมฮาร์ดแวร์ ด้วยโมเดล “SPACESHIP”

ถ้าพูดถึง งานแสดงสินค้า เราจะนึกถึงอะไรได้บ้าง? โชว์รูมที่เรียงรายอยู่ในโถงขนาดใหญ่ มีซอกซอยให้เลี้ยวมากมายนับไม่ถ้วน ไปจนถึงพระเอกของงานอย่างสินค้าและนวัตกรรมสุดว้าว ชวนให้เราได้ตื่นเต้นก่อนเป็นคนแรกๆ ของโลก

เหล่านั้นคือบรรยากาศของงานแสดงสินค้าในวันคืนปกติ แต่ในสถานการณ์ที่แค่เดินเฉียดกันก็เสมือนมีความผิดแล้วนั้น ผู้จัดงานแสดงสินค้าทั้งหลายต่างตระหนักได้ถึงการปรับตัวโดยถ้วนหน้า บางงานก็ดี บางงานก็เหลว แต่สิ่งที่เราอยากนำเสนอต่อทุกคนในวันนี้ คือผลของงานแสดงสินค้าแบบผสมผสานมิติใหม่ ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจนเข้าขั้น ประสบความสำเร็จ” ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดในเวลานี้ ในชื่อโปรเจค Häfele Discoveries” จากงาน interzum @home

Häfele Discoveries เป็นการจำลองโลกแห่งนิทรรศการแสดงสินค้าแห่งอนาคต โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ระดับโลก เฮเฟเล่ ซึ่งความพิเศษของงานนี้ คือโมเดลของ “SPACESHIP” หรือยานอวกาศจำลองวงโคจรโรดโชว์บนมู้ดของเกมคอมพิวเตอร์ คอยดึงอารมณ์ร่วมของผู้เยี่ยมชมให้เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้น สนุกสนาน และสร้างแรงบันดาลใจทุกสถานีดวงดาว รวมกว่า 16 ธีม ภายใต้แนวคิด เราใส่ใจ” หรือ “We Care” และเหมือนกับงานแสดงทั่วไปที่เราสามารถขึ้น-ลงจากยานอวกาศลำนี้ แวะเวียนได้ทุกสถานีตามแต่ต้องการ

นอกเหนือจากบริการ SPACESHIP ที่น่าประทับใจแล้ว เฮเฟเล่ยังถ่ายทอดความน่าตื่นเต้นของแต่ละสถานีนวัตกรรมออกมาได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานแสดงสินค้าอย่างเวทีกลาง หรือ Live Stage เฮเฟเล่ได้หยิบยกประเด็นที่น่าสนใจจาก หัวหน้าบรรณาธิการสื่อผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าและอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ อย่าง BM และ Möbelfertigung รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากเวทีระดับโลก มาร่วมพูดคุย ถ่ายทอดผลงานและประสบการณ์ ให้งานแสดงสินค้าไม่ขาดสีสันความรู้อย่างที่เป็นมา

โซลูชั่นของห้องอัจฉริยะในโลกแห่งการผจญภัย ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลแบบเต็มเปี่ยม!! ซึ่งสถานีนี้คือการแนะนำการใช้งานพื้นที่อย่างชาญฉลาด เริ่มที่ห้องทั่วไปในบ้าน ถึงสำนักงาน ไปจนรถบ้าน (คาราวาน) ครอบคลุมถึงการพักอาศัยในอนาคตอย่าง อพาร์ทเมนต์ Micro Living โดยเฮเฟเล่ได้ตระเตรียมนำเสนอการตกแต่งภายในที่สะดวก ให้ทุกสิ่งทุกคนสามารถเข้าถึงและใกล้ชิดตลอดเวลาจากทุกมุมบ้าน และยังเสริมความสบายจากฟังก์ชันการใช้งานแสงเสียง (อะคูสติก) และเครือข่ายอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตที่มากขึ้นต่อตารางเมตร หรือ “More life per m2

การถ่ายทอดโรดโชว์อวกาศนี้ได้ชัดเจนที่สุด ท่ามกลางบรรยากาศแสงจาก LOOX และ NIMBUS กลุ่มเจ้านวัตกรรมซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเฮเฟเล่ โดยเมื่อรวมเอาระบบไฟ LOOX 5 หรือไฟฟ้า 24V ของ NIMBUS เข้ากับองค์ประกอบเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงของเฮเฟเล่ จะสามารถสร้างแสงสว่างจากตัวเฟอร์นิเจอร์ได้โดยตรง การผสมผสานนี้เต็มไปด้วยความเรียบง่าย และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญ เฮเฟเล่ยังได้คิดค้น “Häfele Connect” หรือแอปพลิเคชันที่ทำให้การควบคุมแสงไฟมีความง่ายดายมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย

อีกหนึ่งความเชี่ยวชาญหลักของเฮเฟเล่ หรือก็คือสถานีของกลุ่มนวัตกรรมอุปกรณ์บานเลื่อนสำหรับเฟอร์นิเจอร์และห้องต่างๆ (Slido)   อุปกรณ์บานเปิดขึ้น (Free) และกลุ่มสินค้าชุดลิ้นชักเฟอร์นิเจอร์ (เช่น ซีรีย์ Matrix ) ซึ่งในคราวนี้ เฮเฟเล่ได้พยายามเติมความสมบูรณ์แบบให้อุปกรณ์ของพวกเขาดียิ่งขึ้น เห็นได้จากอุปกรณ์บานเปิดที่รองรับน้ำหนักได้มากขึ้น บวกกับประสิทธิภาพของกลไกใหม่ของระบบการปิดแบบนุ่มนวลสำหรับประตูบานเลื่อน ช่วยตอบโจทย์การใช้งานได้ดีกว่าที่เคย หรือจะเป็นบานเลื่อนเฟอร์นิเจอร์ “Slido Flush 51” ที่โดดเด่นกว่าใครในงานจากระบบสั่งการด้วยเสียง ที่ใช้งานบน Alexa และ Google ที่สำคัญ เฮเฟเล่ยังได้เพิ่มขอบเขตบริการให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะต้องการจัดหาขนาดพิเศษ หรือหาชิ้นส่วนประกอบแม้เพียง ชิ้น ก็สามารถทำได้โดยไม่มีติดขัดแต่อย่างใด

ศูนย์กลางความปลอดภัยของโรดโชว์นี้ ด้วยบรรดาอุปกรณ์ล็อคอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียงรายอยู่เต็มสถานี ส่งสัญญาณรับประกันถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยได้ทุกรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ล็อคอิเล็กทรอนิกส์ “Dialock” หรือโซลูชั่นล็อคอันสมบูรณ์แบบสำหรับการเชื่อมต่อเฟอร์นิเจอร์แต่ละจุดเข้าด้วยกัน ทั้งยังทำงานร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายได้ และกับเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้แบตเตอรี่รุ่น EFL 30 ยังสามารถรวมเข้ากับซอฟแวร์ Dialock เพื่อควบคุมการล็อคด้วยแอปพลิเคชัน Dialock Manager ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆนี้ ร่วมกับอุปกรณ์ควบคุมล็อคเฟอร์นิเจอร์ Dialock Generation 2 ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานกว่าถึงสองปี

โรดโชว์ และ SPACESHIP ของ Häfele Discoveries จะยังคงเปิดบริการ รอการเยี่ยมเยียนจากทุกคนไปจนถึงสิ้นปี 2564 นี้ ที่เว็บไซต์ discoveries.hafele.com

Work From Home Syndrome ใครว่าทำงานที่บ้านแล้วจะชิล

นับตั้งแต่ได้สัมผัสกับชีวิตแบบ Work From Home เป็นครั้งแรก ในใจก็ได้แต่คิดว่าความสุขของชีวิตทำงานกำลังจะประดังเข้ามา เพราะเรากำลังไม่ต้องยื้อแย่งที่ว่างบนท้องถนน ทั้งความเครียดในวันวุ่นๆ ก็คงลดน้อยลง จนทำงานได้แบบชิลๆ ทั้งวันแน่ๆ

แต่เมื่อวันเวลาของการ WFH ค่อยๆ ผ่านไป กลับกลายเป็นเราเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับความเครียด จนแทบจะเป็น Work From Home Syndrome แทน Office Syndrome แล้ว กระทั่งวิธีการคลายเครียดเดิมๆ ที่เคยทำก็ดูจะเอาไม่อยู่ จนเราแทบไม่เหลือทางเลือกอื่นใด นอกเสียจากสรรหาวิธีการใหม่ มารับมือกับอาการที่ไม่คุ้นเคยนี้ เพื่อทวงวันคืนสงบสุขกลับมาโดยเร็วที่สุด

แพทย์หญิงดุจฤดี อภิวงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลพระรามเก้า

จากคำบอกเล่าของ แพทย์หญิงดุจฤดี อภิวงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลพระรามเก้า เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของโรคโควิด-19 รวมถึงการทำงานแบบ WFH คือสิ่งที่ส่งผลกระทบทางลบต่อจิตใจอย่างมาก  ปัญหาที่คนส่วนใหญ่พบเจอคือภาวะตึงเครียดจากการต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นจากมาตรการเพื่อลดการระบาด หรือมาตรการทำงานของบริษัทก็ตาม

เมื่อพื้นที่ที่ควรเป็นบ้านสำหรับพักผ่อน เปลี่ยนมาเป็นที่ทำงาน ผู้คนส่วนใหญ่จึงมีปัญหาในการปรับตัวที่เลี่ยงได้ยาก ทั้งเส้นแบ่งชีวิตงานและชีวิตพักผ่อนไม่ชัดเจน จนไม่สามารถปิดจบงาน (cut off) ในแต่ละวันได้ เกิดความเหนื่อยล้าจากการประชุมทางไกลที่ต้องใช้ทั้งสมาธิและเวลามากขึ้นกว่าเดิม หรือกระทั่งการถูกคาดหวังให้สแตนด์บายงานตลอดเวลา จนเกิดความกดดันและพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ

นอกจากนี้ การทำงานในพื้นที่ปิด ทั้งในห้อง คอนโด หรือทาวน์เฮ้าส์ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาความเครียดหลายอย่าง เช่น การอยู่กับตัวเองมากไป จนรู้สึกอุดอู้ เกิดความคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีพื้นที่ให้ระบายออก หรือบางคนที่อยู่ร่วมกับสมาชิกครอบครัวเป็นเวลานาน ก็มีสิทธิ์ทำให้เกิดความเครียดที่ถูกจำกัดพื้นที่ และตามมาซึ่งปัญหาด้านความสัมพันธ์ได้เช่นกัน” คุณหมอดุจฤดี กล่าว

เมื่อมองลึกลงไป ปัญหาของสถานการณ์โควิด-19 และการ WFH ดูจะเป็นปัจจัยใหญ่ที่ส่งผลกระทบให้เกิดภาวะเครียดครบทั้งด้านร่างกายจากเวลาพักผ่อนที่น้อยลง ความเครียดด้านจิตใจจากการวิตกกังวลเรื่องโรคระบาดและหน้าที่การงาน รวมถึงความเครียดด้านสังคมเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน จนยากต่อการปรับตัว

และแน่นอนว่าทันทีที่สภาวะความเครียดเริ่มก่อตัวในร่างกาย สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าคือผลกระทบแบบนามธรรมของอาการต่างๆ ที่จะตามมาอย่างต่อเนื่องเข้าทำร้ายเราพร้อมๆ กันจนช้ำไปทั้งตัว เช่นการมีภูมิคุ้มกันต่ำลง นำมาซึ่งอาการเจ็บป่วยได้ง่าย หรือผลกระทบด้านจิตใจ ที่จะทำให้เราหงุดหงิด-โมโหง่าย ขาดสมาธิ อารมณ์แปรปรวน มีอาการหลงลืม

ที่นี้แน่นอนว่าเมื่อเกิดสภาวะเครียด หลายคนจึงเริ่มหันไปพึ่งพาพฤติกรรมที่สร้างการผ่อนคลายหรือระบายอารมณ์ในระยะสั้น แต่ในเมื่อการ WFH ไม่รู้จะจบลงตอนไหน การผ่อนคลายจะเริ่มทำบ่อยเข้าจนติดเป็นนิสัย จนส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในระยะยาว เช่น การติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดเล่นการพนัน กินที่มากขึ้น เป็นต้น

ซ้ำร้ายแล้ว การต้องตกอยู่ในภาวะสภาพจิตใจย่ำแย่เช่นนี้เป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ตามมาอย่าง อาการซึมเศร้า” อีกด้วย

คุณหมอดุจฤดี กล่าวว่า ภาวะซึมเศร้าเป็นอาการที่อันตราย และมีแนวโน้มเกิดขึ้นได้ง่ายกับบุคคลที่มีความเครียดสะสม โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ ดังนั้นการสำรวจตัวเองถึงความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า จึงถือเป็นแนวทางสำคัญต่อการ WFH ซึ่งถ้าเรามีอาการอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง ไม่มีความสุขตลอดทั้งวัน ไม่อยากทำอะไร นอนไม่หลับหรือหลับมากไป เบื่ออาหารหรือรับประทานมากผิดปกติ ไม่มีสมาธิจดจ่อกับงาน รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง หรือรู้สึกอยากหายไป ติดๆ กันหลายวัน อยู่อย่างน้อย สัปดาห์ ทั้งหมดนี้เป็นอาการของโรคซึมเศร้า และเป็นสัญญาณว่าเราควรไปพบจิตแพทย์โดยด่วน

ถ้าโชคดีหน่อยหากสำรวจตัวเองแล้วว่าอาการยังไม่ลงลึกไปถึงขั้นซึมเศร้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะจัดการความเครียดไปได้แล้ว อย่างไรเสียในช่วงนี้ การรับมือกับความเครียดก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่สำหรับ WFH ไม่ต่างอะไรกับแท็บเล็ต หรือโปรแกรม ZOOM เลยแม้แต่น้อย

ถ้าเราเป็นคนชอบออกกำลังกาย หรือมีเพลย์ลิสต์เพลงชื่นชอบส่วนตัวอยู่ใกล้ๆ นั่นจะหมายถึงการลดความเครียดอย่างมีคุณภาพได้ไปเปลาะหนึ่งแล้ว แต่หากเสียงเพลงยังช่วยได้ไม่มากพอ บางคนอาจชื่นชอบ   เทรนด์การฟังเสียงลักษณะอื่นแทน เช่น เสียงธรรมชาติ น้ำตก ฝนตก หรือแม้กระทั่งเสียง ASMR (autonomous sensory meridian response) อย่างเสียงแคะหู เสียงกระซิบ เสียงลูบสิ่งของ เสียงกิน ก็มีหลายคนให้ประสบการณ์ว่าเสียงเหล่านี้ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้จริงๆ

การคลายความเครียดมีหลากหลายรูปแบบขึ้นกับความสุขของแต่ละคน แต่นอกเหนือจากนี้ ทุกคนควรรู้จักกับแนวทางปฏิบัติเพื่อสร้างนิสัยให้เคยชินกับสถานการณ์โควิด-19 และ WFH เช่นการติดตามข่าวสารอย่างรู้เท่าทัน หรือลดความถี่ในการติดตามข่าวสารลง แน่นอนว่ามันจะทำให้เรารู้ช้ากว่าคนอื่นบ้าง แต่หากข่าวสารนั้น มีเนื้อหาสาระข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง คัดกรองมาแล้วและไม่ทำให้เราเครียดและเหนื่อยล้า มันก็ดีกว่าการรับข่าวสารมากไปเป็นไหนๆ

หลายๆ ความเครียดจาก WFH ส่วนใหญ่มักเป็นผลที่มาจากการทำงาน ดังนั้นเราต้องไม่ลืมว่างานไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิตเรา ในเมื่อทุกคนล้วนมีกิจกรรมที่ชื่นชอบอยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะเอาเวลาเล็กๆ น้อยๆ มาหาความสุขเพื่อเยียวยาตัวเองบ้าง หรือหากใครไม่มี ก็ลองใช้โอกาสนี้หากิจกรรมที่ชอบดู เพื่อมองเห็นจุดแบ่งชีวิตและงานได้ชัดเจนมากขึ้น ให้ความสุขเล็กๆ มาแบ่งเบาภาระงานที่แบกอยู่ ให้เรารู้สึกเบาตัวขึ้น เท่านี้ทุกคนก็น่าจะผ่านพ้นช่วง WFH ไปได้โดยไม่เครียดแล้ว” คุณหมอดุจฤดี ทิ้งท้าย

ติดตามข่าวสารและความรู้ที่น่าสนใจจาก โรงพยาบาลพระรามเก้า เพิ่มเติม ได้ทาง Website: www.praram9.com/ / Line: https://lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital

เปิดวิสัยทัศน์ CAO เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต

เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต ประกาศวิสัยทัศน์ภายใต้แม่ทัพใหม่ช่องทางตัวแทน “ชวลิต ทองรมย์” เดินหน้าพัฒนาศักยภาพตัวแทนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นย้ำสู่การเป็น “ตัวแทนที่ดีที่สุดในประเทศ” ด้วยกลยุทธ์ C.S.E.P.

นายชวลิต ทองรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน (Chief Agency Officerบริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์จำกัด (มหาชนแถลงข่าวภายหลังการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ วันที่ 5 พฤษภาคม 2564  ที่ผ่านมาว่า เจนเนอราลี่ กรุ๊ป มีเครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 50 ประเทศ มีตัวแทนกว่า 150,000 คน ทั่วโลก แบ่งเป็นตัวแทนในภูมิภาคเอเชียจำนวน 57,900 คน โดยประเทศไทยเป็น ในกลุ่มประเทศเอเชียที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเติบโตของช่องทางตัวแทนด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่ง ด้วยวิสัยทัศน์ในการมองหาโอกาส และการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม

สำหรับเป้าหมายในการบริหารช่องทางตัวแทนของเจนเนอราลี่ที่สำคัญ คือ “มุ่งหน้าสู่การเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดในประเทศ” ด้วยกลยุทธ์ 4 ด้านหลัก : C.S.E.P. ดังนี้

  • Capable people พัฒนาศักยภาพตัวแทน ให้สามารถเป็น Total Financial Solution จากผู้เชี่ยวชาญในการแนะนำแผนประกัน (Insurance specialist สู่ผู้ออกแบบและบริหารสินทรัพย์ (Asset designer และก้าวสู่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการเงินสู่ความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาตัวแทนให้เป็นที่ปรึกษาความมั่งคั่ง (Wealth advisorนั้นเป็นการทำให้ธุรกิจเติบโตรวดเร็วและยั่งยืน เนื่องจากลูกค้าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน อาทิ จากกลุ่มเป้าหมายที่มีการออมด้วยเงินฝาก จำนวนเงินในบัญชีเกิน 10 ล้านบาท มีมูลค่ากว่า 7,100 ล้านบาท  ในขณะที่ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงจากสูงสุด 24เหลือเพียง 0.1252และโอกาสด้านการเติบโตของธุรกิจประกันช่องทางเอเจนซี่กว่า 320,000 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดในตลาด โดยในปีนี้เจนเนอราลี่ตั้งเป้าเสริมศักยภาพเพื่อให้ตัวแทนก้าวสู่ Wealth advisor เพื่อนำเสนอ “Solution Products” ให้แก่ลูกค้าเพื่อการเติบโตธุรกิจที่รวดเร็วและยั่งยืน โดยคัดสรรตัวแทนคุณภาพปีนี้ตั้งเป้าที่จำนวน 500 คน
  • Suitable product นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมทุกประเภท ความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ เพศ และความต้องการ โดยในครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ที่วางแผนและออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการวางแผนทางการเงินและสุขภาพ ตลอดชีวิตของลูกค้าและครอบครัว
  • Efficiency technology เพิ่มประสิทธิผลด้วยเทคโนโลยี เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพด้านงานขายและบริการและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลของกรมธรรม์สำหรับตัวแทน
  • Professional service ให้บริการที่เลิศแก่ลูกค้า การให้บริการด้วยความใส่ใจและสามารถให้คำแนะนำและคำปรึกษาในสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างครบวงจร

นายชวลิต กล่าวต่อว่า  สำหรับเป้าหมายการพัฒนาช่องทางตัวแทนประกันชีวิตของเจนเนอราลี่ ภายในปีพ.2564 นี้ ต้องเพิ่มจำนวนตัวแทนคุณภาพจากปีพ.2563 จำนวน 70%  เพิ่มจำนวน MDRT 50%  ส่งเสริมเพื่อสร้างรายได้เป้าหมายให้ตัวแทนขั้นต่ำที่ 25,000 บาทต่อเดือน และตั้งเป้าส่งมอบรายได้เบี้ยรับปีแรก (FYPคิดเป็นอัตราเติบโต จากปีพ.2563 40%

อย่างไรก็ตามสำหรับโครงการ  The Lion’s ROAR  มีโมเดลการพัฒนาตัวแทนอย่างเป็นระบบตั้งแต่กระบวนการสรรหาคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพเข้าสู่เส้นทางอาชีพตัวแทนที่ปรึกษาทางการเงิน (FP)  ซึ่ง FP ทุกคนจะต้องผ่านการพัฒนาและการอบรม เพื่อเสริมสร้างทักษะการขายและการเข้าพบลูกค้าอย่างเป็นมืออาชีพ  สำหรับแคมเปญ “MDRT 3 ปี รับโบนัส ล้านบาท” ได้รับกระแสการตอบรับที่ดี จึงถือได้ว่าเป็นปีที่เจนเนอราลี่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการพัฒนาศักยภาพและสร้างฐานของตัวแทน FP ที่มีคุณภาพ ทำให้ล่าสุดบริษัทฯ มีตัวแทนที่ติดคุณวุฒิ MDRT (Million Dollar Round Tableจำนวนทั้งสิ้น 13 คน ซึ่ง คนในนี้เป็นตัวแทน FP ที่ผ่านกฎเกณฑ์ MDRT 3 ปี ล้าน แบ่งเป็นรุ่นที่  จำนวน 2 ท่าน  และ รุ่นที่ 2  จำนวน  ท่าน  ซึ่งแคมเปญดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 .2565 โดยบริษัทฯ ได้เตรียมมอบเงินโบนัส จำนวน 18 ล้านบาทให้กับตัวแทน MDRT ทั้ง ท่าน ที่มีสิทธิ์พิชิตแคมเปญ ปี ล้านสำเร็จตามเป้าหมาย

การดำเนินงานที่เร่งด่วนภายในปีนี้ เป้าหมายเพื่อให้ตัวแทนของเจนเนอราลี่สามารถเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดในประเทศ ด้วยโครงสร้างและผลประโยชน์ที่ดี รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากบริษัทและมีพฤติกรรมดี ดังเช่น ตัวแทนต้องช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า ทั้งในด้านการเงินและสุขภาพ อีกทั้งยังต้องซื่อสัตย์และพร้อมบริการเคียงคู่ไปกับลูกค้า  เพื่อความสำเร็จและสามารถพัฒนาศักยภาพตัวแทนอย่างต่อเนื่องสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีพลังและเป็นตัวแทนดีที่สุดในประเทศ  ในฐานะ Wealth Advisor  หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการเงินสู่ความมั่งคั่ง และพร้อมที่จะวางแผนความมั่นคงในชีวิตให้กับลูกค้าได้อย่างชาญฉลาด ” นายชวลิต กล่าว

 ภายในงานนายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ประเทศไทย ยังได้ย้ำถึงเป้าหมายหลักของเจนเนอราลี่ทั่วโลกในการที่เป็น Lifetime Partner ที่อยู่เคียงข้างลูกค้า ในทุกช่วงเวลาของชีวิต โดยช่องทางตัวแทนซึ่งถือเป็นช่องทางสำคัญของธุรกิจประกันชีวิตของเจนเนอราลี่ และเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของคุณชวลิต ทองรมย์ แม่ทัพตัวแทนคนใหม่นั้นจะสามารถนำพาให้เจนเนอราลี่บรรลุเป้าหมายในปีนี้ได้อย่างแน่นอน

MAKESEND Express รุกตลาด same-day delivery 

MAKESEND บริษัทสตาร์ทอัพน้องใหม่ที่ให้บริการการขนส่งพัสดุแบบวันเดียวถึง (Same-day Delivery) ทั่วกรุงเทพฯและปริมาณฑล ได้รับเงินทุนสนับสนุนรอบ series seed จาก บริษัท Triple I Logistics จำกัด (มหาชน) ซึ่งเงินทุนที่ได้รับ บริษัทฯ จะนำไปใช้เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ที่ต้องการเป็นผู้ให้บริการการขนส่งแบบ Same-day Delivery ที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทยรวมทั้งนำไปใช้ในการการขยายทีมการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และกระบวนการทำงานของบริษัทให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การระดมทุนในครั้งนี้เริ่มจากการที่ MAKESEND เล็งเห็นถึงความต้องการและการขยายตัวของธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น จึงออกแบบบริการให้มีความหลากหลายเพื่อรองรับกับกระแสการเติบโตของ E-Commerce ในไทย อาทิ การขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ,การขนส่งสินค้าประเภทเบเกอรี่,อาหารและผลไม้ จึงทำให้บริษัทฯมีรายได้เติบโตย้อนหลังถึงเดือนละ 30 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่กรกฎาคม 2563 นอกจากนี้ทางบริษัทฯยังให้ความสำคัญในเรื่องความรวดเร็วและความสะดวกสบาย ผสมผสานไปกับการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาปรับใช้ จึงทำให้ได้เปรียบในการขนส่งสินค้าแบบ Same-day Delivery ราคาขนส่งสินค้าทั่วพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเริ่มต้นเพียงแค่ 40 บาท ยิ่งไปกว่านั้นจุดเด่นที่น่าดึงดูดของ MAKESEND คือ เป็นผู้ให้บริการขนส่งเพียงเจ้าเดียวที่มีการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิพร้อมทั้งสามารถส่งสินค้าถึงปลายทางภายในวันเดียวกัน (Same-day Delivery) จากยอดการเติบโตดังกล่าวและบริการที่เข้าถึงลูกค้าได้อย่างหลากหลายทำให้ MAKESEND กลายเป็นบริษัทที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน

ในขณะเดียวกันการที่ MAKESEND และ Triple I เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันนั้น ได้มีส่วนช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการ เนื่องจากทั้งสองบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมทั้งมีโอกาสในการเข้าถึงเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจของกันและกันได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสองบริษัทฯ

ในช่วงประมาณสิบเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เราเปิดให้บริการ เราเห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในการใช้บริการขนส่งแบบ Same-day Delivery ที่จริงแล้ว ในช่วงห้าเดือนแรกของปีนี้ จำนวนพัสดุที่เราทำการจัดส่งรวมถึงรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นมากกว่า 400 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการเติบโตของเรากำลังจะพุ่งขึ้นไปแตะ Four-Digit Growth ภายในสิ้นปี เนื่องจากตลาดการขนส่งแบบ Same-day Delivery มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอีกมาก และเราก็จะไม่หยุดที่จะทำให้ MAKESEND บรรลุเป้าหมายระยาวของเราในการเป็นผู้นำในการขนส่งแบบ Same-day Delivery ทั่วประเทศไทยและด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งของเราอย่าง  Triple I ที่มีความสามารถในการจัดการและบริหารระบบการขนส่งและห่วงโซ่อุปทาน เราจึงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าธุรกิจของเราจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถเพิ่มสถิติใหม่ของอัตราการขนส่งได้ในทุกเดือน นาย อานันท์ ประเสริฐรุ่งเรื่อง ประธานกรรมการบริหาร กล่าว

MAKESEND เกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนธุรกิจของ AIRPORTELs ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพรับฝากและขนส่งกระเป๋าสัมภาระนักเดินทาง ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและทำรายได้เติบโตในทุกๆเดือน จนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ โควิด 19 ขึ้นทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยต้องหยุดชะงักลง AIRPORTELs จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหยุดให้บริการ  แต่ทีมผู้ก่อตั้งได้นำความรู้และประสบการณ์ในการบริการขนส่งกระเป๋าสัมภาระที่สามารถส่งถึงที่หมายภายในเวลา ชั่วโมง มาปรับใช้ในธุรกิจขนส่งพัสดุแบบวันเดียวถึงหรือ Same-day Delivery ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ MAKESEND และทำให้บริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี พ.ศ. 2563 หลังจากเปิดให้บริการ ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.makesend.asia

กรุงศรี ฟินโนเวต ผนึก MUFG จับมือ แฟลช เอ็กซ์เพรส ยูนิคอร์นสัญชาติไทยรายแรก

กรุงศรี ฟินโนเวต บริษัทร่วมลงทุน (CVC) ในเครือกรุงศรี กรุ๊ป ผู้ร่วมลงทุนในกลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) บริษัทแม่ของ แฟลช เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการขนส่งสัญชาติไทย และ E-commerce แบบครบวงจร ทั้งยังเป็นยูนิคอร์นไทยรายแรก ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อน E-commerce ecosystem ไทยให้แข็งแกร่ง สอดคล้องกับแผนธุรกิจระยะกลาง (Medium-term Business Plan) ในปี 2564-2566 ของกรุงศรี โดยหลังจากนี้เตรียมพัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นทางการเงินที่ส่งเสริม Ecosystem ให้แก่ผู้ใช้งานและผู้ให้บริการในธุรกิจ E-commerce แพลตฟอร์มให้มีความสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น พร้อมเตรียมสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียนสนับสนุนการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ

นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด กล่าวว่า ศักยภาพอันโดดเด่นและความมุ่งมั่นทุ่มเทของกลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) ส่งผลให้ กรุงศรี ฟินโนเวต สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในการมีส่วนร่วมผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยก้าวสู่การเป็นยูนิคอร์นที่ผงาดและเติบโตในธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเราภาคภูมิใจอย่างยิ่งกับก้าวที่สำคัญของแฟลช กรุ๊ป ในครั้งนี้ โดยปัจจุบัน กรุงศรี และ แฟลช กรุ๊ป กำลังพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน ด้วยการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อสร้าง E-Commerce ecosystem ของไทยให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งในภาพของ E-commerce ecosystem ที่แข็งแกร่งนั้นจะสามารถเกิดขึ้นได้ต้องประกอบไปด้วย 3 ส่วนที่สอดคล้องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ได้แก่ E-Commerce enablers, E-logistic และ Payment/disbursement solutions ดังนั้นความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะอยู่บนพื้นฐานของทั้ง ส่วนดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีทั้งในรูปแบบของการพัฒนาโซลูชั่นทางการเงินระหว่างกันหรือพัฒนาร่วมมือกับผู้ลงทุนรายอื่นๆของแฟลช เพื่อให้ทุกภาคส่วนใน ecosystem สามารถทำธุรกรรมได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วขึ้น หรือการใช้ความเชี่ยวชาญของกรุงศรีในเรื่องสินเชื่อ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานใน ecosystem นอกจากนี้ กรุงศรียังสามารถใช้ความแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียนของกรุงศรีและ MUFG เพื่อช่วยส่งเสริมโอกาสการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่แฟลชได้วางไว้ นอกจากนี้ กรุงศรี ฟินโนเวต ยังคาดว่าจะมีโอกาสสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยรายอื่นๆ ให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นยูนิคอร์นรายต่อไปอีกด้วย

กรุงศรี ฟินโนเวต นับเป็นผู้ลงทุนไทยกลุ่มแรกๆ ที่เข้าลงทุนในแฟลช กรุ๊ป โดยลงทุนครั้งแรกในการระดมทุนรอบ series D เมื่อปี 2563 และล่าสุดครั้งที่สองในรอบ series E โดยจากการร่วมลงทุน กรุงศรีและแฟลชได้ทำข้อตกลงร่วมกันในการให้กรุงศรีเป็นสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรอันดับหนึ่ง (Preferred Bank) เพื่อให้บริการทางเงินต่างๆ ของแฟลช

นายคมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) ผู้ให้บริการ E-Commerce สัญชาติไทยแบบครบวงจร กล่าวว่า เรามีความภาคภูมิใจ และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกรุงศรี ในฐานะผู้ลงทุนรายหนึ่งของแฟลช ทั้งในรอบ Series D และ Series E แน่นอนว่าความร่วมมือระหว่าง บริษัทจะดำเนินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับรูปแบบของตลาด E-commerce ทั้งในประเทศไทย และสากล ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการ ด้าน E-payment หรือความร่วมมือในการพัฒนา Payment Gateway โดยคาดว่าภายในปีนี้คงจะสามารถประกาศความร่วมมือในบางส่วนได้ สำหรับกลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) นับเป็นบริษัทแม่ของ แฟลช เอ็กซ์เพรส (Flash Express) ขนส่งสัญชาติไทยแบบครบวงจร ที่มีนโยบายการทำบริการแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่น ด้วยการใช้ระบบไอทีเข้ามาเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการขับเคลื่อนธุรกิจขนส่ง ปัจจุบัน Flash Express มียอดส่งพัสดุสูงสุดต่อวันร่วม ล้านชิ้น จึงทำให้ธุรกิจสามารถก้าวขึ้นเป็นขนส่งเอกชนอันดับ1, แฟลช ฟูลฟิลเมนท์ (Flash Fulfillment) ให้บริการคลังสินค้าแบบครบวงจรที่เติมเต็มการทำงานของร้านค้าออนไลน์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งจัดเก็บแพ็คจัดส่ง นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจแฟลช ยังมีธุรกิจในเครืออีกมากมายที่เกื้อหนุนกับ E-commerce platform ได้อย่างลงตัว โดยในส่วนของการมองหาผู้ลงทุนยังนับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของกลุ่มธุรกิจแฟลช และธุรกิจในเครือ ซึ่งทีมงานมีความเชื่อมั่นว่าการมี Partner ที่ดีจะมีส่วนช่วยสนับสนุนและสร้างรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

กรุงศรี ฟินโนเวต มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมในสตาร์ทอัพรายอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยงบลงทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง ปี (2564-2565) รวมทั้งหาโอกาสในการร่วมงานกับสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ โดยใช้จุดแข็งที่มีในการเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือระหว่างกัน