CV เตรียมเสนอขาย IPO 320 ล้านหุ้น

บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 320 ล้านหุ้น พร้อมนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 เดินหน้ารุกขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและต่างประเทศ ก้าวสู่บริษัทพลังงานชั้นนำที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนสู่สังคมโลกเพื่อความยั่งยืน หลัง สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing)

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV เปิดเผยว่า บริษัทฯ ถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเป็นผู้ให้บริการทางด้านวิศวกรรมครบวงจร ทั้งการออกแบบ ก่อสร้างโรงไฟฟ้า บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา ตลอดจนลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ โดยนำเอาประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนกว่า 15 ปี ด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ ความชำนาญงานด้านวิศวกรรมการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (EPC Turnkey) เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจด้านโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนพัฒนาและลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และ/หรือพลังงานสะอาด รวมถึงวางแผนเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่คุณค่าในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและกลยุทธ์ด้านการสร้างความมั่นคงทางธุรกิจและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของเมกะเทรนด์ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้ CV ก้าวสู่บริษัทพลังงานชั้นนำที่ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ และสังคมโลกอย่างสมดุลและยั่งยืนในอนาคต

ปัจจุบัน CV ประกอบธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (Power Producer) มุ่งเน้นพัฒนาและกระจายการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 4 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 26.2 เมกะวัตต์ (ปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายตามสัดส่วนการถือหุ้น 16.69 เมกะวัตต์) แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 3 โครงการดำเนินการภายใต้บริษัท CV, CPL และ RTB และโรงไฟฟ้าขยะ จำนวน 1 โครงการ ดำเนินการภายใต้  CPX ได้แก่ 

1.1 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล โคลเวอร์ เพาเวอร์ (CV) อ.วังชิ้น จ.แพร่ กำลังการผลิตติดตั้ง 9.4 เมกะวัตต์

1.2 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล โคลเวอร์ พิษณุโลก (CPL) อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กำลังการผลิตติดตั้ง 4.9 เมกะวัตต์

1.3โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล รุ่งทิวา ไบโอแมส (RTB) อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์

1.4โครงการโรงไฟฟ้าขยะ โคลเวอร์ พิจิตร (CPX) อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร กำลังการผลิตติดตั้ง 2.0 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะ เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 150 ตัน/วัน และโครงการโรงไฟฟ้าแบบพลังงานความร้อนร่วมใช้ก๊าชธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการ จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 40.0 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง

(2) ธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (Valued EPC) มุ่งเน้นให้บริการงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเชื้อเพลิงชีวมวล ขยะและชีวภาพ และงานก่อสร้างอาคารและโครงสร้างพื้นฐานทั่วไป ตั้งแต่งานด้านการออกแบบ จัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และก่อสร้าง (Engineering Procurement and Construction: EPC) แบบครบวงจร ให้แก่ โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ และลูกค้าทั่วไป โดยดำเนินกิจการภายใต้ บริษัท ศแบง คอร์ปอเรชั่น จำกัด  และ บริษัท ศแบง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100

และ (3) ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Supporting) ให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) ให้แก่ลูกค้าโรงไฟฟ้าทั่วไป พร้อมมุ่งเน้นให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้ากลุ่มพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการปฎิบัติงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาที่พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร

“จุดเด่นของ CV คือ การดำเนินธุรกิจในด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน โดยมุ่งเน้นลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับงานด้านวิศวกรรม EPC Turnkey แบบครบวงจรในกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ อาทิ ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ และพลังงานสะอาด ถือเป็นหนึ่งในการขยายการลงทุนตามโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ สอดรับอุตสาหกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนที่กำลังเติบโต ซึ่งช่วยสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงในธุรกิจโรงไฟฟ้า ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน รวมถึงช่วยสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายเศรษฐศิริ กล่าว

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 358.06 ล้านบาท โดยมาจากการขายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ 4 แห่ง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า          ชีวมวล 3 โครงการ ได้แก่ จังหวัดแพร่ พิษณุโลก และสงขลา โครงการโรงไฟฟ้าขยะที่ 1 โครงการ ที่จังหวัดพิจิตร และมีรายได้จากการขายเครื่องจักรและให้บริการวิศวกรรมก่อสร้างต่อเนื่องจากสัญญางาน รวมถึงมีรายได้จากการให้บริการ เดินเครื่องและงานซ่อมบำรุง ขณะที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 26.68 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.29 % ตามลำดับ

นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า  หลังจาก บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์’ หรือ CV ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 320,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) แล้ว

ปัจจุบัน CV มีทุนจดทะเบียน 640,000,000 บาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,280,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 480,000,000 บาท ในการระดมทุนครั้งนี้จะนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและเงินกู้ยืมกรรมการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มบริษัทฯ ตามแผนคาดว่า CV จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564

“อร่อยดี” พลิกกลยุทธ์ส่งแคมเปญ Fantastic 4 ครบจบในแอปเดียว

จากมาตรการของภาครัฐที่ให้เว้นระยะห่าง ไม่นั่งทานอาหารร่วมกันที่ร้าน โดยให้บริการเฉพาะซื้อกลับบ้านเท่านั้น ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารเร่งปรับตัวเพื่อสู้ศึกสถานการณ์ปัจจุบันวันต่อวัน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แนวคิด ปลาใหญ่ ปลาเล็ก ไม่สำคัญเท่ากับ ปลาที่พลิกตัวเร็ว! แต่ละแบรนด์วิ่งทำเวลาขายอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่มากขึ้น เพราะเป็นช่องทางเดียวที่จะทำให้มีรายได้ใกล้เคียงเท่าเดิม หรือในบางแบรนด์ อาจพลิกวิกฤติเป็นโอกาส สร้างยอดขายได้มากขึ้นก็เป็นได้!!

เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป หรือ ซีอาร์จี (CRG) พลิกกลยุทธ์ หนุน แบรนด์ อร่อยดี เสิร์ฟความอร่อยถึงบ้านช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในแบบ 4 in 1 อร่อยครบจบในแอปเดียว เลือกช้อปสุดยอด 50 เมนูฮอต จาก 4 ร้านดัง อร่อยดี, Tokyo Bowl รวมเมนูเด็ดข้าวหน้าสไตล์ญี่ปุ่น, เจ๊เกียง โจ๊กกองปราบ, และเจ๊เกียงหมูทอด ข้าวเหนียวนุ่ม ไว้ทานได้ทั้งวัน พร้อมจับมือ Grab Express ส่งอาหาร ผู้ป่วยสีเขียวที่กักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

Fantastic 4 อร่อยครบจบในแอปเดียว กับ 4 ร้านดัง

ด้วยสถานการณ์โควิด-19 คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่บ้าน ลดการเดินทางเพื่อเลี่ยงการติดเชื้อ ในด้านการบริการแล้ว นายธนพล ธรรพสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ CRG (Mr. Tanapoln Tunpasit – Head of Thai & Chinese Cuisine) กล่าวว่า “อร่อยดี” จะต้องเป็นแบรนด์ร้านอาหารอร่อยที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดผ่านแอปพลิเคชั่น “วางกลยุทธ์อร่อยดี ให้เข้าถึงง่าย ราคาประหยัด สั่งได้ทุกวัน ตามคอนเซ็ปท์ “รสชาติคุ้น อิ่มครบ จบทุกมื้อ” มีเมนูที่หลากหลาย ไม่ให้กลุ่มเป้าหมายจำเจ ซึ่งแบรนด์ “อร่อยดี” ได้รวบรวมพันธมิตรความอร่อยไว้ทั้ง 4 ร้านดังที่คัดสรรมาแล้ว ได้แก่ อร่อยดี, Tokyo Bowl รวมเมนูเด็ดข้าวหน้าสไตล์ญี่ปุ่น, เจ๊เกียง โจ๊กกองปราบ, และเจ๊เกียงหมูทอด ข้าวเหนียวนุ่ม ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งคุณภาพอาหารและรสชาติ ซึ่งมีมากกว่า 50 เมนูให้เลือก ในการกดสั่งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

อร่อยดี กับทิศทางตลาดที่ลงตัว

ในยุคที่มีการแข่งขันสูง และต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา การสร้างสรรค์เมนูที่คุ้นเคยอร่อย ทานง่าย ราคาคุ้มค่า และสั่งได้ทุกวัน เป็นแนวทางที่แบรนด์ “อร่อยดี” ให้ความสำคัญ

นายธนพล ผู้บริหาร “อร่อยดี” กล่าวเพิ่มเติม จากทิศทางตลาดเปลี่ยนไปหลังจากมาตรการด้านการป้องกันการระบาดโควิด – 19 ที่เข้มมากขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้าปรับพฤติกรรม จากนั่งร้าน หรือสั่งกลับบ้าน (Take away) มาเป็นเดลิเวอรี่ ซึ่งวันนี้แบรนด์เราทำได้ดี สัดส่วนเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้นเป็น 70 % ในส่วนออฟไลน์ การตั้งร้านค้าสถานีบริการน้ำมันก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากสถานการณ์โควิด-19 ที่สามารถให้บริการและเปิดครัวทำอาหารเพื่อส่งถึงทุกออเดอร์ที่สั่งเข้ามาได้แบบไม่สะดุด

ทั้งนี้ ในโลกวิถีใหม่ ความคุ้มค่า ยังคงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ การใช้เครื่องมือการตลาด เช่นช่องทางออนไลน์เข้ามาสนับสนุนการขาย การสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ เป็นเป้าหมายในการพัฒนาและขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

อร่อยดี อิ่มท้องช่วง Home Isolation

นอกจากนี้ อร่อยดี ยังขานรับโครงการ Meal for You ของกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยการจับมือกับ “แกร็บเอ็กซ์เพรส” (GrabExpress) จัดส่งอาหารปรุงสุก 3 มื้อทุกวัน ให้ผู้ป่วยสีเขียวของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ที่กักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ในรัศมี 10 กม. พร้อมทั้งยังร่วมสมทบทุนมื้ออาหารเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ป่วยได้บริโภคอาหารที่หลากหลายตามหลักโภชนาการ

แคมเปญเพื่อสังคม Food for Heroes

จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทางแบรนด์ “อร่อยดี” ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งการส่งต่อน้ำใจภายใต้แคมเปญเพื่อสังคม Food for Heroes ที่เริ่มไปแล้วก็คือ ข้าวกล่องราคาเบา สำหรับให้แพทย์ พยาบาล (ราคา 39/49/59) เพียงโทร.สั่ง 1312 สำหรับผู้ที่อยากส่งกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยเมนูอร่อยๆ สั่งและส่งทันที

โดยมี สถานที่บริจาคทั้ง 9 แห่ง: 1.โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) 2.โรงพยาบาลสนาม-สถาบันบําราศนราดูร 3.โรงพยาบาลสนาม-ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มศว. องครักษ์” 4.โรงพยาบาลลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 5.โรงพยาบาลศิริราช 6.โรงพยาบาลรามาธิบดี 7.คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 8.โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 9.โรงพยาบาลราชวิถี หรือนอกเหนือจากรายการสถานพยาบาลด้านบน ลูกค้าสามารถระบุปลายทางได้โดยแจ้งพนักงาน 1312

ท้ายสุด ผู้บริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ เป็นเรื่องสำคัญ แบรนด์ “อร่อยดี” ในเครือ ซีอาร์จี ได้รับตราสัญลักษณ์ SHA : Safety and Health Administration ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย และยังคงเข้มงวดในเรื่องมาตรการความปลอดภัย ให้ไกลห่างโรคโควิด-19 ด้วยแผน 3C คุมเข้มที่ร้านอาหารประกอบด้วย 1) Cleanliness Procedure คัดกรองอย่างเข้มงวด รักษาความสะอาดทุกขั้นตอน 2) Consideration of Social Distancing Measures เน้นย้ำมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม 3) Contactless Service การให้บริการแบบไร้สัมผัส เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการทุกคน

 

รวมโซลูชัน LINE ช่วย SME ไทย เริ่มธุรกิจออนไลน์ด้วยตนเองได้ฝ่าวิกฤต

จากรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเดือนพฤษภาคม 2564 เผยว่าธุรกิจ SME มีส่วนแบ่งใน GDP ของประเทศมากถึง 35% และมีจำนวนกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาด ทำให้การเติบโตหดตัวไปมากถึง 2.5% สะท้อนให้เห็นชัดว่าธุรกิจ SME ยังเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญของไทยไม่แพ้ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่จะต้องแบกรับปัญหาในขณะนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทั้งนี้ เอสเอ็มอีไทยยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพียงแต่ต้องมี “เพื่อนร่วมทางที่ดีที่มีอาวุธครบมือ”

LINE ในฐานะผู้นำด้านแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย มุ่งเน้นพัฒนาแพลตฟอร์มและโซลูชันมากมายเพื่อขับเคลื่อนทุกธุรกิจให้เดินหน้า เติบโตได้ภายใต้ LINE for Business จึงรวบรวมโซลูชันเชิงธุรกิจสำหรับ SME ไทย ช่วยให้สามารถเดินหน้าเริ่มต้นสู่การสร้างแบรนด์ สร้างร้านค้าออนไลน์ได้ง่ายๆ ทันทีด้วยตนเอง ตอกย้ำบทบาท “เพื่อนร่วมทางที่ดี” ให้กับ SME ไทย พร้อมอาวุธครบมือที่พร้อมให้เริ่มต้นเลือกเปิดใช้งานได้ง่ายๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค กลุ่มเป้าหมาย ดำเนินการค้าขายเอาตัวรอดต่อได้ท่ามกลางวิกฤต

เริ่มต้นสร้างแบรนด์ สร้างร้านออนไลน์ได้ง่ายๆ ด้วย LINE OA

เมื่อเริ่มเข้าสู่โลกออนไลน์ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการสร้างตัวตนและ “บ้าน” ของแบรนด์บนโลกออนไลน์ให้ได้ เพื่อเป็นแหล่งสร้างฐานลูกค้าและรักษาความสัมพันธ์ในระยะยาว หนึ่งในช่องทางการสร้าง “บ้าน” ให้แบรนด์บนโลกออนไลน์สำหรับ SME ไทยยอดนิยมคือ LINE Official Account หรือ LINE OA บัญชี LINE เพื่อธุรกิจ ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับบัญชี LINE โดยทั่วไป แต่แตกต่างด้วยฟีเจอร์มากมายในเชิงพาณิชย์ที่ครบครัน ตอบสนองการทำงานของคนขาย เป็นประตูสู่การทำธุรกิจ เปิดทางเข้าหาลูกค้าที่ใช่ด้วยการแชทพูดคุย พร้อมรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวได้ครบจบในช่องทางเดียว

(วิดีโอสอนขั้นตอนการเปิดบัญชีและใช้งาน LINE Official Account โดยละเอียด: https://www.youtube.com/watch?v=mqvLDC23gIU&list=PL4kYlitYnX_cnsKcQ3Ok3vPe3xyziTnYl)

นอกจากการพูดคุยผ่านแชทระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขายได้โดยตรงแบบ 1:1 ซึ่งเป็นเสน่ห์สำหรับการซื้อขายในเมืองไทยแล้ว LINE OA ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมายที่ช่วย SME ไทยเข้าถึงและเข้าใจความต้องการลูกค้าเพื่อปิดการขายได้อย่างสมบูรณ์ แม้มีทรัพยากรบุคคลน้อย เช่น Greeting Message ข้อความทักทายเพื่อนใหม่ที่จะปรากฏตั้งแต่วินาทีแรกที่มีลูกค้ามากดติดตาม โดยผู้ขายสามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นของสินค้า สาขาและแสดงตัวตนของแบรนด์ สร้างความประทับใจให้ลูกค้าใหม่แรกพบได้ทันที ฟีเจอร์ Broadcast เปรียบเสมือนกระดานประกาศข้อมูล โปรโมชันที่น่าสนใจ สื่อสารถึงผู้รับได้หลายคนพร้อมกันในครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพหรือวีดีโอ คูปอง และฟีเจอร์ คูปองและบัตรสะสมแต้ม (Coupon & Reward Card) สำหรับสร้างกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อ “มัดใจ” ลูกค้า ให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการเป็นประจำ เป็นต้น โดยฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้ ผู้ขายล้วนสามารถสร้างเองได้ง่ายๆ บน LINE OA

เสริมการรับรู้ ให้ขายได้ ขายดี ด้วยโฆษณาบน LINE Ads Platform

นอกจาก LINE OA จะเป็นประตูของธุรกิจแล้ว ผู้ประกอบการควรต้องหาเครื่องมือที่จะใช้เรียกคนเรียกแขกให้เข้าร้านอยู่เรื่อยๆ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ารู้จัก จดจำและกลับมาซื้อและใช้บริการซ้ำอย่างถูกวิธีจึงสำคัญไม่แพ้กัน ช่องทางการซื้อโฆษณาบน LINE ที่เรียกว่า LINE Ads Platform หรือ LAP จึงถือเป็นอีกหนึ่ง “ขุมพลัง” สำคัญที่ควรค่าในการสร้างการรับรู้ให้แบรนด์ ขยายฐานลูกค้าในราคาและผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เพราะระบบจะเลือกตําแหน่งโฆษณาบนแพลตฟอร์ม LINE ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดให้ตามวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ค้าสามารถเลือกระบุเองได้ตามต้องการ เพื่อให้โฆษณาทำหน้าที่ “ป่าวประกาศให้โลกรู้จัก” กระจายข่าวในวงกว้าง ผ่านตำแหน่งยอดนิยมต่างๆ บน LINE ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานถึง 49 ล้านคน ไม่ว่าจะเป็นในหน้าแชท Chat list, หน้า LINE Timeline, หน้า LINE TODAY, LINE TV และหน้า Wallet

(วิดีโอสอนขั้นตอนการเปิดบัญชีและใช้งาน LINE Ads Platform โดยละเอียด: https://www.youtube.com/playlist?list=PL4kYlitYnX_eqPkb5wITk9MNW3ZBBL7M_ )

MyShop ระบบจัดการสต๊อก หน้าร้านออนไลน์ ช่วยปิดการขายง่ายขึ้นกว่าเดิม

เมื่อมี “บ้าน” ของแบรนด์เพื่อเป็นร้านค้าในโลกออนไลน์แล้ว การเสริมพลังให้ร้านค้าออนไลน์มีระบบ ระเบียบ ตอบโจทย์การขาย พร้อมสร้างประสบการณ์การซื้อที่ดี ลื่นไหล น่าประทับใจ จะทำให้ร้านค้าออนไลน์เป็นที่จดจำและอยู่ได้ในระยะยาว นั่นจึงเป็นที่มาของ MyShop เครื่องมือสำหรับจัดการร้านค้าออนไลน์ เสริมพลังให้ LINE OA สู่การเป็นช่องทางปิดการขายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ช่วยให้ SME บริหารร้านออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่ระบบจัดการหน้าร้าน จัดรายการสินค้าพร้อมให้ลูกค้ากดเลือกซื้อ ชำระเงินได้ทันที ไปจนถึงระบบการจัดการหลังบ้าน (Back-office) เช่น การจัดการซื้อขายแบบเรียลไทม์ การตรวจสอบจัดการสต็อกสินค้า การออกใบออเดอร์ให้ลูกค้ากดสั่งซื้อสินค้าได้ทันทีแบบอัตโนมัติ ระบบการแจ้งและติดตามการชำระเงินที่เชื่อมต่อกับช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ช่วยให้ร้านค้าสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วฉับไวเข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่  พร้อมรายงานสรุปยอดการซื้อขายเพื่อเก็บสถิติของทางร้านในแต่ละวัน

(ศึกษารายละเอียดการใช้งาน MyShop เพิ่มเติมได้ที่: https://linemyshop.com

เปิดร้านอาหารออนไลน์ได้ทันใจด้วย MyRestaurant 

เครื่องมือใหม่ที่จะมาต่อลมหายใจให้กับธุรกิจร้านอาหารอย่าง MyRestaurant ระบบจัดการหน้าร้านออนไลน์ ที่ร้านอาหารไม่ว่าจะขนาดเล็กแบบ Street Food ไปจนถึงขนาดใหญ่ก็เปิดใช้ง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง โดย MyRestaurant จะคอยเป็นเครื่องมือเสริมแกร่งให้ธุรกิจร้านอาหารออนไลน์บน LINE OA สามารถค้าขาย ตอบโจทย์ลูกค้าได้แม้จะเจอวิกฤตข้อจำกัดในช่วงล็อกดาวน์ ด้วย 3 ฟีเจอร์หลัก ได้แก่ Smart Menu เมนูอิเล็กทรอนิกส์ที่ร้านอาหารสามารถออกแบบปรับแต่งได้เอง ให้ลูกค้าสามารถกดเลือกดูได้ตามใจ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าปัจจุบันที่ไม่ต้องการสัมผัสเล่มเมนู พร้อมเชื่อมต่อกับระบบรับออเดอร์ของร้านอาหารได้ทันที ฟีเจอร์ Rich Menu ปุ่มเมนูลัดเชื่อมต่อกับบริการเดลิเวอรี่ต่างๆ เช่น LINE MAN ได้โดยตรง พร้อมให้ลูกค้าขาประจำกดสั่งอาหารพร้อมส่งได้ทันใจ และหน้า Report รายงานข้อมูลสำคัญ ซึ่งมีทั้งรายงานกลุ่มลูกค้า (Customer Report) และรายงานยอดขาย (Sale Report)  ช่วยให้ร้านสามารถดูข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์ต่อยอดกลยุทธ์การตลาดได้ดีกว่าเดิม

(ศึกษารายละเอียดการใช้งาน MyRestaurant เพิ่มเติมได้ที่: https://lineforbusiness.com/myrestaurant/ )   

โควิด-19 ส่งผลกระทบและเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย ทั้งในมุมผู้บริโภค มุมธุรกิจค้าขายโดยเฉพาะกลุ่ม SME ไทยอันเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจไทยที่สำคัญ การซื้อขายออนไลน์ การค้าในโลกดิจิทัลได้กลายมาเป็นช่องทางสำคัญให้ SME ไทยต้องปรับยุทธวิธีให้เท่าทันเพื่อความอยู่รอด การเริ่มต้นใช้เครื่องมือง่ายๆ บนแพลตฟอร์มที่คุ้นเคยอย่าง LINE ถือเป็นก้าวแรกสำคัญให้ SME ไทยในการเรียนรู้เพื่อก้าวพ้นวิกฤติหนักหนาสาหัสตอนนี้ไปให้ได้ โดย LINE พร้อมเป็น “เพื่อนร่วมทาง” เคียงข้าง SME ไทย ให้ก้าวต่อไปบนโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นคง

ไทยสจ็วต คาดตลาดเครื่องล้างจานหลังโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ โต 8-10%

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น มีจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุหลักหมื่นและมีผู้เสียชีวิตถึงหลักร้อย จนรัฐบาลต้องประกาศล็อคดาวน์จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด 13 จังหวัด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยหนึ่งในข้อคับ  คือ ให้ร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเปิดดำเนินการได้ถึง 20.00 น. ห้ามบริโภคในร้าน ส่วนร้านอาหารตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าให้ปิดชั่วคราว ส่งผลให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน ต้องปรับตัวลุกขึ้นสู้กับวิกฤตในรูปแบบต่างๆ ทั้งการหาโอกาสในการขายที่เพิ่มขึ้นจากช่องทางใหม่ๆ , การปรับลดขนาดพื้นที่และลดจำนวนสาขาร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนลดจำนวนพนักงาน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ในช่วงวิกฤตนี้

นายยงยุทธ จิรกาลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสจ็วต เซอร์วิสเซ็ส จำกัด บริษัทในกลุ่ม บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PRAPAT ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายและให้เช่าเครื่องล้างภาชนะอัตโนมัติมาตรฐานยุโรป ประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน เปิดเผยว่า  ผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่ม “ไทยสจ็วต” ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ต่อสู้วิกฤตไวรัสโควิด-19 เคียงข้างผู้ประกอบการ โดยจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับเครื่องล้างจานและล้างแก้วอัตโนมัติ ขนาดเล็ก รุ่น DWG 40 Full Option ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ภายใต้แบรนด์ “OZTI” นำเข้าจากตุรกี

โดยมองว่า ตลาดเครื่องล้างจานในปีนี้ ยังเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าตลาดเครื่องล้างจานหลังจากช่วงโควิดระบาดระลอกใหม่นี้ จะเติบโตประมาณ 8-10%

ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น เรื่องการใช้งานง่าย ด้วยระบบแสดงผลและควบคุมการทำงานของเครื่องผ่านหน้าจอดิจิตอล ควบคุมการล้างแบบอัตโนมัติและอบแห้งภายใน 2 นาที สมรรถนะการล้างทำความสะอาดดีเยี่ยมด้วยน้ำเพียง 2 ลิตร ใช้ระบบแขนฉีดน้ำล้างแบบก้านสวิงทั้งด้านบนและด้านล่าง  ล้างด้วยความร้อน 65-85 องศาเซลเซียส จึงมั่นใจได้ว่าภาชนะสะอาดปลอดจากเชื้อโรคทุกชนิด นอกจากนี้ ยังมีระบบเติมน้ำยาอัตโนมัติ ที่สะดวกและประหยัดเวลา รวมทั้งการติดตั้งง่ายและประหยัดพื้นที่  เหมาะสำหรับร้านอาหารและเครื่องดื่มขนาดเล็ก ที่มีจำนวนพนักงานไม่มาก ตลอดจนการใช้ในครัวเรือน

สำหรับผู้จองซื้อเครื่องล้างจานและล้างแก้วอัตโนมัติ รุ่น DWG 40 Full Option 100 เครื่องแรก “ไทยสจ็วต” มอบส่วนลดพิเศษ เพียงเครื่องละ 39,900 บาท จากราคา 45,900 บาท รับประกันสินค้า 1 ปี โดยลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการ จะได้สิทธิพิเศษ ผ่อน 0%  นาน 6 เดือน พร้อมการบริการตรวจเช็คซ่อมบำรุง หลังการขาย 1 ครั้ง/เดือน ใช้น้ำยาสำหรับใช้กับเครื่องล้างจานฟรี 6 เดือน

สำหรับลูกค้าบ้านและคอนโด จะได้รับสิทธิพิเศษใช้น้ำยาสำหรับใช้กับเครื่องล้างจานฟรี 1 ปี พร้อมการบริการตรวจเช็คซ่อมบำรุงหลังการขายปีละ 2 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม ไทยสจ็วต ได้ประเมินสถานการณ์เพื่อประกอบการพิจารณาความช่วยเหลือให้กับลูกค้าอย่างใกล้ชิด หากร้านอาหารและเครื่องดื่ม ยังไม่สามารถกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในอนาคตอันใกล้  ไทยสจ็วต จะพิจารณาออกแคมเปญช่วยเหลือผู้ประกอบการสร้างรายได้สู้โควิด-19 เพิ่มเติม เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ

“โควิด-19 ระลอกใหม่นี้ ไทยสจ็วต พร้อมยืนหยัดเคียงข้างคู่ค้า ลูกค้า และคนไทยในยามวิกฤต โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์ เพื่อฝ่าฟันมรสุมโควิดไปด้วยกัน และหวังว่าการออกผลิตภัณฑ์เครื่องล้างจานและล้างแก้วครั้งนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ธุรกิจลูกค้าเดินหน้าต่อไปได้” นายยงยุทธ กล่าว

สำหรับเครื่องล้างจานและล้างแก้ว ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด จะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่ปรับตัว เพื่อรับมือกับโควิด-19 รวมถึงการขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Home use โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยจุดเด่นเรื่องราคา ขนาดการใช้งาน รวมถึงสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal  ทั้งนี้ ไทยสจ็วต ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ 100 เครื่อง จากการคลายล็อกดาวน์ขั้นสุดท้ายของรัฐบาล

ส่องกองทุนหุ้นแดนมังกร ลงทุนอย่างไรให้รุ่งกับ กองทุน MCHEVO

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ขอเชิญนักลงทุนและผู้สนใจร่วมรับฟังสัมมนา Online ในหัวข้อ “ส่องกองทุนหุ้นแดนมังกร ลงทุนอย่างไรให้รุ่งกับ กองทุน MCHEVO” ที่จะทำให้ผู้ชมทุกท่านได้ชมทิศทางจีนหลังยุค COVID-19, แนะนำการลงทุนใน China Evolution และแนะนำกองทุน MCHEVO

โดยมี ดร. ชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ FRM ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน), คุณเชาวน์กร โชติบัณฑ์ Head of Investment Strategy บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) และ  ดร. อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญด้าน เศรษฐกิจจีน อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รับหน้าที่เป็นวิทยากร พร้อมผู้ดำเนินรายการ คุณเฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี พิธีกรประจำรายการ MORNING WEALTH จาก THE STANDARD ผู้ที่สนใจร่วมงาน สามารถลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้ที่ลิงค์ด้านล่าง หรือสแกน QR Code ที่รูปภาพ

https://docs.google.com/forms/d/1H-rhj1E0Hrkogo9gKT2OyULWN-NWmqW5maaJxGwWyt8/viewform?ts=60f79d95&edit_requested=true

ขอเชิญชวนนักลงทุนและผู้สนใจทั่วไป เข้ารวมรับฟังการบรรยายได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 14.00-15.25 น. และ ถาม-ตอบ ในช่วง 15.25-15.40 น. สามารถรับชมแบบ Online พร้อมกันได้ที่ https://www.facebook.com/mfcfunds และ YouTube Live: MFC

สามารถศึกษาข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับกองทุนMCHEVO ได้ที่ Facebook Watch https://fb.watch/6V-juyJ9L0/  YouTube https://www.youtube.com/watch?v=X13n_HvfIbo  และ Instagram https://www.instagram.com/tv/CRp-UweLo4S/?utm_medium=copy_link

เงินติดล้อ แบ่งปันแนวคิดด้าน Digital Transformation

บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) โดย นายฐิติเดช ศรีมารยาท ผู้อำนวยการอาวุโส  ฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ ร่วมเป็นวิทยากรในหลักสูตร SME to IBE” (SME to Innovation Based Enterpriseปั้น SME ไทยสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรม เพื่อร่วมแบ่งปันแนวคิดการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่นำไปสู่ Digital Transformation และ Reinventing Business ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ใช้ขับเคลื่อนธุรกิจของเงินติดล้อนปัจจุบัน หลักสูตรดังกล่าวจัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สู่การเปลี่ยนแปลงธุรกิจด้วยฐานความคิดด้านนวัตกรรม โครงการดังกล่าวมีผู้สนใจสมัครข้าร่วมฟังการบรรยายมากกว่า 80 คน จากกว่า 40 องค์กร ผ่านช่องทางการจัดกิจกรรมรูปแบบ virtual classroom เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิ-19 เมื่อเร็วๆ นี้ เยี่ยมชมข้อมูลเงินติดล้อเพิ่มเติมได้ที่ www.tidlor.com  หรือ Facebook Fan page เงินติดล้อ

‘มาสเตอร์คีย์’ ครองแชมป์วาไรตี้บันเทิงอันดับ 1 ของไทย 

เดินทางสร้างความสุขให้แฟนเจ้าประจำมายาวนานกว่า 25 ปี ทำให้ มาสเตอร์คีย์ ทางหน้าจอช่อง 3 ติดท็อปไฟว์รายการที่อยู่คู่คนไทยจนกลายเป็นตำนาน ถือเป็นรายการวาไรตี้บันเทิงที่อยู่มานานจนได้อันดับที่หนึ่งไปครอบครอง สร้างสรรค์ผลงานดีๆ ภายใต้การนำของผู้บริหารหนุ่มไฟแรง จ๊อป-ณฐกฤต วรรณภิญโญ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า   

มาสเตอร์คีย์สำหรับผมคือสัญลักษณ์ความบันเทิงแบบทีวีของคนไทยที่เชื่อมโยงกับตัวตนของทีวี ธันเดอร์ ด้วยความที่อยู่คู่คนดูมาอย่างยาวนาน เป็นวาไรตี้บันเทิงที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบ เพราะปกติรายการทีวีจะต้องมีรูปแบบหรือโครงสร้างหลักที่มักไม่ค่อยเปลี่ยนแต่มาสเตอร์คีย์มีความแข็งแรงในเชิง branding มากจนสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบให้อยู่ได้กับทุกยุคสมัย ภายใต้หลักการคำนึงถึงพฤติกรรมของคนดูด้วยความเข้าใจ จึงไม่ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อรายการ คนจะจดจำพิธีกรรายการคือพี่นีโน่-เมทนี บุรณศิริ เสมือนเป็นโลโก้ของรายการไปแล้ว เราจึงสามารถเดินทางมาได้ถึงตอนนี้

หากย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นทำรายการ มาสเตอร์คีย์ ได้ช่วงเวลา Day Time ในการออกอากาศซึ่งเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีคนดูด้วยซ้ำกลุ่มคนดูหลักของรายการมีอายุ 35+ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของทีวี คอนเทนท์ของเราจึงต้องเหมาะสมไม่เร็วเกินไป ไม่แปลกเกินไป ช่วงยุคหนึ่งคนชอบดูดาราสร้างเสียงหัวเราะ มาสเตอร์คีย์ก็เป็นรายการเกมโชว์ที่เล่นกับดาราด้วยกัน มีทั้งเสียงหัวเราะและการลุ้นเกม หลังจากนั้นก็เป็นยุคหนึ่งที่คนดูหันมาชอบดูคนทางบ้านแสดงความสามารถ อย่างเช่น การร้องเพลง เราก็ทำคอนเทนท์เชิญคนทางบ้านมาร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงแนวป๊อบจนถึงเพลงลูกทุ่ง มาที่ปัจจุบันคนชอบที่จะดูดาราแสดงความสามารถที่ไม่คุ้นตา เราก็ทำคอนเทนท์ที่เชิญดารากับคนทางบ้านมาร้องเพลงแข่งกันเราทำงานภายใต้ข้อจำกัดหลายอย่างจนประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ ผมมองว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากๆ ที่จะทำให้คนดูหวนคิดถึงเรา เสมือนเราเป็นเพื่อน และเป็น Top of mind ของเค้าอยู่เสมอ 

“ทุกวันนี้เรายังคงมองไปถึงกลุ่มผู้รับสารเป็นหลัก สำรวจว่าคนดู ต้องการอะไร ชอบอะไร แล้วเลือกมาเพื่อทำเป็นเนื้อหารายการ เราปรับตัวในการทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็น Creativity ของบริษัทที่ทำให้รายการเดินหน้าต่อไปได้ โดยซีซั่นนี้ของ มาสเอร์คีย์เป็นรูปแบบ hybrid ชื่อ “มาสเตอร์คีย์ ยินดีต้อนรับ” ที่มีทั้งทอล์ค และเพลง เพราะเราได้สำรวจความคิดเห็น คนดูพบว่าแท้จริงแล้วผู้ชมยังชื่นชอบที่จะได้เห็นดาราในมุมใหม่และยังได้ฟังเพลงเพราะๆ ด้วย เรียกว่าเป็นเพื่อนที่มีความครบสมบูรณ์มากขึ้น ล่าสุดเราได้นำเรื่องที่คนดูถามถึงมากที่สุด เรื่องหนึ่งของมาสเตอร์คีย์มาทำคอนเทนท์นั่นคือ การกลับมาของพิธีกรที่เรียกได้ว่าเป็นยุคทอของรายการ นั่นคือ ป๋าเทพ-โพธิ์งาม, ถนอม-สามโทน และ จ๋า-ญาสุมินทร์ เพื่อให้แฟนรายการได้หวนคิดถึงบรรยากาศ ความสนุกในวันวาน จะเซอร์ไพรส์แค่ไหนนั้น ต้องติดตามชมกันใน มาสเตอร์คีย์ ยินดีต้อนรับ เทปวันที่ 2-4 สิงหาคมนี้ ออกอากาศเวลา 10.55 น. ทางช่อง ทางช่อง3 กด 33 เชื่อว่าจะสร้างความสุขให้คนดูอย่างแน่นอนครับ” จ๊อป กล่าวทิ้งท้าย

เพิ่มช่องทางออกอากาศ SME Biz Talk ผ่านอมรินทร์ทีวี ตลอด ส.ค.

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน ธุรกิจ SME โดยเฉพาะภาคค้าปลีกและบริการได้รับผลกระทบอย่างหนัก หลายกิจการต้องปิดตัวลงไปในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าช่วง 4 เดือน แรก ของปี 2564 มียอดจดทะเบียนเลิกกิจการไปแล้ว 3,090 ราย แม้จะเป็นจำนวนการปิดที่ลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปี 2563 แต่ทั้งนี้ การระบาดระลอกล่าสุด ยังดำเนินต่อไป และยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการอยู่รอดของธุรกิจ

LINE ในฐานะแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำ ตอกย้ำบทบาทเพื่อนร่วมทางเคียงข้าง SME ไทย ด้วยหลากหลายโซลูชั่น เครื่องมือดิจิทัลที่พร้อมใช้เป็นรากฐานในการทำธุรกิจออนไลน์ และกิจกรรมมากมายที่ส่งเสริมความรู้ ทักษะให้ SME ไทยในการทำธุรกิจมาโดยตลอด เล็งเห็นว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ความรู้ในเรื่องการทำธุรกิจผ่านออนไลน์ มีความสำคัญต่อ SME ไทยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ LINE จึงได้ขยายช่องทางการออกอากาศรายการ SME Biz Talk ซีซั่น 2 รายการออนไลน์ยอดนิยมสำหรับคนทำธุรกิจยุคใหม่ ไปสู่ระบบทีวีดิจิทัลผ่านช่องอมรินทร์ทีวี (ช่อง 34) เพื่อให้ประชาชนและ SME ทั่วไทยได้เข้าถึงความรู้การทำธุรกิจได้ในวงกว้างขึ้น

SME Biz Talk รายการออนไลน์ที่จัดทำโดย LINE for Business มุ่งเน้นส่งเสริมความรู้ ทักษะให้ SME ไทย ด้วยหลากหลายเนื้อหาน่าสนใจ ทั้งสาระเทคนิค ข้อแนะนำวิธีการใช้เครื่องมือดิจิทัลสำหรับขับเคลื่อนธุรกิจจากผู้เชี่ยวชาญในวงการการตลาดและดิจิทัล พร้อมบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์จากเหล่าแบรนด์ SME ไทย ในการนำเครื่องมือ เทคโนโลยีมาใช้ต่อยอดธุรกิจได้จริง เพื่อเป็นแนวคิดและกำลังใจ ขับเคลื่อนธุรกิจ SME ทั่วไทยให้เดินหน้าได้ในยุควิกฤต โดยรายการได้ดำเนินมาถึงซีซั่น 2 พร้อมกระแสตอบรับท่วมท้นจากฐานผู้ชมหลักแสนในทุกตอน

รายการ SME Biz Talk ซีซั่น 2 จะออกอากาศผ่านช่องอมรินทร์ทีวีในทุกวันจันทร์ เวลา 10.00 – 10.30 น. และเริ่มออกอากาศตอนแรก ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 นี้เป็นต้นไป

นางสาวสกุลรัตน์ ตันยงศิริ ผู้อำนวยการธุรกิจ SME, LINE ประเทศไทย กล่าวว่า วิกฤตโควิด-19 ทำให้เราได้เห็นถึงศักยภาพของเอสเอ็มอีไทยในการปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล เราเชื่อว่า SME Biz Talk ซีซั่น 2 รายการออนไลน์ที่ได้ขยายช่องทางออกอากาศสู่ช่องอมรินทร์ทีวีในครั้งนี้ จะเป็นอีกแรงสำคัญช่วยให้ SME ทั่วประเทศไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ในการทำธุรกิจออนไลน์ได้ดีขึ้น พร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้ SME ไทยในการนำแนวคิด เทคนิคที่ได้ไปประยุกต์ใช้ต่อยอดกับธุรกิจตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเดินหน้าธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กัน

ยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ industry 4.0 ชูเทคโนโลยี 5G ในพื้นที่อีอีซี

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) และ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ในหัวข้อ “Smart Industry 4.0 & Digital Transformation Technology by 5G” เป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์และแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคอุตสาหกรรมแก่ผู้ประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านพัฒนาการศึกษา บุคลากร และเทคโนโลยี สกพอ. เปิดเผยว่า ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม ในแง่มุมด้านการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลภายในโรงงานเพื่อพัฒนาสู่ industry 4.0 และแนะนำเพิ่มเติมถึง ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ SMC (Sustainable Manufacturing Center) ซึ่งเป็นโครงการนำร่องภายใต้การพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) โดย SMC จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในเชิงเทคนิค ซึ่งจะเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาด้าน industry 4.0 ในพื้นที่ EEC

โดยงานสัมมนาในครั้งนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางการส่งเสริมการลงทุนด้าน industry 4.0 และ digital transformation จาก BOI เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเล็งเห็นถึงความคุ้มทุนและตัดสินใจลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในด้านของ สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย หรือ TARA ได้มาพูดถึงจุดประสงค์ของสมาคมที่จะเป็นศูนย์กลางของผู้ซื้อและผู้ขาย สร้างความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของสมาคม หน่วยงาน และองค์กรอื่น ๆ ทั้ง ภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ รวมถึงวิชาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ภายในงาน ทาง TrueBusiness ได้ยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยีด้าน 5G และนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมธุรกิจรูปแบบต่างๆ อาทิ AI unmanned vehicle, การเชื่อมต่อข้อมูลอุปกรณ์ IoT และส่งข้อมูลไปเก็บเพื่อประมวลผลบนระบบ cloud ด้วยโครงข่าย 5G ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ อีกทั้ง TrueBusiness เองเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำแก่องค์กรที่สนใจนำเทคโนโลยีไปปรับใช้ในการผลิตและดำเนินการต่างๆ รวมถึงให้บริการออกแบบและติดตั้งโซลูชั่นตั้งแต่ต้นจนจบตามความต้องการของแต่ละธุรกิจ

ทั้งนี้ สกพอ. พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ industry 4.0 ด้วยเทคโนโลยี 5G อย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าหมายในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เรื่อง industry 4.0 & 5G แก่ผู้ประกอบการในเขตพื้นที่ EEC อย่างต่อเนื่อง และจะขยายผลสู่ระดับประเทศในลำดับต่อไป

 

SCGP ทำรายได้ครึ่งปีแรก 57,148 ล้าน

SCGP ทำรายได้จากการขายครึ่งปีแรก 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 รักษาการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์และการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ทั้งการขยายกำลังการผลิตและ M&P ได้ตามแผนงาน ครึ่งปีหลังเตรียมปิดดีลในอินโดนีเซียและสเปน เดินหน้าแผนการประสานความร่วมมือกับพันธมิตร รวมถึงขยายกำลังการผลิตในอาเซียนแล้วเสร็จ เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน EBITDA (กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ไม่รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม และรวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้ยืม) อยู่ที่ 10,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  

สำหรับรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น มาจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์และการส่งออกสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอาเซียน เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและ อาหารแช่แข็ง เป็นต้น รวมถึงเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรป และประเทศจีนเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคโควิด 19 ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากต้นทุนด้านพลังงานและภาวะขาดแคลน   ตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าทางเรือในช่วงที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการต้นทุน และปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ 

และรายได้ที่เพิ่มขึ้นยังมาจากการวางกลยุทธ์ในการรักษาความเป็นผู้นำโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนและการขยายธุรกิจได้ตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งการเข้าควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) กับ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ประเทศเวียดนาม และการเข้าลงทุนใน GoPak UK Limited เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตที่แล้วเสร็จในช่วงที่ผ่านมา เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ ในประเทศอินโดนีเซีย, การเพิ่มกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ในประเทศไทย เป็นต้น 

SCGP สามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจผ่านธุรกิจปัจจุบันและ M&P ทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่าในปี 2564 จะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อกระจายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพิ่มพอร์ตบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม กระบวนการทำงาน และโมเดลธุรกิจ เพื่อนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 10 สิงหาคม 2564 

นายวิชาญ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลัง จะได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน 

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการดำเนินงานของ SCGP ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ จะรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายรายได้จากการขายรวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ด้วยการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ที่วางไว้ และมีโครงการขยายกำลังการผลิต ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารจากกระดาษเพิ่มขึ้นอีก 1,615 ล้านชิ้นต่อปี ที่ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ รวมถึงการขยายกำลัง    การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์อีก 220,000 ตันต่อปี และการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัวในประเทศไทยอีก 53 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ปีนี้  

“โดยล่าสุด SCGP ได้ปิดดีลการเข้าถือหุ้นร้อยละ 70 ใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation        (Duy Tan) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนาม ตามการเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นตามที่ได้เปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่23 กรกฎาคม 2564 นอกจากนี้ ยังมีดีลที่อยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งคาดว่าจะปิดดีลสำเร็จในไตรมาสที่ ของปี 2564 ได้แก่ การเข้าถือหุ้นร้อยละ 75 ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (Intan Group) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ในประเทศอินโดนีเซีย และการเข้าถือหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.L. ประเทศสเปน เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการและการเติบโตของวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ของ SCGP ในระดับโลก ซึ่ง SCGP จะเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งด้วยการประสานความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาวควบคู่กับารดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG)” นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติม