STGT พร้อมเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่สุราษฎร์ธานี 3

บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT เดินหน้าขยายกำลังการผลิตถุงมือยางตามต่อเนื่อง วางเป้าหมายเปิดโรงงาน 4 แห่งภายในปีนี้ ดีเดย์เดินเครื่องจักรโรงงานใหม่สุราษฎร์ธานี 3 แล้ว เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อผลิตถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รองรับดีมานด์จากทั่วโลกที่มีอย่างต่อเนื่อง หลังเปิดโรงงานสุราษฎร์ธานี 2 ไปแล้วก่อนหน้านี้ และเตรียมเปิดโรงงานในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และจังหวัดตรังในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมวางแผนระยะยาวเพิ่มกำลังการผลิตแตะ 100,000 ล้านชิ้นภายในปี 2569  

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายกำลังการผลิตถุงมือยางตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อรองรับความต้องการใช้สินค้าและคำสั่งซื้อจากทั่วโลกที่มีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรค COVID-19 ในหลายประเทศและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส โดยแผนงานในปี 2564 จะเปิดโรงงานใหม่เพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง ใช้งบลงทุนรวมกว่า 11,000 ล้านบาท ได้แก่ โรงงานในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 แห่ง อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา 1 แห่ง และจังหวัดตรัง 1 แห่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เดินเครื่องจักรโรงงานสุราษฎร์ธานี 2 ไปแล้ว และล่าสุดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 บริษัทฯ ได้เดินเครื่องจักรโรงงาน
สุราษฎร์ธานี 3 เป็นที่เรียบร้อย

สำหรับโรงงานสุราษฎร์ธานี 3 จะผลิตถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ (ถุงมือยางสังเคราะห์) มีกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 4,000 ล้านชิ้นต่อปี เพื่อรองรับการส่งออกและจำหน่ายในประเทศ โดยโรงงานดังกล่าวใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่สามารถผลิตสินค้าและปรับไลน์การผลิตได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากภาครัฐเป็นระยะเวลา 5 ปี

ทั้งนี้ จากแผนเปิดโรงงานใหม่ทั้งหมด 4 แห่งภายในปีนี้ จะทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 35,800 ล้านชิ้นต่อปี และวางแผนขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตเป็นประมาณ 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ภายในปี 2569 เพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มส่วนในตลาดถุงมือยางทั่วโลก

“ปัจจุบันเรามีความพร้อมขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นบ้างจากเหตุเพลิงไหม้โรงงานและตรวจพบพนักงานติด COVID-19 อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้แก้ไขปัญหาเป็นที่เรียบร้อยพร้อมฉีดวัคซีนทางเลือกแก่พนักงานครบทุกคน และกำลังเร่งเดินหน้าการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรเพื่อเปิดโรงงานอีก 2 แห่งในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา รวมถึงจังหวัดตรังในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ตามแผนที่วางไว้” นางสาวจริญญา กล่าว

QTC ฤกษ์ดี Move On SET 29 ก.ค.นี้

บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) ตอกย้ำความแข็งแกร่ง ย้ายเข้าเทรดใน SET วันที่ 29 ก.ค.นี้ เปิดทางนักลงทุนสถาบันและกองทุนเข้าลงทุนเพิ่มสภาพคล่อง เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ด้าน CEO “พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน” ประกาศกลยุทธ์รักษาระดับการเติบโตต่อเนื่อง ภายใต้การมุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิม พร้อมรุกขยายฐานลูกค้าใหม่เจาะกลุ่มประเทศ ASEAN ลุยพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รองรับความต้องการของลูกค้าได้ทุกมิติ หนุนผลงานปีนี้เข้าเป้า 1,200 ล้านบาท หลังตุน Backlog แล้ว 470 ล้านบาท และจ่อได้เพิ่มอีก 100 ล้านบาทในครึ่งปีหลังนี้

นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิต จัดจำหน่าย และให้บริการหม้อแปลงไฟฟ้า เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ได้อนุมัติการย้ายหลักทรัพย์ QTC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค สำหรับการย้ายเข้าซื้อขายใน SET ครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนสถาบันและกองทุนเข้ามาถือหุ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับบริษัทฯ และเป็นการขยายฐานนักลงทุนให้กว้างขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้ดียิ่งขึ้น มีแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มศักยภาพการต่อยอดและขยายงานทางธุรกิจในอนาคตให้เติบโตยิ่งขึ้น

สำหรับการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ QTC อยู่ในตลาด mai ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินธุรกิจผู้ผลิต จัดจำหน่าย และให้บริการหม้อแปลงไฟฟ้า, ธุรกิจจำหน่ายกระแสไฟฟ้าของบริษัทย่อย บจ.คิวโซลาร์ 1 ซึ่งมีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 8.6 MW  รวมทั้งการแตกไลน์ไปยังธุรกิจเทรดดิ้ง โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ให้กับ LONGI Solar, Trina Solar และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่สะท้อนถึงจุดสนใจของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากติดเงื่อนไขการเข้าลงทุนในหุ้น mai ดังนั้น หลังจากนี้บริษัทฯ เชื่อว่าจะเป็นการเปิดโอกาสการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสถาบันมากขึ้น และยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ

“ผลการดำเนินงานปี 2563 มีรายได้รวม 1,037.24 ล้านบาท กำไรสุทธิ จำนวน 157.53 ล้านบาท ส่วนไตรมาสแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 233.77 ล้านบาท กำไรสุทธิ จำนวน 22.63 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสะสม ณ สิ้นไตรมาส 1/2564 ทั้งสิ้น 196.56 ล้านบาท และยังมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักเงินสำรองต่างๆ ถือเป็นการตอกย้ำศักยภาพการเติบโตอย่างชัดเจน แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมาจะเจอสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงอย่างการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯ ยังสามารถแก้ไข ปรับตัว รักษาระดับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตในปีนี้แตะ 1,200 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นผลักดันธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการแบบเชิงรุกมากขึ้น ทั้งการขายหม้อแปลงไฟฟ้า การขายแผงโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯเร่งแผนการขยายตลาดในธุรกิจเทรดดิ้ง ภายใต้การเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ให้กับ LONGI Solar การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter มากขึ้น เนื่องจากมองว่าสินค้าดังกล่าว มีความต้องการเพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่เป็นทั้งผู้ออกแบบ จัดซื้อจัดจ้างและติดตั้งในโครงการ (EPC) ตั้งแต่รายเล็กไปจนถึงรายใหญ่

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มความหลากหลายของช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผงโซลาร์เซลล์ ผ่าน E-Commerce แพลตฟอร์มออนไลน์ นำร่องขยายเข้ากลุ่มลูกค้าทั่วไป ภายในไตรมาส 3/64 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดเป็นวงกว้าง จากปัจจุบันจำหน่ายในกลุ่มลูกค้าองค์กรเท่านั้น โดยล่าสุดบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) แล้วจำนวน 470 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และคาดว่าจะมียอดคำสั่งซื้อหม้อแปลงไฟฟ้าจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การประมูลงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เบื้องต้นคาดว่ามีมูลค่างานประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งอาจจะทราบผลเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลังนี้

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงกรณีการปรับขึ้นราคาของวัตถุดิบหลักทั้งทองแดงและเหล็กทุกชนิดในช่วงที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ ก็แสดงให้เห็นว่า QTC ยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง บนโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นกระจายความเสี่ยง ไม่ต้องการผูกติดกับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง จากแนวคิดแสวงหาโอกาสใหม่ๆ พร้อมกันนี้บริษัทฯยังมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการควบคุมต้นทุนในทุกๆด้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพทำกำไรให้บริษัทฯ ระยะยาว

บริษัทฯ วางกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิม พร้อมกับการขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ อาทิ Facebook : QTCENERGYPCL, Line:@QTC_ENERGY เป็นต้น พร้อมทั้งการรักษาคุณภาพ และมาตรฐานของหม้อแปลงไฟฟ้าของบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ  ASEAN พร้อมทั้งการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม

“กองทุน ตปท.ระดับโลก” ซื้อหุ้น INSET บิ๊กล็อต

บมจ.อินฟราเซท (INSET) สุดแจ่ม! กองทุนต่างประเทศระดับโลกเข้าซื้อบิ๊กล็อต จำนวน 10 ล้านหุ้น  ราคาหุ้นละ 6.75 บาท  หลังรับฟังข้อมูลมั่นใจพื้นฐานแน่นปึ๊ก! อนาคตโตแรงตามเทรนด์เทคโนโลยี 5G และธุรกิจ Data Center ฟาก “ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต” ระบุ การมีสถาบันต่างชาติถือหุ้น ช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน เพิ่มความน่าสนใจ ประเมินแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังสดใส  เหตุสถานการณ์โควิด-19 ผลักดันธุรกิจ Data Center- Cloud คึกคัก อานิสงส์ Work from Home มาแรง มั่นใจผลงานปีนี้โตทะลุเป้า 20% 

นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินฟราเซท หรือ INSET เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ทำรายการขายหุ้นในกระดานซื้อขายรายใหญ่(Big lot) จำนวน 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 6.75 บาท โดยขายให้กับกองทุนต่างประเทศระดับโลก ซึ่งแสดงความสนใจขอซื้อหุ้นภายหลังจากที่ได้รับฟังข้อมูลที่ได้นำเสนอให้กับนักลงทุนสถาบันในช่วงที่ผ่านมา และกองทุนดังกล่าวมีความมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งมีศักยภาพการเติบโตก้าวกระโดด และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่บริษัทฯอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ระบบ 5G ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยเฉพาะธุรกิจ Data Center และ Cloud ซึ่งมีความต้องใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามเทรนด์ของโลกยุคดิจิทัล รวมทั้งเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ทำให้ผู้ประกอบการในระบบออนไลน์ต้องเร่งขยายพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกระแส Work from Home ที่มาแรงในปัจจุบัน

“การมีสถาบันต่างชาติระดับโลกเข้ามาถือหุ้น จะช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน เพิ่มความน่าสนใจในหุ้นของบริษัทฯ และยังสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่ดี อย่างไรก็ตาม การทำรายการครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อบริษัท และกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่

กรรมการผู้จัดการ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยผลงานใน Q2/2564 สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงบริษัทฯได้เข้าประมูลงานใหม่เพิ่มอีก 4-5 โครงการ มูลค่าประมาณ 500 บาท โดยคาดว่าจะมีการประกาศผลการประมูลในเร็วๆนี้ ซึ่งจากการประเมินผลงานที่ผ่านมา บริษัทฯมีโอกาสที่จะได้รับงานเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ บริษัทฯได้มีการเตรียมพร้อมและรับมือโดยการมีมาตรการ WFH  รวมถึงใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน จึงสามารถเตรียมการและประชุมได้ตลอดเวลา ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจเป็นด้วยดี และมั่นใจว่า ผลงานในปี 2564 จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 20%

นวัตกรรมพืชกินได้ ใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดปราบ HIV 

APCO ประสบความสำเร็จในการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดภาวะ HIV หมดฤทธิ์แล้ว รวม 9 ราย ในประเทศไทยก่อนนักวิจัยอื่นๆทั่วโลก  

ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงามด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า คณะนักวิจัยของ  APCO ประสบความสำเร็จในการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดทำให้ผู้ติดเชื้อ HIV ปลอดจากเชื้อได้แล้วในประเทศไทยก่อนนักวิจัยอื่นๆทั่วโลก

การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารสกัดจากพืชกินได้ สามารถทำให้ผู้ที่ติดเชื้อ ทั้งผู้ที่ยังไม่ได้ใช้ยาต้าน และผู้ที่ใช้ยาต้านมาแล้วหลายปี  เกิดภาวะ HIV หมดฤทธิ์แล้ว รวม 9 ราย และสองรายในจำนวนนี้ตรวจไม่พบเชื้อต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีทำให้สรุปได้ ว่า เป็นผู้ที่ปลอดเชื้อ HIV แล้ว

ความสำเร็จครั้งนี้สร้างประวัติศาสตร์การรักษาการติดเชื้อ  HIV/AIDS ได้เป็นครั้งแรกของโลก ด้วยวิธีที่ง่ายและปราศจากผลข้างเคียง คือ การสร้างภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารสกัดจากพืชกินได้ ให้ผู้ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะกำจัดเชื้อ HIV จนหมดและไม่กลับมาเป็นอีก

“ในวันที่  APCO ย้ายเข้าจดทะเบียน ในตลาด  SET เมื่อ14 พ.ค. 61 ผมได้ประกาศปณิธาน ว่า APCO จะเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมสำหรับดูแลผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ที่ทรงประสิทธิภาพเหนือกว่าทุกบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ของโลก วันนี้  APCO ได้บรรลุถึงปณิธานนั้นแล้ว และวางแผนให้นวัตกรรมนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ติดเชื้อ  HIV/AIDS ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆทั่วโลกต่อไป”ศ.ดร. พิเชษฐ์ กล่าว

นับตั้งแต่การค้นพบเชื้อ HIV เมื่อ 39 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมีความพยายามที่จะคิดค้นวัคซีน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และคิดค้นยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่สำเร็จ ทำได้เพียงการใช้ยาต้านHIV ระงับการขยายตัวของเชื้อไม่ให้ลุกลามเท่านั้น  ซึ่งยาต้าน HIV ส่งผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ให้กับผู้ใช้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  และทำให้ผู้ที่ใช้ยาต้านมีอายุสั้นลงเฉลี่ย 9 ปี

อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อไม่สามารถที่จะหยุดใช้ยาต้าน HIV  ได้ เพราะทันทีที่หยุดใช้เชื้อจะกลับมาขยายจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 เท่า ได้อย่างรวดเร็ว และหากควบคุมไม่ได้ ก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง กลายเป็นโรคAIDS ซึ่งทำให้ เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในที่สุด

ในช่วงหลัง นักวิจัยทั่วโลกจึงได้พยายามหาวิธีใหม่ มาแทนการใช้ ยาต้าน HIV โดยให้สามารถควบคุมปริมาณเชื้อให้น้อยที่สุดจนตรวจไม่พบและไม่ทำให้เกิดอาการของโรคได้  ซึ่งเรียกกันว่า HIV functional cure หรือภาวะ HIV หมดฤทธิ์  จนบัดนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ  แต่ APCO ได้ทำสำเร็จแล้ว และบางรายในกลุ่มนี้ก็ปลอดเชื้อแล้ว

ช้อปอะไรดี? Nespresso x Chiara Ferragni ลิมิเต็ด อิดิชั่น

เนสเพรสโซ (Nespresso) เปิดตัวคอลเล็กชั่น Nespresso x Chiara Ferragni ลิมิเต็ด อิดิชั่น เตรียมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมนี้ คอลเล็กชันนี้เป็นผลงานคอลแลบล่าสุดที่เนสเพรสโซร่วมมือกับ เคียร่า เฟอร์รังงี (Chiara Ferragni) แฟชั่นไอคอนชาวอิตาเลียน ของวงการแฟชั่นโลกที่มีผู้ติดตามทางออนไลน์กว่า 24 ล้านคน มาร่วมรังสรรค์คอลเล็กชั่นพิเศษซึ่งประกอบไปด้วย เครื่องชงกาแฟ และแอคเซสเซอรี่เข้าชุดเพื่อต้อนรับซัมเมอร์ 2021 ให้แฟนๆ สายแฟของเนสเพรสโซและเคียร่าได้เก็บสะสมกัน นอกจากนี้ เนสเพรสโซยังได้ขนทัพเหล่าเซเลบริตี้คอฟฟี่เลิฟเวอร์ชื่อดังมาเซอร์ไพรส์ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกบนช่องทางโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่ 28 กรกฎาคม เป็นต้นไป

คอลเล็กชั่น Nespresso x Chiara Ferragni สุดพิเศษนี้ได้ผสานการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจมาจากซัมเมอร์คอลเล็กชั่น  เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานและสะท้อนผ่านตัวตนที่โดดเด่นของเคียร่า ผ่านการนำเอาไอคอนรูปดวงตาลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ของเคียร่าและการเลือกใช้โทนสีสันสดใสรับซัมเมอร์มาดีไซน์ให้คอลเล็กชันลิมิเต็ดอิดิชั่นนี้ให้ความรู้สึกทันสมัยและโดดเด่นสะดุดตาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่

สำหรับความพิเศษของลิมิเต็ด คอลเล็กชั่นนี้ เคียร่าได้คัดสรรไอเท็มชิ้นโปรดนำมาดีไซน์เพื่อนำเสนอความเอ็กซ์คลูซีฟให้แฟนๆ ทั่วโลกของทั้งเนสเพรสโซและเคียร่าได้ตามสะสมโดยเฉพาะ ประกอบไปด้วย เครื่องชงกาแฟรุ่นคลาสสิกอย่าง Essenza Mini ดีไซน์ล้ำ น้ำหนักเบา และมีขนาดกะทัดรัดที่สามารถรังสรรค์กาแฟรสชาติเยี่ยมได้อย่างง่ายดาย โดยเคียร่าเลือกใช้สีชมพูสดใสและลวดลายแพทเทิร์นไอคอนรูปดวงตาสลับโลโก้เนสเพรสโซมาสร้างความว้าวให้กับเครื่องชงกาแฟ นอกจากนี้ ยังมอบประสบการณ์อันสมบูรณ์แบบสำหรับคอกาแฟตัวจริงด้วยเครื่องทำฟองนมรุ่น Aeroccino 3 ที่มีลวดลายและสีสันเข้าชุดกัน ไม่เพียงเท่านั้นแฟนๆ ยังสามารถเลือกดื่มด่ำกับกาแฟแก้วโปรดได้กับแก้วมัคใส Coffee Mug ลายโมโนแกรม และแก้วมัคแบบพกพาได้ Nomad Travel Mug สีชมพูหวานกับไอคอนดวงตาซิกเนเจอร์สุดเก๋ สำหรับกาแฟในคอลเล็กชั่นนี้ มีทั้งหมด 3 รสชาติ ได้แก่ Roma, Freddo Intenso และ Scuro ซึ่งเป็นกาแฟรสโปรดของเคียร่าอีกด้วย

เพื่อปลุกกระแสความหลงใหลในกาแฟของคนรุ่นใหม่เนสเพรสโซ ประเทศไทย มอบประสบการณ์การดื่มกาแฟที่สนุกกว่าครั้งไหนกับกิจกรรมไลฟ์สตรีมมิ่งและกิจกรรมร่วมสนุกต่างๆ ที่ทำได้จากที่บ้าน อาทิ

  • สร้างความเซอร์ไพรส์ผ่านโซเชียลมีเดียที่ได้เหล่าคอฟฟี่เลิฟเว่อร์ชื่อดัง 6 คน อาทิ คริส หอวัง, แพทริเซีย กู๊ด, เต้ย-จรินทร์พร, เจมส์-ธีรดนย์, ใบเตย-สุวพิชญ์, เจนิส-เจณิสตา ที่จะมาร่วมนำเสนอประสบการณ์การดื่มกาแฟสุดพิเศษยิ่งขึ้นสำหรับคอลเล็กชั่นนี้ จะเป็นอย่างไรสามารถติดตามได้ในอินสตาแกรมของเหล่าคนดัง โดยจะเปิดตัวในวันที่ 28-29 กรกฎาคมนี้
  • สตรีมมิ่งโปรลับ! จากบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง ICEPADIE ที่จะมาชวนคุย พร้อมของรางวัล
    และโปร​โมชั่นสุดพิเศษเฉพาะในไลฟ์ ผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/icepadie วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 เวลา 13.00 – 14.00 น.

คอลเล็กชั่น  Nespresso x Chiara Ferragni มีกำหนดวางจำหน่ายให้แฟน ๆ ในประเทศไทย ได้ตามสะสมพร้อมกัน ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 ทางเว็บไซต์เนสเพรสโซ https://www.nespresso.com/th/ หรือเนสเพรสโซ แอปพลิเคชั่นสำหรับ iPhone, iPad และ Android TM ดังนี้

  • เครื่องชงกาแฟรุ่น Nespresso x Chiara Ferragni Essenza Mini วางจำหน่ายในราคา 5,500 บาท
  • เครื่องทำฟองนมรุ่น Nespresso x Chiara Ferragni Aeroccino 3 วางจำหน่ายในราคา 4,800 บาท
  • แก้วมัคใส Nespresso x Chiara Coffee Mug วางจำหน่ายในราคา 890 บาท
  • แก้วมัคแบบพกพาได้ Nespresso x Chiara Nomad Travel Mug วางจำหน่ายในราคา 1,190 บาท

แฟนๆ ของเนสเพรสโซและเคียร่า เฟอร์รังงี สามารถติดตามรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ รวมถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ของคอลเล็กชั่นนี้ได้ที่เฟซบุ๊ก: Facebook.com/Nespresso.thailand, อินสตาแกรม: @Nespresso.th , และไลน์ ออฟฟิเชียล แอ็กเคานต์: @NespressoTH

เที่ยวทิพย์! ทัวร์แก้ปีชงออนไลน์ 3 วัดดังฮ่องกง

การท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board) และบริษัท มิราม่า เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว “ทัวร์สักการะเทพเจ้าออนไลน์” ในฮ่องกง แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการสักการะ ทำบุญเสริมดวง แก้ปีชง หรือแม้กระทั่งแก้บน แต่ไม่สามารถเดินทางไปฮ่องกงได้ด้วยตัวเอง

โอกาสการ ทำบุญทิพย์ ครั้งนี้มีจำกัด เพราะทัวร์พร้อมออกเดินทางและเปิดให้จองได้แล้วถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2564 นี้เท่านั้น! โดยผู้สนใจสามารถเลือกเยี่ยมชม 3 วัดชื่อดังของฮ่องกง อย่าง วัดแชกง พร้อมหมุน “กังหันนำโชค” ขึ้นชื่อ วัดหว่องไทซิน ที่โด่งดังด้านการขอคู่จาก “เทพด้ายแดง” และ วัดเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ พร้อมทำพิธีเปิดทรัพย์ “ยืมเงินเจ้าแม่กวนอิม” ผ่านทัวร์ทำบุญแบบออนไลน์นี้ได้อย่างง่ายดาย โดยท่านจะได้รับการดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดกิจกรรมราวกับได้ไปทำพิธีที่วัดแห่งนั้นด้วยตัวเอง เช่น การจัดเตรียมชุดของไหว้ และการนำการสักการะตามขนบพิธี ผ่านรูปแบบออนไลน์เพื่อให้ทุกท่านเข้าถึงประสบการณ์แบบเสมือนจริงที่สุดในสถานการณ์ที่การเดินทางถูกจำกัดเช่นปัจจุบัน

ผู้ที่สนใจสามารถทำการจองทริปผ่านทางเว็บไซต์ Wonderfulpackage.com และหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมงานได้ที่ Line Official Account: @wonderfulpackage

ข้อมูลประกอบเพิ่มเติม

  • รายละเอียดทัวร์สักการะเทพเจ้าออนไลน์ทั่วฮ่องกง
  • ขั้นตอนการร่วมสักการะเทพเจ้าออนไลน์
  • ตัวเลือกวัดเพื่อการสักการะ

1. ทัวร์สักการะเทพเจ้าออนไลน์ทั่วฮ่องกงระยะเวลาจอง: วันนี้ ถึง 15 สิงหาคม 2564วันจัดทัวร์: ทุกวันจันทร์ (สามารถเลือกวันทัวร์ได้ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2564)ราคา: เริ่มต้นที่ 3,999 บาท (หมายเหตุ: ราคาข้างต้นรวมชุดของไหว้ 1 ชุด ต่อ 1 ครอบครัว และสามารถซื้อชุดของไหว้เพิ่มได้ในราคา ชุดละ 450 บาท)ช่องทางการจอง: Wonderfulpackage.comสอบถามเพิ่มเติม: Line Wonderful Package: @wonderfulpackage https://www.wonderfulpackage.com/article/v/861/?utm_source=web&utm_medium=seo&utm_campaign=article&utm_content=861

2. ขั้นตอนการร่วมสักการะเทพเจ้าออนไลน์

2.1 จองและชำระเงิน

2.2 ผู้นำทัวร์จะสร้างแชทกลุ่ม และพาทุกท่านร่วมการสักการะผ่านกลุ่มแชทดังกล่าว

2.3 เพื่อประกอบพิธี ท่านจะต้องให้ข้อมูลต่อไปนี้

  • ชื่อจริง
  • วัน/เดือน/ปี เกิด
  • ชื่อของสมาชิกในครอบครัวที่ต้องการเพิ่มลงในคำอธิษฐาน (ไม่บังคับ)
  • คำอธิษฐานของท่าน

2.4 ผู้นำทัวร์ในฮ่องกงจะทำการซื้อชุดของไหว้ (กระดาษกงเต็ก ธูป และเครื่องราง) ในนามของท่าน เพื่อสักการะต่อองค์เทพเจ้า และจะจัดส่งเครื่องรางไปให้แก่ท่านหลังพิธีสักการะเสร็จสิ้น5. ทัวร์จะเริ่มตามวันและเวลาที่ได้รับการยืนยัน

3.ตัวเลือกวัดเพื่อการสักการะ

วัดแชกง

วัดอันโอ่อ่าแห่งนี้อุทิศให้กับแชกง ขุนนางระดับผู้บังคับบัญชาในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (พ.ศ. 1670-1822) ผู้มีผลงานการปราบปรามการก่อกบฏในช่วงศตวรรษที่ 13 ทั้งยังเป็นผู้พาจักรพรรดิซ่งองค์สุดท้ายเดินทางหลบหนีการรุกรานจากมองโกเลียไปยังเกาะฮ่องกง ผู้คนในซ้าถิ่นได้อุทิศวัดแห่งนี้ให้กับเขาเมื่อประมาณ 300 ปีที่แล้ว เพื่อช่วยหยุดการระบาดของโรคในท้องถิ่น ตำนานเล่าว่า โรคระบาดนี้ได้อันตรธานไปในวันที่วัดแห่งนี้สร้างเสร็จพอดี

ปัจจุบันวัดแห่งนี้มีรูปปั้นขนาดยักษ์ของแชกง และ “กังหันนำโชค” โดยความหมายของใบพัดทั้ง 4 คือ เดินทางปลอดภัย อายุยืนยาว เงินทองไหลมาเทมา และสมปรารถนาทุกประการ ถือเป็นการหมุนเอาสิริมงคล บารมี โชคลาภ และเงินทอง มาให้ผู้สักการะเมื่อหมุนกังหันตามเข็มนาฬิกา 3 ครั้ง และก่อนที่ท่านจะออกจากวัดจะต้องตีกลองให้เสียงดังสนั่นเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย

วัดหว่องไทซิน

วัดหว่องไทซินน่าจะเป็นวัดที่พลุกพล่านที่สุดในฮ่องกง และเป็นหนึ่งในวัดที่ผู้คนนิยมไปเพื่อความเป็นสิริมงคล เพราะเชื่อกันว่าให้โชคลาภมากที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยวัดนี้ได้อุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งการรักษานามว่าหว่องไทซิน ทั้งยังถือเป็นสถานที่แห่งประสาทสัมผัส ทั้งรูป กลิ่น และเสียง ประกอบด้วย เสาสีแดงสด รูปปั้นประจำราศีทำจากทองสัมฤทธิ์ หลังคาสีหยกที่มีโครงไม้สอดประสานและประดับประดาไปด้วยมังกร รวมถึงกลิ่นหอมของธูปที่ลอยอบอวลอยู่ทั่ว

ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาจะมาขอพร เรื่องสุขภาพกับหวังต้าเซียน ไหว้พระ เสริมดวงชะตา หรือ ไหว้พระแก้ปีชง ที่วิหารไท้ส่วยเอี๊ย ห้องลับหวังต้าเซียน ขอเนื้อคู่ ไหว้พระสละโสด กับ “เทพจันทราหรือด้ายแดง”

วัดเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ

ในตัวเมืองของฮ่องกงนั้นมีวัดบูชาเจ้าแม่กวนอิมอยู่หลายแห่ง แต่วัดในฮ่องฮำมีชื่อเสียงมากที่สุด วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2416 โดยอุทิศให้กับเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่แห่งความเมตตา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการปล่อยระเบิดลงฮ่องฮำหลายต่อหลายครั้งซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ลี้ภัยหลบอยู่ภายในวัดกลับแคล้วคลาดปลอดภัย ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าพวกเขารอดพ้นจากภยันตรายนี้ได้ก็เพราะมีเจ้าแม่กวนอิมคุ้มครอง วัดแห่งนี้อยู่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณโดยห้องโถงด้านหน้ามีลักษณะคล้ายกับศาลาจีน

“พิธียืมเงินเจ้าแม่กวนอิม” สุดเลื่องชื่อแห่งฮ่องฮำ ถือเป็นพิธีเปิดทรัพย์ที่ชาวฮ่องกงยอมรับนับถือ ขอพรให้สัมฤทธิ์ผลตามความปรารถนา

KRUNGSRI EXCLUSIVE 2021 Mid-Year Outlook Series : วัคซีนความหวังฟื้นเศรษฐกิจไทย

ต่อเนื่องกับการอัดแน่นข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เป็นประโยชน์สำหรับนักธุรกิจนักลงทุนที่ต้องการจะเดินหน้าไปต่อหลังสถานการณ์โควิด-19 กับการสัมมนาแบบนิวนอร์มอลครั้งใหญ่แห่งปีตลอดเดือนกรกฎาคม 2564 โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งครั้งนี้ กรุงศรี ได้เตรียมหัวข้อที่ทุกคนอยากรู้และต้องการคำตอบมากที่สุดอย่าง วัคซีนความหวังฟื้นเศรษฐกิจไทย ที่เนื้อหาดีต่อใจคนฟัง ทำให้รู้สึกมีพลังและเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ กับการให้ความเห็นเชิงวิเคราะห์เจาะลึก รายงานผลการศึกษา และส่งต่อคำแนะนำให้คำปรึกษาจากขุนพลการเงินระดับแนวหน้าของไทย โดยได้รับเกียรติจากสองผู้เชี่ยวชาญของกรุงศรี และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมให้ทัศนะถึงวัคซีนความหวังที่จะมีส่วนผลักดันการอยู่รอดและเพิ่มอัตราเร่งการเติบโตเศรษฐกิจไทย พร้อมเผยวิธีการจัดสรรเงินทุนพร้อมรับมือปัจจัยต่างๆ และแนวทางเลือกกลุ่มธุรกิจที่ ฉายแวว” น่าลงทุนให้เจอ

เรากำลังอยู่ท่ามกลางการระบาดของโควิดรอบใหม่และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด นักลงทุนไทยจึงต้องเก็บเกี่ยวข้อมูลรอบด้านให้มากที่สุดเพื่อนำมาใช้ขับเคลื่อนและทำลายกับดักจากสถานการณ์โควิด-19 เปลี่ยนทุกวิกฤติให้เป็นโอกาสให้ได้ ซึ่งดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยว่า ถึงแม้เราจะต้องอยู่กับสถานการณ์นี้ไปอีกสักพักใหญ่ แต่ในข่าวร้ายที่ไทยยังต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ภายในประเทศที่ส่งผลกระทบหนักกับภาคการบริโภคในประเทศ ภาคแรงงานและภาคบริการท่องเที่ยว เรากลับพบข่าวดีจากการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเช่นกัน

ด้วยอิทธิพลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง อเมริกาและจีน แม้อาจจะมีสงครามการค้าและ Tech War ของทั้งสองประเทศที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรวมทั้งไทย บวกกับแนวโน้มที่เฟดยังไม่รีบร้อนขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยจะคงดอกเบี้ยต่ำไว้อย่างน้อย ปี ค่าเงินบาทอ่อนลงมาที่ 31-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ นั่นก็ทำให้เห็นอัตราการบริโภคที่จะเพิ่มขึ้นและเห็นความต้องการสินค้าส่งออกจากไทย จึงทำให้กลุ่มการส่งออกได้รับอานิสงส์อย่างมาก โดยตัวเลขส่งออกขณะนี้ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิดด้วยซ้ำ และคาดการณ์ว่ามูลค่าการเติบโตการส่งออกทั้งปีจะมากกว่า 10%  อีกทั้งยังเห็นกระแสการลงทุนจากต่างประเทศที่ยังคงไหลเข้ามาในไทยอย่างไม่ขาดสาย ขณะเดียวกันก็เล็งเห็นทิศทางในการลงทุนของโลกกำลังเปลี่ยนไปบนพื้นฐานของ Digital Transformation มากขึ้น เกิดเป็นฐานการผลิตใหม่ที่ใช้ Robot หรือ Automation จึงมั่นใจได้ว่าจะมีการลงทุนใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการหลังสถานการณ์โควิด-19

นอกจากนั้นทางกรุงศรียังพบว่าสถิติการได้รับวัคซีนที่มากขึ้นและอัตราการป่วยรุนแรงลดลงในต่างประเทศ มีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของประเทศนั้นๆ อย่างเห็นได้ชัด หากไทยเดินหน้าเร่งฉีดวัคซีนให้มากขึ้น ย่อมจะผลักดันให้ประเทศกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว และเปลี่ยนให้โควิด-19 เป็นเพียงโรคประจำถิ่นไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่ได้ในที่สุด

ส่วนปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศนั้น ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ (GDP) ว่าน่าจะอยู่ที่ 1.5% และมองว่าบทบาทการบริหารเงินของภาครัฐมีส่วนสำคัญที่จะช่วยพยุงการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะการอัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไทย จากพรบ. เงินกู้ 1 ล้านล้าน ซึ่งยังเหลืออีก 3 แสนล้านที่ยังไม่ได้ใช้ และพรบ. เงินกู้ 5 แสนล้านในปีนี้ ลงไปที่กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง

และเพื่อให้ไทยเตรียมความพร้อมรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทางสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แนะเทรนด์ธุรกิจฉายแววและแนวทางปรับปรุงเพื่อรับมือกับเทรนด์นั้นๆ เริ่มต้นที่ธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล และ Digital Skill เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ให้ตามทันกับ Technology Infrastructure ทั้งยังมีธุรกิจ Go Green ที่จะมีอิทธิพลต่อการค้าในอนาคตอย่าง ธุรกิจกลุ่ม BCG (Bio economy , Circular economy, Green economy) ซึ่งไทยต้องปรับตัวให้สอดรับนโยบายสิ่งแวดล้อม มุ่งเดินหน้าสู่การใช้พลังงานสีเขียวและการส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยเฉพาะธุรกิจ Bio economy ที่จะเป็นโอกาสและประโยชน์ต่อภาคเกษตรไทย เช่น การนำวัตถุดิบทางการเกษตรมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า ต่อด้วยเทรนด์ห่วงโซ่การผลิตที่กำลังถูกปรับเปลี่ยน  ผู้ผลิตไม่ใช้ฐานผลิตแห่งเดียวอีกต่อไป จึงเป็นโอกาสให้ไทยได้รับประโยชน์จากการขยายฐานการผลิตระดับกลางถึงบน

ทั้งนี้ ทางกรุงศรี ยังสนับสนุนกระแส Industry transformation ซึ่งนักธุรกิจไทยจะต้องปรับการลงทุนและวางโครงสร้างองค์กรให้สอดรับกับ Supply-chain Structure ที่จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการมองหา Partnership ระหว่างประเทศที่มีจุดแข็งต่างกัน

สำหรับแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกนั้น คุณวิน พรหมแพทย์,  CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยว่า การลงทุนในตราสารหนี้ ก็ยังเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจาก Bond Yield ที่ปรับขึ้นมา ทำให้การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงขึ้น ซึ่งคาดการณ์ว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมที่มีการลงทุน 2-5 ปี จะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงหรือสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ปี ทั้งยังมีโอกาสที่ดีในเรื่องความเสี่ยงต่ำ ได้มีโอกาสลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลง พิจารณาได้จากนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิกว่า หมื่นล้านบาท โดยมีกองทุนตราสารหนี้แนะนำที่น่าจับตา อย่าง KFSPLUS,  KFSMART,และ KFAFIX-A ทั้ง กองทุนบริหารโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ บลจ. กรุงศรี โดยแนะนำให้ถือลงทุนมากกว่า ปีขึ้นไป

นอกจากตราสารหนี้แล้ว คุณวินให้ความเห็นว่า การลงทุนในหุ้นไทยก็ยังน่าสนใจอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้จะเติบโตช้ากว่าตลาดหุ้นโลกอยู่กว่า 25% แต่กลับเห็นตัวเลขคาดหมายการเติบโตของกำไร (Earnings Growth) ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี (Krungsri Securities) ตั้งเป้า SET Index ที่ 1,700 จุดในไตรมาส และมีโอกาสปรับฐานในไตรมาส หากสถานการณ์โควิดมีการเปลี่ยนแปลงจนเกินคาดเดา และสำหรับกองทุนหุ้นไทยที่ควรค่าแก่การลงทุนในปีนี้ ทางกรุงศรีแนะนำ KFTSTAR ที่มีนโยบายลงทุนแบบยืดหยุ่น เน้นหุ้นในธีม Reopening ตามด้วย KFTHAISM ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กโตเร็ว แม้จะมีความหวือหวาแต่ก็โดดเด่นมาก และ TSF-A เน้นเลือกหุ้นรายตัวและมีผลการดำเนินงานโดดเด่น ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าธนาคารกรุงศรีมีกองทุนคุณภาพดีจากกว่า 10 บลจ. ที่คัดสรรมาให้นักลงทุนเลือกอย่างเหมาะสม

จากการสัมมนาครั้งนี้ทำให้นักลงทุนไทยยิ้มกว้างเห็นถึงโอกาสทางเศรษฐกิจจากปัจจัยบวกทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งเปรียบได้กับ วัคซีนความหวัง” อีกทั้งยังได้รับการชี้ช่องทางลงทุนที่ขานรับกับปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของตลาดทุน ต้องยอมรับว่าทุกข้อมูลเหล่านี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดีว่าเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็วได้อย่างแน่นอน

โควิด-19 ระบาดสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น แนะลงทุนหุ้นอิงต่างประเทศ

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยว่า เรื่องของ COVID-19 ภายในประเทศยังเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดการลงทุนในสัปดาห์นี้ สถานการณ์ล่าสุดในวันอาทิตย์ผู้ติดเชื้อต่อวันยังคงเห็นการพุ่งขึ้นและทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หากอิงข้อมูลการติดเชื้อต่อวันจาก World Meter พบว่าการติดเชื้อของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 ของจำนวนประเทศที่ World Meters เก็บรวบรวมทั้งหมด 222 ประเทศ ขณะที่ปัจจุบันจำนวนการติดเชื้อของประเทศไทยเริ่มเห็นการกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น หากมาดูข้อมูลล่าสุดจาก ศบค. พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 100% มาจากต่างจังหวัดที่ไม่รวมปริมณฑลถึง 59% ซึ่งเร่งตัวขึ้นมาจากช่วงก่อนหน้าราวกลาง ก.ค. ที่ 46% บ่งชี้ว่าปัจจุบันการแพร่ระบาดไปเริ่มกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เรากังวลและตลาดยังไม่ตอบรับคือการยกระดับมาตรควบคุมมากขึ้นในต่างจังหวัดเพื่อสกัดกั้นการระบาด แต่การยกระดับจะเป็นลบกับเศรษฐกิจรวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่ม Downside Risk ต่อประมาณการ จึงแนะนักลงทุนติดตามใกล้ชิดเกี่ยวกับการระบาดของต่างจังหวัด ดังนั้นจากการระบาดที่ยังมีความเสี่ยงทำให้ประเมิน SET ยังเสี่ยงอ่อนตัวกรอบ 1520 – 1560

สำหรับการส่งออกในเดือน มิ.ย. ขยายตัว 44%YoY นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 ปี หลักๆเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและฐานปี 20 ที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนสินค้าที่ขยายตัวได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ +78%YoY เครื่องใช้ไฟฟ้า +42%YoY แผงวงจรไฟฟ้า +33%YoY เคมีภัณฑ์ +47%YoY สินค้าเกษตร +60%YoY มองเป็นบวกต่อ (AH DELTA HANA KCE NER PTTGC SAT) อย่างไรก็ตามในครึ่งปีหลังต้องติดตามการระบาด COVID-19 ที่หลายประเทศเผชิญการระบาดอีกครั้ง และบางประเทศที่เกิดการระบาดเป็นคู่ค้าหลักของไทย อาทิ สหรัฐ (15%) ASEAN (13.4%) ญี่ปุ่น (9.8%)

ปัจจัยสัปดาห์นี้ (1) ประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุสัปดาห์นี้จะมี SCC PTTEP GLOBAL รายงานผลประกอบการ (2) ประชุม FEDในวันพฤหัสบดี แต่เชื่อว่าไม่มีนัยยะอะไรมากเนื่องจาก Policy ยังน่าจะคล้ายประชุมครั้งก่อน

กลยุทธ์การลงทุน การลงทุนระยะสั้นควรเลือกหุ้นที่ผลกระทบจาก COVID-19 จำกัด อาทิ ส่งออก (ASIAN DELTA HANA KCE NER TU) สื่อสารและโรงไฟฟ้า (ADVANC BGRIM BCPG GPSC GULF) รวมถึงได้ประโยชน์จาก COVID-19 อาทิ โรงพยาบาล (BCH CHG) พร้อมแนะยังคงเน้นการถือครองเงินสดมากขึ้น

KCE (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 90 บาท) คาดผลการดำเนินงาน 2Q21E ที่ 531 ล้านบาท (+644% YoY และ 6%QoQ) โดยมีปัจจัยผลักดันหลักมาจากรายได้ที่ขยายตัวสู่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2020 และ เพิ่มขึ้น 7% QoQ ตามจำนวนวันดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคาขาย

JWD ขยายลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปี เข้าถือหุ้นใน ESCO 2 เฟสรวม 20%

บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWDขยายการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปี เดินหน้าเข้าถือหุ้น เฟสรวม 20% ใน ESCO ผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าและให้บริการซัพพลายเชน ที่มี PSA ผู้ประกอบการท่าเรือรายใหญ่ที่สุดในโลกเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น หนุน JWD เป็นผู้ดำเนินธุรกิจท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายใหญ่ในท่าเรือแหลมฉบังและผู้ให้บริการสถานีบรรจุและขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ (ICD) ที่ลาดกระบัง เพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) ทั้งทางบก ทางเรือ และทางราง

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วางนโยบายขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ ปี เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) โดยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี ทรานส์ปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือ JWD เข้าซื้อหุ้นรวม 20% ใน บริษัท อีสเทิร์นซี  แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด (EASTERN SEA LAEM CHABANG TERMINAL หรือ ESCO) ผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์รายใหญ่ในท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และผู้ให้บริการสถานีบรรจุและขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ ลาดกระบัง (Inland Container Depot หรือ ICD) โดยการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะส่งผลให้ JWD เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ PSA ซึ่งเป็นผู้บริหารและดำเนินการท่าเรือขนส่งสินค้าระดับโลกของประเทศสิงคโปร์ เนื่องจาก PSA เป็นผู้ถือหุ้นหลักของ ESCO 

 “การลงทุนที่สำคัญในครั้งนี้นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปีของบริษัทฯ ซึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ในช่วงที่ผ่านมาและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยในช่วงแรก เจดับเบิ้ลยูดี ทรานส์ปอร์ต จะเข้าถือหุ้น 15% ใน ESCO และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 20% ภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า” นายชวนินทร์ กล่าว 

 ปัจจุบัน ESCO เป็นผู้ประกอบการท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ แห่ง ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ได้แก่ (1) ท่าเรือ ESCO (B3) ที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการเองโดยได้รับสัมปทานโดยตรงจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย (2) ท่าเทียบเรือ LCB1 (B1) และ (3) ท่าเทียบเรือ LCMT (A0) ซึ่ง ESCO มีส่วนร่วมในฐานะผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานพัฒนาท่าเรือทั้ง แห่งดังกล่าว โดยในปี 2563 ท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้ง แห่ง ให้บริการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์สินค้าที่ผ่านเข้าออกตลอดทั้งปี รวมทั้งสิ้นกว่า ล้าน TEU คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์สินค้าที่ผ่านเข้าออกในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังในปีที่ผ่านมา และคาดว่าความต้องการใช้บริการท่าเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศ มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว หลังสถานการณ์ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปเริ่มคลี่คลาย 

 ขณะเดียวกัน ESCO ยังเป็น ใน ผู้ให้บริการสถานี ICD ลาดกระบัง เพื่อรองรับการบรรจุและขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ของสายการเดินเรือต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง โดยมีรายได้จากการให้บริการลานจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ คลังบรรจุสินค้าเพื่อการส่งออกและนำเข้าพร้อมบริการพิธีการทางศุลกากร และการให้บริการขนส่งบริหารจัดการและซ่อมแซมตู้คอนเทนเนอร์โดยทางบกและทางราง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจขนส่งสินค้าของ JWD ในการนำเสนอบริการเพิ่มเติมให้แก่ผู้ใช้บริการสถานี ICD ลาดกระบังอีกด้วย 

 ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน ESCO ไม่เกินเดือนตุลาคมนี้เป็นอย่างช้า 

ทั้งนี้ การเข้าลงทุนใน ESCO จะเป็นการรุกขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้ให้บริการท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายใหญ่ในแหลมฉบังอย่างเต็มตัวของ JWD  จากปัจจุบันที่ได้รับสิทธิ์บริหารท่าเรือชายฝั่ง ในท่าเรือแหลมฉบัง จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย และดำเนินธุรกิจท่าเรือขนส่งสินค้า MIPEC ในเมืองไฮฟง ประเทศเวียดนาม ผ่านการถือหุ้นใน Transimex ผู้ให้บริการโลจิสติกส์
รายใหญ่จากเวียดนาม โดยการรุกเข้าสู่ธุรกิจให้บริการท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศครั้งนี้ จะเพิ่มศักยภาพแก่บริษัทฯ ด้านการให้บริการโลจิสติกส์แบบ 
Multimodal Transportation สามารถเชื่อมต่อการให้บริการขนส่งสินค้าหลากหลายรูปแบบ ทั้งทางรถ ทางราง ทางน้ำ และเพิ่มโอกาสขยายฐานลูกค้าจากบริการท่าเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ และบริการสถานี ICD ลาดกระบัง ไปสู่การให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจร 

“ปัจจุบัน JWD ให้บริการขนส่งสินค้าในรูปแบบ Multimodal Transportation เช่น การขนส่งและเคลื่อนย้ายสินค้าทั่วไป ยานยนต์ สินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์, การขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ มายังท่าเทียบเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง, การยกขนและเคลื่อนย้ายตู้สินค้าที่ขนส่งทางรถไฟจากภาคอีสาน รวมทั้งจากภาคอุตสาหกรรมหลักในโซน EEC จังหวัดระยองสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ดังนั้นการลงทุนครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าและการให้บริการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งในฝั่งการให้บริการจากกรุงเทพฯ มายังท่าเรือแหลมฉบัง และจากสถานี ICD ลาดกระบัง มายังท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงการนำฐานข้อมูลสินค้าที่ผ่านเข้าออกท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาบริการด้านโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น” นายชวนินทร์ กล่าว 

Aerial top view of container cargo ship in the export and import business and logistics international goods in urban city. Shipping to the harbor by crane in Laem Chabang, Chon Buri, Thailand

มอบทุนวิจัยพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ – เทคโนโลยีอัจฉริยะนำสู่ Smart City

เอแอลที ร่วมมือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำโครงการร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Smart Technology ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของสภาพแวดล้อมและอาคารอัจฉริยะพร้อมมอบทุนงานวิจัย นวัตกรรม Smart City เพื่อนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ได้จริงในระดับชุมชน สู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต

นายปริญญ์ ชากฤษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) เพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนาพื้นที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมือง ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของสภาพแวดล้อมและอาคารอัจฉริยะ

โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมกันจัดหาและสนับสนุนทรัพยากร สำหรับใช้ในการดำเนินงานด้านวิชาการและงานวิจัย แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีเสริมสร้างความรู้ ข้อมูลทางวิชาการ จัดฝึกอบรมและสัมมนา รวมทั้งร่วมกันพัฒนาและดำเนินงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ โดยครอบคลุม ในด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ หรือ Smart Environment ขนส่งอัจฉริยะ หรือ Smart Mobility และพลังงานอัจฉริยะ หรือ Smart Energy

สำหรับความร่วมมือ ในครั้งนี้จะสร้างสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมกับการศึกษาวิจัย การเรียนรู้ให้กับนักศึกษา นักวิชาการ ควบคู่และผสมผสานกับการปฏิบัติจริงและสามารถนำการออกแบบและเทคโนโลยี พัฒนาต่อยอดไปในด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีและพาณิชยกรรม เพื่อการพัฒนารูปแบบเมืองอัจฉริยะต่อไปในอนาคต

“ขณะนี้บริษัท ได้ร่วมกับคณะฯ คัดเลือกงานวิจัยที่คิดค้นนวัตกรรม ที่เกี่ยวกับงานวิจัย Smart City หลังจากนั้นบริษัทจะนำงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดควบคู่ไปกับงานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของบริษัท เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน” นายปริญญ์กล่าว

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ สุวรรณฤทธิ์ คณะบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การร่วมมือกับ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) จัดทำโครงการร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) โดย ALT ให้การสนับสนุนระบบ Modular Data Center ที่ ALT พัฒนาขึ้นมา พร้อมระบบติดตั้งอุปกรณ์ และข้อมูลองค์ความรู้ ด้านนวัตกรรม โทรคมนาคมและโครงข่ายการสื่อสารอัจฉริยะซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินแล้วเสร็จ และพร้อมใช้งาน

นอกจากนี้ยังร่วมกันสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและเทคโนโลยีอัจฉริยะโดยให้ทุนสนับสนุนงานวิจัย 3 ทีม ภายใต้ 3 หัวข้อคือ Smart Environment ขนส่งอัจฉริยะ หรือ Smart Mobility และพลังงานอัจฉริยะ หรือ Smart Energy งานวิจัยที่เข้าเกณฑ์ในการพิจารณาต้องเป็นโครงการมีผลลัพธ์ ที่มีผลกระทบที่เกิดประโยชน์ในวงกว้าง มีความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค การใช้เทคโนโลยี และการปฏิบัติ รวมทั้งความเป็นไปได้ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และต่อยอดผลงานสู่การนำไปใช้ได้จริง

“เป้าหมายงานวิจัยอยากได้ต้นแบบของ Innovation ที่สร้าง Impact ได้ในอนาคต ในระดับอาคาร ชุมชน ย่าน หรือเมือง งานวิจัยทั้ง 3 หัวข้อ อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ หรือ Innovation เชิงระบบและการบริการ มีความต้องการใช้งานในสถานการณ์จริง เป็นนวัตกรรมที่สามารถ Scalable ได้ สามารถนำงานวิจัยไปพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ได้ในเชิงธุรกิจ ตอบสนองเป้าหมายในการ Smart City ของ ALT และภาครัฐในอนาคต” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ กล่าว