รพ.มะเร็งชีวามิตรา รับนัดหมอปรึกษาปัญหามะเร็งฟรี!

โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา โรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางโรคมะเร็งแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดตัวบริการ CHIWAMITRA Cancer Consult นัดหมายเพื่อปรึกษาทีมแพทย์เฉพาะทางมะเร็งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ สะดวก รวดเร็ว ติดต่อได้ทุกที่ ทุกเวลา เหมือนมีหมออยู่ใกล้ตัว รับวิถีชีวิตใหม่ ช่วยลดความเสี่ยง ท่ามกลางมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะเดียวกันด้านผู้ป่วยมะเร็งที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นแต่ละวันก็ไม่สามารถรอการรักษาได้ ชี้ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท สร้างการเปลี่ยนแปลงกับอุตสาหกรรมการแพทย์ก้าวสู่ “ดิจิตอลเฮลท์” ช่วยทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ รวมถึงการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล ปรึกษาและช่วยเหลือกันระหว่างผู้ป่วยและโรงพยาบาล เพิ่มช่องทางการรักษาที่รวดเร็วขึ้น สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ของคนบนโลกดิจิทัลที่มุ่งเข้าถึงบริการต่าง ๆ ผ่านออนไลน์มากขึ้น พบคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านออนไลน์ในชีวิตประจำวันกว่า 69.5% เพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเพื่อเท่าทันต่อการรักษามะเร็ง โรงพยาบาลฯ ชูแนวคิดบริการออนไลน์”CHIWAMITRA Cancer Consult” บริการนัดหมายแพทย์ ทุกช่องทางผ่านไลน์ เฟสบุ๊กเว็บไซต์ หรือโทรศัพท์ 045-958-888 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อปรึกษาทุกปัญหามะเร็ง ให้ผู้ป่วยมะเร็ง และญาติสามารถเข้าถึงช่องทางปรึกษาโรคมะเร็ง เผยโรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตราพร้อมดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกสถานการณ์ รับรักษาเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็ง ย้ายมารักษาโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องรอคิว รักษามะเร็งปลอดภัย โดยทีมแพทย์เฉพาะทางมะเร็ง ภายใต้ความปลอดภัยมาตรฐานกรมควบคุมโรค

นายแพทย์ธนุตม์ ก้วยเจริญพานิชก์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา โรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางโรคมะเร็งแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งก่อตั้งโดยร่วมลงทุนระหว่าง บริษัท โมเดอร์นฟอร์ม เฮลท์แอนด์แคร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงพยาบาลฯ ได้เพิ่มบริการ “CHIWAMITRA Cancer Consult” ซึ่งเป็นการพัฒนาและขับเคลื่อนโรงพยาบาลฯให้ผู้ป่วยสามารถเข้าบริการได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ด้วยบริการนัดหมายเพื่อปรึกษาทีมแพทย์เฉพาะทางมะเร็งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่(New Normal) ของคนและสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับผู้ป่วยและญาติ ท่ามกลางมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ผ่านบริการที่ให้ความสะดวก รวดเร็ว เสมือนมีแพทย์อยู่ใกล้ตัว โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ช่วยลดภาวะความเสี่ยงในขณะที่เข้าถึงระบบนัดหมายแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหามะเร็งโดยบริการดังกล่าวนับเป็นก้าวหนึ่งของการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดสู่บริการใหม่ ๆ ในอนาคตด้านบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลฯ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการแพทย์สู่ “ดิจิตอลเฮลท์” ช่วยให้ผู้ป่วยและประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ผ่านการติดต่อสื่อสารไร้พรมแดนในประเทศ แลกเปลี่ยนข้อมูล ปรึกษา และช่วยเหลือกัน ระหว่างผู้ป่วย ญาติ และโรงพยาบาล ได้ทุกที่ ทุกเวลา

โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตราเปิดบริการ “CHIWAMITRA Cancer Consult” ด้วยความตั้งใจที่จะนำเสนอประสบการณ์ใหม่ในการให้บริการแก่ผู้ป่วยและญาติผู้เข้ารับบริการ ด้วยการใช้เทคโนโลยีพัฒนาระบบ ยกระดับบริการ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการให้คำปรึกษาด้วยข้อมูลทางการแพทย์ โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยด้านสุขภาพ เพิ่มการสื่อสารสองทางระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยและญาติในเขตพื้นที่ และพื้นที่ห่างไกล ให้มีความคล่องตัวในการเข้าถึงข้อมูลและการนัดหมายแพทย์ หรือบริการอื่น ๆ ของโรงพยาบาลฯ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ให้ผู้ป่วยมะเร็งและญาติสามารถเข้าถึงช่องทางปรึกษาโรคมะเร็ง ผ่านแพลตฟอร์มที่คุ้นเคยทั้ง ไลน์ เฟสบุ๊ก เว็บไซต์ หรือโทรศัพท์ ซึ่งยังเป็นช่องทางหลักที่ผู้ป่วยและญาติคุ้นชินและใช้เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสาร โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในยุคปัจจุบัน

“CHIWAMITRA Cancer Consult เป็นบริการที่สอดรับวิถีชีวิตใหม่ “นิวนอร์มอล” ในสังคมยุคดิจิทัล ท่ามกลางภาวะการเปลี่ยนแปลงด้วยผลกระทบช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน กับสถานการณ์วิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสครั้งใหญ่ นับเป็นหนึ่งแรงผลักดันสำคัญให้ประชาชนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกเกิดการปรับวิถีชีวิตใหม่ ก้าวสู่วิถีการกินอยู่ การเรียน การทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิต ที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยจากWe Are Social และ Hootsuite ได้รายงานข้อมูลสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกประจำปี 2563 ที่ผ่านมา พบคนไทยมีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านออนไลน์ในชีวิตประจำวันกว่า 69.5% เพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา “

ทั้งนี้ โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรามุ่งมั่นในการเอาใจใส่ผู้ป่วยมะเร็งอย่างเป็นมิตรกับทุกชีวิตผ่านบริการทางการแพทย์ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางมะเร็ง โดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง บริการใหม่ดังกล่าวนับเป็นหนึ่งในความตั้งใจที่จะพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์เพื่อผู้ป่วยมะเร็ง และญาติสามารถใช้บริการ “CHIWAMITRA Cancer Consult” ได้ผ่านไลน์ @chiwamitra เฟสบุ๊ก  โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา  www.facebook.com/chiwamitra  และเว็บไซต์ www.chiwamitra.com หรือโทร 045-958-888 ได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับรักษาเร่งด่วน หรือมีความจำเป็นต้องย้ายมารับการรักษาโรคมะเร็งต่อเนื่อง  สามารถติดต่อโรงพยาบาลฯ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเอกสารส่งตัว โดยโรงพยาบาลฯ พร้อมดูแลผู้ป่วยทันที ไม่ต้องรอคิวเข้ารับการรักษาภายใต้ความปลอดภัยมาตรฐานกรมควบคุมโรค

เฮงเค็ล ตอกย้ำศักยภาพด้านเทคโนโลยีการแสดงผลยานยนต์

ในขณะที่ภาคยานยนต์เปิดรับเทรนด์ดิจิทัล เช่น การขับขี่ด้วยตนเองและการใช้พลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีการแสดงผลจึงเป็นหัวใจสำคัญของประสบการณ์การขับขี่ในยุคต่อไป และเป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญสำหรับผู้รับจ้างผลิตสินค้า ด้วยเหตุนี้ จอภาพจึงมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยนวัตกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อนของฟอร์มแฟคเตอร์ การออกแบบอินเทอร์เฟซ และเทคนิคการผลิต

ในฐานะซัพพลายเออร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ เฮงเค็ล เทคโนโลยีกาวภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำในสาขาที่น่าตื่นเต้นนี้ นอกเหนือไปจากการจัดหาพอร์ตโฟลิโอที่เป็นนวัตกรรมและครอบคลุมเพื่อรองรับการผลิตจอแสดงผลยานยนต์ขั้นสูงแล้ว เฮงเค็ลยังทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการเจรจาในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์อีกด้วย

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา เฮงเค็ล ภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมกับ DFF ซึ่งเป็นสมาคมการแสดงผลระดับโลกที่เป็นตัวแทนของห่วงโซ่คุณค่าของจอแบน ภายในงานเฮงเค็ลได้นำเสนอผลิตภัณฑ์สำหรับภาคยานยนต์ ซึ่งรวมถึงโซลูชั่นการยึดติดสำหรับจอแสดงผลยานยนต์และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการติดกาวจากแบรนด์ Sonderhoff ของเฮงเค็ล ท่านสามารถรับชมการนำเสนอจากเฮงเค็ลได้ที่นี่ สามารถดูคลิปสาธิตเรื่องนวัตกรรมยานยนต์ของเฮงเค็ลได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=U-G6HpPmfCY

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นของเฮงเค็ลด้านเทคโนโลยีการแสดงผลยานยนต์ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Henkel Automotive Display Homepage

สเก็ตเชอร์ส เปิดตัว GOwalk6 รุ่นล่าสุด

SKECHERS (สเก็ตเชอร์ส) แบรนด์ผู้นำด้านนวัตกรรมรองเท้าสำหรับการเคลื่อนไหว เปิดตัว GOwalk 6 รองเท้าเดินเจนเนเรชั่นที่ 6 ของตระกูล GOwalk ซึ่งเป็นรุ่นซิกเนเจอร์ของกลุ่มรองเท้าเทคโนโลยีแห่งการเดินและเคลื่อนไหว ที่จะช่วยให้การเดินทุกระยะเบาสบายและเป็นเรื่องง่าย

สำหรับคุณสมบัติที่โดดเด่นของ GOwalk 6 เป็นการจับคู่เทคโนโลยีที่ให้สัมผัสนุ่มสบายขั้นสุดเพื่อการเดิน ด้วยการผสานนวัตกรรม Ultra GO® มาไว้ที่แผ่นรองเท้าชั้นกลาง (Mid-Sole) เพื่อรับแรงกระแทก ผสานเข้ากับนวัตกรรม Ultra-light Hyper Pillars ซึ่งทำด้วยวัสดุโฟม Hyperburst™ เทคโนโลยีเอกสิทธิ์ของแบรนด์ อยู่ตรงส่วนของพื้นรองเท้าชั้นนอก นอกจากจะทำให้มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษแล้ว ยังช่วยรองรับในทุกย่างก้าวของการเดิน ทำให้รู้สึกสบายเท้า และเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังถูกออกแบบให้เข้ากับสภาพอากาศของเมืองไทย ด้วยแผ่นพื้นรองเท้าชั้นในแบบ Air Cooled Goga Mat™ ที่ช่วยถ่ายเทและระบายอากาศได้ดี ให้ความรู้สึกเย็นสบายแม้จะร้อน เหมาะสำหรับการสวมใส่ได้ในทุกๆกิจกรรม

สัมผัสประสบการณ์พิเศษใหม่ๆ ของความสบายในทุกย่างก้าวกับ Skechers GOwalk 6 นวัตกรรมรองเท้าเดินรุ่นล่าสุด เปิดจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ ที่ร้านสเก็ตเชอร์ส รวมทั้งช้อปออนไลน์ที่ https://www.skechers.co.th/collections/gowalk-6

เปิดโฉม WHA Office Solutions อาคารสำนักงานระดับพรีเมียม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป) ผู้นำอันดับหนึ่งในการให้บริการโซลูชันครบวงจรด้านโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมของไทย เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมประกาศเปิดตัว WHA Office Solutions นำเสนอโซลูชันสำนักงานให้เช่าเต็มรูปแบบ บนหลากหลายทำเลศักยภาพสูงทั่วกรุงเทพมหานคร พร้อมจับกลุ่มนักธุรกิจยุคใหม่ที่กำลังมองหาพื้นที่การทำงานแบบยืดหยุ่น ส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เล็งเห็นว่าองค์กรและธุรกิจต่างๆ ล้วนให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน WHA Office Solutions จึงพร้อมเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการเช่าพื้นที่สำนักงาน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จึงได้พัฒนาพื้นที่สำนักงานให้เข่าบนทำเลซึ่งเหมาะแก่การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดใหม่ๆ สำนักงานแต่ละแห่งตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีอันทันสมัย ตอบโจทย์นักลงทุนและตลาดสำนักงานให้เช่าได้อย่างดีเยี่ยม การขยายสู่ตลาดใหม่ครั้งนี้ บริษัทฯ ได้ต่อยอดจากประสบการณ์ในการทำธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่สั่งสมมายาวนานกว่า 30 ปี

WHA Office Solutions เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ไปจนถึงสตาร์ทอัพ โดยมีพื้นที่สำนักงานให้เช่ากว่า 100,000 ตร.ม. ตั้งอยู่ในทำเลชั้นนำย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ เดินทางได้อย่างรวดเร็ว สะดวกสบายสู่สนามบินสุวรรณภูมิ และพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ตลอดจนตั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงเรียน โรงพยาบาล รวมถึงพื้นที่ธุรกิจและการลงทุนอื่นๆ เพื่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมื่อผู้คนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงมากขึ้น หลายๆ องค์กรจึงจะเริ่มวางแผนการกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศร่วมกันอย่างพร้อมหน้า ภายใต้มาตรการที่คำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของพนักงานทุกคน แน่นอนว่าผู้ประกอบการและบริษัทต่างๆ ต้องเริ่มมองหาสถานที่ทำงานที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์วิถีนิวนอร์มอลได้อย่างแท้จริง ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป พร้อมนำเสนอพื้นที่สำนักงาน 6 แห่ง 6 ทำเลที่โดดเด่นด้านความปลอดภัย ความยืดหยุ่น และความสะดวกสบายในการเดินทาง เราตั้งเป้าหมายที่จะเติมเต็มวิสัยทัศน์การเปลี่ยนออฟฟิศเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ ตอบโจทย์ให้กับเจ้าของธุรกิจ ทีมผู้บริหาร และนักลงทุนยุคใหม่ทั้งในและต่างประเทศ”

 6 โครงการของ WHA Office Solutions มีดังนี้

  • WHA Tower – แลนด์มาร์คด้านสถาปัตยกรรมแห่งใหม่บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว่า 52,000 ตารางเมตร มอบพื้นที่สำนักงานเกรด A ที่มีความคล่องตัวสูงและเปิดกว้างสำหรับไอเดียใหม่ๆ ตอบโจทย์การทำงานเพื่อการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เชื่อมต่อการเดินทางไปยังสถานที่สำคัญอย่างสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์การค้าเมกะบางนา ทั้งยังเป็นเส้นทางไปยังโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ได้อย่างสะดวกสบาย
  • SJ Infinite I – อาคารสำนักงานเหนือระดับแห่งย่านจตุจักร บนพื้นที่ 42,000 ตร.ม. สำนักงานระดับพรีเมียมและทันสมัย สร้างสมดุลในการทำงานด้วยพื้นที่สีเขียวในอาคาร เดินทางสะดวกด้วยสถานีรถไฟฟ้า BTS ถึง 2 สถานี พร้อมเชื่อมต่อกับทุกย่านธุรกิจใจกลางเมืองผ่านถนนสายหลักและทางพิเศษสายต่างๆ
  • @Premium – อาคารพาณิชย์ใจกลางชุมชนสำคัญ ด้วยพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 3,800 ตร.ม. ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ จ. สมุทรปราการบนถนนสายหลัก สะดวกต่อการเดินทางโดยรถส่วนตัวและขนส่งสาธารณะ ตั้งอยูใกล้สถานีศรีเทพา (รถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าวสำโรง ซึ่งเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. 2564) โดยมีระยะทางเพียง 2 สถานีจากสถานีสำโรง พร้อมเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว
  • WHA Bangna Business Complex – อาคารพาณิชย์ให้เช่า ขนาด 10,000 ตร.ม. พร้อมตัวเลือก ตั้งอยู่เลียบถนนบางนา-ตราด กม. 7 รองรับการปรับขนาดออฟฟิศอย่างยืดหยุ่น ขณะนี้พร้อมให้บริการเช่าพื้นที่แล้วในชั้น 6 และ 7
  •         WHA KW – สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกสุดเอ็กซ์คลูซีฟใจกลางสุขุมวิท 25 แห่งนี้ มีพื้นที่กว่า 9,900 ตร.ม. เชื่อมต่อย่านสุขุมวิท-อโศก ศูนย์กลาง

ธุรกิจกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายหลัก เหนือกว่าด้วยอาคารโลว์ไรส์ ออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวสุดพิเศษ

  • TusPark WHA – พื้นที่สำนักงานขนาดกว่า 1,000 ตร.ม. สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ เหมาะกับการคิดค้นนวัตกรรมและการพัฒนาธุรกิจใหม่ TusPark WHA ตั้งอยู่ที่ Block 28 ในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใจกลางเขตปทุมวัน นับเป็นทำเลที่สมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัพยุคใหม่ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดดเด่นด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และการบริการแบบครบวงจรเพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ได้ไม่รู้จบ

WHA Office Solutions นำเสนอพื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับเวิร์ลคลาส ด้วยตัวเลือกอาคารที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ สร้างคุณค่าใหม่ๆ และขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจสำหรับผู้เช่า พนักงาน นักลงทุน และชุมชนโดยรอบ ปัจจุบันองค์กรมากมายกำลังมองหาสำนักงานที่ช่วยส่งเสริมสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ทั้งยังต้องครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ทำให้ชีวิตสะดวกสบาย และที่สำคัญคือ ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานที่หยืดหยุ่นสมดุล และตั้งอยู่บนทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มุ่งตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการสร้างสำนักงานที่รองรับทุกการเติบโตในอนาคต พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์พื้นที่การทำงานที่ตรงตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย ใส่ใจความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดขององค์กร

ช้อปอะไรดี? ชี้พิกัด 5 เครื่องอบโอโซน กำจัดเชื้อโรคทุกจุดสัมผัส

ในสถานการณ์โควิด 19 ยังส่งผลให้หลายๆ คนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ความสะอาดและสุขอนามัยภายในบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมาก แม้จะมีการทำความสะอาดบ้านในทุกๆวัน แต่อาจไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ที่อาจเข้ามาภายในบ้านแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นเพื่อความสะอาดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไอคอนสยาม จึงรวมสินค้าเพื่อการกำจัดเชื้อโรคภายในบ้าน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มความสะอาดปลอดภัยให้กับตัวคุณและคนที่คุณรัก

เริ่มที่ Wellis Air Disinfection Purifier เครื่องกำจัดเชื้อโรคและสารพิษในอากาศ และบนพื้นผิวสัมผัส  Wellis สามารถฆ่าชีวมลพิษ ในอากาศ และ บนพื้นผิวต่างๆ เช่น กำแพง เพดาน เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่บนเสื้อผ้าก็สามารถกำจัดได้มากถึง 99.9% กำจัดก๊าซพิษ และสารพิษจาก สารระเหยน้ำมันเชื้อเพลิง,สารตะกั่ว,สารปรอท,สาร VOCs สามารถกำจัดควันบุหรี่ ควันไฟ ควันรถยนต์ และ สามารถกำจัดกลิ่น อาทิเช่น กลิ่นขยะ,กลิ่นสัตว์เลี้ยง, กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้ 99.9% ซึ่ง Wellis ทำงานโดยการปล่อยประจุ Hydroxyl (OH) ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 8,000,000-10,000,000/cc. เข้าสลายชีวมลพิษ และสารพิษ ทางอากาศและบนพื้นผิวต่าง  สามารถเปิดเครื่องเพื่อฆ่าเชื้อใน ระหว่าง ที่มีคนอยู่ในห้องได้ ตลอด 24 ชั่วโมง

AIKO – Ozone Sterilizer water

AIKO – Ozone Sterilizer water โอโซนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ โดยโอโซนจะทำปฏิกิริยา Oxidation กับผนัง เซลล์ของเชื้อโรค /กลิ่น ทำให้เชื้อโรค/กลิ่นสลายตัว โอโซนช่วยทำให้อากาศในห้องสะอาด กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดีเยี่ยม ได้แก่ กลิ่นบุหรี่ กลิ่นอาหาร กลิ่นห้องเหม็นอับชื้น เป็นต้น โอโซนสามารถทำลายได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ปรสิต และจุลินทรีย์ อื่นๆ โดยโอโซนที่ระดับความเข้มข้นสูง จะมีผลทำลายเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุของ โรค ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค โรคในระบบทางเดินหายใจ โรคในระบบ ทางเดินอาหาร ฯลฯ มีคุณสมบัติสามารถตั้งเวลาได้ตั้งแต่ 1 ถึง99 นาที สามารถเพิ่มและลดเวลา ครั้งละ 5 นาที  ซึ่งอุณหภูมิในการทำงานที่เหมาะสมคือ 25-30 องศา  ปล่อยออกซิเจน (O3) 600 มิลลิกรัม / ชั่วโมง มีปริมาณการปล่อยออกซิเจน สูงสุด 105 CFM ( ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที )

รุ่น MAHASAMUT PRO

SabaideeCare  เครื่องโอโซนล้างผัก ผลไม้ด้วยเทคโนโลยีไมโครนาโนบับเบิ้ล รุ่น MAHASAMUT  PRO ล้ำสมัยด้วยระบบ Cool Plasma Ozone กำจัดได้ถึง 4 ตัวการร้ายทำลายสุขภาพ เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส และสารเคมีตกค้าง ประกอบด้วยคุณประโยชน์จาก Ozone (Water) ใช้ล้างภาชนะ, ผัก ผลไม้ และเตรียมน้ำดื่มสะอาดได้ในเครื่องเดียว และ Ozone (Air) อบห้องกำจัดกลิ่น ฆ่าเชื้อไวรัส รา ในทุกพื้นผิว และทุกซอกทุกมุม  ความพิเศษของ MAHASAMUT PRO คือสามารถตั้งเวลาได้สูงสุดถึง 60 นาที ( รุ่นเดิม 30 นาที )  มีหัวทรายที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับรุ่น MAHASAMUT PRO ไมโครบับเบิ้ล ที่กระจายโอโซนได้มากกว่าและทั่วถึงกว่า จึงลดเวลาการใช้งานได้ถึง 50%  รูปทรงใหม่ ดูล้ำสมัยน่าใช้กว่าเดิม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการร่วมวิจัยกับทางสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) น้ำหนักเบาเพียง 650 กรัม และขนาดแบนบางเพียง 5 ซม. จึงจับถนัด และเคลื่อนย้ายง่ายขึ้น

SabaideeCare-รุ่น MAHASAMUT

SabaideeCare  เครื่องโอโซนล้างผักผลไม้ รุ่น MAHASAMUT ใช้อบห้อง อบรถขจัดเชื้อโรค แบคทีเรีย เชื้อรา และกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ เครื่องมหาสมุทรให้ Ozone เข้มข้นสูงถึง 400 mg/hr Sabaideecare ล้ำสมัยด้วยระบบ Cool Plasma Ozone กำจัดได้ถึง 4 ตัวการร้ายทำลายสุขภาพ เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส สารเคมีตกค้าง ใช้ล้างภาชนะ / ผักผลไม้ / อบห้องกำจัดกลิ่น / เตรียมน้ำดื่มสะอาด ได้ในเครื่องเดียว

SabaideeCare รุ่น NAPHA IV

SabaideeCare  เครื่องฟอกอากาศระบบโอโซน รุ่น NAPHA IV หน้าจอแสดงผล พร้อมแจ้งค่า PM2.5 แบบเรียลไทม์  การกรอง 4 ชั้น ประกอบด้วย  ตาข่ายกรองชั้นแรกกำจัดฝุ่น เกสรดอกไม้  ชั้นแผ่นกรอง HEPA กรองฝุ่นสูงสุด 0.3 ไมครอน  ชั้นกรองคาร์บอน ย่อยสลายสารฟอลมันดิไฮด์  ชั้นกรองโมเลกุล่าชีฟ ดูดความชื้น ระบบโอโซน สำหรับขจัดเชื้อโรค กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ระบบไอออน ดับจับฝุ่นให้ตกลงบนพื้น ครอบคลุมพื้นที่สูงสุด 60 ตรม./ สามารถผลิตอากาศบริสุทธิ์ออกมาได้ถึง 400 ลบ.ม.ต่อชม.

เพื่อความสะอาด ปลอดภัยให้ภายในบ้านของคุณ ช้อปออนไลน์ง่ายๆ ที่ ICONSIAM Ultimate Chat & Shop ผ่าน LINE Official Account @ICONSIAM  หรือ ช้อปผ่าน Facebook Page ICONSIAM หรือ คลิก    พร้อมรับดีลสุดคุ้ม 2 ต่อ ต่อที่ 1ใช้โค้ดลดเพิ่ม สูงสุด 3,500 บาท  และต่อที่ 2 รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18% ตั้งแต่วันนี้ – 31 ก.ค. 64 เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1338 หรือ www.iconsiam.com

ไอคอนสยามมีความห่วงใยลูกค้าทุกท่านและยังคงดำเนินมาตรการความปลอดภัยในเชิงรุกอย่างเคร่งครัด ยกระดับมาตรการความปลอดภัยของบริการช้อปออนไลน์  ด้วยกระบวนการฆ่าเชื้อบนพื้นผิวสินค้า บรรจุภัณฑ์ และกล่องพัสดุ ด้วยเครื่องฆ่าเชื้อจากรังสี  UV-C (Handheld Ultraviolet Disinfection Lamp) ก่อนส่งมอบถึงมือลูกค้าเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ช้อปอะไรดี? Bebesup Mother’s Day Specials

ร่วมเฉลิมฉลองวันแม่ปีนี้ด้วยการมอบชุดของขวัญสุดพิเศษจาก เบเบ้ซุป (Bebesup) ให้คนพิเศษที่สุดในชีวิตของคุณ คุณแม่ผู้เป็นเสมือนดวงใจกุญแจสำคัญและผู้ปกป้องดูแลคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข

เหตุใดดอกไม้ จึงเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่? ช่อดอกไม้ที่แซมด้วยดอกไม้ที่มีความหมายน่ารักๆ อาทิ ดอกสแตติส ความรู้สึกดีๆที่อยู่ตลอดไป, ดอกยิปโซ รักแรกพบ ดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์ จริงใจ  อ่อนหวาน, ดอกเปีย-แคสเปีย ดอกไม้แห่งความทรงจำที่ไม่ลืมเลือน ความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง, ดอกสุ่ย แสดงถึงวันแห่งความสุข, ดอกกุกลาบขาว ความรักอันบริสุทธิ์ ใสสะอาด เห็นอกเห็นใจกัน ให้เกียรติ ความนับถือซึ่งกันและกัน และ ดอกกุหลาบชมพู ภาพตัวแทนของความงดงาม น่ารักและอ่อนหวาน เข้าอกเข้าใจกัน การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

วันแม่ปีนี้ เบเบ้ซุป (Bebesup) ผลิตภัณฑ์ทิชชู่เปียกรักษ์โลก การันตีจากสถาบันวิจัย Baby Skin Lab ประเทศเกาหลี ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความรัก สร้างสรรค์ความประทับใจ และส่งต่อของขวัญ ของคุณผ่านแนวคิด “It’s Safe. No Worries! Bebesup” ที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วย 2 เซ็ตของขวัญ Bebe Gift Box (กล่อง) และ Bebe Gift Bag (ถุง) พร้อมช่อดอกไม้จิ๋ว (mini bouquet) สื่อความหมาย และ การ์ด อวยพรดีไซน์ มีรายละเอียดดังนี้

Bebe Gift Box (กล่อง) ราคา 1,500 บาท ประกอบด้วย

  • ผลิตภัณฑ์ทิชชู่เปียก เบเบ้ซุป เนเจอร์ โกลด์ (Bebesup Nature Gold) 60 แผ่น จำนวน 2 ห่อ และขนาดพกพา 20 แผ่น จำนวน 4 ห่อ
  • ผลิตภัณฑ์ทิชชู่เปียก เบเบ้ซุป เนเจอร์ ซีโร่ (Bebesup Nature Zero) 70 แผ่น จำนวน 2 ห่อ
  • ผลิตภัณฑ์ทิชชู่เปียก เบเบ้ซุป เนเจอร์ เซนซิทีฟ (Bebesup Nature Sensitive) 70 แผ่น จำนวน 2 ห่อ
  • กล่องซารังเฮสีครีมประทับโลโก้ เบเบ้ซุป และผูกด้วยริบบิ้นสีเขียวเนเจอร์
  • ช่อดอกไม้จิ๋ว (mini bouquet) ตามลวดลายในภาพ
  • การ์ดอวยพรดีไซน์

Bebe Gift Bag (ถุง) ราคา 850 บาท ประกอบด้วย

  • ผลิตภัณฑ์ทิชชู่เปียก เบเบ้ซุป เนเจอร์ โกลด์ (Bebesup Nature Gold) ขนาดพกพา 20 แผ่น จำนวน 10 ห่อ
  • ถุงของขวัญสีครีมประทับโลโก้ เบเบ้ซุป และผูกด้วยริบบิ้นสีเขียวเนเจอร์
  • ช่อดอกไม้จิ๋ว (mini bouquet) ตามลวดลายในภาพ
  • การ์ดอวยพรดีไซน์

วันที่จัดจำหน่าย: 1 – 12 สิงหาคม 2564 ผ่านช่องทางการสั่งซื้อ: Line Official: @bebesup.th, Facebook และ Instagram: Bebesup.th, Lazada Lazmall: BebeSup, Shopee Mall: Bebesup_Officialshop

เพื่อตอบสนองผู้อุปโภคในช่วงเศรษฐกิจยุค New Normal และสถาณการณ์ของ Covid-19 ทางเบเบ้ซุปได้จัดรายการสินค้าราคาพิเศษ ลดสูงสุดถึง 40% สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ 20 ท่านแรก

โอกาสพิเศษที่คุณจะได้แสดงความรู้สึกดีๆ และหยิบยื่นของขวัญที่คัดสรรค์มาเป็นพิเศษให้กับคุณแม่ที่คุณรัก ด้วยความเป็นมิตรกับธรรมชาติ ด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ! สนใจสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ Line Official: @bebesup.th

 

กดดันอินเดีย ยกเลิกมาตรการอุดหนุนการส่งออกน้ำตาล

อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายไทย ออสเตรเลีย บราซิล และกัวเตมาลา ผนึกกำลังกดดันประเทศอินเดีย เพื่อให้ยกเลิกการอุดหนุนการผลิตและการส่งออกน้ำตาลที่ดำเนินการมากว่า 10 ปี ส่งผลให้ราคาตลาดโลกผันผวน กระทบต่อทุกประเทศผู้ส่งออก ระบุทุกประเทศต้องปฏิบัติตามกฎ WTO หลังประเมินผลกระทบ ไทยได้รับความเสียหายเฉลี่ยประมาณ หมื่นล้านบาทต่อปี 

นายปราโมทย์  วิทยาสุข ประธาน สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย หรือ TSMC เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายประเทศออสเตรเลีย เสนอหน่วยงานภาครัฐให้ดำเนินการผลักดันอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ ของโลก ให้ยกเลิกการอุดหนุนการปลูกอ้อยของชาวไร่และการส่งออกน้ำตาลไปยังตลาดโลก ที่ส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกผันผวน สร้างความเสียหายและทำลายโอกาสทำรายได้จากการส่งออกในราคาที่ควรจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่เฉลี่ยราคาประมาณ 17 เซนต์ต่อปอนด์ หลังความต้องการปริมาณน้ำตาลในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว 

ทั้งนี้ การศึกษาของประเทศออสเตรเลีย พบว่า การดำเนินนนโยบายของรัฐบาลอินเดียเพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยด้วยการอุดหนุนการผลิตและการส่งออกน้ำตาลส่วนเกินประมาณกว่า ล้านตัน โดยในช่วงรอบฤดูการผลิต ปีที่ผ่านมา หรือปี 2560/61 – 2563/64 รัฐบาลอินเดียใช้เงินอุดหนุนการส่งออกมากกว่า 1.998 พันล้านหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 6.55 หมื่นล้านบาท ซึ่งกดดันต่อราคาตลาดโลกปรับตัวลดลงประมาณปีละ 13.1% และทำให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของออสเตรเลียสูญเสียรายได้จากการส่งออกน้ำตาล 63 เหรียญออสเตรเลียต่อตันน้ำตาล (ประมาณ 1,530 บาทต่อตันอ้อย) หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 189 ล้านเหรียญออสเตรเลียต่อปี (ประมาณ 4.58 พันล้านบาท) จากปริมาณการส่งออกน้ำตาลปีล่าสุดอยู่ที่ ล้านตัน 

ขณะที่ประเทศไทย ในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ ของโลก มีปริมาณการส่งออกน้ำตาลทรายไปยังตลาดโลกในรอบการผลิตปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ ล้านตันน้ำตาล ซึ่งได้รับความเสียหายประมาณกว่า หมื่นล้านบาทต่อปี เมื่อเปรียบเทียบเชิงปริมาณการส่งออกน้ำตาลของไทยที่สูงกว่าออสเตรเลียถึง 2 เท่า ดังนั้น TSMC จึงเรียกเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการผลักดันประเทศอินเดียให้ยกเลิกมาตรการอุดหนุนและเรียกร้องให้ปฎิบัติตามกฎกติกาการค้าโลก ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างเคร่งครัด 

“เราในฐานะผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้กับผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยสร้างความเสียหายแก่อุตสาหกรรม ต้องสูญเสียโอกาสส่งออกน้ำตาลช่วงที่ราคาตลาดโลกที่ดี และเราเชื่อว่าราคายังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่เมื่อเจอแรงกดดันจากซัพพลายของประเทศอินเดียทำให้ราคามีความผันผวนมากขึ้น และหากรัฐบาลอินเดียยังคงให้อุดหนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลต่อไป ราคาตลาดโลกจะยังเผชิญแรงกดดันต่อไปอีก” นายปราโมทย์ กล่าว 

ประธาน สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย หรือ TSMC กล่าวว่า จากการประเมินปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ จะส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตของอ้อย โดยคาดว่าปริมาณผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตหน้า (ปี 2564/65) จะอยู่ที่ประมาณ 90 ล้านตัน ตามที่ TSMC เคยประมาณการไว้ เนื่องจากชาวไร่อ้อยมีการขยายการเพาะปลูกอ้อยและบำรุงรักษาอ้อยเพิ่มขึ้น ขณะที่ โรงงานน้ำตาลได้สนับสนุนช่วยเหลือชาวไร่ด้านเงินทุนและปัจจัยการผลิตต่างๆ รวมทั้ง การประกันราคาอ้อยปีหน้าที่ตันอ้อยละ 1,000 บาท ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส.  

“จ๊อบไทย” เผยตลาดแรงงานครึ่งปีแรก โควิด-19 กระทบนักศึกษาจบใหม่

โลกการทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับตลาดแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดทำให้เกิดนวัตกรรม เกิดอาชีพใหม่ ๆ ตลอดจนปัญหาระบบการศึกษาที่ไม่สามารถผลิตคนได้ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับตลาดแรงงานเป็นวงกว้าง

แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการของจ๊อบไทย (JobThai) ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มหางาน สมัครงาน และหาบุคลากรออนไลน์ เปิดเผยถึงข้อมูลการหางาน สมัครงาน จากการรวบรวมข้อมูลในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 พร้อมวิเคราะห์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับตลาดแรงงานไทย พบว่า ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 มีผู้ต้องการหางาน สมัครงาน เพิ่มขึ้นกว่าปี 2563 โดยมีผู้ใช้งานสะสมมากกว่า 13 ล้านคน เติบโตขึ้น 17% และมีการสมัครงาน 9.6 ล้านครั้ง เติบโตขึ้น 8% ด้านองค์กรมีการเปิดรับพนักงานรวมทั้งหมด 772,145 อัตรา เพิ่มขึ้น 13.70% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหลายองค์กรมีการเปิดรับบุคลากรโดยสามารถทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) หรือทำงานทางไกล (Remote Working) 11,036 อัตรา เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3-4 ปี 2563 18.70%  นอกจากนี้ องค์กรยังมีมาตรการลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเปลี่ยนมาสัมภาษณ์งานทางออนไลน์มากถึง 78,101 อัตรา เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3-4 ปี 2563 ถึง 208.10%

สำหรับข้อมูลความต้องการแรงงานและความต้องการของผู้สมัครงานทั่วประเทศ ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2564 มีดังนี้

5 ประเภทธุรกิจมีความต้องการแรงงานมากที่สุด 

  1. ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม 66,977 อัตราองค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, บริษัท ไทย อกริ ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป อาทิ อาหารกระป๋อง และอาหารแช่แข็งเพื่อการส่งออก, บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคคา-โคล่า และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
  2. ธุรกิจยานยนต์/ชิ้นส่วนยานยนต์57,390 อัตราองค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัท ท็อปเบส์ท จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนโครงสร้าง ตัวถัง ประกอบรถโดยสารและตัวถังรถบรรทุกและจัดจำหน่ายรถโดยสารและรถบรรรทุกเพื่อการพาณิชย์, MAXXIS INTERNATIONAL (THAILAND) CO.,LTD. ผู้ผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์ระดับโลก, บริษัท สยามกลการอุตสาหกรรม จำกัด ผู้นำเข้า จัดจำหน่ายและบริการซ่อมและอะไหล่ รถ Forklift ในแบรนด์ของ Unicarrier ประเทศไทย
  3. ธุรกิจบริการ 51,822 อัตราองค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัท เอ็มโอแค็ป จำกัด ซึ่งทำธุรกิจด้าน Outsourcing Contact Center, บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำธุรกิจด้าน Customer Service Management, Thailand YellowPages ผู้บุกเบิกธุรกิจการให้บริการค้นหาข้อมูล รายชื่อ และหมายเลขโทรศัพท์ขององค์กรธุรกิจ การค้นหาสินค้า และบริการต่าง ๆ เป็นรายแรกของประเทศไทย
  4. ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง – รับเหมาก่อสร้าง 50,132 อัตราองค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัทดูโฮม จำกัด (มหาชน) ผู้จำหน่ายวัสดุก่อสร้างครบวงจร,บริษัท เจ ดับบลิว เอส คอนสตรัคชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านรับเหมาก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีก่อสร้างชั้นสูงและทันสมัย, บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด แหล่งรวมสินค้าและวัสดุอุปกรณ์เพื่อการตกแต่งซ่อมแซมที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร
  5. ธุรกิจขายปลีก 47,956 อัตราองค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่นบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด หรือโลตัส ประเทศไทย ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกธุรกิจ,บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภค แบบครบวงจร, วัตสัน ประเทศไทย ร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ในเอเชีย

5 สายงานที่มีการเปิดรับมากที่สุด

สายงานที่มีการเปิดรับมากที่สุด ได้แก่ 1.งานขาย 158,753 อัตรา 2.งานผลิต/ควบคุมคุณภาพ 89,279 อัตรา 3.งานช่างเทคนิค/อิเล็กทรอนิกส์ 83,440 อัตรา 4.งานธุรการ/จัดซื้อ  43,574 อัตรา และ5.งานวิศวกร 40,697 อัตรา

แสงเดือน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันองค์กรต่างให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้เกิดนวัตกรรมและอาชีพใหม่ ๆ มากมาย ทำให้สายงานไอทีเป็นสายงานที่ทั่วโลกกำลังต้องการและน่าจับตามองเป็นอย่างมาก สำหรับข้อมูลสายงานไอทีที่มีความต้องการสูงในจ๊อบไทยแพลตฟอร์มมีดังนี้

5 สายงานไอทีที่มีการเปิดรับมากที่สุด

  1. โปรแกรมเมอร์(Programmer)12,296 อัตรา – ทำหน้าที่พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ รวมถึงดูแลระบบ ให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
    ทักษะที่จำเป็น : ทักษะการเขียนโปรแกรมและความรู้ด้านภาษาคอมพิวเตอร์ โดยมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาที่นิยมใช้ เช่น JavaScript, C#, Python และ PHP
  2. ไอทีแอดมิน/เน็ตเวิร์กแอดมิน(IT Admin/Network Admin)5,629 อัตรา – ทำหน้าที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบเน็ตเวิร์ก ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อให้พนักงานแผนกต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น
    ทักษะที่จำเป็น : มีความรู้ความสามารถในเรื่องของระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ และระบบเน็ตเวิร์ก
  3. เทคนิคซัปพอร์ต(Technical Support/Help Desk) 3,598อัตรา – ทำหน้าที่ดูแลการใช้งานโปรแกรมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของพนักงานภายในบริษัท และช่วยเหลือให้คำแนะนำเรื่องการใช้โปรแกรมกับลูกค้าหากเกิดปัญหาขึ้น
    ทักษะที่จำเป็น : มีความรู้ความสามารถในเรื่องการใช้งานและแก้ปัญหาโปรแกรมต่าง ๆ
  4. วิศวกรคอมพิวเตอร์(ComputerEngineering) 2,354 อัตรา – ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาระบบและสถาปัตยกรรมทางด้านคอมพิวเตอร์ครอบคลุมทั้งในส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของระบบ
    ทักษะที่จำเป็น : มีความรู้ด้านระบบ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และการออกแบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์
  5.  นักทดสอบซอฟต์แวร์(Software Tester) 1,961อัตรา – ทำหน้าที่ทดสอบซอฟต์แวร์ เพื่อค้นหาข้อผิดพลาด ตรวจสอบคุณภาพของระบบซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้คนใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ทักษะที่จำเป็น : ความรู้พื้นฐานทางด้าน Software Testing, การวิเคราะห์ ออกแบบการ Test

นอกจากสายงานที่กล่าวไปข้างต้นแล้วยังมีอาชีพงานไอทีที่น่าจับตามองอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิศวกรความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security), นักพัฒนาบล็อกเชน (Blockchain Developer), นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist), นักพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Engineer)

โควิด-19 กระทบการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่

ในแต่ละปีจะมีนักศึกษาจบใหม่เข้ามาในตลาดแรงงาน ซึ่งในปีนี้นักศึกษาจบใหม่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากโควิด-19 โดยในจ๊อบไทยมีบัญชีผู้ใช้งานที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ 178,399 คน คิดเป็น 17.14% ของจำนวนผู้สมัครงานทั้งหมดในแพลตฟอร์ม ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้

  • สายงานที่เปิดรับนักศึกษาจบใหม่มากที่สุด5 อันดับ ได้แก่ 1.งานขาย 35,031 อัตรา 2.งานช่างเทคนิค/อิเล็กทรอนิกส์ 14,074 อัตรา 3.งานผลิต/ควบคุมคุณภาพ 11,332 อัตรา 4.งานบริการ 8,777 อัตรา และ 5.งานวิศวกร 7,677 อัตรา
  • สายงานที่มีนักศึกษาจบใหม่สมัครมากที่สุด5 อันดับ ได้แก่ 1.งานธุรการ/จัดซื้อ 60,780 คน 2.งานผลิต/ควบคุมคุณภาพ 47,137 คน 3.งานขาย 36,980 คน 4.งานวิศวกร 30,565 คน และ 5.งานขนส่ง-คลังสินค้า 28,344 คน

นักศึกษาจบใหม่ท่องเที่ยว / โรงแรม / การบินเคว้ง

ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม หรือการบิน ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตรง ทำให้องค์กรต่าง ๆ ไม่มีการจ้างงานในสายนี้เพิ่มมากนัก นักศึกษาจบใหม่ในสาขานี้จึงได้รับผลกระทบไปด้วย โดยข้อมูลจาก กลุ่มบนเฟซบุ๊ก “JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน” ซึ่งมีสมาชิกภายในกลุ่มกว่า 200,000 คน พบว่าประเด็นในการพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาของเด็กจบใหม่ในสาขาดังกล่าว มีดังนี้

  • การหางานด้านท่องเที่ยว โรงแรมยาก ทำให้ว่างงานนานขึ้น
  • คนที่ทำงานด้านท่องเที่ยว โรงแรม เช่น ไกด์ พนักงานในโรงแรม พนักงานบริษัททัวร์ ถูกลดเงินเดือน ให้ลาไม่รับค่าจ้าง ตลอดจนถูกปลด เนื่องจากบริษัทต้องหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวหรือถาวร
  • ต้องหางานข้ามสายซึ่งต้องแข่งขันกับคนที่จบมาตรงสาย

ด้านข้อมูลในจ๊อบไทยพบว่า 5 สายงานที่นักศึกษาจบใหม่ด้านท่องเที่ยว / โรงแรมสมัครมากที่สุด ได้แก่ 1.งานธุรการ/จัดซื้อ 11,590 ครั้ง 2.งานบริการ 5,998 ครั้ง 3.งานขาย 5,682 ครั้ง 4.งานบุคคล/ฝึกอบรม 3,127 ครั้ง และ 5.งานการตลาด 2,633 ครั้ง

ในสถานการณ์นี้ปฏิเสธไม่ได้ว่านักศึกษาจบใหม่ในธุรกิจท่องเที่ยว / โรงแรม / การบิน ต้องเพิ่มโอกาสในการหางานจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัว โดยต้องนำทักษะที่มีไปต่อยอดใช้กับสายงานอื่น (Transferable Skills) อย่างคนที่มีทักษะความสามารถทางภาษาอาจมองหาโอกาสในสายงานดูแลลูกค้าหรือบริการในธุรกิจอื่น ๆ  ที่ไม่ได้รับผลกระทบมาก หรือ งาน Account Executive ในเอเจนซี่ ซึ่งเป็นการใช้จุดแข็งทางด้านภาษาและการสื่อสารที่มีอยู่แล้ว และเพิ่มคอร์สเรียนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ รวมทั้งการใช้ Social Media ก็จะทำให้โปรไฟล์เข้าตา HR มากขึ้นได้ หรืออาชีพเสริมอื่น ๆ เช่น ติวเตอร์สอนภาษา เนื่องจากช่วงนี้นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ก็อาจเป็นโอกาสในการทำงานของเราได้

ทั้งนี้ คนทำงานทุกคนต้องปรับตัวให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยต้องมีการเรียนรู้ตลอดเวลาและนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับงาน ซึ่งจ๊อบไทยได้ทำรายการ Career Talk Podcast พอดแคสต์ที่จะพูดคุยทุกเรื่องเกี่ยวกับการทำงาน สามารถติดตามช่อง JobThai ได้ทั้งใน Spotify, Soundcloud, Apple Podcasts, Google Podcasts และ YouTube นอกจากนี้ยังมีบทความเพื่อคนทำงานอีกมากมาย สามารถติดตามได้ที่ https://blog.jobthai.com นอกจากนี้จ๊อบไทยยังมีกิจกรรม “จบใหม่ต้องรู้” โดยให้นักศึกษาจบใหม่ส่งเรื่องราวเกี่ยวกับการหางานสมัครงานเพื่อลุ้นรับรางวัลมากมาย สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/jobthai

สำหรับผู้ที่ต้องการหางาน สมัครงาน สามารถใช้งานได้ที่ www.jobthai.com หรือดาวน์โหลด JobThai Application ทั้งใน  App Store, Play Store และ HUAWEI AppGallery

เปิดตัว La Mer Official Store บน Lazada ที่แรกของวงการอีคอมเมิร์ซ

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่าสาวกบิวตี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสุดพรีเมียมที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของโลก และมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยอย่างแบรนด์ La Mer แบรนด์สกินแคร์ที่เหล่าดารา เซเลบริตี้ทั้งในระดับ Hollywood และซุปเปอร์สตาร์ทั่วเมืองไทยต่างยกให้เป็นแบรนด์สกินแคร์ Must Have ที่พวกเธอหลงรัก ด้วยชื่อเสียงและผลลัพธ์ในเรื่องของการฟื้นบำรุงผิวให้กลับมาสุขภาพดีจากส่วนผสมอันล้ำค่า จึงทำให้ La Mer กลายเป็นแบรนด์ในฝันของสาวๆ ทั่วโลก

จุดเริ่มต้นของ La Mer กำเนิดขึ้นเมื่อ ดร. แมกซ์ ฮูเบอร์ ได้คิดค้นกระบวนการหมักบ่มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ La Mer และนำแรงบันดาลใจจากท้องทะเลมาสู่การสร้างสรรค์ขั้นตอนการดูแลผิวเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จนได้เป็นสูตรหนึ่งเดียวที่เปี่ยมด้วยพลังในการฟื้นบำรุงผิวอันเป็นตำนานจากส่วนผสม Miracle Broth™ หัวใจหลักในทุกผลิตภัณฑ์ของ La Mer ที่วันนี้มีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เริ่มต้นด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มียอดขายสูงสุดในประเทศไทยที่มีให้เลือกมากถึง 5 เนื้อสัมผัสตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ และผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอื่นๆ ที่นำทัพมาด้วย โลชั่นบำรุงผิวสูตรน้ำ The Treatment Lotion ที่ถูกออกแบบและคิดค้นเพื่อชาวเอเชียโดยเฉพาะ, เซรั่มเข้มข้นที่ถูกขนานนามว่า “สกินแคร์ฮีโร่” ของ La Mer อย่าง The Concentrate และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรอบดวงตาอย่าง The Eye Concentrate ให้สาวๆ ได้เลือกใช้เพื่อปรนนิบัติผิวให้แลดูสวยและเปล่งประกายสุขภาพดี

และในวันนี้ La Mer ได้ยกเคาน์เตอร์ La Mer มาไว้ในมือคุณ ผ่านการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ La Mer Official Store บน LazMall ให้เหล่านักช้อปได้เลือกสรรกันอย่างเพลิดเพลิน พร้อมดีลและโปรโมชั่นสุดพิเศษตั้งแต่วันนี้ –10 สิงหาคม 2564

เริ่มจองสินค้าเซ็ต Pre-sale Exclusive only at Lazada และรับสิทธิพิเศษที่พร้อมมอบให้คุณ อาทิ

  • The Treatment Lotion set ในราคาเพียง 5,950 บาท จากราคาปกติ 8,350 บาท (ประกอบด้วย The Treatment Lotion ขนาด 150ml + The Treatment Lotion ขนาด 30ml จำนวน 2 ชิ้น)

ค้นพบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสุดพรีเมียมจากแบรนด์ La Mer เพิ่มเติมได้ที่ คลิก https://www.lazada.co.th/shop/la-mer1626753410

บลจ.บีแคป แนะหุ้นจีนเน้นไบโอเทค หุ้นเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

บลจ.บีแคป ชี้รัฐบาลจีนรุกคืบออกมาตรการคุมเข้มธุรกิจ Consumer Technology มากขึ้น หวังสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพและลดเหลื่อมล้ำระบบเศรษฐกิจ คาดกระทบราคาหุ้นกลุ่มนี้ ปรับฐานลงในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า แนะโยกลงทุนจากกลุ่ม Consumer Technology พวก e-commerce fintech media และ e-platform มาเน้น Non-consumer Technology เช่น Biotech Clean Energy ของจีน เหตุยังเติบโตดีแต่ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับนโยบายของจีนดังกล่าว

ดร. ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP เปิดเผยถึงกรณีที่ ประเทศจีน ได้ออกมาตรการควบคุมกิจการของบริษัท Consumer Technology มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายปี 2563 ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นเทคฯจีนโดยรวม จากความกังวลเรื่องนโยบายของภาครัฐว่า จะเพ่งเล็งธุรกิจใดต่อไป

โดยผู้จัดการกองทุน ประเมินว่ารัฐบาลกลางมี 2 เป้าหมายสำคัญในการออกมาตรการควบคุมกลุ่ม Consumer Technology เรื่องแรกคือการสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพและลดความเหลื่อมล้ำของระบบเศรษฐกิจของประเทศจีน และเรื่องที่สองคือความมั่นคงทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยมาตรการต่าง ๆ ที่ทยอยออกมาต่างมุ่งเน้นไปสู่ 4 เสาหลักแห่งความมั่นคง (four pillars of stability) กล่าวคือ 1) เสถียรภาพทางด้านการเงิน 2) การแข่งขันอย่างเสมอภาคและป้องกันการกีดกันทางการค้า 3) การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและการนำข้อมูลไปใช้อย่างเป็นธรรม และ 4) การสร้างความเท่าเทียมกันทางสังคม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา การพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้เกิดผู้ประกอบการรายใหญ่ขึ้น จนนำมาสู่การผูกขาดทางการค้า การนำข้อมูลของผู้บริโภคมาใช้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการและเอาเปรียบผู้บริโภค การให้ผลตอบแทนที่ไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง ซึ่งหากปล่อยปัญหาทิ้งไว้นานอาจทำให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะต่อไป ตัวอย่างเช่น บริษัท Alibaba ใช้ฐานข้อมูลที่มี และพยายามเสนอเงินกู้เกินความจำเป็นแก่ผู้บริโภค โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลด้านเสถียรภาพจากภาครัฐ หรือบริษัท Meituan ที่ใช้อำนาจผูกขาดในธุรกิจจนเกิดการจ้างพนักงานในอัตราที่ไม่เป็นธรรม

กลุ่ม China Consumer Tech กำลังเข้าสู่ new growth regime ที่อาจจะถูกปรับฐานเพื่อสะท้อนการเติบโตที่ลดลง เชื่อว่าทางการจีนจะยังคงมีนโยบายในเชิงควบคุมกลุ่ม Consumer Tech ออกมาอีกเป็นระยะ ๆ แต่การพัฒนานวัตกรรมยังมีความจำอย่างยิ่งสำหรับประเทศจีน เพื่อนำไปสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลกภายใต้แผนแม่บทในการพัฒนาประเทศ

ดังนั้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เราเรียกว่า China Non-consumer Tech อาทิเช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Clean Energy กลุ่ม Biotech ที่เป็นฐานการผลิตของโลก และกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อการอุตสาหกรรม จะยิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้น จากการที่ราคาปรับลงมาจากปัจจัยแวดล้อมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง และจากนโยบายสนับสนุนต่อเนื่องจากภาครัฐจึงเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดังกล่าว

“เราประเมินว่าหุ้นกลุ่ม China Consumer Tech ยังมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีในระยะยาว แต่จะมีการปรับฐานเพื่อสะท้อน new growth regime ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า ตามมาตรการควบคุมต่างๆสำหรับ 4 เสาหลักแห่งความมั่นคงของจีนทยอยกันมีความชัดเจนขึ้น ดังนั้นเราแนะนำโยก จากกลุ่ม China Consumer Tech ไปสู่กลุ่ม Non-consumer Tech ซึ่งราคาย่อตัวลงบางส่วนจาก sentiment ลบของหุ้นกลุ่ม china consumer tech” ดร.ธนาวุฒิกล่าว

กอง BCAP-XHEALTH และ BCAP-CLEAN เป็นตัวเลือกสองกองทุนของ BCAP ที่มีสัดส่วนการลงทุนใน China Non-consumer Technology ที่ว่านี้อย่างมีนัยยะ และมีการกระจายกลุ่มอุตสาหกรรมและภูมิภาคทั่วโลกที่สมดุลซึ่งจะช่วยบริหารความเสี่ยงของความผันผวนของราคาได้ดีขึ้นในช่วงนี้และที่สำคัญหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสุขภาพและพลังงานสะอาดไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายป้องกันการผูกขาดทั้งฝั่งสหรัฐฯและจีน