ปั้นร้านโชห่วยให้เป็น S-M-A-R-T โชห่วย มิตรแท้ชุมชน

วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้พลิกโฉมการใช้ชีวิตของทุกภาคส่วนในสังคมไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เว้นแม้แต่ร้านค้ารายย่อยหรือโชห่วยที่เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในชุมชนของไทย ที่วันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สำคัญในการตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคโควิด ที่ไม่มีใครอยากไปไหนไกลบ้าน!

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ฉายภาพภูมิทัศน์ของ “โชห่วยไทย” ที่เปลี่ยนไปและต้องปรับตัวให้ อยู่รอดอย่างยั่งยืน  มีความ S-M-A-R-T และต้องเป็น “มิตรแท้ชุมชน”

ด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจของตลาดร้านค้าโชห่วยไทย 1.03 ล้านล้านบาท ที่กรมพัฒนาธุรกิจเปิดเผย ทำให้ “โชห่วย” เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และกำลังเป็นทางเลือกการซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค และของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน สำหรับประชาชนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเดินทาง เพื่อลดความเสี่ยงยุคโควิด

“แม็คโครในฐานะที่คลุกคลีและใกล้ชิดกับธุรกิจโชห่วยมาเกือบ 32 ปี เราได้เห็นประเด็นสำคัญและวิเคราะห์หาแนวทางการต่อยอดอย่างยั่งยืนให้ร้านค้าโชห่วย ด้วยโครงการ MRA Plus โมเดลความสำเร็จใหม่ภายใต้กลยุทธ์ S-M-A-R-T  นั่นคือ  S- Sustainable (การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน), M- Manageable (เก่งการจัดการ), A- Adaptable (ปรับตัวว่องไว), R-Relationship (มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมในชุมชน) และ T- Technology (ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มศักยภาพร้านค้า) ที่เหมาะกับยุคสมัยของการฟันฝ่าทุกวิกฤต”

หัวใจสำคัญของการทำร้านโชห่วยให้เติบโตอย่างยั่งยืนคือ การผสมผสานสินค้าที่ทำกำไรได้ดี ดังนั้นหากรู้จักบริหารจัดการ เพิ่มช่องทางสร้างรายได้จากสินค้าและความแตกต่างที่ช่วยเพิ่มยอดขายและทำกำไรได้ดี ก็จะช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ เดินหน้าต่อไปได้ กลายเป็น “สมาร์ทโชห่วย” ที่เข้มแข็ง

ในโครงการนี้ แม็คโครวางบันไดการเติบโตของร้านค้ารายย่อยสู่เป้าหมายการเป็น ‘มิตรแท้ชุมชน’ ผ่านการเชื่อมโยงบริการต่างๆ ที่จะเข้ามาต่อยอด สร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ พร้อมกับเติมเต็มองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ครบเครื่องผ่านการทำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการบริหารจัดการร้านค้า สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์โชห่วย  แนะนำการให้บริการดิลิเวอรี่ และการปรับปรุงร้านให้มีความทันสมัย

สำหรับ บริการเสริมเพิ่มรายได้ที่ แม็คโคร สนับสนุนและส่งเสริมให้โชห่วย ประกอบด้วย

  • ตู้ครัวชุมชน เพิ่มกำไร’ จากตู้อาหารแช่แข็งอาหารพร้อมปรุง ตู้แช่ผักผลไม้ ชั้นวางเครื่องปรุง เพื่อตอบกระแสการซื้ออาหารบริโภคจากร้านใกล้บ้านในชุมชน
  • ‘คาเฟ่ชุมชน’ ที่นำตู้กดกาแฟสดมาสร้างรายได้ เรียกคืนกลุ่ม สภากาแฟ ในชุมชน
  • ‘โชห่วยสะดวกซัก’ จากเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าปัจจุบัน
  • ‘เพิ่มจุดบริการออนไลน์’ เพื่ออำนวยความสะดวก เช่น รับประกันภัย ต่อ พ.ร.บ. ส่งพัสดุ ฯลฯ

“ด้วยเครื่องมื่อและบริการเสริมเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ที่แม็คโครออกแบบนั้น จะมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ถ้าโชห่วย ก้าวไปนั่งอยู่ในใจของคนในชุมชน เป็น ‘มิตรแท้ชุมชน’ ที่เกิดขึ้นจากการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างเหนียวแน่น  ซึ่งที่ผ่านมา มีร้านค้าที่ทดลองนำโมเดลนี้ไปใช้แล้ว ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จ ยอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 50%  จากการเป็นทุกอย่างให้คนในชุมชนจริงๆ”

นอกจากธุรกิจค้าปลีกเล็กๆ ในชุมชน เป็นตัวเลือกสำคัญในการจับจ่ายสินค้าจำเป็นใกล้บ้านแล้ว  ปัจจุบันยังเป็นช่องทางสำคัญของรัฐบาลในการส่งต่อความช่วยเหลือไปยังประชาชน ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น เราชนะ คนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ม.33 เรารักกัน รวมถึงเป็นแหล่งจ้างงานในชุมชนและช่องทางการกระจายสินค้าที่สำคัญในระดับท้องถิ่น

นางศิริพร ยังกล่าวอีกว่า “แม็คโครเชื่อว่า โมเดลการพัฒนาสมาร์ทโชห่วย จะเป็นโมเดลต้นแบบในการช่วยเหลือโชห่วยไทยที่มีมากกว่า 500,000 รายให้อยู่รอดได้อย่างยั่งยืนภายใต้การเป็นมากกว่าร้านค้า แต่เป็น มิตรแท้ให้ชุมชน”

ทั้งนี้ แม็คโคร ได้เดินหน้าจัดกิจกรรมช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “มหกรรมสินค้าลดแรงเพื่อผู้ประกอบการ”  ที่จัดอย่างต่อเนื่องทุกเดือนยาวไปถึงสิ้นปี ล่าสุดจัดขึ้นวันที่ 16-20 มิถุนายนนี้ ณ สาขาของแม็คโครทั่วประเทศ เพื่อนำเสนอสินค้าราคาดีทำกำไรได้ มุ่งหวังให้ผู้ประกอบการเล็กๆ ในระบบเศรษฐกิจฐานรากมีกำลังใจฟันฝ่าธุรกิจไปด้วยกัน!

EE เล็งระดมเงินพัฒนาธุรกิจ ต่อยอดเกษตรครบวงจร

 “EE” ส่อเพิ่มทุน หวังระดมทุน รุกลงทุนพัฒนาธุรกิจกัญชงต่อยอดเกษตรครบวงจร หลังผลศึกษาชี้ชัดเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตในระยะยาว

นางสาววราภรณ์ สุพฤกษาสกุล กรรมการ และผู้รับผิดชอบดูแลฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากฝ่ายบริหารได้เล็งเห็นถึงโอกาสความเป็นไปได้ในธุรกิจด้านการเกษตร (Agricultural Business) ที่มุ่งเน้นด้านการจัดการพื้นที่เกษตรกรรม และธุรกิจการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิ

รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับการศึกษา การพัฒนา การเพาะปลูก การผลิต การแปรรูป ไปจนถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชา และ/หรือกัญชง ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. 2563 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564 เป็นต้นมา

น.ส.วราภรณ์ กล่าวว่า จากการศึกษาเบื้องต้น บริษัทฯจะเน้นให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชงเป็นหลัก เพราะเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่กัญชง จะเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ของประเทศไทยในอนาคต ที่จะช่วยเพิ่มรายได้และกำไรให้แก่ผู้ปลูกในระยะยาว เนื่องจากส่วนประกอบของกัญชงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด ตั้งแต่ช่อดอก ใบ เมล็ด เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้านและราก

โดยส่วนประกอบทั้งหมดที่กล่าวมานั้น สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมการแพทย์ อาหารเสริม เครื่องสำอาง โดยใช้สารสกัด CBD จากช่อดอก น้ำมัน และโปรตีนจากเมล็ดซึ่งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) ให้กับกัญชงอย่างมาก อีกทั้งยังมีความต้องการจากตลาดสูงทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้เส้นใยและส่วนอื่นของกัญชงยังสามารถใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ อาหารสัตว์ พลังงาน และปุ๋ย ที่มีมูลค่าสูงเช่นกัน

ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น คณะกรรมบริษัทจึงมีมติพิจารณามอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารดำเนินการจัดหาผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยและพัฒนา ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ที่ปรึกษาด้านการเงิน และที่ปรึกษาใดๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าศึกษาโอกาสทางธุรกิจด้านการเกษตร (Agricultural Business) ที่มุ่งเน้นด้านการจัดการพื้นที่เกษตรกรรม และธุรกิจการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ รวมถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว

น.ส.วราภรณ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจกัญชงอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นบริษัทมีโอกาสที่จะพิจารณาแผนการเพิ่มทุน เพื่อรองรับแผนการลงทุนในการพัฒนาธุรกิจใหม่ และต่อยอดธุรกิจด้านการเกษตร ตามผลการศึกษาเบื้องต้นดังกล่าว

DEMCO ฉายแววเด่น โชว์ Backlog แน่นกว่า 3.6 พันล้าน

DEMCO ส่งสัญญาณไตรมาส 2/64 ฉายแววเด่น จากงานในมือรอบรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ากว่า 3.6 พันล้านบาท บิ๊กบอส “พงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์” เผยแผนงานครึ่งหลังปีนี้จ่อเซ็นรับงานและร่วมประมูลงานภาครัฐ-เอกชน เพียบ ลุ้นสอบผ่านโรงไฟฟ้าชุมชน หนุนผลงานอนาคตเติบโตแข็งแกร่ง

นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/64 ที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 3,640 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2566 และในช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ระหว่างการเซ็นรับงานใหม่ และเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐ และภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนธุรกิจในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

“แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่เรายังคงคว้างานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานใหม่ ทำให้ Backlog เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะมีงานใหม่ ๆ เข้ามาจากการลงทุนของภาครัฐ และเอกชน เพื่อรองรับการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย”

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ในส่วนของงานรับเหมาฯ ยังคงเน้นรับงานภาครัฐ ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งมีงานที่จะเปิดให้ประมูลอีกมูลค่ากว่า 1-2 หมื่นล้านบาท รวมไปถึงงานที่เกี่ยวข้องกับการวางระบบไฟเบอร์ออฟติกของบริษัทเอกชน ที่จะมีการลงทุนในปี 2564 อีกทั้ง บริษัทยังมีโอกาสได้รับงานก่อสร้างเพิ่มจากบริษัทเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการโซลาร์ฟาร์ม จากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะเป็นโครงการนำร่องเฟสแรก 300 เมกะวัตต์ โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาคเอกชนขอรับใบอนุญาต PPA ภายในปีนี้

ขณะเดียวกันยังได้ขยายการลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้า ผ่านบริษัท เด็มโก้ เอ็นเนอร์จี แอนด์ ยูทิลิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยโดย DEMCO ถือหุ้นในสัดส่วน 100% เข้าถือหุ้นในบริษัท สะบ้าย้อย กรีน จำกัด ในสัดส่วน 60% เพื่อประกอบธุรกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ทั้งนี้ เป็นการเตรียมการเพื่อเข้าลงทุนในโครงการที่บริษัทจะยื่นเสนอการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) คาดว่าจะมีความชัดเจนในครึ่งหลังของปีนี้

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1/64 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564) มีรายได้รวม 652.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.64 ล้านบาท หรือ 18.8% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 549.05 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 41.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.35 ล้านบาท หรือ 79% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 23.20 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ตามแผนงานที่วางไว้ แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19

ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิต NER เป็น “BBB-” จาก “BB+”

ทริสเรทติ้ง  เพิ่มอันดับเครดิตของ นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER  เป็นระดับ “BBB-” จากเดิมที่ระดับ “BB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยคาดว่ายอดขายของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2564  จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไปที่ระดับ 44% และอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปี 2564 จะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 12%  จากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ค่อย ๆ ฟื้นตัวและภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มดีขึ้น

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทเป็นระดับ “BBB-” จากเดิมที่ระดับ “BB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้การเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของบริษัทตลอดจนความคาดหวังว่าอุตสาหกรรมยางธรรมชาติจะฟื้นตัวและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอันเนื่องมาจากการที่บริษัทมีการประหยัดต่อขนาดที่เพิ่มขึ้นจากการขยายโรงงาน นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางในธุรกิจยางธรรมชาติของประเทศไทยและผลงานที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านการผลิตและการจำหน่ายยางธรรมชาติอีกด้วย

ด้านประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2564 จากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ค่อย ๆ ฟื้นตัวและภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามอุปสงค์ในอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราเฉลี่ยต่อปีที่ลดลงในระหว่างปี 2565-2566 เนื่องจากสภาวะความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานที่คลายตัวลงทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทในปี 2564 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไปที่ระดับ 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนและจะปรับตัวลดลงที่ระดับ 6% ในปี 2565ก่อนที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงที่ระดับ 2% ในปี 2566

นอกจากนี้ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 12% ในปี 2564และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ10% ต่อปีในช่วงปี 2565-2566และคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ10% ในปี 2564 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7%-8% ต่อปีในช่วงปี 2565-2566

สำหรับแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจยางธรรมชาติได้ต่อไปโดยที่บริษัทจะรักษาสถานะสภาพคล่องและสร้างความแข็งแกร่งของงบดุลให้เพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติได้

THG สร้างประสบการณ์ใหม่ Customer Experience แบบ New Normal

บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG สร้างประสบการณ์ใหม่โครงการ ‘จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้’ ที่พักอาศัยเน้นไลฟ์สไตล์สำหรับผู้สูงวัย เปิดลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม ‘Relax Retreat Restart’ สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตในโครงการฯ และร่วมทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพ ในรูปแบบ Virtual ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 25-26 มิถุนายน ตั้งแต่ 07.00-18.00 น. ผ่านระบบถ่ายทอดสดออนไลน์  (Live streaming) ที่สามารถสื่อสารกันแบบ Interactive  พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษมอบส่วนลด 3-5 แสนบาท สำหรับห้องขนาด 43 ตารางเมตร และ 63 ตารางเมตร  

ทิมโมตี้ เลิศสมิติวันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินการโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ในเครือ THG

นายทิมโมตี้ เลิศสมิติวันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินการโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ในเครือ THG เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ พัฒนาโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) บนเนื้อที่กว่า 140 ไร่ ย่านรังสิต เพื่อเป็นต้นแบบของโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย ภายใต้สภาพแวดล้อมร่มรื่นพร้อมกิจกรรมเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย รวมถึงมีโรงพยาบาลธนบุรีบูรณาภายในโครงการเพื่อรองรับการฟื้นฟูสุขภาพ ล่าสุดทางโครงการเตรียมจัดกิจกรรม ‘Relax Retreat Restart’ ในวันที่ 25-26 มิถุนายนนี้ สำหรับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ที่สนใจโครงการ ผู้สูงวัยและครอบครัว ผู้ที่ชอบการดูแลสุขภาพ เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยในรูปแบบเสมือนจริงเป็นครั้งแรกของโครงการ

ทั้งนี้ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดให้ผู้ที่สนใจลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ ทางโทร. 062-802-9999 เพื่อยืนยันการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมีจัดเป็นประจำทุกเดือน แต่ความพิเศษของครั้งนี้คือการจัดถ่ายทอดสด ในแบบ Interactive ให้ผู้ลงทะเบียนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมและโต้ตอบพูดคุย ร่วมเวิร์คชอป ผ่านระบบออนไลน์ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ทางโครงการจะจัดส่งอุปกรณ์ต่างๆ ให้ผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าถึงที่บ้าน เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมให้แก่ผู้ลงทะเบียนอีกด้วย

ตัวอย่างกิจกรรม สำหรับวันที่ 25-26 มิถุนายน 2564 จะเริ่มตั้งแต่ 7.00 – 18.00 น. ทั้งการออกกำลังยามเช้า โยคะ พร้อมไปกับนักเวชศาสตร์การกีฬาประจำโครงการ  ปลูกผักสวนครัวที่ Jin Wellbeing Farm  ร่วมคลาสเรียนศิลปะบำบัด ทำอาหารเพื่อสุขภาพ ดนตรีบำบัด  เวิร์กช็อปเรียนทำยาดมสมุนไพร นัดหมายปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์จากโรงพยาบาลธนบุรีบูรณา เป็นต้น และไฮไลต์คือ Doctor Talk รับฟังสาระความรู้  จาก พญ.กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล ผู้อำนวยการ Jin Wellness Center ที่จะมาแนะนำเรื่องวัคซีนโควิด-19 การเตรียมตัวรับวัคซีนสำหรับผู้สูงวัย และการตรวจภูมิต้านทาน

นอกจากนี้โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษแก่ผู้ร่วมกิจกรรม ‘Relax Restart Retreat’ ที่สนใจซื้อที่พักอาศัยในโครงการ สำหรับห้องพักแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 43 ตารางเมตร มอบส่วนลดพิเศษมูลค่า 3 แสนบาท จากราคาปกติยูนิตละประมาณ 4 ล้านบาท และแบบ 1 ห้องพลัส พื้นที่ใช้สอย 63 ตารางเมตร มอบส่วนลดพิเศษมูลค่า 5 แสนบาท จากราคาปกติยูนิตละประมาณ 6 ล้านบาท ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

*สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนได้ทาง โทร. 062-802-9999 หรือ https://bit.ly/3pXDR7i *

เชิญสัมมนาออนไลน์ : หลักการสังเกต Trading Zone, Trending Zone และการนำไปประยุกต์ใช้

บริษัท หลักทรัพย์คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS ขอเชิญนักลงทุนและผู้สนใจร่วมรับฟังสัมมนา Online ในหัวข้อ “หลักการสังเกต Trading Zone, Trending Zone และการนำไปประยุกต์ใช้” ที่จะทำให้ผู้ชมได้ทำความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับความหมายของ Zone สำคัญที่เกิดขึ้นในกราฟ, ข้อสังเกต เพื่อแบ่งแยกประเภท และการนำไปใช้งานบนกราฟจริง โดยมีคุณ เดชธนา ฟางสะอาด (คุณบี) ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์รายย่อย บล. คันทรี่ กรุ๊ป รับหน้าที่เป็นวิทยากร

จึงขอเชิญชวนนักลงทุนและผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วมฟังการบรรยายได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564 เวลา 9.00 – 12.00 น.

SMD เดินหน้าขยายแผนการลงทุนด้านเครื่องมือ-อุปกรณ์แพทย์

บมจ.เซนต์เมด (SMD) โชว์ฟอร์มก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อสร้างการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว หลังเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (maiรองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและสังคมแห่งการดูแลสุขภาพ พร้อมขานรับนโยบายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เดินหน้าขยายแผนการลงทุนศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ธุรกิจให้เช่า คาดปี 2564 – 2566 ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 240 ล้านบาท  

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD

ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรก เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค โดยใช้ชื่อย่อ ‘SMD’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ และพื้นฐานการดำเนินธุรกิจในการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์มากกว่า 30 ราย แก่ผู้ผลิตชั้นนำในหลากหลายประเทศ เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลทั่วไปและสถานพยาบาลชั้นนำในประเทศ ที่จะได้รับประโยชน์จากความต้องการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น จะสนับสนุนให้ SMD เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมสร้างการเติบโตควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ SMD ต้องเร่งปรับตัว สร้างธุรกิจให้มีความพร้อม สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และรับนโยบายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพื่อสร้างการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว มากกว่าการเร่งสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยวางเป้าหมายรายได้ช่วง 3 ปี (2564-2566) จะเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี

หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจในปี 2564-2566 คาดใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 240 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. ใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ จำนวน 90 ล้านบาท โดยร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล วางเป้าหมายจะเริ่มโครงการให้ได้อย่างน้อย 8 เตียงตรวจต่อโครงการต่อปี ด้วยงบประมาณเบื้องต้น 15 ล้านบาท ต่อ 4 เตียงตรวจ และมีระยะดำเนินการตามสัญญาไม่น้อยกว่า 8 ปี ซึ่งคาดว่าภายในปี 2566 จะมีเตียงทั้งสิ้น 28 เตียงตรวจ

และ 2. เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนในเครื่องมือแพทย์ให้เช่า จำนวน 150 ล้านบาท รองรับการขยายตัวทางธุรกิจให้เช่าเครื่องมือแพทย์ในอนาคต โดยจะเน้นโครงการขนาดใหญ่ และเครื่องมือแพทย์พื้นฐาน เช่น เครื่องวัดสัญญาณชีพ เครื่องกระตุกหัวใจ เครื่องให้น้ำเกลือ เป็นต้น ซึ่งรูปแบบสัญญาเช่าต้องไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ระยะเวลาให้เช่าเฉลี่ย 3-5 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายหาสัญญาเช่าใหม่ระหว่างปี 2564-2566 ปีละไม่ต่ำกว่า 200-400 ล้านบาท  นอกจากนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากจากระดมทุนใช้ในการชำระคืนหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงิน จำนวน 60 ล้านบาท โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO จะลดลงต่ำกว่า 0.5 เท่า จากปี 2563 อยู่ที่ 1.87 เท่า ซึ่งการระดมทุนทำให้มีฐานทุนเพิ่มขึ้นและสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน ทำให้ SMD สามารถจ่ายเงินปันผลตามนโยบายที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ รองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า SMD เป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพจากจุดเริ่มต้นในการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ ซึ่งมีฐานรายได้หลักมาจากกลุ่มสินค้าในห้องฉุกเฉิน (ER)+ และห้องผู้ป่วยวิกฤติ (ICU) รวมถึงเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยนอนกรนและหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับในแวดวงทางการแพทย์ ส่งผลให้ธุรกิจของ SMD เติบโตสม่ำเสมอ และถือได้ว่าโดดเด่นเหนือกว่าบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน

หลังจากนี้ SMD ได้วางแผนขยายการลงทุนด้านศูนย์ตรวจการนอนหลับ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยหายใจในขณะนอนหลับเป็นจำนวนมาก และยังเป็นโอกาสที่ดีในการรุกขยายเข้าสู่กลุ่มธุรกิจให้เช่าเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าภาครัฐ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยได้ง่ายกว่าเดิม ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์มีโอกาสได้ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเร็วขึ้น และถือเป็นการสร้างประโยชน์ไปสู่คนไข้ให้ได้รับการรักษาผ่านเครื่องมือที่ทันสมัยอยู่เสมออีกด้วย

บีโอไอ ปั้นผู้ประกอบการสู่ตลาดโลก สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ

บีโอไอ เดินหน้าสร้างความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนทำธุรกิจในตลาดโลก เปิดหลักสูตร“สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” หรือ TOISC รุ่นที่ 19 หวังยกระดับทั้งด้านองค์ความรู้ เคล็ดลับ และการบริหารจัดการนำธุรกิจไทยเจาะตลาดต่างแดน

นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการไทยสู่การทำธุรกิจในตลาดโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในบทบาทของบีโอไอที่ต้องดูแลและพัฒนาผู้ประกอบการไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงได้จัดหลักสูตรอบรม “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” หรือ TOISC รุ่นที่ 19 ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริหารการจัดการธุรกิจในต่างประเทศ ด้วยการส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้แก่เจ้าของธุรกิจ ทายาทธุรกิจและระดับผู้บริหารที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแสวงหาโอกาสสำหรับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ

หลักสูตรดังกล่าวจะเจาะลึกทุกเรื่องที่จำเป็นในการลงทุนโดยถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ทั้งเรื่องเทคนิคการสร้างความสัมพันธ์การเจรจาเชิงธุรกิจการพัฒนาบุคลิกภาพและมารยาทสากลเพื่อเชื่อมสัมพันธ์การลงทุน การออกแบบธุรกิจเพื่อการลงทุน ในต่างประเทศ ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางตลาดโลกและแนวโน้มของตลาดเกิดใหม่ ความรู้เรื่องกฎหมาย เรื่องภาษี เรื่องพิธีการทางศุลกากรในต่างประเทศ ข้อควรระวังเรื่องการจัดทำเอกสารความตกลงต่างๆ การหาแหล่งเงินทุน ตลอดจนเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ในต่างประเทศให้ความสำคัญ

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนเคล็ดลับของธุรกิจไทยที่เติบโตในต่างแดน มีกิจกรรมกลุ่มสร้างเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อการลงทุน รวมทั้งมีกิจกรรมศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย สำหรับปี 2564 จะเน้นเส้นทางการลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งผู้ประกอบการจะได้เข้าพบหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและสมาคมต่างๆ ที่สำคัญ เพื่อรับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ เยี่ยมชมสถานที่ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมจับคู่ธุรกิจกับบริษัทไทยที่มาลงทุนในต่างประเทศ สำรวจย่านเศรษฐกิจการค้า และตลาดท้องถิ่น พร้อมเส้นทางโลจิสติกส์อีกด้วย

“แม้ว่ายังคงมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บีโอไอได้เตรียมสร้างความพร้อมให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลักสูตรสร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศนี้ได้ดำเนินการมาถึงรุ่นที่ 19 แล้ว โดยที่ผ่านมาผู้เข้ารับการอบรมหลายรุ่นได้สะท้อนมุมมองที่เป็นประโยชน์หลายด้าน เช่น ได้ประสบการณ์ตรงจากวิทยากรผู้ที่ลงทุนในต่างประเทศแล้วจริงๆ มีมุมมองทั้งเรื่องความท้าทาย สิ่งที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งเป็นการวางพื้นฐานที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ และสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในองค์กรช่วยวางแผนการดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ตรงจุดมากขึ้น บีโอไอจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เพื่อช่วยยกระดับทั้งด้านบริหารจัดการ และเพิ่มพูนความรู้ต่างๆ อย่างรอบด้าน” รองเลขาธิการบีโอไอกล่าว

ทั้งนี้ หลักสูตรนี้จะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 23 มิถุนายน 2564 สำหรับผู้สนใจสมัครสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย โทรศัพท์ 0 2553 8111 ต่อ 6245 หรือ E-mail: [email protected] หรือ @Line ID: boi.toisc

‘ชาร์ป’ ส่ง ‘พลาสม่าคลัสเตอร์’ รุกตลาด B2B

จากความสำเร็จในการเป็นผู้นำตลาดเครื่องฟอกอากาศในครัวเรือน ชาร์ปเปิดตัวนวัตกรรมฟอกอากาศ พลาสม่าคลัสเตอร์ สำหรับภาคธุรกิจ B2B เพื่อยกระดับมาตรฐานอากาศสะอาดสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการพื้นที่สาธารณะ เล็งเจาะตลาดระบบขนส่งมวลชน-โรงแรม-อสังหาริมทรัพย์และสถานประกอบการ ปูพรมใช้งานแล้วทั้งในระบบขนส่งมวลชน คอนโดมิเนียม โรงแรมและโรงพยาบาล ลั่นพร้อมบุกตลาด B2B อย่างเต็มรูปแบบ ในปี 2564

นายโรเบิร์ต อู๋ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป ไทย จำกัด เปิดเผยว่า “ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น เล็งเห็นถึงปัญหาและความจำเป็นของคุณภาพอากาศที่สะอาดและปลอดภัย จึงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์เอกสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวของชาร์ปอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่นำมาปรับใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทั้งเครื่องฟอกอากาศ ตู้เย็น เครื่องดูดจับไรฝุ่นและเครื่องปรับอากาศ แต่ยังนำมาต่อยอดในพื้นที่สาธารณะต่างๆอีกด้วย ซึ่งล่าสุดชาร์เล็งเห็นความสำคัญของการควบคุมและจัดการกระระบาดของโควิด-19 ว่าวัคซีนจะเป็นหนทางในการควบคุมการระบาดได้ดีที่สุดจึงได้มอบเครื่องใช้ไฟฟ้า ให้กับ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหน่วยงานที่รองรับความต้องการของประชาชนได้มากเป็นลำดับ 2 ของประเทศ รองจากศูนย์รับวัคซัน ณ สถานีบางซื่อ โดยคาดการว่าจะมีผู้เข้ารับวัคซีนกว่า 2,000 ราย ต่อวัน

นอกจากนี้ ชาร์ป ยังทำโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Write to Breathe” ที่ทางชาร์ปได้ลงพื้นที่ทำกิจกรรมไปแล้วทั้งสิ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยทางชาร์ปให้โอกาสเด็กๆ ในท้องที่ได้เขียนแสดงความเห็นเกี่ยวกับมลพิษที่พวกเขาต้องเผชิญ ภายใต้หัวข้อ “I have right to breath” สอดรับกับชื่อโครงการที่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ลอง Write(เขียน)” ถึงสิ่งที่เป็น “Right(สิทธิ)” ของพวกเขาเอง  พร้อมทั้งส่งมอบเครื่องฟอกอากาศทั้งสิ้น 40 เครื่อง ให้แก่โรงเรียนและสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในจังหวัด รวมถึงจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและดูแลตนเองในยามที่ต้องใช้ชีวิตในสภาวะอากาศเป็นมลพิษโดยอาจารย์จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากเด็กๆ เป็นอย่างดี นำไปสู่กิจกรรมครั้งที่ 2 ที่จังหวัดราชบุรี โดยครั้งนี้ทางชาร์ปจับมือกับศูนย์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบสนุกเข้าใจง่ายและลงพื้นที่มาทำกิจกรรมกับน้องๆ เยาวชนในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงพิษภัยของฝุ่น PM 2.5 พร้อมมอบเครื่องฟอกอากาศให้แก่โรงเรียนและมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับเด็กจำนวน 15 หน่วยงาน เป็นจำนวน 42 เครื่อง

ในด้านประสิทธิภาพเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ ศุภโชค เจนธรรมนุกูล ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกโซลูชั่นดีไซน์  บริษัท ชาร์ป ไทย จำกัด เปิดเผยว่า  “พลาสม่าคลัสเตอร์ เป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์ของชาร์ปที่ถูกคิดค้นและใช้งานครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน โดยทางฝ่ายวิจัยและพัฒนาได้คิดค้นและต่อยอดพลาสม่าคลัสเตอร์ จนได้รับการรับรองจากสถาบันมากกว่า 30 แห่งทั่วโลกว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยยับยั้งไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ช่วยสลายสารก่อภูมิแพ้ กลิ่นไม่พึงประสงค์ ผลการทดสอบของสถาบันต่างๆ พบว่า เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ ช่วยยับยั้งไวรัสในอากาศได้ถึง 99%  และผลวิจัยล่าสุดที่ร่วมกับศูนย์วิจัยแห่งชาติเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคติดเชื้อ สถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ยังพบว่า เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ ช่วยลดจำนวนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ในอากาศได้มากถึงร้อยละ 91.3*”

ในสภาวะที่โลกต้องเผชิญกับ PM2.5 และวิถีชีวิตแบบ New Normal จากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ผู้บริโภคทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับมาตราฐานความสะอาดและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น  เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยผู้ประกอบการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการให้กับผู้บริโภคได้ ซึ่งชาร์ปเองได้พัฒนาและประยุกต์เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ให้ติดตั้งและใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งภายในระบบระบายอากาศ/กระจายอากาศภายในอาคารหรือพื้นที่สาธารณะ  แบบตั้งพื้น ติดผนังและเพดาน โดยมีการใช้งานจริงและทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานแล้วในหลากหลายภาคพื้นธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นห้องฟอกไตโรงพยาบาลธรรมศาสตร์, รถรับส่งผู้ป่วย (Ambulance) การขนส่งมวลขน เช่น รถไฟฟ้าและรถประจำทาง รวมถึงกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และคอนโดมิเนียม”

จากยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งโดยเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์กว่า 90 ล้านเครื่องทั่วโลก และศักยภาพของทีมงาน Smart Sotution ผู้เชี่ยวชาญในการ ออกแบบ และติดตั้งระบบฟอกอากาศให้เหมาะสมให้กับทุกกิจการ ทำให้ชาร์ปมีความพร้อมที่จะสร้างอากาศสะอาดเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการออกมาจับจ่าย ออกมาใช้ชีวิต ภายใต้แนวคิด Clean Air Society “อากาศสะอาดสร้างได้ ด้วยพลาสม่าคลัสเตอร์

เอาใจคนเลี้ยงสัตว์กับโปรแกรมตรวจสุขภาพ Health Check-Up

โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน (Talingchanpet)  เอาใจคนเลี้ยงสัตว์อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้ผู้เลี้ยงทุกคนได้เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดปัญหาสุขภาพกับสัตว์ที่คุณรักกับโปรแกรมตรวจสุขภาพ “Health Check-Up”  อายุต่ำกว่า 1 ปี เพียง 1,999 บาท , อายุ 1-5 ปี เพียง 3,999 บาท และ อายุ 5 ปีขึ้นไป เพียง 4,999 บาท ปลดล็อคแล้วคนเลี้ยงสัตว์อย่ามัวชะล่าใจจนสายเกินแก้  สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-887-8321-3 , Facebook : https://www.facebook.com/talingchanpetfanpage   หรือ ทาง Line :  @Talingchanpet