APCO ประกาศความสำเร็จนวัตกรรมพืชกินได้

APCO ประสบความสำเร็จในการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดภาวะ HIV หมดฤทธิ์แล้ว รวม 9 ราย ในประเทศไทยก่อนนักวิจัยอื่นๆทั่วโลก  

ศ.ดร. พิเชษฐ์  วิริยะจิตรา  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงามด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า คณะนักวิจัยของ  APCO ประสบความสำเร็จในการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดทำให้ผู้ติดเชื้อ HIV ปลอดจากเชื้อได้แล้วในประเทศไทยก่อนนักวิจัยอื่นๆทั่วโลก

การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารสกัดจากพืชกินได้ สามารถทำให้ผู้ที่ติดเชื้อ ทั้งผู้ที่ยังไม่ได้ใช้ยาต้าน และผู้ที่ใช้ยาต้านมาแล้วหลายปี  เกิดภาวะ HIV หมดฤทธิ์แล้ว รวม 9 ราย และสองรายในจำนวนนี้ตรวจไม่พบเชื้อต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีทำให้สรุปได้ ว่า เป็นผู้ที่ปลอดเชื้อ HIV แล้ว

ความสำเร็จครั้งนี้สร้างประวัติศาสตร์การรักษาการติดเชื้อ  HIV/AIDS ได้เป็นครั้งแรกของโลก ด้วยวิธีที่ง่ายและปราศจากผลข้างเคียง คือ การสร้างภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารสกัดจากพืชกินได้ ให้ผู้ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะกำจัดเชื้อ HIV จนหมดและไม่กลับมาเป็นอีก

“ในวันที่  APCO ย้ายเข้าจดทะเบียน ในตลาด  SET เมื่อ14 พ.ค. 61 ผมได้ประกาศปณิธาน ว่า APCO จะเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมสำหรับดูแลผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ที่ทรงประสิทธิภาพเหนือกว่าทุกบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ของโลก วันนี้  APCO ได้บรรลุถึงปณิธานนั้นแล้ว และวางแผนให้นวัตกรรมนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ติดเชื้อ  HIV/AIDS ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆทั่วโลกต่อไป”ศ.ดร. พิเชษฐ์ กล่าว

นับตั้งแต่การค้นพบเชื้อ HIV เมื่อ 39 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมีความพยายามที่จะคิดค้นวัคซีน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และคิดค้นยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่สำเร็จ ทำได้เพียงการใช้ยาต้านHIV ระงับการขยายตัวของเชื้อไม่ให้ลุกลามเท่านั้น  ซึ่งยาต้าน HIV ส่งผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ให้กับผู้ใช้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  และทำให้ผู้ที่ใช้ยาต้านมีอายุสั้นลงเฉลี่ย 9 ปี

อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อไม่สามารถที่จะหยุดใช้ยาต้าน HIV  ได้ เพราะทันทีที่หยุดใช้เชื้อจะกลับมาขยายจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 เท่า ได้อย่างรวดเร็ว และหากควบคุมไม่ได้ ก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง กลายเป็นโรคAIDS ซึ่งทำให้ เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในที่สุด

ในช่วงหลัง นักวิจัยทั่วโลกจึงได้พยายามหาวิธีใหม่ มาแทนการใช้ ยาต้าน HIV โดยให้สามารถควบคุมปริมาณเชื้อให้น้อยที่สุดจนตรวจไม่พบและไม่ทำให้เกิดอาการของโรคได้  ซึ่งเรียกกันว่า HIV functional cure หรือภาวะ HIV หมดฤทธิ์  จนบัดนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ  แต่ APCO ได้ทำสำเร็จแล้ว และบางรายในกลุ่มนี้ก็ปลอดเชื้อแล้ว

NCL ดึง “พงษ์เทพ วิชัยกุล” นั่งรองซีอีโอ

บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ หรือ NCL เดินเกมรุกประกาศแต่งตั้ง “พงษ์เทพ วิชัยกุล” มือขวา “วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์” แห่ง บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น หรือ SAMART นั่งแท่นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยกระดับธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่ง เดินหน้าขยายธุรกิจ Non-Logistic ซึ่งจะเติบโตอย่างมากในอนาคตอันใกล้  พร้อมประกาศขายหุ้น PP 45 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท ให้ “ละออ ตั้งคารวคุณ” และกลุ่มนักลงทุน รวมถึงพันธมิตรจากไต้หวัน  ด้าน “กิตติ พัวถาวรสกุล” ระบุเพิ่มทุนครั้งนี้ ช่วยหนุนฐานธุรกิจในอนาคต เพิ่มสภาพคล่อง สร้างมูลค่าหลักทรัพย์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  พร้อมเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2564   ได้พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 11,250,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 45,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 113,538,062 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่เป็นจำนวน 124,788,062 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 499,152,248 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท

โดยแบ่งเป็นจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน  45,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เพื่อเสนอขายในคราวเดียวกันหรือต่างคราวกันให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)  ในราคาเสนอขายหุ้นละ 3.30 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวม 148,500,000 บาท ซึ่งแบ่งเป็นจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 15,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้ บริษัท ไท่เว่ ไบโอเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ,จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 18,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ นางละออ ตั้งคารวคุณ ,จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 6,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่   นายวิชัย ด่านรัตน  และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 6,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ นางนธีรา บริรักษ์คูเจริญ

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กรให้บรรลุตามเป้าหมาย  คณะกรรมการบริษัทฯ ได้ประกาศแต่งตั้ง นาย “พงษ์เทพ วิชัยกุล” ดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อร่วมขับเคลื่อนให้ธุรกิจขององค์กรเติบโตอย่างมีศักยภาพและสามารถหาธุรกิจที่มีคุณภาพ มาช่วยเสริมธุรกิจของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน    ซึ่งมั่นใจว่าด้วยประสบการณ์ ความสามารถที่มีจะขับเคลื่อนให้ธุรกิจของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องและสามารถหาธุรกิจที่มีคุณภาพ มาช่วยเสริมธุรกิจของ NCL ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตรวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

และเพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการเพิ่มผลประกอบการให้กับบริษัท จากเดิมบริษัทดำเนินธุรกิจหลักในการให้บริการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร และ ผลิตและจำหน่ายน้ำยาฟอกเลือดผู้ป่วยโรคไตฯ คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติในการขยายโครงสร้างธุรกิจ โดยจะขยายธุรกิจด้าน Non-Logistic ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้ โดยบริษัทจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป

บริษัทฯ มีแผนที่จะใช้เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้  เพื่อขยายธุรกิจหลักของบริษัทฯ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นตามแผนการลงทุนของบริษัทฯ และเพื่อเสริมสภาพคล่องและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรและมีแนวโน้มการดำเนินงานที่ดีขึ้น รวมถึงลดภาระการกู้ยืมเงินจากถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจหรือขยายกิจการ    คณะกรรมการบริษัทฯ มีความเห็นว่าการเพิ่มทุนและขาย PP  ในครั้งนี้เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของฐานะการเงินและมีสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มขึ้น ตลอดจนมีเงินทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจและการลงทุนของบริษัทฯ   ซึ่งกลุ่มที่ขาย PP ให้นั้นเป็นนักลงทุนที่มีศักยภาพด้านการเงิน มีความเหมาะสม และจะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมีศักยภาพ  อันจะนำมาเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้นต่อไป  โดยคาดว่าจะใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564  ในวันที่ 13 กันยายน 2564 เวลา 10.00-12.00 น. ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์  โดยถ่ายทอดสด ณ ห้องประชุม สำนักงานใหญ่ บริษัทเอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด(มหาชน) และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือ (Record Date) ในวันที่ 16 สิงหาคม 2564

สยามราชธานี แนะทางรอดธุรกิจยุคโควิด-19

สยามราชธานี หรือ SO เผยปัจจัยสร้างผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และทำกำไรได้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จากแนวคิดการลดต้นทุน (Cost Reduction) การจัดการเพื่อลดการสูญเปล่า (Lean Management) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Digitization) ที่มุ่งเน้นการนำระบบและแพลตฟอร์มต่างๆ มาใช้ลดขั้นตอนการทำงาน พร้อมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนฝ่าวิกฤตด้วยกลยุทธ์การ Outsource

นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO ผู้นำด้านธุรกิจการจ้างเหมาบริการครบวงจร (Outsourcing Services) ในประเทศไทย เปิดเผยว่า การปรับตัว คือสิ่งสำคัญที่ทุกองค์กรต้องทำ เพื่ออยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยสยามราชธานีผ่านการลีนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คล่องตัว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการองค์กร ทั้งสายงานหลักและสายงานรอง โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการจัดหาบุคลากรภายนอก ที่มีคุณภาพและความเหมาะสมกับงาน อาทิ พนักงานสำนักงาน พนักงานขับรถยนต์ส่วนบุคคล และพนักงานฝ่ายเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการทำงานขององค์กรทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่พร้อมรองรับการบริการทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน

ปัจจัยหลักในการเติบโตของสยามราชธานีมาจากการปรับปรุงกระบวนการลดต้นทุนในการบริหารงานอย่างสม่ำเสมอ โดยเปลี่ยนวิธีการบริหารและการจัดการงานต่างๆ เพื่อให้ได้ราคาต้นทุนที่คุ้มค่าที่สุด เช่น หากเป็นสัญญาระยะสั้น การเช่าทรัพย์สินจะมีความเหมาะสมกว่าการซื้อทรัพย์สิน ด้วยเหตุผลในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายและป้องกันความเสี่ยง หากเป็นสัญญาระยะยาว การซื้อทรัพย์สินจะมีต้นทุนที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับการเช่าทรัพย์สิน เป็นต้น

ทั้งนี้ กระบวนการลีนที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องสามารถลดต้นทุนในส่วนของการบริหารจัดการได้ เช่น การลีนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร  กรณีพนักงานลาออก สามารถใช้บุคลากรที่มีอยู่ได้โดยไม่ต้องรับพนักงานใหม่ ทั้งยังรักษามาตรฐานการบริหารจัดการและการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากปัจจัยหลัก คือ

1. การให้ความสำคัญกับแนวคิด Digitization อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากกระบวนการในการเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอนาล็อกให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล และดำเนินการจัดทำอินเด็กซ์เพื่อให้ง่ายต่อการเรียกดูหรือใช้ข้อมูล ช่วยลดระยะเวลา ลดความผิดพลาดในการทำงาน ทั้งนี้นอกจากแปลงข้อมูลเอกสารให้อยู่ในรูปแบบของ Text จัดเก็บลงในฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบแล้ว ยังสามารถขยายผลโดยนำแฟลตฟอร์มต่างๆ ที่ทางสยามราชธานีได้พัฒนาขึ้น มาช่วยวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อให้ฝ่ายต่างๆ สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.การใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มมาช่วยลดขั้นตอน ลดความผิดพลาดในการทำงาน เช่น การนำเอาระบบการจัดการคัดเลือกพนักงาน (iRecruit) เข้ามาช่วยในการสรรหา ทดสอบ และคัดเลือกพนักงาน ทำให้กระบวนการการทำงานสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น การใช้ระบบลงเวลา (Tiktrack) เก็บข้อมูลการลงเวลา การลางาน การทำงานล่วงเวลา หรือเบี้ยเลี้ยงต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน สามารถนำข้อมูลมาประมวลผลเพื่อจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ทั้งลูกค้ายังเห็นข้อมูลได้ทันท่วงที (Real-time) และสามารถอนุมัติขั้นตอนต่างๆ ได้ในรูปแบบออนไลน์ ไม่ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบข้อมูล ลดขั้นตอนการทำงานของลูกค้าได้อีกด้วย

รวมไปถึงการนำเอาระบบจัดการเอกสาร ที่สามารถสร้างความต่อเนื่องในการอนุมัติงานและการเซ็นเอกสารแบบดิจิทัล (Digidocs & Flow) เพื่อความรวดเร็วและคล่องตัวในการทำงาน สามารถติดตามกระบวนการต่างๆ ได้ ทำให้การทำงานมีความต่อเนื่องอยู่เสมอ

“ที่สำคัญ สยามราชธานีได้มีการนำปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมาวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงแก้ไขไปพร้อมกับความร่วมมือและความคาดหวังจากลูกค้า ทำให้ลูกค้าสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้จริง ช่วยลดปริมาณงานและกระบวนการที่ซับซ้อนต่างๆ ได้ ทั้งยังแนะนำเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มหลักต่างๆ ที่ใช้ในองค์กรให้กับลูกค้าอีกด้วย โดยสยามราชธานีจะอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้กับทุกองค์กร ร่วมแรงร่วมใจ ผนึกกำลังฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้อย่างมีประสิทธิภาพไปด้วยกัน” นายณัฐพล กล่าวสรุป

โหลดฟรี! คู่มือ Brighten Your Life แสงสว่างที่คุณสร้างได้เอง

บีซีพีจี ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกด้วยวิถีพลังงานสะอาด ผ่านคู่มือ “Brighten Your Life แสงสว่างที่คุณสร้างได้เอง” คู่มือที่ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์  ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า รายละเอียดครบถ้วนพร้อมภาพประกอบ สามารถโหลดฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้แล้ววันนี้

นายบัณฑิต สะเพียรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บีซีพีจี ได้จัดทำคู่มือ “Brighten Your Life แสงสว่างที่คุณสร้างได้เอง” เพื่อส่งมอบความรู้ทุกแง่มุมเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคนได้เป็นผู้ผลิตและผู้ใช้แสงสว่างที่เป็นมิตรกับโลก

“ด้วยวิถีชีวิตในยุคดิจิทัล ทำให้เรามีความต้องการใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น การที่ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของและเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ที่มีราคาประหยัด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตนเอง นอกจากจะสามารถลดค่าใช้จ่ายของค่าไฟฟ้าแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความยั่งยืนในการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง

ท้ายนี้บีซีพีจีหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือฯ จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน และต้องขอขอบคุณ รศ. ดร.สมชัย รัตนธรรมพันธ์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และ รศ. ดร. พิชญ รัชฎาวงศ์ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการจัดทำคู่มือในครั้งนี้” นายบัณฑิตกล่าว

สำหรับ “Brighten Your Life แสงสว่างที่คุณสร้างได้เอง” จัดทำในรูป  E-book และ PDF ความยาว 100 หน้าพร้อมรูปภาพ ประกอบไปด้วย 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ทำความรู้จักกับพลังงานแสงอาทิตย์ ตอนที่ 2 เปลี่ยนแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า ตอนที่ 3 เป็นเจ้าของพลังงานไฟฟ้าด้วยตัวคุณเอง- รูปแบบการติดตั้งแผงโซลาร์ และข้อควรรู้ก่อนติดตั้งแผงโซลาร์ และตอนที่ 4 การจัดการแผงโซลาร์หลังหมดอายุการใช้งาน

อ่านคู่มือและดาวน์โหลด Brighten Your Life แสงสว่างที่คุณสร้างได้เอง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้แล้ววันนี้ ที่

E-book: https://www.bcpggroup.com/storage/knowledge-hub/bcpg-new-solarcell-ebook/mobile/index.html  

PDF: https://www.bcpggroup.com/storage/knowledge-hub/bcpg-solarcell.pdf

8 ผู้ประกอบการไทย ร่วมงานตลาดภาพยนตร์นานาชาติ

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในนาม Content Thailand เข้าร่วมงานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งในรูปแบบปกติ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 มิ.ย.2564 และรูปแบบออนไลน์ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-14 มิ.ย. 2564 โดยได้นำผู้ประกอบการ 8 บริษัทเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ สมาคมการค้าผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีไทย, บริษัท ไร้ท์ บิยอนด์ จำกัด, บริษัท โมโน สตรีมมิ่ง จำกัด, บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด, บริษัท ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด, บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท เดอะมั้งค์ สตูดิโอ จำกัด และบริษัท ควอนตั้ม พิคเจอร์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมกันนี้ได้นำภาพยนตร์ไทยไปจัดฉาย 7 เรื่อง ซึ่งถือว่า ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีสามารถเปิดการเจรจาธุรกิจ 46 การเจรจาคิดเป็นมูลค่ารวม 59 ล้านบาท

สำหรับปีนี้ประเทศไทยได้เข้าร่วมงานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้เป็นปีที่ 4 และนับเป็นการกลับมาเปิดคูหาประเทศไทยในต่างประเทศเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 เพื่อรองรับบริษัทไทยที่มีสำนักงานสาขา หรือผู้แทนในจีนที่สามารถเข้าร่วมงานพบปะกับผู้ซื้อภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์และนักลงทุนจีนที่ต้องการร่วมลงทุนกับบริษัทไทย แสดงถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยในเวทีนานาชาติและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเป็นการสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ขสมก. เพิ่ม 4 เส้นทาง เชื่อมต่อระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง

นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เปิดเผยว่า เพื่อรองรับการให้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยกระทรวงคมนาคม กำหนดเปิดให้ประชาชนเริ่มทดลองเสมือนจริงโดยไม่เสียค่าโดยสารเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไปจนถึงเดือนตุลาคมนี้

ขสมก. จึงได้มีการปรับปรุงและเพิ่มเติมเส้นทางเดินรถโดยสาร จำนวน 4 เส้นทาง  ประกอบด้วยสาย 49 เส้นทาง สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) – หัวลำโพง (เดิม) ปรับปรุงเป็น – เส้นทาง วงกลมสถานีกลางบางซื่อ – หัวลำโพง – ช่วงสถานีกลางบางซื่อ – ยมราช – หัวลำโพง ให้บริการทั้งรถโดยสารปรับอากาศ และรถธรรมดา  สาย 67 เส้นทาง วัดเสมียนนารี – เซ็นทรัลพระราม 3 (เดิม) เพิ่มเติมเส้นทาง – ช่วงสถานีกลางบางซื่อ – เซ็นทรัลพระราม 3 ให้บริการเฉพาะรถโดยสารปรับอากาศ    สาย 79   เส้นทาง อู่บางแค (วัดม่วง) – ราชประสงค์ (เดิม) เพิ่มเติมเส้นทาง –   ช่วงอู่บรมราชชนนี – สถานีบางบำหรุ – สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (ปิ่นเกล้า) ให้บริการเฉพาะรถโดยสารปรับอากาศ และ สาย 522  เส้นทาง รังสิต – งามวงศ์วาน – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (เดิม) เพิ่มเติมเส้นทาง         – ช่วงสถานีรถไฟฟ้ารังสิต – สถานีรถไฟฟ้าแยก คปอ. ให้บริการเฉพาะรถโดยสารปรับอากาศ

ขสมก. จะเริ่มให้บริการในวันที่ 2 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่ เวลา 05.00 น.- 19.30 น. และในอนาคตจะเพิ่มเติมเส้นทางเดินรถโดยสาร อีก 4 เส้นทาง เพื่อเชื่อมต่อระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง

 

ปตท.สผ. จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 2 บาท

ปตท.สผ. เผยผลประกอบการครึ่งแรกปี 2564 มีกำไรสุทธิ 598 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) จากปัจจัยหนุนด้านปริมาณการขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้น และราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติเงินปันผลระหว่างกาล 2 บาทต่อหุ้น ส่วนแผนงานสำคัญในปีนี้ ยังคงเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานตามแผนการเปลี่ยนผ่านผู้ดำเนินการแหล่งเอราวัณ หากได้รับความยินยอมให้เข้าพื้นที่

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2564 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 3,546 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 109,658 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับรายได้รวม 2,779 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 87,549 ล้านบาท) ในช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยมีปัจจัยหลักจากปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่  413,168 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จาก 345,207 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากการซื้อสัดส่วนการลงทุนในแปลง 61 ประเทศโอมาน ส่งผลให้สามารถเพิ่มปริมาณการขายได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 1 รวมทั้ง การเริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการมาเลเซีย – แปลงเอช ประกอบกับผู้ซื้อก๊าซฯ ได้เรียกรับก๊าซธรรมชาติจากโครงการในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นด้วย ในด้านราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็น 41.35 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ จาก 40.15 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด (รวมภาษีเงินได้) ในครึ่งแรกของปี 2564 อยู่ที่ 2,953 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 91,136 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับ 2,382 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 75,000 ล้านบาท) ในช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยปัจจัยหลักมาจากภาษีเงินได้ที่สูงขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขาย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์โครงการสำรวจในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ลดลงมาอยู่ที่ 27.57 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เทียบกับ 30.62 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ของครึ่งแรกปี 2563 โดยเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนและการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ Expand ที่ขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์และมีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ

จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 598 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 18,673 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 409 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 12,935 ล้านบาท) โดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา ในระดับร้อยละ 75 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 นั้น ปตท.สผ. มีรายได้รวม 1,768 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 55,624 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ 222 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 7,140 ล้านบาท)  เพิ่มขึ้น ร้อยละ 66 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

อนุมัติจ่ายเงินปันผล 2 บาทต่อหุ้น   

จากผลประกอบการดังกล่าว มติคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 ที่ 2 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 13 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 สิงหาคม 2564

ปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณการขายอีกครั้ง

นายพงศธร กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ Execute and Expand ได้อย่างชัดเจน โดยการเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการโอมาน แปลง 61 ซึ่งเสร็จสิ้นเร็วกว่าที่คาด และยังสามารถผลิตและส่งก๊าซธรรมชาติได้เต็มกำลังการผลิตที่ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมถึงการเร่งการผลิตก๊าซฯ ในโครงการมาเลเซีย – แปลงเอช ทำให้ปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นอีกด้วย เราจึงปรับเพิ่มเป้าปริมาณขายสำหรับปี 2564 อีกครั้ง เป็น 412,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จาก 405,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ที่เคยได้ประกาศไปในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

ในด้านการสำรวจ จากการที่ ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมสำรวจ ค้นพบก๊าซธรรมชาติและน้ำมันบริเวณนอกชายฝั่งในประเทศมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง ทั้งหลุมโดกง-1 หลุมซีรุง-1 หลุมกุลินตัง-1 รวมทั้งการค้นพบแหล่งลัง เลอบาห์ ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติแหล่งใหญ่ที่สุดเท่าที่บริษัทเคยสำรวจพบ โดย ปตท.สผ. มีแผนจะเร่งการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเหล่านี้ เพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มปริมาณสำรองให้กับบริษัทต่อไปในระยะยาว

เตรียมแผนการรองรับ แม้ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่แหล่งเอราวัณได้

นายพงศธร กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งแผนงานหลักที่ ปตท.สผ. ให้ความสำคัญ คือการเปลี่ยนผ่านสิทธิการเข้าเป็นผู้ดำเนินการของแปลง G1/61 (แหล่งเอราวัณ) ซึ่งขณะนี้ บริษัทยังไม่ได้รับการยินยอมให้เข้าพื้นที่ จึงส่งผลให้การดำเนินงานต่าง ๆ ล่าช้าจากกำหนดไปค่อนข้างมาก และถึงแม้จะได้รับการยินยอมให้เข้าพื้นที่ได้ในช่วงเวลานี้ การผลิตก๊าซฯ ในปี 2565 ให้ได้ตามเงื่อนไขสัญญาแบ่งปันผลผลิตจะเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมแผนงานและกระบวนการต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมหากสามารถเข้าพื้นที่แหล่งเอราวัณได้ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านผู้ดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่ ปตท.สผ. สามารถทำได้ รวมทั้ง ได้เตรียมแผนรองรับเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศ โดยจะจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอื่นๆ ในอ่าวไทยมาทดแทนในบางส่วน

5 มาตรการเร่งด่วน “พร้อมสู้ อยู่ได้ ไปรอด” หนุนผู้ประกอบการสู้โควิด-19

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในวงกว้าง พบว่าหน่วยงานด้านเศรษฐกิจรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ไทยโต เพียง 1% จากที่ในไตรมาสแรกของปี 2564 ที่ตัวเลข 2.6% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากติดลบ 6.1% ในปี 2563 ขณะเดียวกันสถานการณ์ภาพรวมของเอสเอ็มอีที่มีจำนวน 3.1 ล้านล้านราย ในปี 2564 น่าจะยังคงน่ากังวล เพราะเมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยนั้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว บริการ และกลุ่มค้าส่งค้าปลีก โดยจากข้อมูลสถิติพบว่า GDP SMEs ในปี 2563 ซึ่งปรับตัวลบ 9.1% และได้ประเมินว่าในปี 2564 คาดว่า จะติดลบที่ 4.8%

อย่างไรก็ตาม ดีพร้อมได้ทำการสำรวจปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการณ์รายย่อย เพื่อทราบถึงปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,574 สถานประกอบการ จากผลสำรวจพบ 8 ปัญหาที่ผู้ประกอบการพบเจอในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด ตามลำดับดังนี้ 1. ปัญหาด้านการตลาด 66.82% 2. ปัญหาด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 21.92% 3. ปัญหาด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม 13.74% 4. ปัญหาด้านวัตถุดิบและปัจจัยเอื้อในการประกอบธุรกิจ 11.40% 5. ปัญหาด้านการเพิ่มผลิตภาพการผลิต 11.28% 6.ปัญหาด้านการจัดการ เช่นการขนส่ง บุคลากร 9.50% 7. ปัญหาด้านต้นทุน 8.16% และ 8. ปัญหาด้านการพัฒนาอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ 8.16%

จากผลสำรวจปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการณ์ดังกล่าว ดีพร้อมจึงได้กำหนดแนวทางนโยบายการดำเนินงานในระยะต่อไปในปีงบประมาณ 2564 ภายใต้แนวนโยบายการดำเนินงาน โควิด 2.0 “พร้อมสู้-อยู่ได้-ไปรอด” ในระยะเร่งด่วนช่วง 60 วัน ดังนี้

1. การจัดการโควิดภายในองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสถานประกอบการปลอดเชื้อ โดยการแนะนำให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อบริหารจัดการสถานประกอบการภายใต้สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สำหรับการช่วยเหลือธุรกิจอุตสาหกรรมให้ปลอดภัย โดยเน้นในการสร้างองค์ความรู้ในการบริหารจัดการองค์กร เพื่อป้องกันและรับมือกับการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นแบบองค์รวม ใน 9 หัวข้อวิชา ตั้งแต่ การสร้างความรู้ความเข้าใจด้านอาชีวอนามัยและสุขอนามัย
การใช้เครื่องมือดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อลดความแออัด การประยุกต์ใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมในการบริหารจัดการให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ไปจนถึงการแชร์ประสบการณ์จากสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019

2. การตลาดภายใต้โควิด โดยมุ่งเน้นการดำเนินการตลาดและการขยายตลาดในรูปแบบต่าง ๆ ประกอบไปด้วย

1) การส่งเสริมการทำการตลาดออนไลน์ภายใต้โครงการ DIProm Marketplace โดยการสร้างช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภค สามารถเข้ามาซื้อ-ขาย สินค้าและบริการดี ๆ มีคุณภาพ และได้รับการคัดสรรจากดีพร้อม และการเสริมแกร่งผู้ประกอบการด้วย Social Commerce

2) การส่งเสริมด้านกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ผ่านการฝึกอบรม eLearning 26 หลักสูตร พร้อมจะมุ่งเน้นการใช้ดิจิทัลเข้ามาเป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจ และการถ่ายทอดประสบการณ์ของที่ปรึกษาและผู้ประกอบการที่ช่ำชองด้านการตลาดแบบออน์ไลน์ รวมทั้งเคล็ดลับหรือวิธีการเจาะลึกตลาดในอาเซียน จะช่วยเสริมความรู้ให้ผู้ประกอบการ ให้ลองเปิดใจที่จะก้าวออกจากกรอบเดิม ไปสู่ตลาดใหม่อันเป็นโอกาสดีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้

3) แนวทางการช่วยเหลือด้านการขนส่ง ผ่านโครงการ ดีพร้อมแพค: บรรจุภัณฑ์สร้างสรรค์วิถีใหม่ (The Next Diprom Packaging: DipromPack) ด้วยการออกแบบ และพัฒนาบรรจุภัณฑ์สรางสรรค์ที่ตอบสนองต่อการดำเนินชีวิตแลประกอบธุรกิจใหม่เพื่อลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าผลิตภัณธ์ และเพิ่มยอดขายให้แก่ผู้ประกอบการ

4) แนวทางการตลาดร่วมเป็นคู่ค้ากับภาครัฐ โดยเตรียมความพร้อมเอสเอ็มอี
และวิสาหกิจชุมชนไทยเข้าสู่การรับรองตราสินค้า Made in Thailand หรือ MiT โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผ่านการเสริมสร้างการรับรู้และสร้างโอกาสการเป็นคู่ค้ากับภาครัฐผ่าน 3 ช่องทาง ประกอบด้วย การรับรอง Made in Thailand (MiT) โดย ส.อ.ท. การขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอี Thai SME-GP ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. และการขึ้นบัญชีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Thai GPP ของกรมควบคุมมลพิษ

3. เปลี่ยนค่าใช้จ่ายเป็นเงินทุน โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับเปลี่ยนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจให้กลายเป็นเงินทุนในการประกอบกิจการให้แก่ผู้ประกอบการ โดยการใช้ระบบคลังสินค้าออนไลน์ เพื่อเปลี่ยนเงินทุนด้วยเทคโนโลยี สามารถลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบการผ่านระบบ Google Sheet และ Line OA ซึ่งเป็นมาตรการช่วย SMEs แบบดีพร้อม ด้วยการให้คำปรึกษาและพัฒนาระบบการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อลดต้นทุนต้นทุนด้านโลจิสติกส์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง ต้นทุนการขนส่งสินค้า ต้นทุนการบริหารจัดการ เพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน 3 มิติ ได้แก่ ต้นทุน เวลา และความน่าเชื่อถือ ผ่าน โครงการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะให้แก่ผู้ประกอบการ

4. สร้างเครือข่ายพันธมิตร โดยดีพร้อมเป็นผู้จัดสรรและเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรให้แก่ผู้ประกอบการผ่านโครงการสำคัญ ๆ ดังนี้ โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรและผู้แปรรูปโครงการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเพื่อปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่โครงการเชื่อมโยงเครื่องจักรเพื่อแปรรูป (i-Aid) โครงการช่างชุมชน
โดยการมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะวิชาชีพให้แก่ช่างในชุมชน

5. ปรับโมเดลธุรกิจ มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมในการดำเนินการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ และการสร้างและพัฒนาผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม (SP) และยังได้ช่วยเสริมทักษะทางการเงิน (Financial Literacy) ให้แก่ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจและให้ตระหนักถึงความสำคัญ เพื่อการตัดสินใจทางการเงินที่ดี นอกจากนี้ดีพร้อมยังได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการในการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง (Business Continuity Plan) ในการดำเนินธุรกิจใหแก่ผู้ประกอบ โดยเน้นการรับมือและสร้างแนวทางการดำเนินธุรกิจกับสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจของสถานประกอบทั้งนี้ จากการดำเนินงานโครงการ/กิจกรรม มาตรการเร่งด่วนต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมผู้ประกอบการ
ให้สามารถดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดในระลอกใหม่นี้ ดีพร้อม คาดว่าในปีงบประมาณ 2564จะสามารถช่วยส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการในภาคส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้จำนวนรวม 3,356 กิจการ 11,955 คน 982 ผลิตภัณฑ์ และคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้กว่า 8,000 ล้านบาท

“อย่างไรก็ตามจากการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ภายใต้ นโยบาย “สติ (STI)” ที่มุ่งเน้นการพัฒนา3 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย 1) SKILL : ทักษะเร่งด่วน โดยเร่งเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัว 2) TOOL : เครื่องมือเร่งด่วน เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน และ 3) INDUSTRY : อุตสาหกรรมเร่งด่วน สร้างโอกาสจากต้นทุนที่ประเทศไทยมีจุดแข็ง เพื่อเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ครอบคลุมทุกมิติ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือ ดีพร้อม ได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี เพื่อปรับแผนการดำเนินงานโครงการให้สอดรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากวิกฤตโควิด – 19 สอดคล้องกับมาตรการด้านสาธารณสุข และสอดรับกับการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไปที่กระทบทั้งด้านรายได้ ด้านการจ้างงาน ด้านสภาพคล่องทางการเงิน และเงินทุนหมุนเวียน” นายณัฐพล กล่าวสรุป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6865-66 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.dip.go.th หรือ https://www.facebook.com/dipromindustry

โฮมโปร รายได้ไตรมาส 2 รวมพุ่ง! 16,954.30 ดันกำไรโต 51.97%

บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 16,954.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,572.42 ล้านบาท หรือ 17.89% โดยมีกำไรสุทธิ 1,432.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489.91 ล้านบาท หรือ 51.97% โดยมีปัจจัยจากจำนวนวันในการเปิดให้บริการที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ได้ถูกปิดสาขาชั่วคราว ตามคำสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. 2563 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ โดยโฮมโปร ยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น กิจกรรม HomePro Super Expo และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ทั้งบนช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์จึงทำให้สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่ม

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับไตรมา 2 ปี 2564 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส ปี 2564 เท่ากับ 1,432.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489.91 ล้านบาท หรือ 51.97% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,954.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,572.42 ล้านบาท หรือ 17.89% ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งเป็นรายได้ที่ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 16,154.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,330.14 ล้านบาท หรือ 16.86% เป็นผลจาก จำนวนวันในการเปิดให้บริการมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งปิดสาขาชั่วคราวตามคำสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น กิจกรรม HomePro Super Expo เป็นต้น สำหรับยอดขาย โฮมโปรมาเลเซีย” ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากคำสั่ง Lockdown ของรัฐบาลมาเลเซีย ในช่วงเดือน พฤษภาคม และเดือนมิถุนายน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่า 302.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.70 ล้านบาท หรือ 42.17% เป็นผลจากจำนวนวันในการเปิดให้บริการมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงมีการปรับลดค่าเช่า เพื่อช่วยเหลือผู้เช่า ที่ยังได้รับผลกระทบจากระบาดของ COVID-19 และบริษัทฯ ยังมีรายได้อื่นอีก 497.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152.58 ล้านบาท หรือ 44.23% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าในสาขา

ทั้งนี้ บริษัทฯ มี กำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 4,065.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 778.03 ล้านบาท หรือ 23.67% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 23.78% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.17% เป็นผลมาจากการเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากาไรขั้นต้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา รวมถึงมีการเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนจัดซื้อสินค้าเช่นกัน

สำหรับผลกำไรสุทธิในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีผลกำไร 2,795.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 585.86 ล้านบาท หรือ 26.52% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 32,786.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,080.08 ล้านบาท หรือ 10.37% และ ณ ปัจจุบัน โฮมโปร มีสาขารวมทั้งสิ้น 86 สาขา โฮมโปรเอส 8 สาขา เมกาโฮม 14 สาขา และโฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 7 สาขา” นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปอีกว่า

แม้สถานการณ์ยอดขายในไตรมาส 2 โดยรวมจะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง อย่างไรก็ตามยอดขายสาขาเดิมของทั้งธุรกิจโฮมโปรในประเทศ และธุรกิจเมกาโฮม ยังสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนหน้า เนื่องจากฐานรายได้ที่ต่ำในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมาจากการปิดบางสาขาชั่วคราว รวมถึงในช่วงต้นเดือน เมษายน บริษัทฯ มีการจัดงาน HomePro Super Expo ผ่านช่องทาง Ecommerce และทุกสาขาทั่วประเทศ แทนการจัดงานในรูปแบบเดิม

นายคุณวุฒิ กล่าวอีกว่า ทางบริษัทฯ ได้ปรับตัวเปลี่ยนแผนการดำเนินงานต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่จะยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะ จึงเพิ่มความสำคัญให้กับสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน ที่คนยังต้องใช้ชีวิตในบ้าน หรือลดความเสี่ยงในการไปสถานที่ที่ผู้คนแออัด โดยมีการเพิ่มสินค้าในกลุ่มป้องกันและฆ่าเชื้อโรค รวมไปถึงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Work From Home และ Cooking at Home ที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาช่องทางขายอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้การใช้งานสะดวกและง่ายขึ้นในส่วนของช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น แอปพลิเคชั่น HomePro Application และ Home Service Application

นอกจากนี้ โฮมโปร ได้พัฒนาการให้บริการ Chat Shop4U ที่เสมือนมีผู้ช่วยในการเลือกซื้อสินค้าและบริการในช่วงที่ลูกค้าไม่สามารถออกมาซื้อที่สาขาได้ โดยได้พัฒนาในส่วนของบริการขนส่งสินค้าภายในวันที่มีการสั่งซื้อ (Sameday Delivery) และในส่วนของการรับสินค้าที่สาขา (Click & Collect) นอกจากนี้ เนื่องจากการที่คนอยู่บ้านมากขึ้นทางบริษัทฯ ได้สร้างความน่าสนใจและสรรหาโปรโมชั่นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทาง social media ซึ่งการพัฒนา Omni Channel ในช่องทางออนไลน์เหล่านี้ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่ยังมีความกังวลเรื่องการระบาดของ COVID19 และเป็นตัวช่วยเสริมรายได้ไตรมาส 2 ให้ยังสามารถเติบโตได้เช่นกัน นายคุณวุฒิ กล่าวสรุปในตอนท้าย

LEO ผนึก สถาบันการเงินชั้นนำ ช่วยลูกค้าเสริมสภาพคล่องการเงิน

บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) จับมือแบงก์กรุงเทพ-กรุงไทย-กสิกรไทย-เอ็กซิมแบงก์ จัดสัมมนาใหญ่ในรูปแบบออนไลน์ (Online Seminar) หัวข้อ “LEO รวมพลัง รวมใจฟื้นฟูผู้ประกอบการไทย ฝ่าฟันโควิด” สนับสนุนโครงการของรัฐบาลที่ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดไวรัสโควิด-19 เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพและเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้ผู้ประกอบการ แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย-รักษาการจ้างงาน เป็นความหวังลุกขึ้นสู้ ประคับประคองสถานการณ์ ผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ในฐานะบริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายแรก ที่พร้อมช่วยเหลือลูกค้าเสริมสภาพคล่องทางการเงินอย่างเต็มที่ เปิดเผยว่า ในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย และการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรงและยาวนาน ส่งผลกระทบต่อลูกค้าของ LEO ในหลายๆ ส่วน ทั้งในส่วนของสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจของลูกค้าเอง หรือการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาค่าขนส่ง ทั้งการขนส่งทางเรือและทางอากาศ  ซึ่งในบางเส้นทาง ราคาค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 10 เท่าเมื่อเทียบกับค่าระวางก่อนที่เชื้อ COVID-19 ระบาด   เมื่อลูกค้าของบริษัทฯ ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า จึงได้เร่งระดมกำลังช่วยหาทางออกให้กับผู้ประกอบการ ได้เสริมสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและรักษาการจ้างงาน และทำให้กิจการสามารถเติบโตต่อไปได้

การจัดสัมมนา LEO รวมพลัง รวมใจฟื้นฟูผู้ประกอบการไทย ฝ่าฟันโควิด ในครั้งนี้ LEO ได้เชิญผู้บริหารของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มาร่วมประสานพลัง  ออกมาตรการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื้อฟื้นฟู) เพื่อเพิ่มศักยภาพและเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้ผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ  รวมถึงแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและรักษาการจ้างงาน เพื่อให้กิจการสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้  LEO  ได้ทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานระหว่างลูกค้าของ LEO ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ประกอบการขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่มาเข้าร่วมสัมมนา พร้อมประสานงานรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของลูกค้า ที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟูให้กับแต่ละธนาคาร เพื่อรับทราบมาตรการ ข้อมูลและรายละเอียด ให้ได้รับการพิจารณาวงเงินได้อย่างรวดเร็ว และเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของแต่ละธนาคาร  รวมถึงบริษัทฯ มีการพิจารณาเพิ่มวงเงิน Credit term และ Credit line ให้กับลูกค้าของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นผ่านการช่วยเหลือของธนาคารที่เป็นพันธมิตร

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า การจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมด้วยช่วยกันฝ่าวิกฤตในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน และเป็นอีกแนวทางที่ LEO จะผลักดันและช่วยเหลือให้ลูกค้าและผู้ประกอบการไทย รอดจากวิกฤตการณ์ที่รุนแรงที่สุดในครั้งนี้ไปได้ อย่างน้อยก็เป็นความหวังให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ยังพอมีกำลังที่ลุกขึ้นสู้ ประคับประคองเอาตัวรอดและผ่านสถานการณ์ความยากลำบากไปด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถขยายโอกาสทางการขายให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย