ขอแสดงความยินดี ‘คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล’ ดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมฯ คนใหม่

คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ปัจจุบันอายุ 62 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 2 , การอบรมหลักสูตรป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (วปอ.52) รวมทั้งหลักสูตรการอบรมที่จัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ได้แก่ Director Certification Program (DCP) และ Audit Committee Program (ACP)

ด้านการงานธุรกิจ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวไวเต็ก จำกัด, กรรมการบริหาร บริษัท เพรสทิจ ไดเรคท์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด, บริษัท เพรสทิจ แอนด์ พรีเมี่ยม จำกัด, บริษัท มิลค์พลัส จำกัด, บริษัท มีเดีย เซคเกอร์ จำกัด และ บริษัท บางกอก บายน์ดิ้ง จำกัด

มีประสบการณ์การทำงานเพื่อสังคมที่โดดเด่น ได้แก่ นายกสมาคมการพิมพ์ไทย 4 สมัย, ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (ส.อ.ท.) 2 สมัย, ประธานสหพันธ์อุตสาหกรรมการพิมพ์, รองประธาน ส.อ.ท., ประธานสภาธุรกิจไทย-รัสเซีย และกรรมการมูลนิธิและสมาคมต่าง ๆ อีกหลายแห่ง

ทั้งนี้ คณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดให้มีการประชุมใหญ่ เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2565 และทำการเลือกประธานสภาอุตสาหกรรมฯ คนใหม่ แทนคุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ที่หมดวาระลง ผลปรากฏว่า คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ได้รับคะแนนโหวตแบบท้วมท้น  ให้ดำรงตำแหน่งในวาระปี 2565-2567 เป็นประธานสภาฯคนที่ 16

สิ่งพิมพ์บุญ กายเนรมิต‘ปิยโสภณ’ เครื่องมือปลูกรากแก้วให้แผ่นดิน

ทุกครั้งคราที่เอ่ยถึง “สิ่งพิมพ์และธุรกิจการพิมพ์” เชื่อว่าผู้คนส่วนหนึ่งก็มักจะนึกถึงการค้าการขายที่มีผลกำไรเป็นเป้าหมาย อีกส่วนหนึ่งก็คงจะนึกถึงความเป็น “สื่อ” ที่มีภารกิจแจ้งข่าว,เรื่องราวและนำเสนอแนวคิดจากคนหนึ่งเผยแพร่ไปสู่อีกหลายคน

แต่คงมีคนจำนวนน้อยที่จะนึกถึงสิ่งพิมพ์บุญในบวรพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะที่มีการนำไปใช้ในลักษณะผสมผสานทั้ง 2 สิ่งเข้าด้วยกัน นั่นคือ ใช้เพื่อการค้าขายก็ได้ และใช้เพื่อการเผยแพร่ความคิดก็ได้ด้วย ดังเช่นที่ท่านเจ้าคุณพระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) หรือนามปากกา “ปิยโสภณ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ได้เลือกใช้“สิ่งพิมพ์” เป็นเครื่องมือร่วมปลูกรากแก้วให้แก่แผ่นดิน!

@ สิ่งพิมพ์ : กายทิพย์แยกร่าง

ท่านปิยโสภณถือเป็นหนึ่งในพระภิกษุสงฆ์นักพัฒนา ผู้คนในสังคมบุญของเมืองไทยรู้จักในฐานะผู้ปลูกรากแก้วให้แก่แผ่นดิน เป็นผู้ร่วมสร้างโรงเรียนปลูกรากแก้วแผ่นดิน (สำหรับฝึกอบรมสามเณรและเยาวชนของชาติ) ในนามมูลนิธิส่งเสริมสามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กรุงเทพมหานคร

แต่สิ่งที่ต้องกล่าวถึงในที่นี้ซึ่งมีคุณค่าและสำคัญมากคือ การเขียนหนังสือแนวสอนใจและพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มเพื่อใช้เป็น“เครื่องมือ”สื่อประสานแนวคิดไปสู่ผู้รับสาร ซึ่งมีทั้งญาติโยมผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเยาวชนที่ยังคงต้องการฟูมฟักด้วยสิ่งที่ดีงาม  โดยในช่วงที่ผ่านมาได้รับการตอบรับและกล่าวถึงกันมากทั้งในกลวิธีการเขียน. การสอดแทรกสาระและประเด็นการนำเสนอ ฯลฯ

ท่านปิยโสภณให้เหตุผลที่เป็นแรงบันดาลใจให้ดำเนินงานเขียน และผลิตเป็นสิ่งพิมพ์ต่างๆ ออกมา ทั้งหนังสือ แผ่นพับ ใบปลิว ซีดีภาพ ซีดีเสียง เพราะต้องการอยากจะเนรมิตคน ๆ เดียวให้เป็นร้อยคนพันคน ซึ่งเรียกว่า กายทิพย์  กล่าวคือ ถ้าท่านพูดด้วยคน ๆ คนเดียว ก็ทำได้แค่นั้น แต่ถ้าทำเป็นสิ่งพิมพ์ออกไป คนก็เอาไปอ่าน   ก็เหมือนมีคนนั่งดูท่านอยู่เช่นกันว่า กำลังพูดอะไรและคิดอะไร

หรืออย่าง “พระอาจารย์พูดคุยกัน 2 คนก็ได้รับสาร 2 คน ถ้าพูดห้องโถงใหญ่มีคนฟัง 100 คนก็ได้ 100 คน แต่ทีนี้พระอาจารย์คนเดียวพูดเหนื่อยไม่ไหวแล้ว ก็เนรมิตตัวเองเลย โดยพิมพ์เป็นหนังสือ 5,000 เล่ม  ก็เป็น 5,000 คนที่รับฟังหรือมากกว่า รวมกับแผ่นพับใบปลิวด้วย  แจกกระจายออกไป ก็ง่ายขึ้น แบ่งเบาภาระได้ มีผู้รับสารมากขึ้นแบบเป็นดาวกระจาย”

@ เอกสารA4 : จุดเริ่มใช้สิ่งพิมพ์

การใช้สิ่งพิมพ์เผยแพร่แนวคิดของท่านปิยโสภณ เริ่มขึ้นครั้งเมื่อปี พ.ศ.2541 หรือ 16 ปีที่แล้ว โดยเริ่มจากการใช้กระดาษ A4 พับครึ่ง พิมพ์ข้อคิดลงไปแล้วแจกให้ญาติโยมอ่าน วันหนึ่งๆ  คนไปวัด 100 คนก็พิมพ์ 100 แผ่น แจกหมดแล้วก็ถ่ายเอกสารใหม่  มีเครื่องถ่ายเอกสารเล็กๆ ให้ทำทุกวัน  วันเวลาผ่านไป 1 ปี ความคิดของท่านปิยโสภณที่หลั่งไหลออกมาใหม่ทุกวันผ่านแผ่นกระดาษ A4 นั้นก็มีมากขึ้นๆ  ญาติโยมที่เห็นคุณค่าและคิดว่าเป็นประโยชน์ ก็เอาไปเผยแพร่ต่อ บางคนก็รวบรวมส่งเข้าโรงพิมพ์ทำออกมาเป็นเล่มหนังสือ

“สื่อทีวี อาทิ ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. พิธีกรรายการธรรมมะช่วงเช้าๆ ได้เอาบางถ้อยบางตอนที่เป็นข้อคิดไปอ่านออกอากาศ คนฟังชอบ ก็มาหาอ่านหนังสือ   จึงเป็นจุดเริ่มจุดหนึ่งที่มีคนสนใจขึ้นมา มีคนนิมนต์ไปบรรยาย ไปสอนหนังสือ จากคนที่ไม่รู้จักเราก็เริ่มรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ จากแนวคิดที่ก่อตัวผ่านกระดาษ A4 แผ่นเดียว”

ด้วยเหตุเริ่มต้นที่มาจากกระดาษ A4 แผ่นเดียว ท่านปิยโสภณก็มาคิดว่า มนุษย์ถ้าจะทำงานใหญ่ก็ต้องเริ่มจากงานเล็กที่สุด เหมือนกับโพธิ์ต้นใหญ่ก็เริ่มจากต้นเล็กที่สุด ไม่ต้องไปรอว่า งานใหญ่ต้องทำด้วยคนหมู่มาก ไม่ต้องรอการประชุมที่มีคนจำนวนมากแล้วเรียกเป็นงานใหญ่ แต่เป็นงานที่เริ่มแล้ว“จุดประกาย”ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูปประเทศหรือปฏิรูปตนเอง ก็เริ่มจากสิ่งที่เล็กที่สุด “สิ่งที่เล็กที่สุดพระพุทธเจ้าบอกว่าคือความคิด ความคิดอยู่ที่ไหน อยู่ในตัวตนเรา มองไม่เห็นด้วยตา แต่มีความคิด ถ้าเป็นกายภาพเริ่มต้นที่ลมหายใจ ถ้าเป็นจิตวิญญาณเริ่มต้นที่ความคิด”

@เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว : หนังสือเรื่องแรก

สิ่งพิมพ์ของท่านปิยโสภณ   ที่มีญาติโยมเอาไปรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มนั้น  ทำด้วยทุนส่วนตัวของญาติโยมเอง  เนื่องจากมีความศรัทธา ส่วนหนึ่งนิยมเอาไปพิมพ์แจกงานศพบ้างอะไรบ้าง เช่น เรื่อง “ตายไม่มี” เขียนสั้นๆ ใครอ่านแล้วชอบ ก็เอาไปพิมพ์ต่อแล้วแจกๆๆๆ เขียนเรื่อง “อภัยทาน” คนชอบก็เอาไปพิมพ์แจกเอง ต่อมาสำนักพิมพ์และโรงพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือด้านศาสนาจำหน่ายโดยตรง เห็นก็เอาไปพิมพ์ขาย  หนังสือของท่านปิยโสภณก็ได้รับการตีพิมพ์และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

หนังสือเล่มแรกที่เขียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวชื่อว่า“เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว” นำเสนอชีวิตเริ่มต้นสมัยเด็กๆ  ของท่านปิยโสภณ ซึ่งได้ไปเล่าให้เด็กนักเรียนฟังที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทร์เดชา  ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อะไรที่ทำให้อยากบวช ซึ่งเด็กนักเรียนที่นั่งฟังอยู่นั้นมีโอกาสเรียนหนังสือ บางคนมีโอกาสแต่ไม่อยากเรียน  มีโรงเรียนดี มีครูดี มีอุปกรณ์ครบทุกอย่าง แต่ขี้เกียจเรียน ไม่เข้าเรียนบ้างอะไรบ้าง  ขณะที่เด็กบางคนไม่มีโอกาสเรียนแต่อยากเรียน ดั่งเช่นท่านปิยโสภณ

แม้ที่มาของการเขียนหนังสือเรื่อง “เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว” เริ่มขึ้นจากเรื่องเล่าให้เด็กนักเรียนฟัง แต่เนื้อหาในหนังสือไม่ใช่การถอดเทปคำบรรยาย  เป็นการเขียนขึ้นเพื่อใช้พิมพ์เป็นหนังสือ ซึ่งจะใช้ภาษาแตกต่างกัน จึงปรากฏว่า ได้รับการตอบรับและคำชมจากญาติโยมและพระผู้ใหญ่ว่า เป็นหนังสือที่อ่านง่ายและเข้าใจได้ดี จึงเหมาะสำหรับพิมพ์ให้เด็กอ่าน และญาติโยมก็มีการนำไปพิมพ์ซ้ำพิมพ์แจกเรื่อยมา โดยท่านปิยโสภณไม่ได้เป็นผู้ออกทุนพิมพ์เองอีกเช่นเคย

@ โรงพิมพ์ใหญ่เล็ก : แบ่งงาน

ท่านปิยโสภณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเลือกโรงพิมพ์หรือส่งงานเข้าโรงพิมพ์ ขึ้นอยู่กับว่า ญาติโยมจะนำไปพิมพ์ที่ไหน เจ้าภาพบางคนรู้จักโรงพิมพ์ไหนก็นำไปพิมพ์ ดังมีรายชื่อโรงพิมพ์ปรากฏในหนังสือแต่ละเล่มแตกต่างกันไป อาทิ โรงพิมพ์พลัสเพรส ถนนประชาสงเคราะห์, แสงศิลป์การพิมพ์ ถนนรางน้ำ, โรงพิมพ์บริษัท ไซเบอร์พริ้นท์ กรุ๊ป จำกัด, โรงพิมพ์บริษัท คอมฟอร์ม จำกัด ฯลฯ  ทั้งนี้ อาจพิมพ์ฟรีบ้าง พิมพ์ราคาถูกบ้าง และบางโรงพิมพ์ก็ยังช่วยเก็บสต็อกไว้ให้ด้วย โดยที่ไม่ต้องขนหนังสือไปเก็บที่วัด

นอกจากท่านปิยโสภณ จะเป็นผู้เขียนเรื่องเองแล้ว ยังวาดภาพสีน้ำประกอบเองด้วย โดยที่ท่านบอกว่า เรียนวิชาวาดภาพมาจากยูทูป รวมทั้งการวางเลย์เอ้าต์หน้าตาของหนังสือ ก็จะเป็นผู้กำหนดและตรวจเองทั้งหมด

@ อภัยทานฯ : ยอดพิมพ์ 5 แสน!

ยอดพิมพ์หนังสือแต่ละเล่มอยู่ในช่วง 5,000-10,000 เล่ม หนังสือของท่านปิยโสภณส่วนมากเป็นหนังสือเล่มเล็ก สามารถอ่านจบได้ในเวลาอันสั้น ส่วนหนังสือที่มีความหนามาก มีจำนวนน้อย  อย่างเช่น หนังสือชื่อ “ความลับในอารมณ์” และ “แม่…ชีวิตคืออะไร” ถือว่าเป็นเล่มใหญ่แล้ว

ถ้านับจำนวนปกหนังสือหรือชื่อเรื่อง นับตั้งแต่ปี 2541ถึงปัจจุบัน น่าจะรวมได้ประมาณ 35 เรื่อง ประเภทนวนิยายก็เคยเขียนแต่ไม่ได้พิมพ์ เพราะเคยเอาไปให้คนทดลองอ่านแล้วรู้สึกว่า เป็นงานเขียนแบบเสียดสีคันๆ อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ จึงเก็บไว้เฉยๆ ไม่เผยแพร่

ทั้งนี้ ในจำนวนหนังสือกว่า 35 เรื่องที่พิมพ์ออกมาแล้วนี้  เรื่อง “อภัยทาน รักบริสุทธิ์” พิมพ์แล้วประมาณ 500,000 เล่ม ถือว่ามียอดสูงมากสำหรับหนังสือของท่านปิยโสภณ  โดยทำการพิมพ์ออกมาแจกครั้งแรกเมื่อปี 2546  แต่ในปัจจุบันมีทั้งการพิมพ์แจกและพิมพ์จำหน่าย

@ สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ : แจกแถม

นอกจากหนังสือแล้ว ท่านปิยโสภณ ยังมีการจัดทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์(ซีดี) สอดแทรกแจกแถมไปพร้อมกับหนังสือบางเรื่องบางเล่มด้วย เผื่อเป็นทางเลือกให้ผู้คนว่า “ใครอยากอ่านก็ได้อ่าน ใครอยากฟังก็ได้ฟัง ใครอยากดูก็ได้ดู” เรียกว่าเป็นสื่อ 3 สัมผัส

“วิธีคิดเรื่อง คิดจากธรรมะและเหตุการณ์จริง คิดเอาจากคนที่มาหานี่เอง เพราะมีญาติโยมมาหาทุกวัน บางวันมาเป็นร้อยคน บางคนกำลังคิดจะฆ่าตัวตายก็มี บางคนก็กำลังพลัดพราก บางคนสูญเสีย บางคนรวยแต่มีทุกข์ บางคนจนแต่มีสุข อะไรอย่างนี้ เราก็คุยๆ เสร็จก็ประมวลเป็นธรรมะ คอนเซ็ปต์แต่ละเรื่องมีมาจากสิ่งแวดล้อมเป็นแรงบันดาลใจ เอาตัวอย่างของคนนี้ไปสอนคนโน้น เอาตัวอย่างคนโน้นมาสอนคนนี้ เก็บๆ ไว้เป็นข้อมูล  ซึ่งธรรมะเกิดจากทุกข์”

“สิ่งพิมพ์ดิจิตอล(ซีดี) ก็ทำมานานแล้วพร้อมๆ กับหนังสือ สมัยก่อนมีกล้องวิดีโอเล็กๆ ตัวหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้น มีห้องทำงาน มีห้องตัดต่อเสียงทุกอย่างอยู่ที่มูลนิธิส่งเสริมสามเณรฯ แห่งนี้ ผลิตรายการโทรทัศน์ อาทิ รายการ“เณรปลูกปัญญา”  “เณรรากแก้ว” ฯลฯ ของสถานีโทรทัศน์ทรู ก็ผลิตที่ห้องสตูดิโอซึ่งอยู่ชั้นบนของสำนักงาน”

ท่านปิยโสภณ กล่าวว่า แนวของเรื่องการทำสิ่งพิมพ์ดิจิตอล ไม่ได้ผูกติดว่าจะต้องเหมือนกับหนังสือ หรือหนังสือจะไม่ได้เกิดจากการถอดเทปเสียงบรรยายหรือละครในซีดี เพราะภาษาต่างกัน หนังสือจะใช้ภาษาเขียน ไม่ใช่ภาษาพูด จะเน้นเรื่องภาษาในการเขียนพอสมควร หนังสือจึงมีออกมาไม่มาก

@ ลิขสิทธิ์หนังสือ : ใครๆ ก็พิมพ์ได้

ดังที่กล่าวแล้วว่า หนังสือของท่านปิยโสภณมีทั้งการพิมพ์แจกและจำหน่าย อาทิ บางเล่มก็เป็นการพิมพ์จำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ธรรมสภา,สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียงฯ ฯลฯ  โดยราคาจำหน่ายก็กำหนดตามที่ผู้จัดพิมพ์เห็นควร ซึ่งหนังสือของท่านปิยโสภณทั้ง 35 เล่มไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ดังนั้น หากสำนักพิมพ์หรือโรงพิมพ์อื่นใดจะนำไปพิมพ์แจกเพิ่มหรือพิมพ์ขายอย่างไรก็ได้ การเขียนหนังสือขึ้นมาไม่ได้ต้องการเป็นตัวเงิน การที่หนังสือและแนวคิดได้มีการเผยแพร่ก็เป็นการดีแล้ว

“ถ้าโรงพิมพ์อื่นๆ ต้องการนำไปพิมพ์เป็นของชำร่วยก็นำไปพิมพ์ได้ จะมาผ่านที่มูลนิธินี้หรือไม่ผ่านก็ได้ไม่ติดใจ หรือถ้าพิมพ์เสร็จแล้วอยากจะนำมาแบ่งปันผ่านที่นี่บ้างก็นำมาได้ จะได้นำส่งต่อไปวัดบ้านนอกที่อยู่ไกลและยังขาดแคลนหนังสือกลุ่มนี้ ซึ่งวัดจะใช้แจกในงานกฐินหรืองานบุญต่างๆของท้องถิ่น”

@ สิ่งพิมพ์&โรงพิมพ์ : ไม่มีวันตาย

ท่านปิยโสภณได้กล่าวถึงการพิมพ์และธุรกิจโรงพิมพ์ว่าไม่มีทางตาย  ยกเว้นบางแห่งที่ไม่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยบ้างก็อาจจะตาย แต่“สิ่งพิมพ์”นั้น อย่างไรเสียก็ต้องมีอยู่   เพราะมนุษย์เราความสุขส่วนหนึ่งอยู่ที่ประสาทสัมผัส อย่างเช่น  ระหว่างรูปภาพที่ส่งมาให้ดูทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นรูปภาพความงามอันเดียวกันกับที่จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์ แต่คนก็อยากดูของจริงด้วยตา จึงต้องดั้นด้นเดินทางไปดูของจริงที่พิพิธภัณฑ์ ดูแล้วดื่มด่ำกว่า หรือกรณีของกาแฟ การดื่มจะต้องได้รสได้กลิ่น แต่ถ้าไม่ได้กลิ่นการดื่มก็ไม่มีความสุขแล้ว

“อย่างหนังสือก็เช่นกัน จับต้องแล้วได้กลิ่นหมึก ได้กลิ่นอะไรต่าง ๆ   สาระอยู่ที่ไหน อยู่ประสาทสัมผัส หรือกรณีนิตยสารบ้านอารีย์ เขามีเว็บไซต์เผยแพร่เนื้อหาเหมือนกันหมด แต่คนส่วนใหญ่ก็อยากอ่านอยากจับต้องในส่วนที่เป็นหนังสือ ก็มีการไปสมัครสมาชิก หรือกรณีนิตยสารซีเคร็ตของอมรินทร์ฯ เป็นหนังสือธรรมะ ก็มีในสื่ออินเตอร์เน็ตเหมือนกัน แต่คนก็อยากจะอ่านหนังสือเล่มนี้..สื่อสิ่งพิมพ์ไม่ตายหรอก โรงพิมพ์ไม่มีทางตาย!

พิสูจน์ด้วยการที่ท่านปิยโสภณ ยกสิ่งพิมพ์เปรียบเป็น “กายทิพย์” ที่มีแต่จะต้องเพิ่มจำนวนขึ้นๆ เพื่อให้ช่วยเผยแพร่ขยายแนวคิดปลูกรากแก้วให้แผ่นดิน อย่างไม่รู้กาลจบสิ้น!


หมายเหตุ : สิ่งพิมพ์บุญ กายเนรมิต‘ปิยโสภณ’ / นายขันติ ลาภณัฐขันติ ผู้สัมภาษณ์/เรียบเรียง/ถ่ายภาพ ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก : Thaiprint magazine  เผยแพร่ครั้งที่ 2 : www.PrintingnewsTH.com

11 เหตุผลที่สำนักพิมพ์จะไม่ตีจากโรงพิมพ์ ในมุมมอง‘คุณจรัญ หอมเทียนทอง’

                                                ขันติ ลาภณัฐขันติ...เรื่องและภาพ

ไม่ว่าครั้งไหน ๆ บรรยากาศของงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ, งานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ รวมทั้งงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย   ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ก็จะพบเห็นความคึกคัก ผู้คนล้นหลามหลั่งไหลไปเลือกซื้อหาหนังสือ และที่สำคัญคือ มีหนังสือทั้งปกใหม่ปกเก่า จัดพิมพ์ออกมาจำหน่ายกันอย่างมากมายหลากหลาย..นับวันนับปีมีแต่เพิ่มขึ้น!!

แต่ในภาคของการผลิตหนังสือซึ่งก็คือโรงพิมพ์  กลับมีเสียงพร่ำบ่นเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเสมอ ๆ ทุกฤดูกาลว่า “งานหาย..ลูกค้าหด และสำนักพิมพ์ตีจาก” ซ้ำร้ายบางรายถึงกับม้วนเสื่อกลับบ้านเลิกกิจการไปเลยก็มี  จึงเป็นปรัศนี?ที่มีความขัดแย้งกันในตัวว่า งานพิมพ์ลดน้อยหดหายจริงหรือ ? หากไม่จริงโดยอ้างอิงกับบรรยากาศงานสัปดาห์หนังสือฯ ก็จะมีคำตอบกลับกลายเป็นว่า ลูกค้าและสำนักพิมพ์เป็นฝ่ายตีจากไปเสียเอง..บางโรงพิมพ์จึงไม่มีงาน

 แล้วทำอย่างไร?? เพื่อไม่ให้ลูกค้าสำนักพิมพ์ตีจากหรือหนีหายไปไหน แบบที่ภาษาการตลาดเรียกว่า “ภักดีแบรนด์”  จึงขอนำเสนอคำตอบ ด้วยการสัมภาษณ์แนวคิดและมุมมองของคุณจรัญ หอมเทียมทอง อดีตนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย และอดีตประธานสหพันธ์อุตสาหกรรมการพิมพ์ ในฐานะตัวแทนสำนักพิมพ์ และคำตอบที่ได้จำนวน 11 เหตุผล แม้บางเหตุผลจะ “แรง ๆ” สักนิด แต่หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า เป็นการสะท้อนมุมมองของลูกค้า และล้วนมีคุณประโยชน์ต่อโรงพิมพ์ที่ต้องการพัฒนาตนเองได้เป็นอย่างดี

เหตุผลข้อที่ 1 ที่สำนักพิมพ์จะไม่หลีกหนีตีจากไปไหนนั้น คุณจรัญระบุว่า โรงพิมพ์จะต้องให้การบริการที่ดี มีการดำเนินการแบบวันสต็อปเซอร์วิส ให้บริการตั้งแต่การทำเพลท การพิมพ์ เข้าเล่มและอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการจัดทำหนังสือ ซึ่งข้อแรกนี้อาจจะเป็นคำตอบที่กว้างไปหน่อย แต่ก็คงจะทำให้เห็นภาพเบื้องต้นได้ว่า พื้นฐานงานบริการในฐานะโรงพิมพ์ควรเป็นอย่างไร

เหตุผลข้อที่ 2 คุณจรัญใช้คำว่าโรงพิมพ์ต้องซื่อสัตย์ ซึ่งที่ผ่านมี 2 ประเด็นที่ไม่ซื่อสัตย์และสำนักพิมพ์ยอมรับไม่ค่อยได้คือ  ประเด็นที่ 1 โรงพิมพ์เอากระดาษที่สำนักพิมพ์จัดส่งให้ไปใช้ก่อน ซึ่งสมาชิกพบเห็นเยอะแยะมากและร้องเรียนว่า โรงพิมพ์เอากระดาษเขาไปใช้ด้วยการเอาไปหมุนเวียนก่อน

“ระหว่างที่สำนักพิมพ์ส่งกระดาษไปให้เพื่อรอพิมพ์งาน เขาจะเอากระดาษไปใช้พิมพ์ให้คนอื่นก่อน แล้วก็อ้างว่าทำไม่ทันและเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ เหตุที่สำนักพิมพ์จับได้เพราะว่า หนังสือที่ผลิตออกมามีกระดาษเป็นคนละสี ซึ่งเป็นไปได้ยากที่กระดาษล็อตเดียวกันจะเป็นคนละสี

ความไม่ซื่อสัตย์ประเด็นที่ 2  คือ นอกจากเอากระดาษไปหมุนเวียนใช้ก่อนแล้ว เมื่อถึงเวลาพิมพ์จริงให้ลูกค้าเจ้าของงาน กลับพบว่า กระดาษที่นำมาพิมพ์ให้ใหม่กลายเป็นแกรมที่ต่ำกว่า หรือเรียกให้ชัดว่า  เป็นการหลอกลูกค้าเรื่องแกรมกระดาษ

เหตุผลข้อที่ 3 คือเรื่องคุณภาพการพิมพ์ อันนี้เข้าใจว่า โรงพิมพ์ก็เหมือนกับร้านทำผม บางแห่งก็ทำผมสวย แต่บางแห่งก็ทำไม่สวย โดยเหตุที่ทำไม่สวยส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่างไม่มีฝีมือ ประสบการณ์น้อยหรือขาดความชำนาญอะไรก็ตาม  แต่ที่พบบ่อยก็คือ โรงพิมพ์ส่วนใหญ่จะอาศัยเด็กว่างงานจากต่างจังหวัดแล้วนำมาฝึกเป็นช่างพิมพ์แบบพี่สอนน้อง จึงขาดทักษะความเชี่ยวชาญด้านการพิมพ์ คุณภาพก็ต้องเสียไป งานพิมพ์ออกมาไม่ดี เหตุผลข้อนี้ ร้อยทั้งร้อยลูกค้าก็อยากเปลี่ยนโรงพิมพ์ใหม่

 หตุผลข้อที่ 4 คือเรื่องเวลาหรือกำหนดงานแล้วเสร็จ แต่ถึงเวลากลับไม่เสร็จ อย่างเช่น กำหนดส่งมอบงานวันที่ 1 เพื่อลูกค้าจะนำไปแจกในงานเปิดตัววันที่ 2 แต่พอถึงเวลาส่งมอบกลับทำไม่ได้ อันนี้ ลูกค้าก็เสียหาย ซึ่งเหตุผลข้อนี้ก็นำไปสู่เหตุผลข้อที่ 5 คือ  รับปากโดยไม่รับผิดชอบ

โดยคุณจรัญระบุว่า เหตุผลข้อที่ 5 นั้น มีที่มาจากการที่โรงพิมพ์หลายแห่งมักจะรับปากได้ทุกอย่าง จะเอาเวลาไหนได้หมด เพื่อให้ได้งานหรือไม่ต้องการให้งานนั้น ๆ หลุดไป   แต่เมื่อทำงานจริงและถึงเวลาส่งมอบงาน กลับมีการอ้างสารพัดไปเรื่อยว่า ทำไม่เสร็จเป็นเพราะอะไร  ซึ่งคุณจรัญมองว่า เป็นผลเสียของโรงพิมพ์มากกว่า เพราะยิ่งกลัวงานหลุดด้วยการรับปากไปทุกเรื่อง งานก็หลุดไปจริง ๆ ตรงกันข้าม หากรู้ว่า งานไหนจะทำไม่ทัน ก็ควรจะบอกลูกค้าตรง ๆ เพื่อร่วมหาทางแก้ไข  หรือแม้กระทั่งในส่วนของโรงพิมพ์เอง ก็อาจต้องใช้พันธมิตรมาร่วมผลิตก็ได้  ซึ่งอันนี้ ก็อยู่ที่ว่าโรงพิมพ์จะบริหารตัวเองอย่างไร

เหตุผลข้อที่ 6 คือเรื่องการเงิน โดยปัจจุบันมีโรงพิมพ์ใหญ่ปล่อยเครดิตยาว ๆ ซึ่งเป็นความต้องการของลูกค้าสำนักพิมพ์ทุกราย เช่น โรงพิมพ์กลุ่มทุนใหญ่ให้เครดิต 3 เดือน แต่โรงพิมพ์ขนาดกลางและเล็กให้ไม่ได้ แถมมีการไปเร่งให้ชำระหนี้บ้างจุกจิกอะไรบ้าง คุณจรัญย้ำว่า เหตุผลข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญและเกิดขึ้นจริงแล้ว จะไปโทษลูกค้าสำนักพิมพ์ก็ไม่ได้ เพราะต่างก็ใช้ระบบเงินหมุนเวียนทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม เหตุผลข้อนี้ก็เห็นใจโรงพิมพ์ที่สายป่านสั้นเช่นกัน โดยเฉพาะโรงพิมพ์ขนาดกลางหรือเล็กที่ไม่สามารถหมุนเงินแบบยาว ๆ ได้ แต่ก็ไม่สามารถชี้ทางออกอะไรให้ได้ เพียงแต่ต้องการบอกให้รู้ว่า ปัจจุบันมีแบบนี้แล้ว และบังเอิญว่าสำนักพิมพ์กลุ่มหนึ่งก็อยากได้แบบนี้ ส่วนโรงพิมพ์จะนำไปพิจารณาบริหารจัดการอย่างไร หรือจะใช้จุดแข็งอะไรมาใช้เป็นกลยุทธ์แก้ปัญหาข้อนี้ก็ว่ากันไป

เหตุผลข้อที่ 7 คือโรงพิมพ์อื่นครบวงจรกว่า เช่น มีบริการทั้งการทำเพลทและเป็นโรงพิมพ์ด้วย บางแห่งก็ให้บริการไสกาวเข้าเล่มด้วย ใครที่รับจ้างพิมพ์อย่างเดียว ก็คงมีตลาดและอยู่ได้ในแบบหนึ่ง แต่ถ้าถามใจสำนักพิมพ์ ก็คงอยากทำที่เดียวให้เสร็จไปเลย  ซึ่งเหตุผลข้อที่ 7 ก็มีผลสืบเนื่องไปเป็นเหตุผลข้อที่ 8 ได้ว่า เป็นความไม่สะดวกของสำนักพิมพ์ เพราะใช้ทำงานแล้วไม่สะดวก ต้องย้ายกระดาษไปพิมพ์ที่นั่น แล้วขนไปไสกาวที่อื่นฯลฯ

เหตุผลข้อที่ 9 คือหนังสือหายและหนังสือเกิน  เช่น สั่งพิมพ์ 3,000 เล่ม แต่ส่งจริง 2,500 เล่ม แล้ว 500 เล่มหายไป ส่วนหนึ่งที่หายไปเพราะใช้ทดลองพิมพ์ตอนตั้งเครื่องพิมพ์มากไปหน่อยกว่าจะเข้าที่  คุณอ้างลองแท่น 200 แผ่น ขณะที่คนอื่นเขาลองแท่น 50 แผ่น  คุณก็ไม่ไหวแล้ว บางแห่งไม่บอกด้วยว่าหนังสือหายไป ถ้าลูกค้าไม่นั่งนับอย่างละเอียดก็ไม่สามารถรู้ได้

กรณีการพิมพ์เกินจากที่สั่งพิมพ์ก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยคุณจรัญระบุว่า ในวงการโรงพิมพ์อาจพูดถึงน้อย แต่สำหรับวงการสำนักพิมพ์มีการพูดถึงมาก เพราะหนังสือบางปกพิมพ์ออกมาแล้ว ก็ไปเจอตามตลาดนัดหรือตลาดหนังสือบางแห่งที่ไม่อยู่ในแผนงานของสายส่ง เห็นแล้วก็ได้แต่งงว่า หลุดมาได้ไง? มิหนำซ้ำยังขายต่ำกว่าราคาปกอีกด้วย ทั้งที่เป็นหนังสือใหม่และเป็นหนังสือขายดี

“หนังสือแปลแนวเวทมนตร์พ่อมด ๆ ที่เป็นวรรณกรรมขายดีที่สุดในโลก”นี่ล่ะ เป็นตัวอย่างของการพิมพ์หนังสือที่ต้องเปลี่ยนโรงพิมพ์บ่อย เพราะหนังสือของเขาหาย แล้วไปโผล่ที่สวนจตุจักรบ้างตามตลาดนัดบ้าง แม้ไม่ได้มีการประเมินว่าเสียหายวงเงินเยอะหรือไม่ แต่ได้ทำให้เกิดความเสียหายและเสียความรู้สึกกับโรงพิมพ์แล้วเหตุผลข้อที่ 10 เป็นปัญหาทั่วไปที่รวมตั้งแต่ข้อที่ 1-9 คือปัญหาการจัดการภายในของโรงพิมพ์ กล่าวคือ  โรงพิมพ์ต้องมีระบบการจัดการที่ดี จะต้องมีคนรับงาน คนดูแลงาน คนที่ติดต่อและตามงานได้   แต่โรงพิมพ์ส่วนใหญ่ถ้าถามว่า จะตามงานกับใครได้ ก็ต้องตามกับเถ้าแก่ “เฮีย”ไม่อยู่คนเดียว ตามงานไม่ได้เลย

แถมเหตุผลข้อ 11 อีกข้อหนึ่ง คือโรงพิมพ์อื่นมาเซลล์งาน หรือมาเสนอเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น คุณเคยได้รับเงื่อนไขอะไร คู่แข่งมาให้ดีกว่านั้น  ประเด็นนี้ แม้แต่โรงพิมพ์เองก็มีการพูดถึงมากเช่นเรื่องตัดราคา เขาทำได้เพราะมีการบริหารต้นทุนและการจัดการที่ดี  เป็นเรื่องที่สำนักพิมพ์ได้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้แนะนำว่าโรงพิมพ์จะต้องตัดราคากันเสมอไป เพราะเรื่องราคาเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่พิจารณาเท่านั้น แต่อยากบอกว่า โรงพิมพ์ควรจะเป็นผู้นำเสนอสิ่งดี ๆ ให้แก่สำนักพิมพ์ตลอดเวลา

 การประมวลเหตุผลทั้ง 11 ข้อมานี้ ขอย้ำว่า เป็นการสะท้อนมุมมองส่วนหนึ่งของลูกค้า โดยผ่านการสัมภาษณ์คุณจรัญ หอมเทียนทอง อดีตนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ขณะเดียวกัน ก็เชื่อว่า มุมมองนี้ถือเป็นปัญหาของโรงพิมพ์ส่วนน้อยที่มีวิธีการดำเนินการที่ผิดบ้างถูกบ้าง และ 11 เหตุผลที่นำเสนอ ถือเป็นคำแนะนำเชิงตักเตือนว่า สุดท้ายโรงพิมพ์ที่ไม่พัฒนาการให้บริการ และประเภทที่เข้าข่ายละเมิดลูกค้าจะไม่สามารถอยู่ได้

แต่ทั้งนี้ ก็เป็นที่น่ายินดีว่า โรงพิมพ์ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในขอบเขตของ 11 เหตุผลที่สำนักพิมพ์จะไม่หลีกหนีตีจากไปไหน ดังจะเห็นได้จาก มีหลายร้อยพันสำนักพิมพ์ก็ยังคงใช้บริการของโรงพิมพ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนก็เปลี่ยนน้อยที่สุด และส่วนหนึ่งก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนการใช้บริการของโรงพิมพ์นั้น ๆ เลยทีเดียว เพียงแต่เพิ่มการใช้บริการโรงพิมพ์ใหม่เข้ามาเสริม เพราะนับวัน ๆ จะมีผู้อ่านเพิ่มจำนวนมากขึ้น ตามโครงการส่งเสริมการรักการอ่าน และมีการพิมพ์ปกหนังสือเพิ่มมากขึ้น ตามที่เห็นเป็นรูปธรรมและกลายเป็นที่มาของประเด็นการนำเสนอในวันนี้คือ บรรยากาศงานสัปดาห์หนังสือฯ ที่มีความคึกคัก ผู้คนแห่ซื้อหนังสือล้นหลาม และมีปริมาณและยอดการพิมพ์หนังสือเพิ่มขึ้น

โรงพิมพ์ที่สามารถปฏิบัติได้ตามเหตุผล 11 ข้อ จึงไม่น่าเป็นห่วงที่จะต้องพบคำว่า “งานหด ลูกค้าหาย และสำนักพิมพ์ตีจาก” อีกต่อไป!!