นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์
หมวดหมู่: หน้าแรก
สิ่งที่น่าสนใจ
TACC ส่ง Warbie Yama เจ้านกจอมกวนบุกตลาด
TACC เปิดตัวสินค้าคาแรคเตอร์ Warbie Yama เจ้านกจอมกวน ฝีมือคนไทย “อรุษ ตันตสิรินทร์” ที่ได้รับการตอบรับจากแฟนคลับทั่วโลก บุกตลาด! มั่นใจกระแสแรงไม่แพ้ “Rilakkuma- หมาจ๋า- Jay The Rabbit” หนุนรายได้ปี 64 โตต่อเนื่อง
นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัว Warbie Yama เจ้านกจอมกวน คาแรคเตอร์อินเตอร์ ฝีมือคนไทย โดย “อรุษ ตันตสิรินทร์” เป็นผู้สร้างสรรค์และเจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์ ซึ่งเกิดจากภาพยนตร์เอนิเมชั่นแบบสั้น เรื่อง “Cheez…z” และได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังสั้นเอนิเมชั่นสากลต่างๆ มากมาย ต่อมาได้พัฒนาตัวละคร Warbie มาเป็นดิจิตัลสติกเกอร์ ใน LINE จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก พร้อมรางวัล character of the year มีกลุ่มแฟนคลับมากมายในต่างประเทศ และด้วยเอกลักษณ์ที่น่าสนใจของ Warbie Yama ที่มีเรื่องราวอบอุ่น และนำเสนอคุณค่า สอดแทรกความรู้สึกเชิงบวกให้กับแฟนๆ ผ่านผลงานที่เกิดจากความใส่ใจในทุกขั้นตอน ทำให้ TACC เลือกคาแรคเตอร์นี้
“มั่นใจว่า Warbie Yama คาแรคเตอร์ใหม่ฝีมือคนไทย ที่มีทั้งความน่ารัก แสนกวน นำออกมาบุกตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้า จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม และคาดหวังว่าจะเป็นคาแรคเตอร์ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่นิยมอันดับต้นๆในประเทศไทย ช่วยผลักดันรายได้ในปีนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับสินค้า “คาแรคเตอร์” ของ TACC ประกอบด้วย “Rilakkuma” , “หมาจ๋า” และ “Jay The Rabbit” โดย “หมาจ๋า” และ “Jay The Rabbit” เป็นคาแรคเตอร์ฝีมือคนไทย ที่กระแสแรง ไม่แพ้ “Rilakkuma” คาแรคเตอร์ ลิขสิทธิ์ของประเทศญี่ปุ่น

ZEN Group คว้า SHA สร้างความมั่นใจลูกค้า
“เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป” หรือ ZEN ตอกย้ำความมั่นใจผู้ใช้บริการร้านอาหารในเครือ ZEN Group ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงสาธารณะสุข โดยกรมควบคุมโรคและกรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มั่นใจกระตุ้นอัตราการเข้าใช้บริการแบบนั่งทานในร้านเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 15-20 %
นายบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ผู้ประกอบธุรกิจบริการอาหาร (Food Services) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ที่ยังมีการแพร่กระจายของโรคไปยังหลายพื้นและเกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และเพื่อยกระดับมาตรฐานร้านอาหารให้มีมาตรฐานปลอดภัยด้านสุขอนามัยที่ดียิ่งขึ้น ZEN Group ได้เข้าร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงสาธารณะสุข โดยกรมควบคุมโรคกรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภายใต้โครงการมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA) เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในร้านอาหาร
ล่าสุดร้านอาหารในเครือ ZEN Group ทุกแบรนด์ ได้แก่ เซ็น เรสเตอรองค์, ตำมั่ว, ลาวญวน, เขียง, ออนเดอะเทเบิ้ล, อากะ และ ดินส์ ได้รับตราสัญลักษณ์ SHA ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ที่ยืนยันว่าทุกแบรนด์อาหารของ ZEN Group ได้ผ่านหลักเกณฑ์ด้านสุขอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อมของกรมอนามัยอย่างเคร่งครัด เช่น สุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีอยู่ในอาคาร การจัดอุปกรณ์ทำความสะอาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค การป้องกันสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน การจัดการขยะ และสุขาภิบาลอาหารในร้านอาหาร เป็นต้น นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาติที่จะกลับเข้ามาที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ หลัง ททท. เตรียมเปิดให้เป็นพื้นที่นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ ZEN Group มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความสุขการนั่งทานในร้านอาหารทุกแบรนด์ให้กับลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังเข้ามาในประเทศ ให้มั่นใจในความปลอดภัยด้านสุขอนามัยทั้งอาหารและบริการที่เราต้องการยกระดับให้ดียิ่งขึ้น และการได้รับตราสัญลักษณ์ SHA จะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ลูกค้ากลับเข้ามาใช้บริการนั่งรับประทานภายในร้านเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 15-20% หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ระลอก 3 พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าหลังจากประเทศไทยเริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจร้านอาหารในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และเชื่อว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคจะกลับมาใช้บริการนั่งทานในร้านอาหารเครือเซ็นกรุ๊ปเช่นเดิม

แม็คโคร จับมือ กรมปศุสัตว์ เข้มมาตรการรับซื้อและบริโภคเนื้อสัตว์
บริษัท กัด (มหาชน) ผนึกกรมปศุสัตว์หนุนการบริโภคเนื้อสัตว์คุณภาพปลอดภัย ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ เพิ่มความเชื่อมั่นผ่านสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” และ 7 มาตรการเข้มตั้งแต่ฟาร์มจนถึงมือผู้บริโภค ตอกย้ำผู้นำด้านอาหารสด
นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนโรคระบาดในสัตว์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายจังหวัด ทำให้ผู้บริโภคมีความกังวลในการเลือกซื้อเนื้อสัตว์เป็นอย่างมาก แม็คโครในฐานะผู้นำในการจำหน่ายสินค้าอาหารสด จึงร่วมกับกรมปศุสัตว์ รณรงค์ให้ผู้บริโภคตระหนักถึงการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ซึ่งแม็คโครมีมาตรการในการตรวจสอบอย่างเข้มข้น และได้การรับรองเครื่องหมายปศุสัตว์ OK ในทุกสาขา
แม็คโคร ไม่ได้นิ่งนอนใจกับการควบคุมมาตรฐานต่างๆ เราให้ความสำคัญต่อการบริโภคอาหารสดปลอดภัย และได้คุมเข้มมาตรการต่างๆ อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงมือผู้บริโภค โดยคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้า และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ รวมทั้งได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์ในการเข้มงวดการป้องกันในด้านคนหรือผู้สัมผัสอาหาร สถานที่ผลิตและสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรณรงค์อย่างต่อเนื่องให้ลูกค้าบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกด้วย
ทั้งนี้ 7 มาตรการสำคัญ ที่แม็คโครเน้นย้ำเพื่อตรวจสอบเนื้อสัตว์ปลอดภัยที่วางจำหน่ายในสาขา ประกอบด้วย
- สินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์ต้องผ่านมาตรฐานการรับรองฟาร์มเพาะเลี้ยงจากกรมปศุสัตว์
- สถานที่ผลิตต้องผ่านการประเมินด้านสุขลักษณะอาหารจากกระทรวงสาธารณสุข
- สินค้าต้องผ่านการตรวจความปลอดภัยทางจุลินทรีย์และเคมี โดยห้องปฎิบัติการ ISO17025 ซึ่งมีการตรวจสอบลึกระดับ DNA เพื่อเฝ้าระวังสินค้าปลอมปน
- มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มา โดยใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ Makro i-Trace
- กระบวนการจัดเก็บสินค้าและขนส่งสินค้าที่สะอาด ถูกสุขอนามัยเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล
- เข้าร่วมในระบบ e-Privilege Permit ของกรมปศุสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมกระบวนการเคลื่อนย้ายเนื้อสัตว์ ก่อนเข้าจำหน่ายในสาขาแม็คโคร
- แม็คโครทุกสาขาได้เครื่องหมาย ปศุสัตว์ OK ซึ่งหมายถึงการเป็นสถานที่จัดจำหน่ายที่ผ่านมาตรฐานการควบคุมเรื่องสุขลักษณะที่ดี และความปลอดภัยสินค้าเนื้อสัตว์ อันเป็นไปตามมาตรฐานของกรมปศุสัตว์
“ขอให้ลูกค้าทุกคน มั่นใจได้ว่าเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายภายในสาขาของแม็คโคร ได้รับการตรวจสอบและป้องกันด้วยมาตรการขั้นสูงสุด ในทุกช่องทางจัดจำหน่าย ทั้งแม็คโครทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ 3 ช่องทางสั่งสะดวก คือ แม็คโครแอปพลิเคชั่น, แม็คโครคลิก, LINE สาขา หรือโทร.สั่งกับสาขา” นางศิริพร กล่าว
กองทรัสต์ AIMIRT เพิ่มทุนครั้งที่ 2
การเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (‘AIMIRT’) หรือ กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ซึ่งจะเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมรวมมูลค่าไม่เกิน 2,280 ล้านบาท ในกรรมสิทธิ์ในอาคารคลังสินค้าจำนวน 12 ยูนิต และสิทธิการเช่าอาคารคลังสินค้าระยะเวลา 30 ปี จำนวน 4 ยูนิต จาก 3 โครงการคุณภาพในจังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดระยอง ที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ภาคการผลิตและการขนส่งของประเทศ ชูศักยภาพกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% หนุนประมาณการผลตอบแทนในปีแรกเป็นอย่างน้อย 7.50%/1 ประกาศอัตราส่วนใช้สิทธิ์จองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิ์จองซื้อที่ 1 หน่วยทรัสต์เดิมต่อ 0.3233 หน่วยทรัสต์ใหม่ เสนอขายแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิ์จองซื้อวันที่ 5 – 9 กรกฎาคมนี้ และเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปในวันที่ 5 – 9 และ 12 – 13 กรกฎาคมนี้ ที่ราคาเสนอขายสูงสุดไม่เกิน 11.90 บาทต่อหน่วย
นายอมร จุฬาลักษณานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์ AIMIRT เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้จัดการกองทรัสต์อิสระรายแรกในประเทศไทย โดยวางแนวทางนำกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินใหม่อย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นคัดเลือกทรัพย์สินในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพและอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างรายได้และสามารถจ่ายผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ นับตั้งแต่กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จนถึงไตรมาสที่ 1/2564 กองทรัสต์ AIMIRT ได้จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอทุกไตรมาสเป็นจำนวนรวมกว่า 2.6010 บาทต่อหน่วย โดยในไตรมาสที่ 1/2564 ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในอัตรา 0.2200 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสที่สูงที่สุดและเพิ่มขึ้นทุกไตรมาสอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด กองทรัสต์ AIMIRT ได้เดินหน้าเพิ่มทุนครั้งที่ 2 โดยจะเข้าลงทุนเพิ่มเติมในกรรมสิทธิ์อาคารคลังสินค้า จำนวน 12 ยูนิต และสิทธิการเช่าอาคารคลังสินค้าระยะเวลา 30 ปี จำนวน 4 ยูนิต รวมมูลค่าไม่เกิน 2,280 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 172,268,908 หน่วย เป็นมูลค่าไม่เกิน 1,980 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินประมาณ 300-600 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 นี้ จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ เพิ่มขึ้นแตะระดับประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 7,500 ล้านบาท และเป็นหนึ่งในกองทรัสต์กลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำในประเทศไทย

นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวต่อว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ เช่น ธุรกิจสนามบิน โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน ฯลฯ อีกทั้งกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมการผลิต การส่งออก รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศ ที่ยังสามารถขยายตัวและเติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ มีผลการดำเนินงานที่มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจุดเด่นของกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ คือการผสมผสานการลงทุนในทรัพย์สินประเภทอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั้งอาคารคลังสินค้า อาคารโรงงาน อาคารคลังห้องเย็น และถังเก็บสารเคมีเหลว และทำเลที่ตั้งของทรัพย์สินที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญด้านการผลิตและโลจิสติกส์ของประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมปลายทางของผู้เช่ามีความหลากหลาย ไม่ได้กระจุกตัวแค่อุตสาหกรรมกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้นกว่า 151,026 ตารางเมตร และมีความจุของถังเก็บสารเคมีเหลวให้เช่ารวม 85,580 กิโลลิตร โดยทุกโครงการมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% ต่อเนื่องมาโดยตลอด
ส่วนการลงทุนเพิ่มเติม ในทรัพย์สินใหม่ 3 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้น 117,338 ตารางเมตร ได้แก่ 1) กรรมสิทธิ์ในอาคารคลังสินค้าจำนวน 8 ยูนิต ของโครงการทิพย์ 5 และโครงการทิพย์ 8 (ส่วนลงทุนเพิ่มเติม) จังหวัดสมุทรปราการ จากกลุ่มบริษัท ทิพย์ โฮลดิ้ง จำกัด (‘กลุ่มทิพย์’) มีพื้นที่ให้เช่ารวม 35,774 ตารางเมตร ซึ่งกลุ่มทิพย์ ได้เป็นผู้ขายทรัพย์สินแก่กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ มาก่อนหน้านี้เป็นจำนวน 9 ยูนิต 2) กรรมสิทธิ์ในอาคารคลังสินค้า จำนวน 4 ยูนิต ของโครงการเอ็มเอส แวร์เฮ้าส์ จังหวัดสมุทรปราการ จากบริษัท ทู ไทเกอร์ พร็อพ จำกัด พื้นที่ให้เช่ารวม 43,481 ตารางเมตร และ 3) สิทธิการเช่าระยะเวลา 30 ปี ในอาคารคลังสินค้า จำนวน 4 ยูนิต ของโครงการไทยแทฟฟิต้า จังหวัดระยอง จากบริษัท ไทยแทฟฟิต้า จำกัด พื้นที่ให้เช่ารวม 38,083 ตารางเมตร โดยทุกโครงการมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% และอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมการผลิตและขนส่งของประเทศ ซึ่งภายหลังเข้าลงทุนเพิ่มเติม จะมีพื้นที่ให้เช่ารวมเพิ่มขึ้นเป็นทั้งหมด 268,364 ตารางเมตร และมีความจุของถังเก็บสารเคมีเหลวให้เช่ารวม 85,580 กิโลลิตร

นายธนาเดช โอภาสยานนท์ กรรมการผู้จัดการร่วม บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทน (Dividend Yield) แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ภายหลังกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ เข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม อ้างอิงข้อมูลจากประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ต่อหน่วย สำหรับงวด 12 เดือน ในช่วงเวลาประมาณการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 0.8927/1 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ประมาณ 7.50%/1
ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าลงทุนเพิ่มเติม กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ จะมีโครงสร้างของประเภททรัพย์สินซึ่งมีความหลากหลายและกลุ่มผู้เช่าที่กระจายตัวอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยจะมีสัดส่วนรายได้มาจากอาคารคลังสินค้าให้เช่า 49% ถังเก็บสารเคมีเหลว 31% อาคารคลังห้องเย็น 15% และอาคารโรงงาน 5% ซึ่งการลงทุนเพิ่มเติมนี้จะเป็นการเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มผู้เช่าและอุตสาหกรรมปลายทางได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ในรูปแบบกรรมสิทธิ์ (Freehold) เป็น 61% และในรูปแบบสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ที่ 39%

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า กองรีทส์ (REITs) ในช่วงที่ผ่านมายังคงเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ แม้ว่ามีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะกองทรัสต์ในกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยจากสถานการณ์ COVID-19 โดยส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานและอัตราค่าเช่าอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมในบางกลุ่มธุรกิจ เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ (Logistics) และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เป็นต้น
จุดเด่นของ กองทรัสต์ AIMIRT คือมีการกระจายตัวของทรัพย์สินในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและการคมนาคมขนส่งที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของไทย มีสัดส่วนการลงทุนของทรัพย์สินทั้งประเภทกรรมสิทธิ์ (Freehold) และสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) อีกทั้ง มีประวัติผลการดำเนินงานและการจ่ายผลตอบแทนในระดับที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
“AIMIRT ถือเป็นหนึ่งในกองทรัสต์กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ่ายเงินปันผลโดดเด่นมาตลอด แม้ในปีที่ผ่านมาที่มีสถานการณ์ COVID-19 แต่ยังคงมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% และสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส ตอกย้ำถึงคุณภาพทรัพย์สินที่เข้าลงทุน จึงเป็นกองทรัสต์ที่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะกลางและระยะยาวเพื่อรับผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง” นางสาววีณา กล่าว
นายกฤชกร นนทะนาคร ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย สายงานตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า หลังจากกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 2 และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ปัจจุบันได้รับการอนุมัติและมีผลใช้บังคับแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนแก่นักลงทุน โดยการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้จะมีมูลค่ารวมไม่เกิน 2,280 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนจำนวน
ไม่เกิน 172,268,908 หน่วย มูลค่าไม่เกิน 1,980 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินประมาณ 300-600 ล้านบาท
สำหรับการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 2 จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 172,268,908 หน่วย แบ่งเป็น (1) เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิม (Preferential Public Offering: PPO) ที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ (Record Date) ในวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ในสัดส่วนประมาณ 80% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ที่เสนอขายในครั้งนี้ หรือประมาณ 137,815,126 หน่วย กำหนดอัตราส่วนใช้สิทธิ์จองซื้อที่ 1 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 0.3233 หน่วยทรัสต์ใหม่ เสนอขายในวันที่ 5 – 9 กรกฎาคมนี้ ในเวลาทำการ ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยการจองซื้อผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้จองซื้อที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือผ่านระบบจองซื้อออนไลน์ ที่ https://moneyconnect.krungthai.com ได้อีกหนึ่งช่องทาง โดยผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมสามารถจองซื้อตามสิทธิ เกินกว่า น้อยกว่า หรือสละสิทธิไม่จองซื้อก็ได้ และ (2) เสนอขายประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO) ซึ่งรวมถึงนักลงทุนสถาบัน บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 5 – 9 และ 12 – 13 กรกฎาคมนี้ ในเวลาทำการ ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ (สำหรับช่องทางการจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และระบบจองซื้อออนไลน์ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สามารถจองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 5 – 13 กรกฎาคมนี้)
ทั้งนี้ หลังจากจัดสรรหน่วยทรัสต์ให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมตามสิทธิที่ได้รับจัดสรรแล้ว บริษัทฯ จะจัดสรรหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมที่เหลือให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่จองซื้อหน่วยทรัสต์เกินกว่าสิทธิที่ได้รับจัดสรรตามที่เห็นสมควร พร้อมกับหรือภายหลังการจัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไปหรือไม่ก็ได้
สำหรับผู้จองซื้อทุกรายจะต้องชำระเงินจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนที่ราคาเสนอขายสูงสุดที่ไม่เกิน 11.90 บาทต่อหน่วย และจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) วันที่ 14 กรกฎาคมนี้ ภายหลังจากการสำรวจความต้องการจองซื้อจากนักลงทุนสถาบัน (Book building) โดยกรณีที่ราคาเสนอขายหน่วยทรัสต์สุดท้ายต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายจะคืนเงินส่วนต่างแก่ผู้จองซื้อทุกราย และคาดว่าบริษัทฯ จะนำหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนกรกฎาคม 2564

GBS จับตาประชุมเฟดชี้ชะตาดอกเบี้ย ชู PTT- PTTEP – PTTGC
บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยยัง Sideway รอผลเฟดกำหนดทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยหลังประชุม 16 มิ.ย.นี้ พร้อมจับตากรรมการบาเซิลเล็งบังคับแบงก์ทั่วโลกตั้งสำรองเงินทุนรองรับกรณีขาดทุนจากบิตคอยน์ และปัญหาการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า จึงให้กรอบดัชนี 1,600-1,660 จุด พร้อมแนะลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ราคาน้ำมันพุ่ง หลังโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ มีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ชู PTT– PTTEP – PTTGC
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวในลักษณะ Sideway โดยนักลงทุนจับตาการประชุมเฟดวันที่ 15-16 มิ.ย. นี้ เพื่อรอดูทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่จะประกาศออกมา รวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนมากขึ้น จากการขาดแคลนชิปทั่วโลก และจากการที่รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมโควิด
ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการบาเซิลฝ่ายกำกับดูแลด้านการธนาคาร (Basel Committee on Banking Supervision) วางแผนกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกกันสำรองเงินทุนให้เพียงพอ หากเกิดกรณีการขาดทุนจากการถือครองสกุลเงินบิตคอยน์ ซึ่งหากมีการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกก็จะเผชิญกับข้อกำหนดในการตั้งสำรองเงินทุนที่เข้มงวดมากขึ้น
ขณะเดียวกันในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้พบ 4 คลัสเตอร์ใหม่ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของเขตจตุจักร-ห้วยขวาง-บางนา-คันนายาว ส่วนใหญ่เป็นแคมป์คนงาน ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3 พันราย จากในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนได้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2 พันรายบ้างแล้ว อีกทั้งยังประสบปัญหาการเลื่อนการฉีดวัคซีนของ รพ.เอกชนหลายแห่งส่งผลให้เกิดความกังวลต่อระยะเวลาในการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวอาจล่าช้าออกไป จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ในกรอบ 1,600-1,660 จุด
ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตาต่อ อาทิ การพิจารณาของศาลล้มละลายนัดฟังคำสั่งแผนฟื้นฟู บมจ.การบินไทย(THAI) การเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค. ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนมิ.ย.จากเฟดนิวยอร์ก ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค. การผลิตภาคอุตสาหกรรมพ.ค. สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย.ของสหรัฐ ทาง EIA สหรัฐรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ทาง FOMC แถลงมติอัตราดอกเบี้ย ทาง จีน รายงานยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.และสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น โดยปัจจุบันโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ มีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลในฤดูร้อนปีนี้ จากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก จึงแนะนำลงทุนในหุ้น PTT, PTTEP และPTTGC
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่าจากความผันผวนของราคาทองคำ ฝ่ายวิจัยประมาณการกรอบราคาทองคำในสัปดาห์นี้ไว้ที่ระดับ 1,840-1,900 $/Oz โดยแนะนำให้รอซื้อเมื่ออ่อนตัวเนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมากว่า 7.6% ในเดือนที่ผ่านมาทำให้เป็นเป้าหมายในการทำกำไร อย่างไรก็ตามในระยะยาวหากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น เราคาดว่าทองคำจะกลับมา outperform สินทรัพย์อื่นๆ อีกครั้ง
บุญถาวร ทุ่ม 400 ล้าน เปิดโครงการ Design Village เกษตร-นวมินทร์
บริษัท บุญถาวร เซรามิค จำกัด ทุ่มเกือบ400 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาโครงการ “Design Village เกษตร-นวมินทร์” ใจกลางทำเลสายครีเอทีฟ ตอบโจทย์วิถีชีวิตรูปแบบใหม่รับ New Normal Lifestyle แม้ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแต่ได้รับการตอบรับที่ดีจากแบรนด์ต่างๆทั้ง ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้า ร้านอาหาร ทั้งที่ร่วมเปิดให้บริการแล้วอย่าง Tops market, Choongman Chicken และ KT Optic และแบรนด์ชั้นนำที่เข้ามาจับจองพื้นที่เช่าเพื่อเตรียมเปิดภายในเดือนมิ.ย. – ส.ค.นี้กันอย่างคึกคัก ปิดการขายพื้นที่ได้แล้วกว่า 70% ของพื้นที่เช่าภายในโครงการทั้งหมด คาดว่าจะพร้อมให้บริการเต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนกันยายนปีนี้
นายสิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญถาวรกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ Design Village สาขาเกษตร-นวมินทร์ ได้ดำเนินการมาก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือเฟสแรกเป็นการรีโนเวทสาขาเดิมของบุญถาวร เป็นการสร้างศูนย์รวมวัสดุตกแต่งบ้านที่ให้ประสบการณ์ใหม่ ทำให้บรรยากาศในการมาเดินเลือกสินค้าในรูปแบบที่ตอบโจทย์ Lifestyle คนยุคใหม่มากขึ้น และเฟส 2ได้พัฒนามาเป็นโครงการ Design Village ต่อยอดความสำเร็จจากสาขาราชพฤกษ์ และพุทธมณฑล ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากคู่ค้าและผู้บริโภค ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤตของโรคระบาด แต่เรามีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศไทย ว่ายังสามารถที่จะสร้างธุรกิจให้เติบโตได้ และเราต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการจ้างงาน เราจึงเดินหน้าพัฒนาพื้นที่กว่า 50ไร่ เกิดเป็นโครงการ Design Village สาขาเกษตร-นวมินทร์ ที่ครบวงจรและลงตัวที่สุด

นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจในการเปิดท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาลำดับที่ 123 บนพื้นที่ 1,600 ตารางเมตร กับดีไซน์ วิลเลจ เกษตร-นวมินทร์ ด้วยทำเลที่มีศักยภาพ ประกอบกับบริเวณโดยรอบมีความหนาแน่นของครัวเรือนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อในระดับกลาง-สูง และแนวคิดในการออกแบบโครงการที่ยึดความสะดวกของผู้บริโภคเป็นหลัก จึงเป็นเหตุผลที่เราเชื่อมั่นในแบรนด์ Design Village เกษตร-นวมินทร์ อีกทั้งตำแหน่งของ ท็อปส์ มาร์เก็ต ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ สามารถจอดรถและเดินเข้าซุปเปอร์มาเก็ตได้ทันที ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ด้วยบริการที่ครบครันของสินค้าคุณภาพที่เราคัดสรรจากในประเทศและต่างประเทศ กว่า 21,000 รายการ

อีกหนึ่งแบรนด์ดังอย่างร้านอาหารสไตล์เกาหลี Choongman Chicken (ชุงมัน ชิคเค่น) โดย นายอริยะ ชิบาต้า กรรมการผู้จัดการบริษัท ชุงมัน (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า เรามีความเชื่อมั่นในแบรนด์ Design Village อยู่แล้ว ประกอบกับเราเห็นความสำเร็จของโครงการที่ผ่านๆมา ยิ่งมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว สาขานี้เป็นสาขารูปแบบใหม่ที่สวย และมีเมนูที่ครบตามแบบฉบับสาขาต้นแบบที่เกาหลีมากที่สุด ซึ่งเรามั่นใจว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีมาก เพราะตั้งแต่เปิดขายวันแรก ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะอยู่ในช่วงนี้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 แต่สำหรับธุรกิจร้านอาหารของชุงมัน มียอดขายหน้าร้านที่ยังขายได้ดี ด้วยทำเลที่สะดวกสบายง่ายต่อการเดินทาง ขณะเดียวกันยอดการขายแบบเดลิเวอรี่ออนไลน์ ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย

ด้าน นายสาโรจน์ เจิมธเนศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญถาวร แอสเซท จำกัด “Boon Asset” ผู้ดูแลการพัฒนาโครงการ Design Village กล่าวเพิ่มเติมว่า Design Village สาขาเกษตร-นวมินทร์ เป็นการรวมข้อดีของคอมมูนิตี้มอลล์ และศูนย์การค้าเข้าด้วยกัน คือมีทั้งความสะดวกสบายในการจอดรถ เข้าถึงร้านค้าต่างๆได้ง่าย มีสินค้าหลากหลายครบครัน รูปแบบของที่นี่เรียกได้ว่าเป็น คอนเซ็ปต์โครงการที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ New Normal Lifestyle ได้อย่างลงตัว โดยผู้บริโภคยุคนี้ต้องการสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ ซึ่งเราสามารถเติมเต็มความต้องการของชุมชนในย่านนี้ได้แบบจบครบในที่เดียว เราให้ความสำคัญกับการออกแบบ Car-To-Door Access ที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงร้านค้าได้ด้วยระยะเดิน เพียงไม่กี่ก้าวจากที่จอดรถรอบตัวอาคาร และยังเป็นพื้นที่ซึ่งรวบรวมความต้องการของทุกคนในบ้านมาไว้ที่เดียว ทั้งวัสดุอุปกรณ์แต่งบ้านที่ครบวงจร ช้อปของกินของใช้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนร้านค้าสุดชิค ร้านอาหารเด็ดๆ และร้านไลฟ์สไตล์อื่นๆ อีกมากมายไว้บริการ ซึ่งเรามั่นใจว่าโครงการ Design Village สาขาเกษตร-นวมินทร์ จะเป็นแหล่งรวบรวมทุกความต้องการของทุกคนในบ้านที่เต็มไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์ ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบครันและครบวงจรที่สุดในย่านเกษตร-นวมินทร์
พบกับ ASW ในงาน Opportunity Day 18 มิ.ย. นี้
เตรียมตัวให้พร้อม…กับงาน Opportunity Day ของ บมจ.แอสเซทไวส์ หรือ ASW ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เติบโตด้วยกลยุทธ์ “Best Choice” บิ๊กบอส “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ผู้บริหารรุ่นใหม่-ไฟแรงงงงง จะมาอัพเดทแผนธุรกิจพร้อมตอบทุกคำถามของนักลงทุน หลังประกาศงบไตรมาสแรกกำไรพุ่งกระฉูด! 361.8% และอัตรากำไรสุทธิถึง 25.7% บอกเลยว่าแผนธุรกิจเขาน่าสนใจมากๆนะคร้า … วันที่ 18 มิ.ย. นี้ ห้ามพลาด!เวลา 9.15 – 10.00 น. ผ่านรูปแบบออนไลน์ Link: https:// www.set.or.th/oppday ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Jitta Ranking – เวียดนาม คัดหุ้นหัวกะทิ เน้นลงทุนระยะยาว
จิตตะ เวลธ์ ชูผลตอบแทน Jitta Ranking – เวียดนาม ย้อนหลัง 1 ปี โตเกือบ 100% สูงกว่าผลตอบแทนดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเวลาเดียวกันถึง 37.14% ด้วยแนวทางการคัดเลือกหุ้นหัวกะทิของเทคโนโลยี AI มาบริหารจัดพอร์ตการลงทุน ด้าน ‘ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์’ ซีอีโอ ย้ำ ‘ตลาดหุ้นเวียดนาม’ มีมนต์เสน่ห์ เป็นตลาดหุ้นที่มีศักยภาพ มีการเติบโตของกำไรสูงในขณะที่มูลค่าหุ้นยังถูก จึงมองว่าเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทย ลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด สตาร์ทอัพรายแรกของไทย ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการให้บริการกองทุนส่วนบุคคล เปิดเผยว่า Jitta Ranking – เวียดนาม มีผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยตั้งแต่ พ.ค. ปีที่แล้วจนถึง พ.ค. ปีนี้ ทำผลตอบแทนรวมได้สูงถึง 93.47% สูงกว่าดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นเวียดนาม (Vietnam Index Total Return – VNINDEXTR) ที่ทำได้ 56.33% หรือมากกว่า 37.14% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ ผลตอบแทนรวมของ Jitta Ranking – เวียดนาม ที่ชนะผลตอบแทนรวมดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามได้นั้น มาจากการบริหารจัดการที่มี “จุดเด่น” และ “แตกต่าง” ในด้านต่างๆ ดังนี้
- ใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นเวียดนามทั้งตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HOSE) และตลาดหลักทรัพย์ฮานอย (HNX) โดยจะวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลัง 10 ปี ไม่ว่าจะเป็นรายได้ กำไร งบดุล และงบกระแสเงินสด เพื่อนำมาประเมินความแข็งแกร่ง โอกาสการเติบโต และมูลค่าบริษัทนั้นๆ แล้วนำมาจัดอันดับ Jitta Ranking เพื่อค้นหาสุดยอด ‘หุ้นดีราคาถูก’
- เทคโนโลยีการบริหารจัดการพอร์ตฟอลิโอแบบอัตโนมัติ (Automated Management) กระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นลำดับต้นๆ ของ Jitta Ranking และปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน จึงทำให้ผลตอบแทนของ Jitta Ranking เวียดนามชนะดัชนีตลาดได้ไม่ยาก
- ผลตอบแทนคาดหวังได้ จากการใช้หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investment – VI) นั่นคือ เน้นการลงทุนในในหุ้นดีราคาถูก ที่คัดสรรด้วยเทคโนโลยี Jitta Ranking ที่พิสูจน์ผลตอบแทนมาแล้วว่าสามารถชนะดัชนีตลาด เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ที่สร้างการเติบโตทบต้นไปเรื่อยๆ
- ค่าธรรมเนียมต่ำและยุติธรรม ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลเพียง 5% ต่อปี เพื่อให้นักลงทุนมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด และสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
“ข้อดีของเทคโนโลยี AI คือสามารถวิเคราะห์หุ้นได้ทั้งตลาดอย่างมีหลักการและปราศจากอคติ จึงสามารถเลือกหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตจริงๆ สะท้อนจากงบการเงินที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการของ Jitta Wealth ที่ใช้เทคโนโลยีมาจัดพอร์ตอย่างอัตโนมัติ ลงทุนในหุ้นหัวกะทิอันดับต้นๆ ของ Jitta Ranking และดูแลจัดการปรับพอร์ตให้อย่างสม่ำเสมอนั้น ได้พิสูจน์ผลงานสร้างพอร์ตเติบโตเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ให้กับนักลงทุนไทยมาแล้ว” นายตราวุทธิ์ กล่าว
ทางด้าน นายฟัน จิ้ ทัน เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย เผยว่า เวียดนามมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2559-2563) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.9% สูงที่สุดในโลก ขณะที่กระทรวงวางแผนและการลงทุนเวียดนาม (MPI) ได้รายงานว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 นักลงทุนต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามในรูปแบบต่างๆ มีมูลค่าการลงทุนทั้งหมดประมาณ 12,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือพุ่งขึ้น 99.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2564 สดใสเป็นอย่างมาก โดยองค์กรการเงินระหว่างประเทศ เช่น World Bank, International Monetary Fund และ Asian Development Bank คาดการณ์ไว้ว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ 6.5-7.0% เลยทีเดียว
“เวียดนามเป็นตลาดที่มีเสน่ห์ เป็นประเทศที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ต่อเนื่อง ทำให้หุ้นเวียดนามมีการเติบโตของกำไรสูง ในขณะที่มูลค่าหุ้นยังถูก จึงมองว่าเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยที่จะทำการปรับพอร์ต กระจายความเสี่ยง ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เพื่อผลตอบแทนระยะยาว สร้างพอร์ตเติบโตไปพร้อมกับประเทศเวียดนาม” นายตราวุทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth นโยบายการลงทุน Jitta Ranking – เวียดนาม ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด สามารถดูข้อมูลได้ที่ https://jittawealth.com/jitta-ranking/vietnam หรือปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนได้ที่ LINE @JittaWealth

SAPPE เปิดตัวเครื่องดื่ม Beauti Drink กลิ่นกัญชา
‘บมจ.เซ็ปเป้’ หรือ SAPPE เดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ กรีน รีแล็กซิ่งคาล์ม (Green Relaxing Calm) กลิ่นเทอร์ปีน นำเอากลิ่นเทอร์ปีนซึ่งเป็นกลิ่นลักษณะเดียวกับในใบกัญชามาใช้เป็นส่วนผสม ช่วยผ่อนคลายอารมณ์และบำบัดความเครียด ส่งผลดีต่อสุขภาพ ชิมลางก่อนที่กฎหมายจะปลดล็อกให้ใช้พืชกัญชา เพิ่มทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะสายเขียวทั้งหลาย พร้อมวางแผนทยอยออกสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 SKUs ในครึ่งปีหลัง ผลักดันให้ผลการดำเนินงานทั้งปีเติบโต 10-15%

นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า ถือเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้นำเครื่องดื่ม Functional Drink ในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ที่เน้นนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในเครื่องดื่มอย่างแท้จริง โดยบริษัทฯ ได้หยิบเอาสินค้าที่เคยเป็นกระแสโด่งดังกลับมาเพิ่มสีสันด้วยการผสมนวัตกรรม กลิ่นกัญชา (เทอร์ปีน) ซึ่งเป็นกลิ่นลักษณะเดียวกับในใบกัญชามาใช้เป็นส่วนผสม นำมาสร้างความแปลกใหม่และเพิ่มทางเลือกใหม่ๆ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นหรือบุคคลทั่วไปที่สนใจ และอยากทดลองกลิ่นเทอร์ปีนในเครื่องดื่ม ถือเป็นการชิมลาง ก่อนที่กฏหมายจะปลดล็อกให้ใช้พืชกัญชาได้ในอนาคต
โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัว เครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ กรีน รีแล็กซิ่งคาล์ม (Green Relaxing Calm) กลิ่นเทอร์ปีน และสารสกัดจากลาเวนเดอร์ คาโมไมล์ & แอล-ธีอะนีน ซึ่งทีมงานได้ใช้เวลาและความพยายามในการคิดค้นและพัฒนาสินค้าให้มีกลิ่นและรสชาติที่ใกล้เคียงกับของจริงมากที่สุด หวังเอาใจสายเขียวทั่วประเทศ ซึ่งกลิ่นเทอร์ปีนช่วยเสริมในเรื่องการผ่อนคลายอารมณ์และบำบัดความเครียด ส่งผลให้สุขภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้น สารสกัดจากลาเวนเดอร์ทำให้คลายความวิตกกังวล และคาโมไมล์ & แอล-ธีอะนีน จะช่วยลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับสบาย รวมถึงมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่มีส่วนผสมจากน้ำตาล แคลอรี่ต่ำ อร่อย สดชื่น ดื่มง่ายได้ทุกวัน ให้ความรู้สึกสนุกกว่าเดิม ในราคาเพียงขวดละ 20 บาท วางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ทุกสาขาทั่วประเทศ
นางสาวปิยจิต กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สูตรกรีน รีแล็กซิ่งคาล์ม (Green Relaxing Calm) ถือว่าได้รับผลตอบรับดีมาก สามารถเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ และขยายครอบคลุมได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เตรียมทยอยออกสินค้าใหม่ต่อเนื่องกว่า 20 SKUs ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ขณะที่ภาพรวมตลาดในต่างประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น แม้ยังต้องเผชิญกับปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน แต่หลายๆ ประเทศทั่วโลกได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของตลาดต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป โดยเฉพาะการส่งออกไปอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่เข้าสู่ช่วง High Season ขณะที่รายได้ในประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกยังคงทรงตัว อย่างไรก็ตามคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง และจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้มีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15%

