คาราบาว กรุ๊ป คว้า 2 รางวัลเกียรติยศระดับนานาชาติ

บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รับ 2 รางวัลเกียรติยศระดับนานาชาติ จาก Global Good Governance Awards (3G Awards) จัดขึ้นโดย บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินจากประเทศอังกฤษ Cambridge IFA ในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ประกอบด้วยรางวัล ชนะเลิศด้านการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (3G Championship Award for CSR Campaign 2021) และรางวัลการรายงาน การกำกับดูแลกิจการยอดเยี่ยม (3G Excellence in Corporate Governance Reporting Award 2021) โดยมีการประกาศผลผ่านช่องทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา

สำหรับรางวัล Global Good Governance Awards ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติ ที่มอบให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในระดับนานาชาติ ที่มีการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีมาตรฐานสากล มีการกำกับดูแลกิจการที่ดีและมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน

บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน ) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 และนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 โดยเริ่มจากการเปิดตัวเครื่องดื่มบำรุงกำลังภายใต้เครื่องหมายการค้า “คาราบาวแดง” เข้าสู่ตลาดในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2545 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายธุรกิจต่อเนื่องครอบคลุมกระบวนการจัดหาวัตถุดิบหลัก การผลิต การตลาด การขายและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่มอื่นๆ ตั้งแต่การผลิตขวดแก้วและกระป๋องอลูมิเนียมเพื่อใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับโรงบรรจุสินค้าสำเร็จรูป และต่อเนื่องไปจนถึงการบริหารจัดการช่องทางกระจายผ่าน เครือข่ายร้านค้า และพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับธุรกิจในประเทศ และต่างประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์สินค้าระดับโลกและแบรนด์ระดับโลก

เฮงเค็ล ช่วยพันธมิตรปฏิบัติตามกฎบัตรความน่าเชื่อถือ

ความสำคัญของความยั่งยืนเมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์อำนวยความสะดวก เช่น หลอดดูด กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้บริโภคตลอดจนหน่วยงานกำกับดูแลกฎระเบียบและข้อบังคับทางกฎหมาย ดังนั้นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับพลาสติกที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น หลอดกระดาษ จึงเป็นที่ต้องการสูง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ได้มีการเปิดตัวกฎบัตรความน่าเชื่อถือสำหรับหลอดกระดาษ (Charter of Trust for paper straws) ที่ก่อตั้งโดย 360° Foodservice ซึ่งเป็นสมาคมที่เทคโนโลยีกาวของเฮงเค็ลเป็นสมาชิกอยู่

360° Foodservice ได้รวมห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อนำเสนอโซลูชันการใช้ซ้ำและการใช้ครั้งเดียวสำหรับการเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มอย่างปลอดภัย กฎบัตรแห่งความเชื่อถือระบุข้อกำหนดที่ส่วนประกอบทั้งหมดของการผลิตหลอดกระดาษที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามในเอกสารฉบับเดียว เพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยในยุโรปและช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานบริการด้านอาหารมีความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ของตน ในฐานะซัพพลายเออร์ชั้นนำสำหรับกาวติดหลอดกระดาษ เฮงเค็ลได้มีส่วนร่วมในเนื้อหาและลงนามในกฎบัตรนี้ โดยเน้นว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามมาตรฐานเหล่านี้แล้วทั่วโลก โดยยึดตามความเชื่ออย่างแรงกล้าในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยสาธารณะเป็นเรื่องทางธุรกิจ เฮงเค็ลได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เนื่องจากการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและปลอดภัยอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ด้วยการเป็นหุ้นส่วนในห่วงโซ่คุณค่าที่สมบูรณ์เท่านั้น

การรวมห่วงโซ่คุณค่าของหลอดกระดาษเป็นหนึ่งเดียว

ผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีกจะได้รับประโยชน์จากกฎบัตรแห่งความเชื่อถือ โดยมีความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้ กฎบัตรแห่งความเชื่อถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับส่วนต่างๆ ของห่วงโซ่คุณค่าที่จะเติมเต็มพื้นที่ว่างนี้ เพื่อช่วยระบุผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามข้อกำหนดและปลอดภัยได้ง่ายขึ้น หลอดกระดาษประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง กระดาษ หมึกพิมพ์ และกาว ซึ่งทั้งหมดต้องได้รับการจัดการให้สอดคล้องกันเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับอาหาร กฎบัตรแห่งความเชื่อถือจะสรุปและเน้นย้ำมาตรฐานความปลอดภัยและกฎระเบียบที่มีอยู่ซึ่งอาจสร้างความท้าทายให้กับบริษัททั้งในและนอกยุโรปที่ไม่คุ้นเคยกับมาตรฐานของสหภาพยุโรป ผู้ให้บริการหลอดกระดาษและซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ เช่น เฮงเค็ล ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก แต่เนื่องจากนโยบายความปลอดภัยและกฎระเบียบแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค การสร้างมาตรฐานของสหภาพยุโรปจึงเป็นก้าวสำคัญไปสู่การสร้างมาตรฐาน ซึ่งส่งสัญญาณให้ลูกค้าทั่วโลกทราบถึงคุณลักษณะที่ต้องปฏิบัติตามสำหรับผลิตภัณฑ์หลอดกระดาษที่ปลอดภัย

โซลูชันด้านความปลอดภัยของอาหาร ความยั่งยืน และประสิทธิภาพสูงเป็นหัวใจสำคัญของสิ่งที่เราทำตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ และยังคงเป็นมาจนถึงทุกวันนี้” คริสติน โนแอค ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาดประจำยุโรปธุรกิจเทคโนโลยีกาว บริษัทเฮงเค็ล กล่าว “ด้วยการมีส่วนร่วมและความมุ่งมั่นของเราต่อกฎบัตรแห่งความไว้วางใจ ทำให้การจัดหาของเราแข็งแกร่งขึ้นเพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและเป็นไปตามข้อกำหนดสำหรับผู้บริโภค เราสามารถช่วยเหลือลูกค้าในยุโรปและคู่ค้าทั่วโลกของเราในการขอรับและตีความกฎระเบียบที่บังคับใช้กับตลาดยุโรป เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์ ด้วยการร่วมมือกับเรา พวกเขาสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขากำลังใช้กาวที่สามารถเชื่อถือได้และได้ปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับที่เข้มงวดที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน

“เบนิฟิตต์” จัดโปรโมชันพิเศษ! ส่งฟรีถึงบ้าน

“เบนิฟิตต์ ซอย บาริสต้า” (Benefitt Soy Barista) จัดโปรโมชันพิเศษ GiftSet Online Limited เอาใจคอเครื่องดื่มสายคลีนและผู้ที่รักสุขภาพ  เพียงสั่งซื้อ เบนิฟิตต์ ซอย บาริสต้า ผ่านทาง https://bit.ly/3sZcAB1 และช่องทางไลน์ https://bit.ly/32SIUer ในชุด GiftSet Online Limited 299 บาท ประกอบด้วยนมถั่วเหลืองเบนิฟิตต์ ซอยบาริสต้า 500 มล. จำนวน 2 กล่อง มาพร้อมกับเครื่องปั้มฟองนม สินค้ามีจำนวนจำกัดเพียง 50 ชุดเท่านั้น ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 มิ.ย.64

เบเนฟิตต์ ซอย บาริสต้า ผลิตจากน้ำนมถั่วเหลืองที่มีคุณภาพ ไม่ผสมนมผง มีกลิ่นหอมมันพิเศษเฉพาะตัว ให้รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม มีรสสัมผัสที่นุ่มละมุน แคลลอรี่ต่ำ สามารถใช้ชงเครื่องดื่มแทนนมวัว จะตีเป็นฟองนุ่มๆ หรือทำลาเต้อาร์ตก็ได้ เพิ่มความอร่อยอีกระดับให้กับเครื่องดื่มแก้วโปรด สำหรับชงกาแฟ ชา และเครื่องดื่มทุกชนิด เหมาะสำหรับทางเลือกของผู้รักสุขภาพ สั่งซื้อออนไลน์พร้อมสูตรชงได้ที่ www.benefittthailand.com / FB & IG & Twitter  benefittthai Benefitt / Shop https://bit.ly/38j9AIB / Shopee https://bit.ly/3iUCvqe / Lazada http://bit.ly/3qZ2PCe / JD http://bit.ly/3cf8IHu และหาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ วิลล่ามาร์เก็ต และ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ทุกสาขา

­CP ALL ปิดการขายหุ้นกู้ 7 ชุดตามเป้าหมาย

บมจ. ซีพี ออลล์ (CP ALL) ปิดการขายหุ้นกู้ 7 ชุด รวมมูลค่า 66,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย หลังเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ เมื่อวันที่ 11 และ 14–15 มิถุนายนที่ผ่านมา ปลื้มผู้ลงทุนให้การตอบรับดี ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโต  

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 และ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ เสนอขายหุ้นกู้ทั้งหมด 7 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40%  ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% ต่อปี โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1-3 เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป และหุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.53% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.76% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 6 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.14% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 7 อายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.20% ต่อปี โดยหุ้นกู้ชุดที่ 4-7 เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 10 ราย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและปิดการเสนอขายหุ้นกู้ทั้งหมดได้ตามเป้าหมาย รวมมูลค่า 66,000 ล้านบาท ทางบริษัทฯ ต้องขอขอบคุณสถาบันการเงินทั้ง 10 ราย และผู้ลงทุนทุกท่านที่สนับสนุนให้การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี

ผลตอบรับจากนักลงทุนดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในบริษัทฯ ที่เป็นผู้นำธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศไทย มีฐานะการเงินที่มั่นคง และเป็นบริษัทจดทะเบียนชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนี้ หุ้นกู้ของบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เป็นการตอกย้ำศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ จากความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีก

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นผลักดันผลการดำเนินงานให้กลับมาเติบโต พร้อมทั้งมุ่งคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมด้านการบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตลอดจนบริหารต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

“จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 เราจึงมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ O2O จำหน่ายสินค้าทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำเสนอการให้บริการแก่ลูกค้าได้จากหลากหลายช่องทางเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เช่น บริการออลล์ ออนไลน์ (ALL Online) บริการ 7-Eleven Delivery และ 24 Shopping โดยยังมีแผนการขยายสาขาอยู่อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดสาขาในประเทศกัมพูชาและ สปป.ลาว  หากสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ บริษัทฯจะนำเงินไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2564 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถปรับโครงสร้างทางการเงินได้อย่างเหมาะสม และมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงขึ้น” นายเกรียงชัย กล่าว

ด้านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ซีพี ออลล์ ในครั้งนี้เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนต้องพิจารณาในเรื่องการลงทุนมากขึ้น และเลือกลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีความมั่นคงสูง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ซึ่งหุ้นกู้ ซีพี ออลล์ สามารถตอบโจทย์ต่างๆ เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ ขณะเดียวกัน ผู้ลงทุนยังมีความสนใจลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่ง ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด และได้กำหนดเป็นพันธกิจของบริษัทฯ ภายใต้กลยุทธ์เซเว่น โก กรีน (7 Go Green) ได้แก่ Green Building คือการออกแบบร้านค้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Green Logistic การจัดระบบขนส่งและกระจายสินค้าที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Green Store การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกผ่านแนวคิด “ลด และ ทดแทน” และ Green Living เพื่อปลูกจิตสำนึกเพื่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้การเสนอขายหุ้นกู้ “ซีพี ออลล์” ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

เปิดโครงการ “ร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก”

คาโอ เปิดตัว โครงการร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก พื้นที่ตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ชลบุรี จังหวัดชลบุรี ร่วมกับ 4 องค์กรใหญ่ ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ กองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้ากิจกรรมเพื่อสนับสนุนโครงการเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก เนื่องในวันไข้เลือดออกอาเซียน นำร่องโครงการฯ ในเขตตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี ให้ปลอดไข้เลือดออกภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวแอป “รู้ทัน” มุ่งให้ประชาชนรู้ทันโรคภัยไข้เจ็บ พร้อมมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

มร.ยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด

มร.ยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความร่วมมือในโครงการดังกล่าวว่า “แม้ว่าคนไทยจะรู้จักโรคไข้เลือดออกมานานแล้ว แต่ยังมีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก ซึ่งพบว่าสาเหตุหลักมาจากการขาดความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ขาดการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี จนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของลูกน้ำยุงลาย ซึ่งพื้นที่ภาคตะวันออกยังคงมีอัตราการระบาดอยู่ทุกปี ทางคาโอและพันธมิตรจึงได้เลือกพื้นที่เขตตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่นำร่อง เนื่องจากมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และเป็นพื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่คาโอตั้งอยู่ด้วย โดยเราเลือกเปิดโครงการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันไข้เลือดออกอาเซียน (ASEAN Dengue Day) และยังมีแผนจะขยายโครงการไปยังพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต”

2.พิธีเปิดโครงการร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก.JPG

โครงการร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก เป็นโครงการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการกำจัดลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรคไข้เลือดออก ในพื้นที่ตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี โดยความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และชุมชน โดยมุ่งร่วมกันลดภาชนะที่ไม่ใช้ประโยชน์ การจัดการขยะ ซึ่งอาจจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายได้ การให้ความรู้เรื่องการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก และการหมั่นสำรวจลูกน้ำยุงลาย ในสถานที่ต่าง ๆ โดยพนักงานของโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยินดีสนับสนุนการอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมถึงร่วมการสร้างระบบรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ผ่านทางฝ่ายทรัพยากรบุคคลของแต่ละบริษัท พร้อมตั้งเป้าหมายการลดจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ดังกล่าว ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2567

วิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการเป็นประโยชน์และสอดคล้องกับนโยบายของอมตะด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สมาชิกภายในนิคมอมตะ ประเทศไทย ที่มีอยู่กว่า 250,000 คน และประชาชนในชุมชนโดยรอบ รวมถึงโครงการนี้ยังมีการนำแอปพลิเคชัน เข้ามาประยุกต์ใช้ให้ทุกคนได้รู้ทันโรคไข้เลือดออก และติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ได้มีไว้เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งตอบสนองต่อแนวคิดการสร้างเมืองอัจฉริยะของอมตะให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เชื่อมั่นว่าในอนาคตโครงการนี้อาจกลายเป็น Role model ให้กับนิคมฯ อมตะที่ต้องอยู่ในต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว พม่า ได้อีกด้วย

วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

ทางด้าน นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จ.ชลบุรี เป็นนิคมขนาดใหญ่ พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รวมจำนวนกว่า 181,879 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2363) มีชุมชนโดยรอบรัศมี 5 กิโลเมตร จำนวนกว่า 212 หมู่บ้าน ทาง กนอ. ยินดีที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้สถานประกอบการที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมให้ความสำคัญในการป้องกันโรคไข้เลือดออกแก่พนักงานและชุมชนโดยรอบ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรมยั่งยืนควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน การสร้างความสมดุล ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

ดร.พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง

ในส่วนของ ดร.พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง ยังได้นำเสนอถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยว่า ในยุค new normal ที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้ แม้จำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกจะลดลงถึงกว่าร้อยละ 80 แต่ไม่ควรไว้วางใจ เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาโรคไข้เลือดออกได้ทำให้เด็กเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา พบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และเมื่อวัยทำงานเสียชีวิต จึงส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสร้างความเสียหายต่อสังคมและเศรษฐกิจ และโรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกัน ไม่มียารักษาจำเพาะ ซึ่งทำให้การลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตยากยิ่งกว่าโรคโควิด-19 ดังนั้น มาตรการสำคัญในการลดโรคจึงยังคงเป็นการกำจัดพาหะนำโรคทั้งลูกน้ำยุงลาย กองโรคติดต่อนำโดยแมลงยินดีอย่างยิ่งกับการผนึกกำลังครั้งนี้ ที่จะได้เห็นประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทยต่อไป

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค-สวทช.

สำหรับโครงการนี้ ยังมีการนำนวัตกรรมมาสร้างความตระหนักรู้โรคไข้เลือดออก โดยเปิดตัวแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” แอปสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ง่ายขึ้น ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค-สวทช. กล่าวว่า ทีมนักวิจัยจากเนคเทค-สวทช. ได้ร่วมมือกับกรมควบคุมโรค วิจัยและพัฒนา “ชุดซอฟต์แวร์ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการเฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้เลือดออก ให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งมีการนำไปใช้งานกว่า 5 ปี และในปี พ.ศ. 2563 ได้ร่วมกันต่อยอด ทันระบาด ไปสู่ภาคประชาชน ภายใต้แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “รู้ทัน” เพื่อสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ ณ ตำแหน่งปัจจุบัน และพื้นที่ที่สนใจ โดยแจ้งเตือนสถานการณ์ความเสี่ยง ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของไข้เลือดออก แต่ยังรวมถึง สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และดัชนีความร้อนที่นำไปสู่โรคลมแดด และพร้อมขยายผลสู่ความเสี่ยงสุขภาพอื่นๆ ต่อไป” ซึ่งประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และระบบปฏิบัติการไอโอเอสได้แล้ววันนี้

“ด้วยแนวคิดหลักของบริษัท คาโอ ที่ต้องการให้ประชาชนมีการดำเนินชีวิตที่ดีและดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้น การเข้ามาสนับสนุนโครงการฯ ในครั้งนี้ จะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ว่า คาโอ-สร้างสรรค์สิ่งดี เพื่อชีวิตที่สวยงาม ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความต้องการที่จะให้เกิดความยั่งยืนด้านสุขภาพในสังคมไทย โดยการร่วมมือกันครั้งนี้ มีแผนที่จะขยายพื้นที่การดำเนินงานออกไป และเชื่อมั่นว่า เมื่อทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการดำเนินงานอย่างจริงจัง จะทำให้ไข้เลือดออกในพื้นที่ดำเนินกิจกรรมลดน้อยลงจนกลายเป็นศูนย์ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน” นายชิมิซึ กล่าวสรุป

VGI คว้ารางวัลระดับสากล The Most Innovative O2O Solutions

VGI ผู้นำการตลาด Offline-to-Online (“O2O”) โซลูชั่นส์ ก้าวล้ำนำเทรนด์ฝ่าทุกวิกฤต ตอกย้ำการทรานฟอร์มธุรกิจสู่ผู้ให้บริการทางการตลาดอย่างครบวงจรด้วยกลยุทธ์ O2O Solutions ภายใต้อีโคซิสเต็ม  (ecosystem) ที่แข็งแกร่ง บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ รับรางวัล “The Most Innovative O2O Solutions for Advertising, Payment and Logistics Platforms 2021” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก International Finance นิตยสารด้านธุรกิจและการเงินชั้นนำของ UK’s International Finance Publications Limited โดยรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่มอบให้กับสุดยอดองค์กรชั้นนำที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย

เนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้หลากหลายธุรกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่จากการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการทางการตลาดในรูปแบบ O2O เป็นเครื่องตอกย้ำความสำเร็จว่ากลุ่มบริษัท VGI ว่ามีความพร้อมในการปรับตัวเพื่อรับมือทุกความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อันเห็นได้จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปี 2563/64 ยังคงสามารถผลักดันทำกำไรสุทธิที่ 980 ล้านบาท ผ่านการผสานความแข็งแกร่งของพันธมิตรในทุกหน่วยธุรกิจจนเกิด Synergy ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแรบบิทที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัลโซลูชั่นส์และธุรกิจโลจิสติกส์โดย Kerry Express บริษัทจัดส่งพัสดุด่วนชั้นนำของประเทศที่ร่วมกันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการได้รับรางวัล The Most Innovative O2O Solutions for Payment and Logistics Platforms ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นั้นนับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ VGI อีกทั้งยังการันตีการเป็นผู้นำนวัตกรรมที่มี ecosystem ที่สมบูรณ์แบบและได้รับการยอมรับในระดับสากล

SMD พร้อมลงสนามเข้าเทรดในตลาด mai วันแรก 17 มิ.ย.นี้

บมจ.เซนต์เมด (SMD) พร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก 17 มิ.ย. ปลื้มกระแสตอบรับการเสนอขายหุ้น IPO ล้นหลาม มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับดี โชว์ศักยภาพก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เฉพาะทาง ด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต พลิกโฉมปั้นโมเดลธุรกิจ มุ่งขยายศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ให้เช่าเครื่องมือทางการแพทย์ รับสังคมไทยก้าวสู่สังคมสูงอายุ หนุนสร้างการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืน ผลักดันรายได้เติบโต 15% ต่อปี ใน 3 ปีต่อจากนี้       

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 17 มิถุนายน 2564 โดยใช้ชื่อย่อ ‘SMD’ และหลังปิดการเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 54  ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 25.23 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 7.20 บาท โดยพิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัท (P/E) ที่ประมาณ 17.52 เท่า ซึ่งภายหลังจากเปิดจองซื้อหุ้น ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา หุ้น SMD ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยมียอดจองล้นหลาม สะท้อนพื้นฐานธุรกิจและศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนองค์กรก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนขยายการลงทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เสริมความแข็งแกร่งให้กับโมเดลธุรกิจเดิมโดยต่อยอดขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงขยายธุรกิจ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. รูปแบบการจัดหาบริการให้เช่าครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลเฉพาะทาง โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลศูนย์ โดยมีระยะเวลาให้เช่า 3-5 ปี เพื่อลดการจัดสรรปันส่วนงบประมาณของโรงพยาบาลรัฐที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และนำเงินงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในส่วนอื่น ที่ช่วยเพิ่มโอกาสการดูแลผู้ป่วยให้เข้ารับการรักษาพยาบาลมากขึ้น

และ 2.การดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ เนื่องจากคนไทยได้ตระหนักถึงอันตรายจากการนอนกรน และหยุดหายใจในขณะนอนหลับมากขึ้น โดย SMD ถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆ ของไทย ที่นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มการช่วยหายใจและเวชศาสตร์การนอนหลับ (Respiration) ซึ่งได้ลงทุนในศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 4 เตียงตรวจ ที่ให้บริการไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ในลักษณะสัญญาความร่วมมือระหว่าง SMD กับโรงพยาบาล หรือเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) ที่ SMD เป็นผู้ลงทุนและให้บริการ ทั้งลงทุนปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ การจัดหาเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ความชำนาญในการตรวจการนอนหลับ (sleep technician) โดยรูปแบบสัญญาจะมีลักษณะเป็นการปันส่วนรายได้จากการให้บริการ และจากการขายเครื่องมือให้แก่โรงพยาบาล

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อขยายการลงทุนโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับเพิ่มเติมอีก 8 เตรียงตรวจต่อโครงการต่อปีในช่วงปี 2564-2566 รองรับจำนวนผู้ที่มีสิทธิการรักษาพยาบาล เช่น ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ถือเป็นการสร้างการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปี มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15%

เอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า  SMD มีศักยภาพเติบโตสูงจากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันต่างๆ จากการมีผลิตภัณฑ์ที่ดี (P-Product) ที่วงการแพทย์ให้การยอมรับ การมีราคาที่เหมาะสมและจับต้องได้ (P-Price) และมีทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ (P-People) ในการอธิบายแนะนำสินค้า และการบริการหลังการ รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า นอกจากนี้ SMD ยังมีจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่มีความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่นจากความเป็นเลิศเฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต รับจังหวะกับการเติบโตตามอุตสาหกรรมโรงพยาบาล ที่ไม่ได้รัรบผลกระทบจากปัจจัยทางเด้านเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูแลประชาชนจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมากในอนาคต

สเก็ตเชอร์ส แท็กทีม ดร.ซูสส์ ส่งคอลเลคชั่นใหม่!

SKECHERS (สเก็ตเชอร์ส) แบรนด์กีฬาและไลฟ์สไตล์ชั้นนำสัญชาติอเมริกัน ก้าวไปอีกขั้นด้วยการร่วมงานกับดร. ซูสส์ (Dr. Seuss) นักเขียนและวาดภาพประกอบหนังสือเด็กที่เป็นตำนานระดับโลก สร้างสรรค์คอลเลคชั่นล่าสุด SKECHERS X Dr. Seuss (สเก็ตเชอร์ส เอ็กซ์ ดอกเตอร์ซูสส์) โดยนำตัวการ์ตูนที่รู้จักกันไปทั่วโลกสุดคลาสสิคอย่าง The Cat in the Hat – เหมียวแสบ ใส่หมวกซ่าส์” มาสร้างสีสันในคอลเลคชั่นนี้

คอลเลคชั่น SKECHERS x Dr. Seuss นำความสดใสจากโลกแห่งจินตนาการมาโลดแล่นในชีวิตจริงผ่านรองเท้าที่ออกแบบมาสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยมี 7 รุ่นสำหรับผู้หญิง และเด็กผู้ชาย-เด็กผู้หญิงอย่างละ 1 รุ่น พร้อมวางจำหน่ายที่ร้านสเก็ตเชอร์ สาขาสยามสแควร์วัน, สาขาไอคอนสยาม, สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, สาขาเมกาบางนา, สาขาเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์, สาขาเซ็นทรัลอีสวิลล์, สาขาซีคอนสแควร์ และสาขาเซ็นทรัลเวสเกต รวมทั้งออนไลน์ที่ www.skechers.co.th

จากเหล่าคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนสุดคลาสสิคจาก The Cat in the Hat ซึ่งอยู่ในความทรงจำของหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็น เจ้าเหมียว (The Cat), ตัวประหลาดทั้งสอง (Thing 1 and Thing 2) และ เจ้าปลาทอง (The Fish) ถูกนำมาดีไซน์เป็นลายเส้นการ์ตูนที่เป็นเอกลักษณ์ของ ดร. ซูสส์ พร้อมด้วยสีสันสดใสอยู่บนรองเท้า ให้ทุกๆ ก้าวโลดแล่นอย่างเริงร่าและมีชีวิตชีวา

สำหรับน้องๆหนูๆ ต้องโดนใจกับตัวการ์ตูนสุดลั้ลลาที่อยู่บนรองเท้าสเก็ตเชอร์ส Flex Glow รุ่นโปรดของเด็กๆ โดยมาในดีไซน์สีฟ้าสลับแถบสีแดงสำหรับเด็กผู้ชาย และสำหรับรองเท้าเด็กผู้หญิงมาในสีชมพูที่ตกแต่งด้วยชิมเมอร์ส่องประกายระยิบระยิบ

มร. ไมเคิล กรีนเบิร์ก (Michael Greenberg) ประธานบริษัท สเก็ตเชอร์ส กล่าวว่า “ดร. ซูสส์ นับว่าหนึ่งในบุคคลสำคัญด้านวัฒนธรรมของโลกนักเขียนคนสำคัญ โดยผลงานและหนังสือของเขาได้รับการเผยแพร่ แบ่งปัน และเป็นของขวัญที่มอบให้แก่กันผ่านคนนับล้านมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 และครั้งนี้ตัวการ์ตูนในตำนานของเขาจะมาโลดแล่นอยู่ในทุกย่างก้าวอย่างสดใสและมีชีวิตชีวา โดยสเก็ตเชอร์สได้นำรองเท้ารุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาผสมผสานกับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของดร.ซูสส์ เพื่อให้กลายเป็นคอลเลคชันที่มีความน่ารักเฉพาะตัว โดยคุณแม่สามารถใส่เป็นคู่กับคุณลูกๆได้”

ด้าน  ซูซาน แบร้นด์ (Susan Brandt) ประธานบริษัท ดร. ซูสส์ กล่าวว่า “สเก็ตเชอร์สเป็นสุดยอดแบรนด์ของครอบครัวมาทุกยุคทุกสมัย มั่นใจว่าคอลเลคชั่น  Skechers x Dr. Seuss จะโดนใจเหล่าแฟนคลับ และคนที่ชื่นชอบผลงานของดร. ซูสส์ นับล้านคนทั่วโลก ซึ่งจุดเด่นของคอลเลคชั่นนี้ เป็นการผสานทั้งด้านนวัตกรรมรองเท้าที่สวมใส่สบายร่วมกับสไตล์อันสดใสร่าเริงของ ดร. ซูสส์ ช่วยทำให้เพิ่มความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรารู้สึกยินดีที่จะได้ร่วมงานกับสเก็ตเชอร์สในคอลเลคชั่นต่อๆไป ซึ่งจะต้องน่าสนใจยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน”

ประเดิมผลงานแรกของ SKECHERS x Dr. Seuss ด้วยคอลเลคชั่นจากผลงานระดับตำนาน “The Cat in the Hat -เหมียวแสบ ใส่หมวกซ่าส์” โดยมาในรองเท้าสไตล์สตรีทของสเก็ตเชอร์สรุ่นยอดนิยม อาทิ BOBS และรองเท้าสเก็ตเชอร์สสำหรับเด็กที่ตกแต่งด้วยลายเจ้าหมียว และ ตัวประหลาดทั้งสอง ในโทนลวดลายและสีสันสดใสสะดุดตา

นอกจากนี้เตรียมพบกับตัวละครอื่นๆ อีกมากมายของ ดร.ซูสส์ จากนิทานหลากหลายเรื่องในดวงใจ อาทิ กรีน เอ้กส์ แอนด์ แฮม (Green Eggs and Ham) , วันฟิช ทูฟิช เรดฟิช แอนด์บลูฟิช (One Fish, Two Fish, Red Fish, Blue Fish), โอ้ เดอะ เพลส ยูวิวโก (Oh, the Places You’ll Go!) และ เดอะกริ๊นช์ ตัวเขียวป่วนเมือง (How the Grinch Stole Christmas!) ที่จะมาโลดแล่นในคอลเลคชั่นของสเก็ตเชอร์สครั้งต่อไป

พบกับ คอลเลคชั่น  SKECHERS x Dr. Seuss ได้แล้ววันนี้ ที่ร้านสเก็ตเชอร์ สาขาสยามสแควร์วัน, สาขาไอคอนสยาม, สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, สาขาเมกาบางนา, สาขาเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์, สาขาเซ็นทรัลอีสวิลล์, สาขาซีคอนสแควร์ และสาขาเซ็นทรัลเวสเกต รวมทั้งออนไลน์ www.skechers.co.th

สามารถติดตามข้อมูล และรายละเอียดของสเก็ตเชอร์ส เพิ่มเติมได้ทาง www.skechers.co.th, Facebook : SKECHERSThailand, Instagram @SKECHERSTH และ Line Official Account : @SKECHERSTH

บราเดอร์ เดินหน้านโยบาย Environmental Vision 2050

บราเดอร์ พัฒนานโยบายขานรับแผนการพัฒนาโลกเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) ที่ริเริ่มโดยสหประชาชาติ โดยมุ่งเน้นใน 3 ส่วนหลักๆ ประกอบด้วย เพิ่มการหมุนเวียนทรัพยากรสูงสุด ส่งเสริมสังคมที่ไร้คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ และผลลัพธ์สุทธิที่เป็นบวกในระบบนิเวศน์ ผ่านนโยบาย Environmental Vision 2050 ที่พร้อมขับเคลื่อนโดยบราเดอร์ทั่วโลก

นายพรภัค อุไพศิลป์สถาพร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “ภาวะโลกร้อน” และ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ถือเป็นปัญหาระดับโลกที่สร้างผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ดังนั้น นโยบายการขับเคลื่อนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมจึงถือเป็นหนึ่งภารกิจหลักที่ บราเดอร์ ให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ นโยบายด้านการลดปริมาณ “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2” ที่เป็นสาเหตุหลัก โดยในปีงบประมาณ 2022 บราเดอร์ ได้กำหนดทิศทางและแผนการดำเนินงานภายใต้นโยบายหลักของกลุ่มบริษัท บราเดอร์ชื่อ Environmental Vision 2050 ต่อยอดจากการลดปริมาณ CO2 ด้วยการเพิ่มนโยบายใน 3 ด้าน ประกอบด้วย Maximize Resource Circulation หรือการบริหารจัดการทรัพยากรโดยเน้นการ reuse และ recycle มากกว่าการใช้ทรัพยากรใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนกลไกทางธุรกิจ, Positive Net Gain for Biodiversity หรือการเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพและรักษาระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ และ Contribution for Decarbonized Society หรือห่วงโซ่กระบวนการการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่จะมีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

นโยบาย Environmental Vision 2050 ถูกกำหนดแผนการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกเริ่มจากปีงบประมาณ 2021 ถึง 2030 ที่สอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) ของสหประชาชาติ โดยเป็นระยะปรับตัวเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่ระยะ ดำเนินงานจริงในช่วงปีงบประมาณ 2031 ถึง 2050 ในระยะแรกนั้น บราเดอร์ ตั้งเป้าลดปริมาณ “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2” ให้ได้ถึง 30% ด้วยการดำเนินการภายในองค์กรตลอดจนส่งเสริมภาคสังคมในด้านต่างๆ ที่มีบทบาทในการช่วยลด CO2 ด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งสนับสนุนให้ บราเดอร์ ทั่วโลกเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติดังเช่นที่ บราเดอร์ ประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการบราเดอร์อาสาอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติป่าชายเลนเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติอย่างยั่งยืนที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองนโยบายด้าน Positive Net Gain for Biodiversity ส่วนด้าน Maximize Resource Circulation จะเริ่มเดินหน้าลดการใช้ทรัพยากรใหม่ๆ และมุ่งเน้นด้าน Reuse และ Recycle เป็นหลัก” นายพรภัค อธิบายถึงรายละเอียดของนโยบาย Environmental Vision 2050

บราเดอร์ เชื่อว่าการสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้เป็นโลกที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนและพร้อมเป็นบ้านของมนุษยชาติจากปัจจุบันสู่อนาคตนั้น ไม่สามารถทำได้เพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่ต้องได้รับพลังความร่วมมือจากสังคมทุกสังคมบนโลกใบนี้ ร่วมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ปลูกฝังให้คนในรุ่นต่อๆ ไปเข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี” นายพรภัค กล่าวถึงเป้าหมายของนโยบาย Environmental Vision 2050 “แม้ปี 2050 อาจมองว่ายังห่างไกล แต่บราเดอร์เชื่อว่าหากเราไม่เริ่มในวันนี้ อาจสายเกินไปที่จะเริ่มภารกิจที่สำคัญดังกล่าว  เพราะการปลูกฝังเรื่องจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมนั้นต้องอาศัยเวลา

สำหรับการดำเนินงานเพื่อสนองตอบนโยบาย Environmental Vision 2050 ของ บราเดอร์ ประเทศไทยนั้น นายพรภัค กล่าวเสริมว่า บราเดอร์จะเดินหน้าสานต่อกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ทำมาแล้ว เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นควบคู่ไปกับการเดินหน้าเพื่อก้าวสู่การเป็น Green Office โดยมุ่งไปที่การลดปริมาณ CO2 และลดปริมาณขยะในสำนักงานผสานการต่อยอดสู่นโยบาย Maximize Resource Circulation ด้วยการมุ่งเน้นด้าน Reuse และ Recycle ผ่านโครงการ Ecobricks ที่รณรงค์ให้พนักงานนำเศษขยะชิ้นเล็กๆ ที่ไม่สามารถ    รีไซเคิลได้ เช่น ถุงพลาสติก ซองขนม หลอด มาอัดให้แน่นในขวดพลาสติก โดยต้องเป็นชิ้นส่วนไม่เปียก ไม่เน่า เพื่อใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างแทนอิฐสำหรับสร้างกำแพงของสถานศึกษา หรือห้องสมุดให้แก่ชุมชนพื้นที่ชายขอบใน จ.กาญจนบุรีต่อไป โดยบราเดอร์จะส่งทีมพนักงานอาสาสมัครเดินทางไปร่วมสร้างกำแพงในครั้งนี้ด้วย

TuesLIVE X LINE SHOPPING แจกเซอร์ไพรส์โค้ดจุกๆ

เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ “ป้าตือ” แจกแบบเซอร์พร้ายยยย! สำหรับรายการไลฟ์คอมเมิร์ซที่ช้อปสนุกที่สุดในไทย สำหรับ TuesLIVE X LINE SHOPPING” ที่ทุกสัปดาห์ #มาดามแห่งวงการออนไลน์ นอกเหนือจากจะมีคูปองมาแจกแหลกแล้ว ยังมีเซอร์ไพรส์โค้ด มูลค่า 1,500 บาท มาให้แฟนๆ รายการต้องเฝ้าจอรอช้อป จับตาดูกันให้ดีแล้วจดโค้ดจากไลฟ์สดๆ ก็ลดสดๆ ไปเลยเช่นกัน!!!

โดยในสัปดาห์นี้ “ป้าตือ – สมบัษร ถิระสาโรช” ชวน “ก็อต จิ” และ “ดีเจ.อ๋อง” มาร่วม LIVE FROM HOME! ถ่ายรายการกันแบบหยุดเชื้อเพื่อชาติ เพื่อให้ทุกคนได้ SHOP FROM HOME!ถึงแม้จะอยู่บ้าน แต่ก็ยังช้อปสนุกเพลินๆ ได้ โดยมาในธีม Central Brand Day ที่เซ็นทรัลขนสินค้าหลายรายการมาลดกระหน่ำแบบไม่เคยมีมาก่อน โดยครั้งนี้ “ป้าตือ” เล่าว่า “เป็นซีซั่น 3 ของ TuesLIVE X LINE SHOPPING ที่พิเศษกว่าที่เคยค่ะ ครั้งนี้นอกเหนือจากสินค้าที่แต่ละแบรนด์คัดสรรมาแล้ว ทางรายการยังช่วยให้คุณช้อปได้สบายกระเป๋ากว่าที่เคย ด้วยคูปองลดราคาในทุกๆ สัปดาห์ รวมตลอดแคมเปญหลายล้านบาท แต่ในทุกๆ สัปดาห์อยากให้ติดตามรายการให้ดี ทุกวันอังคาร เวลา 17.00 น. เพราะป้ามีเซอร์ไพรส์โค้ดให้กับทุกๆ คนแบบไม่เคยมีมาก่อน ลดสูงสุดถึง 1,500 บาท ที่เตรียมเซอร์ไพรส์มาให้ทุกสัปดาห์แบบต้องนั่งจ้องหน้าจอรอช้อป ไม่อยากให้ใครพลาดเลยจริงๆ ค่ะ เพราะมีจำนวนจำกัด”

สำหรับ Central Brand Day ในสัปดาห์นี้ มีทั้งสินค้ากีฬาจากแบรนด์ดัง Nike ที่อยากให้ทุกคนได้ออกกำลังกายและสุขภาพดี รวมถึงสินค้าจากซานริโอ้ รวมทั้งแฟลชเซลล์ ที่มีสินค้าเซอร์ไพรส์ๆ และอยากให้ทุกคนรอช้อป! ยิ่งไปกว่านั้นใครที่อยากไปเลือกช้อปเอง สามารถกดสั่ง Central/Robinson Gift Card ในราคาพิเศษไปอีกก!!

LINE SHOPPING X @TuesLIVE ยังแจกคูปองตลอดซีซั่น 3 นี้อีกกว่า 1 ล้านบาท พิเศษสุดๆ! สำหรับ Top Spender 5 คนแรกที่ช้อปสูงสุดตลอดแคมเปญนี้จะได้ไปร่วมพักผ่อน ณ โรงแรมศรีพันวา กับ Exclusive Trip  เพียงแค่กดช้อป ก็มีสิทธิ์ร่วมลุ้นไปทริปครั้งนี้ สำหรับสัปดาห์หน้า บอกใบ้ให้ก่อนว่าจัดเต็มสินค้าดีๆ จาก “วิลล่า มาร์เก็ต” มาแน่นอน เฝ้าจอรอช้อป!! ทุกวันอังคาร เวลา 17.00 น. เพียงแอด @LINESHOPPING และ @TuesLIVE ทางแอพพลิเคชั่น LINE