“แลคตาซอย พร้อมพ์” ชวนร่วมกิจกรรมแชะรูปรีวิวความอร่อยลุ้นรับรางวัล

“แลคตาซอย พร้อมพ์” นมถั่วเหลืองคุณภาพสูตรออริจินัลนวัตกรรมใหม่ในรูปแบบบรรจุขวดพร้อมดื่ม ขนาด 350 ml  ให้คุณประโยชน์ครบครัน อิ่มอร่อยได้ทันที เพื่อผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย พร้อมสำหรับในทุกกิจกรรม ชวนร่วมกิจกรรมแสนง่าย เพียงซื้อแลคตาซอย พร้อมพ์ 2 ขวด ที่เซเว่น หรือ เซเว่นอีเลฟเว่น เดลิเวอรี่ โพสต์รูปแลคตาซอย พร้อมพ์ 2 ขวด ตามสไตล์คุณ แล้วเขียนแคปชันรีวิวความอร่อยสไตล์ต้นตำรับ ติด #LactasoyPrompt #เซเว่น ลงในเฟสส่วนตัว ตั้งค่าเป็นสาธารณะ แคปโพสต์ลงใต้โพสต์กิจกรรมใน Facebook: lactasoyclub แล้วมาลุ้นรับรางวัลสเปเชียลเซ็ทฟรี จำนวน 20 รางวัล

โดยในเซ็ทประกอบด้วยนมถั่วเหลืองคุณภาพรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ บรรจุ 6 ขวด มาพร้อมกับกระเป๋า PromptBag สุดอินเทรนด์ 1 ใบ ราคาเซ็ทละ 399 บาท มูลค่ารวม 7,980 บาท (เก็บใบเสร็จต้นฉบับ หรือภาพถ่ายใบเสร็จที่ซื้อ Lactasoy Prompt ไว้เป็นหลักฐานสำหรับการยืนยันสิทธิ์ในการรับรางวัล) ระยะเวลาร่วมกิจกรรมตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 มิ.ย.64 ประกาศรางวัล 30 มิ.ย. 64 รายละเอียดเพิ่มเติม https://bit.ly/3fjVdWH

พบกับเเลคตาซอยพร้อมพ์ ได้แล้ววันนี้ที่ 7-11 ทุกสาขา ในราคา 17 บาท และติดตามรายละเอียดความอิ่มอร่อยสุดฟินและกิจกรรมอื่นๆ ที่แลคตาซอยจัดขึ้นอีกมากมายได้ที่ Facebook: lactasoyclub https://www.facebook.com/lactasoyclub

“เที่ยวไทยถึงรส” เปิดประสบการณ์เที่ยวไทยผ่านวัตถุดิบท้องถิ่น

ภาคท่องเที่ยวเริ่มขยับ ขานรับการฉีดวัคซีนแล้ว เราจะพาชุมชนไทยและอาหารไทยไปด้วยกัน! ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับ เพจ FOODCATION โดย บริษัท Mi6 Bangkok จำกัด แถลงข่าวจัดทำโครงการ เที่ยวไทยถึงรส” เปิดโอกาสให้ชาวไทย และ นักท่องเที่ยวทุกคน ได้มาทำความรู้จักกับเมืองไทยในมุมมองใหม่ผ่านเรื่องราวของวัตถุดิบท้องถิ่นและวิถีการกินพื้นบ้าน เพื่อเพิ่มความเข้าใจในวัตถุดิบและรสชาติที่สุดยอด น่าลิ้มลองพร้อมสร้างประสบการณ์เที่ยวเมืองไทยในมุมมองใหม่ไปพร้อมกัน ชนิดแตกต่าง เต็มอิ่ม และ ครบรส ถึงเครื่องมากขึ้น!!

ปรากฏการณ์ใหม่ในโครงการ เที่ยวไทยถึงรส” ในครั้งนี้ นำร่องด้วยการเชิญเชฟชื่อดัง ผู้ที่มีความสนใจและหลงใหลในวัตถุดิบของไทย อย่าง เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร แห่งร้านฤดู (LeDu) เจ้าของรางวัลดีกรี มิชลิน ดาว และ อันดับที่ จาก Asia’ s Best 50 Restaurants 2021 มายกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นที่ได้จากภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ นำมารังสรรค์ให้กลายเป็นเมนูใหม่ที่มีความพิเศษ มีคุณภาพและความอร่อยทัดเทียมระดับ Chef Table อีกทั้งยังตั้งใจผลักดันให้เมนูจากโครงการฯนี้ สามารถกลายเป็นเมนูคู่ครัวและเอกลักษณ์ประจำจังหวัด สร้างความภูมิใจของภูมิภาคต่อไปในอนาคต

 เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เปิดเผยว่า นี่จะเป็นประสบการณ์ใหม่ที่จะให้ชาวไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างๆ ได้รู้จักกับเมืองไทยในมุมมองใหม่ โดยผ่านอาหาร และ วัตถุดิบท้องถิ่น ส่วนตัวมองว่า วัตถุดิบไทยที่อยู่ใน ภูมิภาคต่างๆ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก วัตถุดิบหลายอย่างล้วนมีประโยชน์และมีคุณค่าอยู่ในตัวเองทั้งสิ้น มีหลายอย่างที่บางคนอาจจะยังไม่รู้จัก จึงอาจถูกมองข้ามไป ผมจึงอยากนำประสบการณ์และความถนัดของตัวเอง นั่นก็คือการทำอาหาร มาเป็นตัวกลางในการบอกเล่าและช่วยยกระดับให้วัตถุดิบของไทยเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เริ่มจากคิดวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาง่ายในจังหวัด

นอกจากทำเมนูที่มีความคิดสร้างสรรค์และความพิเศษแล้ว ผมยังคำนึงถึงขั้นตอนที่ไม่ยากจนเกินไป ซึ่งเมนูนำร่องของโครงการ ก็จะประกอบไปด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นที่ได้มาจาก 3 จังหวัดสำคัญ นั่นก็คือ ปลานิล และ มะเดื่อ จาก จ.หนองคายสาหร่ายไก และ มะแขว่น จาก จ.น่านหน่อไม้ไผ่ตง จาก จ.ปราจีนบุรี ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้จะถูกนำมาปรุงเป็นเมนูอะไรบ้างนั้น อยากชวนให้ทุกๆ คนร่วมติดตามไปพร้อมกันที่เพจ FOODCATION รับรองว่าทุกเมนูที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ จะถูกปากถูกใจพี่น้องชาวไทยแน่นอน

โครงการเที่ยวไทยถึงรส ยังได้รับความร่วมมือจากร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ใน จังหวัดนำร่อง ช่วยกันกระจายความอร่อยไปสู่ผู้คนในท้องถิ่น รวมถึง นักท่องเที่ยวที่สนใจอยากเดินทางมาชิมเมนูพิเศษเมนูถึงถิ่นด้วยตัวเองด้วย พร้อมกันนั้นผู้ที่สนใจอยากลิ้มลองความอร่อยของ เมนูพิเศษนี้ ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมใจยินดีมอบส่วนลดพิเศษให้ 50% เมื่อสั่งเมนูพิเศษของโครงการ โดยจะเริ่มต้นเปิดจำหน่ายเมนูพิเศษนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน – 15 กันยายน 2564 (สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด) ทั้งนี้เพื่อปลุกกระแสให้วัตถุดิบท้องถิ่นได้รับความสนใจมากขึ้น และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอีกทางหนึ่งด้วย

เปิดตัวใหม่! เห็ดแครง-ขนุนอ่อน 3 เมนู Healthiful Plant-Based Meat

จากกระแสคนรักสุขภาพและเทรนด์การบริโภคอาหารอย่างยั่งยืน เมื่อผู้บริโภคยุคใหม่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์หันมาบริโภคโปรตีนทางเลือกมากขึ้น “Healthiful” (เฮลธิฟูล) ร้านจำหน่ายสินค้าและอาหารเพื่อสุขภาพครบวงจรแห่งแรกของไทย เตรียมพร้อมรุกนวัตกรรมอาหารอย่างยั่งยืนแห่งอนาคต เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Healthiful Plant-Based Meat” ปฏิวัติวงการ Plant-Based Foods ครั้งแรกกับโปรตีนทางเลือกที่ผลิตจากเห็ดแครงและขนุนอ่อน แก้ทุก Pain-Point ทั้งรสชาติ ราคา รสสัมผัส บริโภคได้ง่ายมากยิ่งขึ้น หวังขยายตลาด Plant-Based Foods ในเมืองไทยให้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

สเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด

นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า จากความสำเร็จของการเปิด Healthiful (เฮลธิฟูล) ร้านจำหน่ายสินค้าและอาหารเพื่อสุขภาพครบวงจรแห่งแรกของไทย เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ภายใต้แนวคิด Better Choices for a Healthier You (ทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อสุขภาพคุณที่ดีขึ้น) และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า จนปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 21 สาขาทั่วประเทศ และเป็นร้านสัญชาติไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัล 1 ใน 50 ร้านทั่วโลกที่นักช้อปต้องมาเยือนในปี 2020 จาก Institute Grocery Distribution (IGD) ประเทศอังกฤษ ในโอกาสฉลองครบรอบ 1 ปี “Healthiful” (เฮลธิฟูล) ด้วยพันธกิจที่มุ่งมั่นเป็นเพื่อนคู่ใจของคนรักสุขภาพในทุกช่วงชีวิต จึงมุ่งพัฒนานำเสนอสินค้าเพื่อเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภค

ด้วยเทรนด์การบริโภคอาหารในอนาคตกำลังเปลี่ยนไป ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ควบควบคู่กับกระบวนการผลิตที่สร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น ส่งผลให้การบริโภคมังสวิรัติและลดการบริโภคเนื้อสัตว์ในประเทศไทยเติบโต โดยเฉพาะตลาด Plant-Based Foods ที่กำลังได้รับความสนใจในกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ผู้บริโภคสายคลีน กลุ่มคนออกกำลังกาย และกลุ่มใหม่ที่น่าสนใจ คือผู้บริโภคกลุ่ม Flexitarian ที่รับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่นเป็นครั้งคราว ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ในบางมื้อ เพื่อรองรับเทรนด์การบริโภคดังกล่าว จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Healthiful Plant-Based Meat ครั้งแรกกับโปรตีนทางเลือกที่ผลิตจากเห็ดแครงและขนุนอ่อน 3 เมนู ready-to-cook ที่คนไทยคุ้นเคยและง่ายต่อการนำไปประกอบอาหาร ที่ไม่ใช่แค่รักสุขภาพ แต่รสชาติยังยอดเยี่ยม ทานได้ทุกวัน รับประกันว่าต้องถูกปากผู้บริโภคคนไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษฉลองเปิดตัวตั้งแต่วันที่ 16-29 มิถุนายน 2564  ได้แก่

  • เฮลธิ.ฟูลโปรตีนกริลด์มีท 160 กรัม ในรูปแบบของ “หมูปิ้งเสียบไม้” ให้ความรู้สึกอาหารเช้าสไตล์สตรีทฟู้ดที่ดีกับสุขภาพ พิเศษ 105 บาท จากปกติราคา 119 บาท/แพค
  • เฮลธิ.ฟูลโปรตีนสเต็ก 175 กรัม ชิ้นเนื้อสเต็กนำไปทำอาหารต่อได้ง่ายๆ พิเศษ 129 บาท ปกติราคา 145 บาท/แพค
  • เฮลธิ.ฟูลโปรตีนเบอร์เกอร์แพตตี้113 กรัม เพียงจับคู่ทานกับขนมปัง ก็จะได้เบอร์เกอร์แสนอร่อยที่ง่ายและสุขภาพดี พิเศษ 85 บาท ปกติราคา 95 บาท/แพค

นายสเตฟาน กล่าวเพิ่มเติมว่า Healthiful Plant-Based Meat เกิดจากการวิเคราะห์ตลาด ซึ่งปัจจุบัน สินค้า Plant-based แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ Traditional (กลุ่มโปรตีนเกษตรและโปรตีนถั่วเหลือง) และ New Gen (กลุ่มโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ที่หน้าตาเสมือนเนื้อสัตว์จริง) ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่บริโภคสินค้าNew Gen Plant-based นั้นอยู่ในฝั่งตะวันตก คือ ทวีปยุโรปและอเมริกา จากการสำรวจพบว่าประเด็นหลักที่ทำให้ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริโภคสินค้า Plant-based น้อยกว่าทวีปยุโรปและอเมริกา  คือ กรอบความคิดเดิม เนื่องจาก Plant-based meat ได้ถูกเชื่อมโยงกับเทศกาลกินเจมาโดยตลอด ทำให้ผู้บริโภคในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองว่าการบริโภค Plant-based meat เป็นสิ่งที่ควรบริโภคเฉพาะเทศกาล และมักทำจากถั่วเหลืองซึ่งมีกลิ่นแรง จึงเน้นบริโภคเต้าหู้มากกว่า, ลักษณะการบริโภคเนื้อสัตว์ เนื่องจาก Plant-based meat new gen นั้นมาจากฝั่งตะวันตกที่เน้นการบริโภคเมนูเนื้อวัว ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่บริโภคเนื้อหมูและไก่เป็นหลัก จึงนำมาประยุกต์ประกอบอาหารได้ยากกว่า และ ราคา ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญกับผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากสินค้าในกลุ่ม New Gen Plant-based มักเป็นสินค้านำเข้า จึงทำให้ราคาค่อนข้างสูง

Healthiful Plant-Based Meat จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการโดยแก้ Pain-Point ทั้งด้านรสชาติ ราคา รสสัมผัส ผ่านกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันทุกขั้นตอน จนออกมาเป็น 3 ผลิตภัณฑ์ ready-to-cook ที่ดีต่อสุขภาพ รสชาติอร่อย ให้รสสัมผัสที่คนไทยคุ้นเคย รับประทานง่ายทานได้ทุกวันไม่จำเพาะเทศกาล โดยเนื้อแพลนท์เบสใช้วัตถุดิบหลักโปรตีนจากพืช100% คือ “เห็ดแครง”ซึ่งให้โปรตีนสูงและ “ขนุนอ่อน” ทำให้ได้ texture ที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ มีวิตามินและแร่ธาตุจากผัก แปรรูปให้มีสีสันน่ารับประทาน ผสมกับน้ำมันรำข้าว เพื่อให้ได้สัมผัสชุ่มฉ่ำ ไร้กลิ่นหืนของถั่วเหลือง ใช้วัตถุดิบหลักที่ผลิตในประเทศสนับสนุนเกษตรกรไทยโดยคัดเลือกเห็ดแครงคุณภาพจากฟาร์มออร์แกนิคที่เน้นการทำการเกษตรแบบยั่งยืนและใช้ระบบ Bio Cycle ในจังหวัดสงขลา จึงสามารถจำหน่ายสินค้าในราคาที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์และมีราคาถูกกว่า Plant-Based Foods ที่เป็นสินค้านำเข้าเกือบ 50%

นอกจากนี้ Healthiful Plant-Based Meat ไม่มีส่วนประกอบของถั่วเหลือง (Soy free) ปราศจากกลูเตน (Gluten free) จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้แพ้ถั่วเหลืองและกลูเตน ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่วัตถุกันเสีย และไม่มีคอเลสเตอรอล ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และสร้างความยั่งยืนด้านอาหาร

Healthiful Plant-Based Meat มีจำหน่ายแล้วที่ร้าน Healthiful ในท็อปส์ มาร์เก็ต,เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และสาขาสแตนด์อโลนเดอะคริสตัลรามอินทรา หรือช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ www.tops.co.th, แอปพลิเคชั่น Grab, Foodpanda และ Healthiful Chat & Shop พิเศษ! ตลอดเดือนมิถุนายน Healthiful ฉลองครบรอบ 1 ปี เมื่อซื้อสินค้าครบ 800 บาท รับฟรีกระเป๋าเก็บความเย็น มูลค่า 259 บาทและสั่งซื้อสินค้าผ่าน Healthiful Chat & Shop (Line & Facebook : HealthifulOfficial) ครบ 500 บาท ส่งฟรี Kerry ทั่วประเทศ (เฉพาะสินค้า grocery)

ติดตามข้อมูลข่าวสาร และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Healthifulofficial

เลื่อนกิจกรรม Food Destination Center เป็น 2 พ.ย. 64 – 24 ม.ค. 65

AEC Trade Center – PANTIP Wholesale Destination” ศูนย์ค้าส่งใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค หนึ่งเดียวใจกลางกรุงเทพฯ เลื่อนการจัดกิจกรรม Beyond Exhibition – Food Destination Center” เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ร่วมงาน กำหนดวันจัดกิจกรรมใหม่เป็น 2 พฤศจิกายน 2564 – 24 มกราคม 2565 โดยยังคงความตั้งใจเดิมที่จะให้กิจกรรมนี้เป็นศูนย์รวมของพันธมิตรผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารไว้มากที่สุด เปิดประสบการณ์แบบครบวงจรให้กับพันธมิตรผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการค้าส่งตั้งแต่ต้นน้ำไว้มากที่สุด รวมทั้งเป็นมิติใหม่ของศูนย์ค้าส่งด้านธุรกิจอาหารครบวงจรที่สะดวกที่สุด ครบที่สุด ราคาดีที่สุด เพื่อพาผู้ประกอบการไทยก้าวข้ามทุกข้อจำกัดด้านการค้ายุคเดิม ๆ สู่การทำธุรกิจยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงท่ามกลางการแข่งขันในเวทีการค้าโลก

ผู้สนใจกิจกรรม Food Destination Center ดูรายละเอียดได้ที่ https://beyondexhibition.aectradecenter-th.com หรือสอบถามฝ่ายขาย โทร. 061 416 6790, 065 950 5986

TPCH จ่อเสียบปลั๊กโรงไฟฟ้าเพิ่ม 10 MW

TPCH เตรียม COD โรงไฟฟ้าขยะเพิ่ม กำลังผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ลุ้นผลประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ คาดเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ พร้อมเดินหน้าศึกษาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ฟาก “กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ประธานคณะกรรมการบริหาร มั่นใจผลงานปี 64 โตแกร่ง

นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจที่เหลือของปีนี้ ยังมีสัญญาณที่ดี เนื่องจากบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการ COD โรงไฟฟ้าชีวมวลครบ 10 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP , PTG ,TPCH 5 , TPCH 1 และ TPCH 2 กำลังการผลิตรวม 109 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะ COD โรงไฟฟ้าขยะ สยาม พาวเวอร์ (SP) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ เพิ่ม เพื่อให้มีกำลังการผลิตรวมตามแผนที่วางไว้

“แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากและกระจายไปในหลายจังหวัดก็ตาม แต่บริษัทฯ ยังเดินหน้าที่จะ COD โรงไฟฟ้าขยะ SP เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรวมจากเดิม 109 เมกะวัตต์ เป็น 119 เมกะวัตต์ โดยมั่นใจว่า จะช่วยสนับสนุนผลงานทั้งรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง” นางกนกทิพย์กล่าว

เชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH

ด้าน นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH กล่าวว่า โรงไฟฟ้าขยะ สยาม พาวเวอร์ (SP) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบระบบไปกว่า 90% คาดว่าจะสามารถ COD ได้ตามแผนที่วางไว้ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล แม่ลาน ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล บันนังสตา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ได้ในปีหน้า และในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) พ.ศ. 2564  บริษัทฯ ได้ยื่นเข้าร่วมประมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ บริษัทฯ ได้ร่วมยื่นประมูลจำนวน 10 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการจะอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัดของประเทศ ขณะนี้รอผลการประกาศจากทางภาครัฐ ที่เลื่อนออกไป เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มีการเข้าไปศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะอยู่ประมาณ 3-5 แห่ง และอยู่ระหว่างการศึกษาผลตอบแทนในการลงทุนของแต่ละโครงการ คาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ เพื่อเป้าหมายการมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 250 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566” นายเชิดศักดิ์กล่าวในที่สุด

อนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1/64 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวม 566.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 393.36 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 47.45 ล้านบาท

SCN เยี่ยมชมโรงงานสกัดกัญชง – กัญชา

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN และคณะทีมงาน เข้าศึกษาและเยี่ยมชมบริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านสารสกัดจากสมุนไพรไทย เพื่อศึกษาร่วมกันในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกัญชง  กัญชา และมองหาโอกาสสำหรับการต่อยอดธุรกิจร่วมกันในอนาคต

TPIPP ติดอันดับหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ยั่งยืน ESG100

‘บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์’ หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งรายใหญ่ของไทย ได้รับคัดเลือกติดอันดับหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ยั่งยืน ESG100 ประจำปี 2564 จากจำนวน 824 หลักทรัพย์ ในฐานะเป็นบริษัทที่มีผลดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากสถาบันไทยพัฒน์ นับเป็นการเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนในระยะยาว 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา TPIPP ยึดมั่นและให้ความสำคัญในกระบวนการทำงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) มาโดยตลอด ซึ่งครอบคลุมการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อันจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียของกิจการและพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนในระยะยาว

ทั้งนี้ สถาบันไทยพัฒน์ได้ประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนในปี 2564 โดยครอบคลุม 824 หลักทรัพย์ ซึ่งการจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นสำคัญและเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

การที่ TPIPP ได้รับการคัดเลือกให้เป็นบริษัทในกลุ่ม ESG100 ไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนมากขึ้น หากแต่ยังเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทได้อย่างดีอีกด้วย

TWPC ร่วมเสวนาฯ มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรม ส่งเสริมความยั่งยืน

บมจ.ไทยวา (TWPC ) ร่วมเสวนาในการประชุมครั้งสำคัญของโลก UNGC Virtual Leaders Summit 2021 (รูปแบบออนไลน์) จัดโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นผู้นำความยั่งยืนของไทยในอุตสาหกรรมการเกษตร และอาหาร ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการปลูกจนถึงมือผู้บริโภค (Creating Innovation and Sustainability from Farm to Shelf) สร้างความเปลี่ยนแปลง เพื่อโลกที่ยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 – 16 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา 

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง  และผู้นำตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่า ในฐานะบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตร และอาหาร ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์หลักในการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์การพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการปลูกจนถึงมือผู้บริโภค (Creating Innovation and Sustainability from Farm to Shelf) โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกด้านของห่วงโซ่คุณค่า  (Value Chain) ตั้งแต่กระบวนการปลูก การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และการจัดส่งสินค้า จึงให้ความสำคัญกับการบูรณาการเป้าหมายความยั่งยืนเข้าสู่กลยุทธ์ของธุรกิจ มุ่งเติบโตไปยังอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตได้อย่างยั่งยืน

ไทยวา เราเชื่อว่าความยั่งยืนนั้นไม่สามารถสร้างได้จากคนเดียวแต่จะต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทุกฝ่ายทั้งในและนอกองค์กร ที่มีส่วนช่วยพัฒนา ให้องค์กรเจริญเติบโตยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนนั้นไม่ใช่เพียงแค่เป้าหมายในระยะยาวเท่านั้น แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจในทุกๆ วัน การผสานกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเข้ากับพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ 3 จุดมุ่งหมาย คือ แหล่งวัตถุดิบที่ยั่งยืน ช่วยพัฒนาชุมชนที่ให้ชีวิตมีสุขภาพดีขึ้น รวมถึงการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีขึ้นในอนาคต ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก คือ 1. การพัฒนาพนักงานเกษตรกร 2. พัฒนาโรงงานและชุมชนสีเขียว 3. พัฒนาชีวิตครอบครัวพนักงาน และ 4. วิจัยอาหารออร์แกนิคและอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของภาคธุรกิจที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) จำนวน 13 เป้าหมาย จาก 17 เป้าหมาย ได้อย่างสอดคล้องกับขีดความสามารถและศักยภาพของบริษัทฯ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs: Sustainable Development Goals)  ภายในปี 2573 ด้วย

สำหรับการเสวนาในการประชุม UNGC Virtual Leaders Summit 2021 ครั้งนี้ เป็นการรวมสุดยอดผู้นำสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กที่รวมผู้นำระดับโลกกว่า 25,000 คน จากภาคธุรกิจ สหประชาชาติและประชาสังคมทั่วโลก พร้อมด้วยนักธุรกิจจากประเทศไทย ระดมความคิดรับมือกับความท้าทายของวิกฤตโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รวดเร็ว เศรษฐกิจที่เลวร้าย พร้อมผนึกกำลัง ปรับเป้าหมายทางธุรกิจ และลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

STGT พร้อมกลับมาเปิดโรงงานตรังอีกครั้งแล้ว! วันนี้

บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT พร้อมกลับมาเปิดโรงงานจังหวัดตรังในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ หลังได้รับไฟเขียวจากผู้ว่าราชการจังหวัด วาง 11 มาตรการเข้มป้องกัน COVID-19 ครอบคลุมพื้นที่ทุกส่วนภายในโรงงาน เพื่อความปลอดภัยของพนักงานและตอกย้ำความมั่นใจแก่ผู้บริโภค และดำเนินการตามมาตรการเดียวกันในโรงงานทุกแห่ง ส่วนโรงงานจังหวัดสุราษฎร์ธานี กลับมาเดินเครื่องจักรแล้วตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา  

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 โรงงานผลิตถุงมือยางของบริษัทฯ ในจังหวัดตรัง ได้กลับมาเปิดโรงงานและเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าอีกครั้ง หลังจากได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นที่เรียบร้อย โดยโรงงานจังหวัดตรังมีกำลังการผลิตถุงมือยางชนิดมีแป้งประมาณ 25 ล้านชิ้นต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณ 28% ของกำลังการผลิตรวมทุกโรงงานที่ 90 ล้านชิ้นต่อวัน และได้หยุดการผลิตเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากตรวจพบพนักงานติด COVID-19 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ทำการตรวจหาเชื้อให้กับพนักงานทั้งหมดก่อนเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำความมั่นใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการเปิดโรงงานจังหวัดตรัง บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการคัดกรองและป้องกัน COVID-19 อย่างเข้มงวด   เพื่อให้ความปลอดภัยแก่พนักงานและสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางของศรีตรังโกลฟส์ โดยจัดทำมาตรการ 11 ข้อ เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดอย่างสูงสุด ได้แก่ 1.การฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อภายในพื้นที่สำนักงานทุกส่วนก่อนการเปิดโรงงานครั้งนี้ 2.ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อระบบทำความความเย็นภายในพื้นที่ปฏิบัติงานทุกจุด 3.ติดตั้งระบบฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนเข้าพื้นที่โรงงาน 4.กระจายจุดรูดบัตรเพื่อลดความแออัดของพนักงาน 5.กระจายจุดวางล็อกเกอร์เพื่อลดความแออัด 6.จัดแบ่งเส้นทางเข้าปฏิบัติงานภายในโรงงานเพื่อลดความแออัด 7.เน้นย้ำพนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะอยู่ภายในพื้นที่โรงงานและสวมใส่ถุงมือทุกครั้งที่ต้องสัมผัสผลิตภัณฑ์ 8.เน้นย้ำมาตรการล้างมือและฉีดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อในพื้นที่ทำงานทุกคนและก่อนเริ่มงานทุกครั้ง 9.ขยายพื้นที่ปฏิบัติงานชั่วคราวเพื่อลดความแออัดของพนักงานในแต่ละพื้นที่ 10.ติดตั้งระบบฆ่าเชื้ออัตโนมัติในระบบทำความเย็น 11.เพิ่มความถี่การฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ส่วนกลางที่ต้องใช้งานร่วมกัน เช่น โรงอาหาร ห้องประชุม ห้องน้ำ เป็นต้น และจัดเตรียมอุปกรณ์สเปรย์น้ำยาฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ นอกจากนี้พนักงานทุกคนจะต้องผ่านการตรวจคัดกรองก่อนเข้าภายในพื้นที่โรงงานและไลน์การผลิต เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิและฉีดพ่นแอลกอฮอล์, สวมใส่หน้ากากอนามัย, ล้างมือด้วยสบู่และแช่น้ำยาฆ่าเชื้อ, สวมเสื้อคลุมและหมวกคลุมผม เป็นต้น และในระหว่างการปฏิบัติงานจะมีการสเปรย์แอลกอฮอล์แก่พนักงานเป็นระยะๆ พร้อมทั้งได้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในโรงงานทุกแห่งของบริษัทฯ อีกด้วย

“ขอให้มั่นใจว่าบริษัทฯ มีมาตรการดูแลพนักงานและการฆ่าเชื้อภายในโรงงานเป็นอย่างดีเพื่อให้ความมั่นใจแก่ชุมชนโดยรอบและลูกค้าของเรา โดยในกระบวนการผลิตถุงมือยางจะใช้ระบบอัตโนมัติแบบต่อเนื่องและเป็นกระบวนการผลิตที่ผ่านความร้อนในระดับสูง รวมถึงมีระบบทำความสะอาดตามมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ดังนั้นจึงเชื่อมั่นเราได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดเชื้อแก่ผู้บริโภค โดยนอกจากการเปิดโรงงานจังหวัดตรังในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้กลับมาเปิดดำเนินการโรงงานจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมทั้งดำเนินการตามมาตรการด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน” นางสาวจริญญา กล่าว

WHA Group ปักธง ครึ่งปีหลัง 4 ธุรกิจฟื้น

บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group มั่นใจครึ่งปีหลังธุรกิจฟื้น จากการขับเคลื่อนแผนการลงทุน และกระจายวัคซีนของประเทศไทย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก คงเป้ายอดขายที่ดินในประเทศ จำนวน 725 ไร่ และต่างประเทศ 305 ไร่ พร้อมเตรียมพัฒนานิคมใหม่เพิ่มอีก 3 แห่ง โครงการศูนย์กระจายสินค้าอีก 5 โครงการบนพื้นที่ 400,000 ตารางเมตร  ภายใต้รูปแบบ “คลังสินค้าอัจฉริยะ” รองรับการลงทุนทั้งชาวไทย และต่างชาติ ส่วนธุรกิจน้ำ และไฟฟ้าเติบโตอย่างมั่นคง ตามยอดการใช้น้ำเพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้าปี 2566 ให้บริการ Solar Roof ครบ 300 MW 

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใสขึ้น จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตและการลงทุนจากต่างประเทศจะเริ่มส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้น ตามแผนการผลิตและกระจายวัคซีนของประเทศไทย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก บริษัทฯ จึงคงเป้ายอดขายที่ดินในประเทศไทยสำหรับปี 2564 ไว้ที่จำนวน 725 ไร่

อีกทั้งยังมีการพัฒนานิคมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีนี้จะเปิดตัวนิคมใหม่เพิ่มอีกอย่างน้อย 3 แห่ง จากในช่วงก่อนนี้ได้มีการเปิดดำเนินการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36  รองรับการลงทุนของนักลงทุนสนใจทั้งไทย และต่างชาติ รวมทั้งการเปิดให้เช่าพื้นที่ภายใน TusPark WHA ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมแห่งใหม่ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ขณะที่การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเร่งทำยอดขาย พร้อมกับการก่อสร้างในส่วนจองเฟส 1 และส่วนที่เหลือเพื่อให้เป็นไปตามเป้ายอดขายที่ดินในเวียดนามสำหรับปีนี้จำนวน 305 ไร่ พร้อมกับการวาง Master Plan เพื่อพัฒนาพื้นที่สำหรับเฟส 2 และเฟส 3 ที่คิดเป็นพื้นที่รวมเพิ่มเติมอีก 4,700 ไร่ รวมถึงการดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตและการอนุมัติโครงการเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่งในจังหวัดถั่งหัว (Thanh Hoa) บนพื้นที่รวมกว่า 7,500 ไร่ที่ยังคงเป็นไปตามแผนงานที่ได้วางไว้

ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งมีคลังสินค้า Built-to-Suit และ Warehouse Farm บริษัทฯ ยังคงเป้าให้บริการพื้นเช่านี้ไว้เท่ากับ 175,000 ตารางเมตร  และการขายทรัพย์สิน และสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์เพิ่มเติมอีกประมาณ 180,000 ตารางเมตร

โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2564 นี้ อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาโครงการศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก 5 โครงการบนพื้นที่รวมกว่า 400,000 ตารางเมตร  ภายใต้รูปแบบ “คลังสินค้าอัจฉริยะ” ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการนำเสนอ Value-added Services

และในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภค มีการเติบโตที่มั่นคงมากขึ้นจากยอดการใช้น้ำ และไฟฟ้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ทยอยเปิดดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/2563 ที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ยังได้พัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันดำเนินการโครงการ Reclamation Plant ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กำลังการผลิต 25,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

ส่วนธุรกิจไฟฟ้าบริษัทฯ สามารถเซ็นสัญญาโครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเพิ่มเติมได้อีกกว่า 10 เมกะวัตต์ รวมเป็นการเซ็นสัญญาสะสมจำนวน 61 เมกะวัตต์ และได้เริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าในไตรมาส 1 ปี 2564 รวม 4 เมกะวัตต์ ทำให้ ณ ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตที่เปิดดำเนินการอยู่ที่ 44 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าในปีนี้จะสามารถเซ็นสัญญาเพื่อลงทุนผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 40 เมกะวัตต์ บริษัทฯ คงเป้าจำนวนการเซ็นสัญญาที่ 90 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2564 และเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ภายในปี 2566

พร้อมกันนี้ ยังอยู่ระหว่างการขออนุญาตดำเนินการเปิดใช้งานระบบซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (P2P Energy Trading Platform) ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ควบคู่ไปกับการเตรียมติดตั้งเพื่อทดสอบระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) บนโรงกรองน้ำของบริษัทฯ นอกจากนี้ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม บริษัทฯ อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการลงทุน 5G Tower ร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำเพื่อติดตั้งและทดสอบการใช้งานจริงของโซลูชัน 5G ภายในเขตนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ควบคู่ไปกับการขยายการให้บริการเชื่อมต่อสื่อสารแบบโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดให้แล้วเสร็จ ซึ่ง 5G Tower และ FTTx