Budweiser ปล่อยกระเป๋า Bud Utility Bag Limited Edition 2021

Budweiser – บัดไวเซอร์  หนึ่งในแบรนด์เบียร์ชั้นนำที่ บริษัท บริวเบอรี่ จำกัด นำเข้าและจัดจำหน่าย ภายใต้การบริหารงานของคุณจี๊บ เทพอาจ กวินอนันต์ ผู้ก่อตั้งและประธาน เป็นแบรนด์ที่มีอายุยาวนานกว่า 145 ปี ถือเป็น Premium Lager Beer สีทอง รสชาติเบา ดื่มง่ายให้กลิ่นหอมละมุนจากบาร์เลย์มอล์ท, ดอกฮอบส์ชั้นเลิศและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของการหมักด้วยไม้ Beachwood เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 30 วัน

เทพอาจ กวินอนันต์ ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท บริวเบอรี่ จำกัด

นายเทพอาจ กวินอนันต์ เผยว่า Budweiser – บัดไวเซอร์ ต้องการนำเสนอและตอกย้ำความเป็น Iconic Brand เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสถึงประสบการณ์แห่งเบียร์ระดับโลก เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน 21 -35 ปี กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เปี่ยมไปด้วย Passion ขับเคลื่อนอย่างแรงกล้าภายใต้คอนเซ็ปต์การนำเสนอที่ว่า “B E A B U D” นำเสนอความเป็นตัวเองในทุกด้านอย่างแตกต่างและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง

Budweiser – บัดไวเซอร์ Iconic Brand มีความยืดหยุ่น เคลื่อนไหว และทันสมัยสามารถปรับตัวให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ในแต่ละยุคได้ตลอดเวลา โดดเด่นชัดเจนในเรื่องแฟชั่น ที่สนับสนุนให้ทุกคนดึงไลฟ์สไตล์ของตัวเองออกมา ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเป็นและต้องการ

ล่าสุดเปิดตัว “Bud Utility Bag Limited Edition 2021” ต่อยอดความสำเร็จจาก Bud Bag Collection 2020  บนแนวคิดที่ต้องการนำเสนอกระเป๋าแฟชั่น มัลติฟังก์ชั่น พกพาได้หลากหลายโอกาส ทั้งเดินทางท่องเที่ยว ช๊อปปิ้ง เล่นกีฬา ไม่ว่าจะไลฟ์สไตล์แฟชั่นจ๋า สตรีท สปอร์ต รับรองว่าเข้าได้อย่างลงตัว เหมาะกับยุคนี้ที่ต้องพกพาทั้ง Spray Alcohol, Mask, กุญแจรถ, คีย์การ์ด และ Accessories เสริมความเท่ห์ต่างๆ ทั้งแว่นกันแดด และหมวก ความเป็นแฟชั่นไอคอนพิเศษไฮไลท์เด็ดประจำคอลเลคชั่นนี้คือ แถบด้านหน้า ด้านข้างและสายสะพาย การสกรีนทำมาจาก Reflective Material ที่ใช้กับเครื่องแต่งกาย หรือ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการใช้มีแสงตกกระทบ ทำให้มองเห็นง่ายเมื่อใช้งานในเวลากลางคืน นายเทพอาจ กล่าวปิดท้าย

แฟนพันธุ์ Budweiser – บัดไวเซอร์ ไม่ควรพลาด กับโอกาสพิเศษนี้ “Bud Utility Bag Limited Edition 2021” ที่มีเพียง 3,000 ใบ ในกระเป๋าบรรจุบัดไวเซอร์แบบกระป๋องขนาด 330 ml จำนวน 4 กระป๋อง ในราคาเพียง 539 บาท หาซื้อได้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 64 ถึง วันที่ 31 กรกฎาคม 64 นี้เท่านั้น

GBS ชี้หุ้นไทยส่อแววลงต่อหวั่นเฟดขึ้นดอกเบี้ย

บลโกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงต่อ หลังเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ย บวกแบงก์ชาติจีนส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม ส่งผล Fund Flow เริ่มขนเงินออกทันทีและสถานการณ์การระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย พร้อมแนะจับตาการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ และการประชุมกนง.ในสัปดาห์นี้ จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ 1,580-1,630 จุด แนะกลยุทธ์ช็อปหุ้นได้อานิสงส์คลายล็อกกิจการ-กิจกรรม 8 ประเภท ชู AU MZEN CPALL

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวลงต่อ จากปัจจัยต่างประเทศเป็นตัวกดดันดัชนีทั้งการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งส่งผลให้เม็ดเงิน Fund Flow เริ่มไหลออก และคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ 1 ปี

ส่วนสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษพบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มอีก 9,284 ราย ผู้เชี่ยวชาญเตือนอาจระบาดรอบ 3 และผลการวิจัยครั้งใหม่จากประเทศอังกฤษพบว่า การติดเชื้อโควิด-19 อาจทำให้เกิดความเสียหายของเนื้อเยื่อสมองในระยะยาว ส่วนธนาคารกลางอินเดียได้รายงานว่า การแพร่ระบาดรอบที่สองของโรคโควิด-19 อาจทำให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจของอินเดียได้รับความเสียหายสูงถึง 2.711 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2564 ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI กลับย่อตัวลงกดดันตลาด จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ในกรอบ 1,580-1,630 จุด

อีกทั้งยังคงต้องจับตาปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ อาทิ  การรายงานยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค.ของ สหรัฐ การเปิดเผยรายงานการประชุมของ BOJ การประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2564 สหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์  ส.อ.ท. แถลงยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์รถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย อียูและสหรัฐเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการขั้นต้นเดือนมิ.ย. และ สหรัฐรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุน

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการประกาศอย่างเป็นทางการผ่อนคลายเปิดและขยายเวลากิจการ-กิจกรรม 8 ประเภทในพื้นที่ กทม. เปิดห้องสมุด – สระว่ายน้ำ ส่วนร้านอาหารนั่งได้ถึง 23.00 น. ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ให้เปิดบริการได้ตามเวลาปกติ มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.เป็นต้นไป โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการดังกล่าวคือหุ้นกลุ่มร้านอาหารและค้าปลีก ได้แก่ AU, M, ZEN และ CPALL

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่าจากความผันผวนของราคาทองคำฝ่ายวิจัยประมาณกรอบทองคำในสัปดาห์นี้ 1,730-1,780$/Oz โดยแนะนำให้รอซื้อเมื่ออ่อนตัวกลับมาที่แนวรับ 1,750$/Oz เนื่องจากราคาปรับตัวลงมากกว่า 5% ในสัปดาห์ก่อน โดยราคาทองคำยังถูกกดดันจากการที่เฟดเตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 66 ยังคงเป็นปัจจัยกดดันในระยะกลาง

‘คิวมินซี’ คว้ารางวัล Best Technology Innovation 2021

‘คิวมินซี’ เครื่องดื่มขมิ้นชันสกัดเพื่อสุขภาพ โดย บจ. เทรา ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ฉลองความสำเร็จระดับโลก คว้ารางวัล “Best Technology Innovation” จากงาน Zenith InnoBev Awards 2021 ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 5 โดย Zenith Global ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและเครื่องดื่ม ประเทศอังกฤษ เพื่อเฟ้นหาแบรนด์ที่มีนวัตกรรมที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม การันตีคุณภาพผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมการผลิตของคิวมินซี (QminC) ที่มุ่งมั่นในการส่งมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภค แบรนด์เดียวของไทยที่ไม่ใส่สารกันบูด สร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจสู่ประเทศไทย

นายฐานธิษณ์ ยืนยงเตชะหิรัณ ประธานกรรมการ บริษัท เทรา ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า ความภาคภูมิใจในวันนี้คือ คิวมินซีเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์เดียวที่ได้รับรางวัลในเวทีระดับโลก ท่ามกลางการขับเคี่ยวกับแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ทั่วโลกที่เข้าร่วมการแข่งขันกว่า 180 รายการ 13 หมวดหมู่ในครั้งนี้ นอกจากนี้ คิวมินซียังเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแบรนด์เดียว ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรอบสุดท้าย (finalist) ในอีก 2 หมวดการประกวด คือ Best Functional Drink (เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลยอดเยี่ยม) และ Best New Drink Concept (เครื่องดื่มแนวคิดใหม่ยอดเยี่ยม) คิวมินซีคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และใช้นวัตกรรมจากประเทศญี่ปุ่นที่ล้ำสมัย โดยนำขมิ้นชันที่มีประวัติการรักษาโรคมาหลายพันปี มาเป็นส่วนผสมหลักและใส่ปริมาณเยอะที่สุดในตลาด คิวมินซีเป็นแบรนด์แรกที่ยกระดับวงการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพคือ การไม่ใส่สารกันบูด เพราะอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง พร้อมพัฒนาสารสกัดให้อยู่ในอนุภาคเล็กระดับนาโน เพื่อความเข้มข้นและดูดซึมได้ง่ายกว่าขมิ้นชันทั่วไปหลายเท่า ทำให้ร่างกายสามารถในไปใช้ได้ทันที โดยมีไลโปโซม (Liposome) เคลือบไว้ให้ไม่มีกลิ่นรบกวน ดื่มง่ายรสชาติถูกปากผู้บริโภค

“เราทุ่มเทตั้งใจสร้างสรรค์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีจริงๆ เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงได้ ตลอดจนการลงทุนสร้างโรงงานเพื่อมาตรฐานในการผลิตเครื่องดื่มคิวมินซีในปี 2562 ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา มีกำลังการผลิตได้ประมาณ 5 – 7 ล้านขวดต่อเดือน เพื่อให้เครื่องดื่มคิวมินซีทุกขวดสูงด้วยมาตรฐาน พร้อมส่งตรงยังร้านค้าทั้งโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชันนัลเทรดกว่า 500,000 แห่งอย่างไม่ขาดตลาด” นายฐานธิษณ์ เปิดเผย

ความพิเศษของเทคโนโลยีการผลิตของเครื่องดื่มคิวมินซี คือการไม่ใส่สารกันบูดแต่ยังสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 12 เดือน โดยไม่สูญเสียคุณประโยชน์ เพราะเล็งเห็นถึงสุขภาพของผู้บริโภคเป็นสำคัญ และต้องการเป็นเครื่องดื่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค นอกจากไลน์การผลิตที่ได้มาตรฐานแล้ว คิวมินซียังให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ด้วยการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยทุกองค์ประกอบของขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มคิวมินซี สามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% อาทิ ขวดแก้ว ฉลาก ฝาเกลียวอลูมิเนียม

นายฐานธิษณ์ แสดงทรรศนะเพิ่มเติมว่า เราเลือกใช้ขวดแก้วใส เพราะจะไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ กับเครื่องดื่ม จึงถือว่าเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากที่สุด และผู้บริโภคสามารถมองเห็นผลิตภัณฑ์ก่อนการบริโภคทุกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพ และความปลอดภัย

การที่เครื่องดื่มขมิ้นชันสกัดเพื่อสุขภาพคิวมินซี แบรนด์สัญชาติไทย คิดค้นสรรสร้างโดยคนไทย สามารถ พิชิตรางวัลสำคัญ “Best Technology Innovation” จากงาน Zenith InnoBev Awards 2021 โดย Zenith Global ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและเครื่องดื่ม ณ ประเทศอังกฤษ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ ทั้งทางด้านคุณสมบัติ คุณภาพ และรสชาติอร่อยของคิวมินซี รวมถึงความตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผสานกับการคิดค้นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มทางเลือกที่หลากหลาย และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด เป้าหมายหลักของคิวมินซีคือการเป็นผู้นำด้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ประสบความสำเร็จทั้งในไทยและต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งบริษัท เทรา ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด ยังคงเดินหน้าเพื่อบรรลุเจตจำนงที่วางไว้อย่างไม่หยุดยั้ง

ร่วมกิจกรรมและข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสุขภาพกับเครื่องดื่มขมิ้นชันสกัดเพื่อสุขภาพคิวมินซี ได้ที่ IG: QminC และ Facebook: QminCThailand

TQR เตรียมโปรเจคใหม่ๆ ดันรายได้พุ่ง

ซีอีโอที่ทันสมัย ทันกระแสตลอดเวลา ก็ต้องยกให้ ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR บริษัทนายหน้าประกันภัยต่อแบบครบวงจร… แว่วมาว่า ตอนนี้เดินหน้าธุรกิจหลักอย่างเต็มสูบ แถมยังซุ่มเตรียมโปรเจคใหม่ๆ เพื่อหาช่องทางสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มขึ้น คาดจะได้เห็นความชัดเจนครึ่งปีหลัง

YGG ชี้ครึ่งปีหลังรุกหนักลูกค้าต่างประเทศ

อิ๊กดราซิล กรุ๊ป ปักธงลุยขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ หวังดันสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 80% เน้น จีน-ญี่ปุ่น ลั่นเกม Home Sweet Home Survive กระแสตอบรับล้นหลามได้รับความสนใจจากนักเล่นเกมทั่วโลก ขณะที่โฆษณาและภาพยนตร์แอนิเมชั่นยังโตต่อเนื่อง มั่นใจทั้งปีตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20%

นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG เปิดเผยว่า แนวโน้มครึ่งหลังปี 64 ภาพรวมการดำเนินธุรกิจยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งงานโฆษณาและภาพยนตร์แอนิเมชั่น รวมทั้งเกมโดยสัดส่วนรายได้หลักที่มีการเติบโตอย่างชัดเจนมาจากลูกค้าต่างประเทศ

จากที่บริษัทได้ร่วมงานในต่างประเทศมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้เป็นที่รู้จักและมั่นใจในงานของบริษัทมากขึ้น โดยงานส่วนใหญ่มาจากลูกค้าในประเทศจีน  ญี่ปุ่น
และประเทศอื่นๆ ในแถบเอเซีย ซึ่งมีทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่ร่วมงานกันมาอย่างต่อเนื่องและกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆ

นายธนัช กล่าวต่อว่า จากการขยายงานไปยังกลุ่มลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น ทั้งงานโฆษณาและภาพยนตร์แอนิเมชั่น คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปีนี้ปรับขึ้นเป็น 80% ส่วนในประเทศเหลือ 20% จากปี 2563มีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 70% ในประเทศ 30% ส่วนเกม Home Sweet Home Survive ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีและได้รับความสนใจจากนักเล่นเกมทั่วโลก ซึ่งรายได้จากเกมมีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่องจากผลงานไตรมาสแรกปีนี้ รายได้จากเกมและอินโนเวชั่น เติบโตกว่า 141% เนื่องจากต้องมีการพัฒนาเกมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกมมีความสมบูรณ์ตรงใจนักเล่นเกมมากที่สุด พร้อมกันนี้ต้องพัฒนาเกมใหม่ๆป้อนสู่ตลาด

“ครึ่งปีหลังYGG ยังให้ความสำคัญกับเกมเพราะเราเพิ่งเปิดตัวเกม Home Sweet Home Surviveซึ่งได้รับความสนใจจากนักเล่นเกมทั่วโลก ในอนาคตคงต้องมีเกมใหม่ๆ เกิดขึ้นมีเกมที่มีผู้เล่นที่หลากหลายขึ้น เราคงไม่ทำเกมแค่เกมเดียวมีกลุ่มผู้เล่นแค่กลุ่มเดียว” นายธนัช กล่าว

ปัจจุบันบริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้(Backlog) ประมาณ 152 ล้านบาท และปัจจุบันก็อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อรับงานกับลูกค้าจากทั้งในประเทศและต่างประเทศมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้นับรวมอยู่ใน Backlog อย่างไรก็ตามจากงานที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และเกมใหม่ที่ได้รับความสนใจเกินคาด ทำให้บริษัทมั่นใจว่าปีนี้รายได้จะเติบโตตามเป้าหมาย 15- 20%

BCAP เตรียมคลอดกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรม

บลจ.บีแคป เตรียมคลอดกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รับกระแสเมกะเทรนด์ใหญ่ของโลก ประเมิน 20-30 ปีข้างหน้าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้เป็นธุรกิจขาขึ้นที่มีความต้องการสูง

นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะออกกองทุนใหม่ ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมช่วยลดการปล่อยก๊าสเรือนกระจก หรือคลีน อินโนเวชั่น ซึ่งถือว่าเป็นเมกะเทรนด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยประเมินว่าตั้งแต่วันนี้จนถึง 20-30 ปีข้างหน้าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล ตอบรับนโยบายกว่า 196 ประเทศทั่วโลก ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2050

การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นการตอบโจกท์การลงทุนแห่งศตวรรษเพราะถือว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อความอยู่รอดของโลก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2)และอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นคือวิกฤตที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพราะก๊าซ CO2 เป็นสาเหตุหลักของปัญหาภาวะโลกร้อน และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในอดีต ระดับของ CO2 และอุณหภูมิโลกมีการปรับเข้าสมดุลมาตลอด แต่หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ทำให้เสียสมดุลไปและปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงขณะที่ จีน เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซ CO2มากที่สุดในโลกและยังรับมือกับปัญหาได้น้อย WWF หรือองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล คาดการณ์ว่าถ้าไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น 1.5 °C ภายในปี 2040เพิ่มขึ้น 2 °C ภายในปี 2065 และเพิ่มขึ้น 4°Cภายในปี 2100 ซึ่งธนาคารโลกมองว่าถ้าไม่ได้รับการแก้ไขปล่อยให้อุณหภูมิโลกขึ้นไปถึง 4°C จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เช่นจะเกิดการขาดแคลนอาหารเพราะพื้นที่บางภูมิภาคของโลกไม่สามารถทำการเกษตรได้พืชและสัตว์จะหายไปจากโลก 50% ธุรกิจประมงเกิดการสูญพันธุ์น้ำแข็งจากขั้วโลกละลายหนุนน้ำทะเลขึ้นสูง 3-7 เมตร

นางเมธ์วดี อธิบายต่อว่า จากสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ทั่วโลกมีการตื่นตัวลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจากส่งผลให้ทั่วโลกจำเป็นต้องกำหนด การลดโลกร้อนเป็นวาระแห่งชาติ โดยความตกลงปารีสทำให้แผนลดการปล่อยก๊าซCO2เป็นรูปธรรมมากขึ้น เห็นได้จากมหาอำนาจของโลก
ต่างต้องการเป็นผู้นำเทคโนโลยีลดโลกร้อนโดยสหรัฐอเมริกา ในยุคของโจไบเดน
เป็นประธานาธิบดีกลับมาให้ความสำคัญกับปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกพร้อมกับทุ่มงบลงทุนกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในพลังงานสะอาดรวมถึงเก็บภาษีสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขณะที่ สี จิ้นผิงประกาศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14(ปี 2021-2025) ซึ่งมุ่งเน้นแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีน
โดยต้องการเป็นผู้นำการผลิตเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด และลงทุน 1.7
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการส่งพลังงานสูงและสถานีชาร์ตรถไฟฟ้าดังนั้นจะเห็นได้ว่าแรงผลักดันทั้งโลกมุ่งสู่ Net Zero CO2 emissionถือเป็นโอกาสการลงทุนแห่งศตวรรษ โดยทางบีแคปมองว่าปัจจุบันกองทุนส่วนใหญ่จะลงทุนแค่ในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานทางเลือกไม่ได้ครอบคลุมไปในธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ที่มีโอกาสในการเติบโตที่สูงมาก

OCEAN แนะนำโครงการ IKON UDOMSUK

บมจ.โอเชี่ยน คอมเมิรช (OCEAN) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้า และบริการอย่างมีคุณภาพ ภายใต้แกนนำของผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “ธีร ชุติวราภรณ์”  แนะนำโครงการ IKON UDOMSUK คอนโด Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร 334 ยูนิต ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมคลิก  https://bit.ly/3f6XmGv หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ MAP : bit.ly/2Hepdpy (ปากซอยอุดมสุข 30) LINE : @vproperty โทร. 1298

ทั้งนี้ เตรียมพบกับโครงการบ้านเดี่ยว ย่านรามอินทรา 25 ยูนิต มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาทในเร็วๆ นี้ 

BIZ ยิ้มรับรายได้พุ่ง-ขายเครื่องฉายรังสี 225 ล้าน

BIZ โตแรงสวนกระแสโควิด-19 ลงนามในสัญญาซื้อขายเครื่องฉายรังสีมูลค่ากว่า 225 ล้านบาท ให้กับ หน่วยงานโรงพยาบาลภาครัฐ 2 แห่ง หนุน Backlog โตกระฉูด 2.2 พันล้านบาท ดันผลงานปี 64 ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์  

นายสมพงษ์ ชื่นกิติญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIZ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เครื่องฉายรังสีเป็นเครื่องเร่งอนุภาคพลังงานสูงให้กับหน่วยงานโรงพยาบาลภาครัฐ 2 แห่ง ระยะเวลาของสัญญารวม 240 วัน มูลค่า 225.40 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอาการแล้ว) ส่งผลให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 2.2 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 80-90% ผลักดันผลการดำเนินงานในปีนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการส่งมอบงานตามแผน

“เรายังคงมุ่งมั่นส่งมอบงานให้กับลูกค้าโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนตามแผน แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ โดยแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ลุยเข้าร่วมประมูลงานใหม่ เพื่อเพิ่มปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้ สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น” นายสมพงษ์ กล่าว

ทั้งนี้ BIZ ดำเนินธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งชุดเครื่องมือทางการแพทย์ สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยวิธีรังสีรักษา (Radiotherapy) โดยนำเข้าผลิตภัณฑ์จากบริษัทผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอุปกรณ์ และเทคโนโลยีด้านการรักษาโรคมะเร็งระดับชั้นนำของโลก รวมถึงการให้บริการซ่อมบำรุงรักษาชุดเครื่องมือทางการแพทย์ดังกล่าว (Maintenance Service) โดยมีกลุ่ม ลูกค้าหลัก ได้แก่ โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัยแพทย์ โรงพยาบาลในเครือโรงพยาบาลมะเร็งของกรมการแพทย์ภาย ใต้กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลรัฐอื่น ๆ หน่วยงานหรือองค์กรด้านสาธารณสุขภายในประเทศ และโรงพยาบาลเอกชน

JR ลั่นปลายปีจ่อคว้างานใหญ่ -หนุนผลงานทุบสถิติใหม่

JR ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี sSET รอบใหม่ หลังหุ้นมีซื้อขายสม่ำเสมอ สภาพคล่องดี เข้าตานักลงทุนรายย่อย-สถาบัน ตอกย้ำพื้นฐานแกร่ง บิ๊กบอส “จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ”มั่นใจปลายปีจ่อคว้างานใหญ่ ดัน Backlog ทะลุ 1 หมื่นล้านบาทตามแผน หนุนธุรกิจในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าทะยานติดปีก

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR เปิดเผยว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศให้หุ้น JR เข้าไปอยู่ในกลุ่มดัชนี sSET ในรอบครึ่งปีหลังของปี 2564  (1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2564) ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าหุ้นของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายย่อย สถาบัน และกองทุนชั้นนำ ส่งผลให้มีสภาพคล่องในการซื้อขาย และสามารถใช้เป็นตัวอ้างอิงในการลงทุนได้

นอกจากนี้ หุ้นของ JR ยังได้รับการคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี FTSE All World Index  กลุ่ม FTSE Micro Cap โดยจะมีผลบังคับใช้หลังราคาปิดของวันที่ 18 มิถุนายน 2564  เชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนสถาบัน กองทุนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มน้ำหนักลงทุน ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน

“จากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และที่สำคัญจากจุดแข็งของบริษัทฯที่แทบจะไม่มีหนี้ เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งภูมิคุ้มกัน ในการฝ่าวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และเป็นแต้มต่อในการเพิ่มโอกาสเข้ารับงานใหม่ที่มีมูลค่าสูงขึ้น อีกทั้งในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสคว้างานโครงการขนาดใหญ่รถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู เฟส 2  มูลค่าไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท  ทำให้งานในมือรอรับรู้รายได้แตะ 1 หมื่นล้านบาท ผลักดันผลงานในช่วง 1-2 ข้างหน้าโตก้าวกระโดดตามแผน”นายจรัญกล่าวในที่สุด

ทั้งนี้ การคัดเลือกหุ้นใน sSET Index จะคัดจากหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนโดยคัดหุ้นที่เข้าข่ายถูกเพิกถอน และหุ้นที่ถูกสั่งพักการซื้อขายเป็นเวลานานออกไปก่อน จากนั้นนำหุ้นที่ได้มาเรียงตาม Market Capitalization จากมากไปน้อย เพื่อคัดหุ้นที่อยู่ใน Market Capitalization สะสมในลำดับที่ 90% – 98% (ไม่รวมหุ้นที่อยู่ใน SET50 , SET100) จากนั้นจะเลือกหุ้นที่ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถซื้อขายได้ โดยดูจากจำนวนหุ้นของบริษัทที่กระจายไปยังผู้ลงทุนทั่วไป ต้องมีมากกว่าร้อยละ 20% ขึ้นไป และมีสัดส่วนการซื้อขายในแต่ละเดือนไม่น้อยกว่า 0.5% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 9 ใน 12 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อขายของหุ้นบริษัทนั้นมีความต่อเนื่อง โดยหุ้นที่ผ่านคุณสมบัติทั้งหมดจะเข้าไปอยู่ในรายชื่อของ sSET Index

SWC เปิดยุทธศาสตร์ Diversification ขับเคลื่อนธุรกิจ FMCG

บมจ.เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น หรือ SWC หนึ่งในบริษัทในเครือ TOA ชูยุทธศาสตร์ Diversification พอร์ตโฟลิโอสินค้าสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ประกาศแผนขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่ม Non-Food และ Food ด้วย 3 แกนหลัก ‘Safety – Wellness – Care’ ขยายตลาด FMCG เดินหน้า ReBranding ครั้งใหญ่ปรับภาพลักษณ์สินค้าให้ทันสมัยเข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ พร้อมเปิดตัว แบรนด์ใหม่ เครื่องดื่มสมุนไพร ซุปเปอร์ไฟต์ (SuperFight) รับเทรนด์ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ หวังก้าวสู่ผู้นำสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคอาเซียน  

ชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SWC

นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SWC ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์ SWC ต่อจากนี้จะมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้      กลยุทธ์ Diversification พื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้ แกนหลัก Safety – Wellness – Care’ ที่เน้นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค   โดยมุ่งสร้างความหลากหลายผ่านการขยายกลุ่มธุรกิจ และแบรนด์พอร์ตโฟลิโอ รองรับการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน 

ทั้งนี้ SWC ได้ขยายธุรกิจครั้งใหญ่ด้วยแนวคิด ‘SWC Change to Win โดยปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ด้วยวิสัยทัศน์ ‘สู่การเป็นองค์กรชั้นนำ ที่ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูง เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคในระดับสากล’ โดยชู 4 ยุทธศาสตร์สร้างความแข็งแกร่ง ได้แก่ 1.ช่องทางการขาย (Distribution Channelที่ครอบคลุมทุกช่องทางทั่วประเทศ 2.การมีตราสินค้าที่แข็งแกร่ง (Brand3.การพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพ (People) และ 4.ระบบในการขายที่นำเทคโนโลยีมาใช้ (System) ผ่านโครงสร้างธุรกิจที่แบ่งเป็น กลุ่ม ได้แก่ 1.ธุรกิจ NonFood กลุ่ม​ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ในครัวเรือนและเคมีภัณฑ์ในอุตสาหกรรม และ2.กลุ่มธุรกิจ Food ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เพื่อผลักดันให้ธุรกิจใหม่ประสบความสำเร็จ 

ธนากร วัฒนวิจารณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SWC

นายธนากร วัฒนวิจารณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SWC กล่าวว่า การขยายเข้าสู่กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของกลุ่ม SWC  ซึ่งถือเป็น New S Curve เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยนำจุดแข็งของบริษัทฯ มาต่อยอดสู่ธุรกิจ Food  ประกาศปั้น แบรนด์ใหม่ เครื่องดื่มสมุนไพร ซุปเปอร์ไฟต์ (SuperFight)  รับเทรนด์ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ เพื่อก้าวเป็นผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทยและขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน  โดยรายได้ของกลุ่มธุรกิจ Food  มีสัดส่วน 15% ของรายได้รวมปีนี้ที่ตั้งเป้าหมาย 2,500 ล้านบาท  

สำหรับ กลุ่มธุรกิจ NonFood ที่มีผลิตภัณฑ์ป้องกันและจำกัดปลวกและแมลงรบกวนแบรนด์ ‘เชนไดร้ท์’ และผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจานแบรนด์ ‘ทีโพล์’ จะดำเนินการ ReBranding ปรับโฉมภาพลักษณ์สินค้าให้ทันสมัย ผ่านการใช้พรีเซ็นเตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าภายใต้กลยุทธ์ O2O ผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม  และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน พร้อมต่อยอดความแข็งแกร่งแบรนด์‘ทีโพล์’ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภครายย่อย (B2C) ไปสู่การขยายฐานลูกค้ากลุ่มองค์กร (B2B 

สมศักดิ์ จันทร์ส่อง รองกรรมการผู้จัดการ-สายงานพาณิชย์ SWC

นายสมศักดิ์ จันทร์ส่อง รองกรรมการผู้จัดการ-สายงานพาณิชย์ SWC กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจ Food ดำเนินงานภายใต้บริษัท ฮอกไกโด ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ ‘ซุปเปอร์ไฟต์ (SuperFight) โดยถือเป็นสินค้าไฮไลต์ให้แก่ธุรกิจในกลุ่ม Food หลังจากได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสกัด ชนิด ที่มีน้ำตาลน้อย และเกลือ (โซเดียม) ในปริมาณต่ำ มีคาเฟอีนจากชาเขียวธรรมชาติมอบพลังงานและความสดชื่นตลอดวัน และเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรรายแรก ที่ได้รับเครื่องหมายสัญลักษณ์โภชนาการ ‘ทางเลือกสุขภาพ’ (Healthier Choice)  มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสม เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค ที่เลือกซื้อเพื่อเพิ่มความสดชื่น พร้อมบำรุงสุขภาพด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 

ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีแผนขยายช่องทางจำหน่าย โดยเริ่มจากร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่นทั่วประเทศในเดือนมิถุนายนนี้ และจะขยายให้ครอบคลุมในทุกช่องทาง พร้อมเปิดตัว ‘โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์’ เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ เนื่องจากมีภาพลักษณ์และไลฟ์สไตล์ที่ดูแลสุขภาพ เหมาะสมกับแบรนด์ โดยได้เตรียมแผนการตลาดเต็มรูปแบบ ด้วยสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ ป้ายโฆษณา Out of Home สื่อ ณ จุดขาย และ สร้างทีมแอคทีฟไฟต์ บายซุปเปอร์ไฟต์  ออกนำผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคได้ชิมรสชาติ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างฐานลูกค้า นอกจากนี้ จะขยายไปยังตลาดต่างประเทศ ได้แก่ กลุ่มประเทศใน CLMV ตะวันออกกลาง จีน ยุโรปและอเมริกา โดยวางเป้าหมายนำแบรนด์ SuperFight ก้าวสู่โกลบอลแบรนด์ในอนาคต 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมการออกผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา โดยมีเป้าหมายการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศ และการเข้าสู่ตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดื่ม SuperFight ที่มีส่วนผสมของกัญชา (CBD) ผลิตภัณฑ์ถั่ว แบรนด์มารูโจ้ และผลิตภัณฑ์นมและไอศกรีมแบรนด์ฮอกไกโด ก็มีแผนการออกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเทอร์ปีน มีกลิ่นและรสสัมผัสที่มอบความสุข ความสนุกในการบริโภค บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผสมกัญชามีความต้องการสูงมาก ไม่เพียงตลาดในประเทศ แต่ยังเตรียมบุกตลาดโลก เพราะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอยู่แล้ว เชื่อว่าตลาดนี้มีศักยภาพ ในการสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ