คันทรี่กรุ๊ป ชี้การเพิ่มจังหวัด Lock Down อาจกดดันตลาดหุ้นบ้าง

นายวทัญ จิตต์สำนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า เรื่องของ COVID-19 ในประเทศยังเป็นปัจจัยหลักต่อการลงทุนในสัปดาห์นี้ข้อมูลล่าสุดจาก ศบค. ในวันอาทิตย์ยังค่อนข้างเป็นไปในเชิงลบจากผู้ติดเชื้อต่อวันที่อยู่ระดับสูงและการกระจายไปยังต่างจังหวัดชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบันการรายงานผู้ติดเชื้อทั้งประเทศที่ 100 คนพบว่าสัดส่วนต่างจังหวัดที่ไม่รวมกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ที่61 คน (61%) เร่งตัวขึ้นทำ All time high สอดคล้องกับการประชุมของ ศบค. ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เพิ่มอีก 16 จังหวัดเข้าพื้นที่สีแดงรวมของเดิม 13 จังหวัดรวมกันเป็น 29 จังหวัดหรือคิดเป็น 37.6% ของจังหวัดทั้งหมดในประเทศไทย สำหรับการเพิ่มจังหวัดเข้าไปสู่พื้นที่สีแดงมองเป็นลบกับภาพรวมการลงทุน แต่ไม่ได้ถึงกับเป็นลบมากนักเนื่องจากเชื่อว่าตลาดหุ้นที่ปรับฐานลงมาในสัปดาห์ก่อนราว 2% น่าจะตอบรับไประดับนึง โดยสิ่งที่แนะนักลงทุนติดตามคือการระบาดไปยังจังหวัดอื่นๆสัญญาณบวกคือจังหวัดอื่นๆนอกเหนือจาก 29 จังหวัดไม่ควรเร่งตัวขึ้นแต่หากมีการเร่งตัวขึ้นของจังหวัดอื่นๆนอกเหนือ 29 จังหวัดก็จะยิ่งเสี่ยงที่ภาครัฐจะยิ่งเพิ่มจังหวัดอื่นๆเข้าไปในการยกระดับ ซึ่งจะกดดันทั้งเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน

ประเมินกรอบ SET สัปดาห์นี้ที่ 1500 – 1530 โดยมีปัจจัยติดตาม (1) การประชุม กนง. ในวันที่ 4 ส.ค. เราและตลาดคาดที่ประชุมจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ทั้งนี้เชื่อว่าปัจจัยข้างต้นไม่มีผลต่อการลงทุนมากนักแต่แนะติดตามถ้อยแถลง (2) ผลประกอบการ 2Q21 Bloomberg ประเมินจะมี ADVANC BH CBG GPSC INTUCH PTTGC RS รายงานในสัปดาห์นี้ (3) PMI สหรัฐ ในวันที่ 2 ส.ค. Bloomberg ประเมินที่ 60.8 , การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันที่ 6 ส.ค. Bloomberg คาดที่ 8.95 แสนตำแหน่ง (4) สถานการณ์ COVID-19 ต่างประเทศหลังเริ่มเห็นการเร่งตัวขึ้นในบางประเทศ อาทิ US , UK

กลยุทธ์การลงทุน ระยะสั้นแนะนำ Defensive เนื่องจากผลกระทบจากการระบาด COVID-19 จำกัด อาทิ สื่อสารและโรงไฟฟ้า (ADVANC BCPG BGRIM GPSC GULF) รวมถึงมีปัจจัยบวกอย่างกลุ่มส่งออก (ASIAN HANA KCE NER TU) ตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าและผลกระทบจาก COVID-19 ในประเทศจำกัด โดยที่ยังเน้นการถือครองเงินสดจนกว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณบวก

ADVANC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 227 บาท) กำไรสุทธิ 2Q21 เราคาด 6.2 พันล้านบาท (-11%YoY -6%QoQ) แม้จะลดลงทั้ง QoQ YoY แต่เชื่อว่าจะดีกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆที่อาจโดนผลกระทบจากการระบาดค่อนข้างสูง ขณะที่ราคาหุ้น Laggard YTD ปรับตัวขึ้นมาเพียง 2% พร้อมกับ Upside 26%

แนะเตรียมพร้อมออมเงินภาคบังคับรับ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึก บลจ.พรินซิเพิล จัดสัมมนาออนไลน์ The Retirement Plan Symposium ครั้งที่ 6 เจาะลึก กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. 2564 เร่งกระตุ้นการออมเงิน ด้านวิทยากรแนะลูกจ้างเตรียมพร้อมออมเงินภาคบังคับ หลังกระทรวงการคลังเดินหน้าส่งร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติเข้าสู่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เริ่มส่งเงินเข้ากองทุนฯ หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว 1 ปี พร้อมฉายภาพโมเดลกองทุนบำเหน็จบำนาญในจีน หลังรัฐบาลเร่งปรับโครงสร้างให้ประชาชนลดการพึ่งพาเงินสวัสดิการจากภาครัฐและกระตุ้นการออมเงินภาคบังคับและภาคสมัครใจ หนุนคนจีนมีเงินใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณแตะ 54% ของเงินเดือนในเดือนสุดท้าย  

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด จัดสัมมนาออนไลน์ The Retirement Plan Symposium ครั้งที่ 6 ‘เจาะลึก กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. 2564’ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเข้าใจและส่งเสริมให้เห็นถึงความสำคัญของการออมเงินเพื่อไว้ใช้ในยามเกษียณ และเตรียมพร้อมก่อนบังคับใช้พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) ซึ่งเป็นกฎหมายการออมเงินภาคบังคับรองรับการเกษียณอายุในอนาคตอันใกล้

สุปาณี จันทรมาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการออม     การลงทุนและพัฒนาตลาดทุน สำนักนโยบายการออม และการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

นางสาวสุปาณี จันทรมาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการออม การลงทุนและพัฒนาตลาดทุน สำนักนโยบายการออม และการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศไทยประกอบด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่ Pillar 0 ระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐบาล โดยรัฐบาลเป็นผู้ดูแลเงินช่วยเหลือแบบให้ฝ่ายเดียวแก่ผู้เกษียณอายุ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นต้น Pillar 1 ระบบการออมภาคบังคับขั้นพื้นฐานผ่านกองทุนประกันสังคมมาตรา 33 และมาตรา 39 Pillar 2 ระบบการออมภาคบังคับเพื่อความเพียงพอที่นายจ้างร่วมสมทบเงิน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และ ร่าง พ.ร.บ. กบช. Pillar 3 ระบบการออมภาคสมัครใจเพิ่มเติม ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF), และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นต้น

ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปรียบเสมือนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในภาคบังคับ สำหรับลูกจ้างและนายจ้าง (Pillar 2) โดยปัจจุบันร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จากนั้นจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร หากผ่านการพิจารณาจึงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อมีผลบังคับใช้ต่อไป วัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการออมเงินเกษียณที่ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มาแล้วกว่า 30 ปี แต่ยังมีสมาชิกเพียง 3 ล้านคน

ทั้งนี้ หลังจาก พ.ร.บ. กบช. มีบังคับใช้แล้ว 1 ปี จึงเริ่มให้ลูกจ้างและนายจ้างส่งเงินเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 3 เฟส ได้แก่ 1) ช่วง 3 ปีแรก (นับตั้งแต่ กบช. เปิดรับสมาชิก) จะบังคับใช้กับกิจการเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป กิจการที่ได้สัมปทานจากรัฐ กิจการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานรัฐที่ไม่ได้อยู่ในบังคับของ กบข. กิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนและกิจการที่ต้องการเข้าในระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ 2) ปีที่ 4 เป็นต้นไป (หลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ. กบช.) จะบังคับใช้กับกิจการเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป 3) และปีที่ 6 เป็นต้นไป (หลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ. กบช.) จะบังคับใช้กับกิจการเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป โดยผู้ที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาตินั้น ต้องเป็นลูกจ้างอายุ 15 – 60 ปี

ขณะที่อัตราการส่งเงินสะสม (ลูกจ้าง) และเงินสมทบ (นายจ้าง) เข้า กบช. กำหนดจากเพดานค่าจ้างไม่เกิน 60,000 บาท แบ่งเป็น ปีที่ 1 – 3 (นับตั้งแต่วันที่ กบช.เปิดรับสมาชิก) ส่งเงินฝ่ายละไม่ต่ำกว่า 3% ของค่าจ้าง ปีที่ 4 – 6 ส่งเงินฝ่ายละไม่ต่ำกว่า 5% ปีที่ 7 – 9 ส่งเงินฝ่ายละไม่ต่ำกว่า 7% ปีที่ 10 เป็นต้นไป ส่งเงินฝ่ายละไม่ต่ำกว่า 10% (ตามกฎกระทรวง) โดยลูกจ้างที่มีอายุครบ 60 ปี สามารถเลือกรับเป็นเงินบำเหน็จ (เงินก้อน) หรือเลือกรับเงินบำนาญ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) เป็นระยะเวลา 20 ปี โดยเมื่อเลือกรับบำนาญแล้วสามารถเปลี่ยนไปรับบำเหน็จในภายหลังได้ และหากสมาชิกเสียชีวิตก่อนเกษียณอายุหรือในช่วง 20 ปี
ที่ยังได้รับเงินบำนาญ เงินในกองทุนดังกล่าวจะถูกส่งต่อให้กับผู้ได้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุในเอกสารสมาชิกกองทุนฯ

ทั้งนี้ ลูกจ้างและนายจ้างสามารถส่งเงินเพิ่มได้สูงสุดฝ่ายละไม่เกิน 30% ของค่าจ้าง (ไม่กำหนดเพดานค่าจ้าง) อย่างไรก็ตามสำหรับกิจการที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้วและส่งเงินในอัตราไม่ต่ำกว่าที่ กบช. กำหนด จะไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติก็ได้ ส่วนผู้ที่ได้รับค่าจ่างต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน กำหนดให้นายจ้างจะส่งเงินสมทบฝ่ายเดียว  และกรณีที่ย้ายงานไปยังนายจ้างรายใหม่ที่มีเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถโอนย้ายเงินจาก กบช. ไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้

สำหรับการบริหารจัดการ กบช. จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดนโยบายการลงทุน ส่วนการบริหารจัดการเงินในกองทุนจะคัดเลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนมืออาชีพที่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต.อย่างน้อย 3 ราย โดยจะสรรหาผู้มาทำหน้าที่ผู้จัดการกองทุน ด้วยวิธี E-Bidding หรือประมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรอบระยะเวลาการบริหารต่อรายประมาณ 3 ปี และลูกจ้างที่เป็นสมาชิก กบช. สามารถเลือกแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง โดยมีแนวโน้มจะมีแผนการลงทุนแบบ D.I.Y. ให้สมาชิกสามารถผสมผสานสินทรัพย์ในการลงทุนได้เอง โดยกำหนดให้แผน Life Path เป็น default policy หากสมาชิกไม่เลือกแผนการลงทุนเอง และหากสมาชิกมีอายุเกิน 60 ปี จะฝากเงินไว้ใน กบช.เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการต่อเนื่องก็ได้ นอกจากนี้ลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างชาติที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม ก็สามารถเข้าเป็นสมาชิก กบช. ได้เช่นกัน ยกเว้นผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน จะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกได้

ณัฐญา นิยมานุสร ผู้ช่วยเลขาธิการสายธุรกิจจัดการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

นางณัฐญา นิยมานุสร ผู้ช่วยเลขาธิการสายธุรกิจจัดการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังมีการออมเงินเพื่อเกษียณที่ไม่เพียงพอ แม้ว่าได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว (มีประชากรอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 20%) โดยส่วนใหญ่ขาดการเตรียมความพร้อมและขาดความรู้ด้านการเงิน ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานในภาคเอกชนประมาณ 15 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเพียง 18.8% หรือ 2.9 ล้านคน ที่มีการออมเงินผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund หรือ PVD) นอกจากนี้ ในจำนวนผู้เกษียณอายุในแต่ละปี มีเพียง 20.8% ที่สะสมเงินได้ถึง 3 ล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอสำหรับใช้จ่ายได้เดือนละ 12,500 บาท เป็นระยะเวลา 20 ปี และ 90% ของผู้เกษียณเลือกที่จะนำเงินออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แทนที่จะลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนเริ่มออมเงินให้เร็วที่สุด
และมากที่สุดเท่าที่จะจัดสรรได้ รวมถึงลงทุนให้เป็นเพื่อให้มีเงินออมที่เพียงพอไว้ใช้ในช่วงเกษียณอายุ

ทั้งนี้ สำหรับกิจการที่มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว สามารถปรับเงื่อนไขในข้อบังคับกองทุนให้สอดคล้องกับ กบช. ได้ เช่น อัตราเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้ลูกจ้างมีทางเลือกในการเก็บเงิน โดยไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นสมาชิก กบช. หรืออาจเลือกเป็นสมาชิกทั้งสองแห่งก็ได้ ซึ่งปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้สอดรับกับ กบช. และจะเปิดรับฟังความคิดเห็น (public hearing) ร่างแก้ไข พ.ร.บ. ต่อไป

Mr. Thomas Cheong – Executive Vice President of Principal Financial Group and President of Principal Asia

ด้าน Mr. Thomas Cheong – Executive Vice President of Principal Financial Group and President of Principal Asia กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ The Retirement Plan Symposium ครั้งที่ 6 ‘เจาะลึก กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. 2564’ ในหัวข้อ ‘Pension Fund in China’ (กองทุนบำเหน็จบำนาญในประเทศจีน) ว่า ปัจจุบันระบบการออมเงินเพื่อวัยเกษียณตามที่เวิลด์แบงก์กำหนด ถูกเรียกว่า Multi Pillar Pension System หรือระบบที่เปรียบเสมือนเป็นเสาหลักสำหรับการออมเพื่อวัยเกษียณ

สำหรับสถานการณ์การออมเงินเพื่อวัยเกษียณในประเทศจีนปัจจุบัน ยังคงพึ่งพา Pillar 0 หรือระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีผลต่อการใช้จ่ายงบประมาณดูแลด้านสวัสดิการผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) จีนจะมีสัดส่วนประชากรสูงอายุ 30 – 40% ของทั้งหมด จึงต้องปรับโครงสร้างการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ จากเดิมที่พึ่งพาสวัสดิการจากภาครัฐเป็นส่วนใหญ่เป็นการออมเงินเพื่อเกษียณภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยมีบัญชีเก็บออมเงินโดยเฉพาะและพัฒนาระบบการเชื่อมต่อข้อมูลเงินออมเงินภาคบังคับร่วมกับนายจ้างที่มีประสิทธิภาพแม้มีการย้ายงาน นอกจากนี้ความท้าทายในการกระตุ้นการออมเงินภาคบังคับและภาคสมัครใจของจีนอีกส่วนหนึ่งคือ การนำเงินออมไปลงทุนให้งอกเงยที่ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก โดยส่วนใหญ่ให้ลงทุนในหุ้น A-shares จึงมีการพูดถึงการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลาย การลงทุนในสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับช่วงอายุ

สำหรับการออมเงินที่ดีควรจะมีเงินไว้ใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณที่ 70% ของเงินเดือนสุดท้ายของการทำงาน โดยสถานการณ์ทั่วโลก ณ สิ้นปีที่ผ่านมา บราซิลเป็นประเทศที่ประชาชนสามารถออมเงินเพื่อวัยเกษียณได้ดีที่สุดอยู่ที่ 56% ของเงินเดือนสุดท้ายของการทำงาน จีนอยู่ที่ 54% ของเงินเดือนในเดือนสุดท้ายของการทำงาน ไทย 47% ของเงินเดือนในเดือนสุดท้ายของการทำงาน โดยบราซิลได้ใช้มาตรการกระตุ้นให้ประชาชนใส่ใจการออมภาคบังคับ (Pillar 2) และการออมภาคสมัครใจ (Pillar 3) ขณะที่ชิลีประสบความสำเร็จในการกระตุ้นประชาชนออมเงินเพื่อวัยเกษียณ โดยใช้การออกตราสารหนี้ผลตอบแทนสูง 4% ให้กับประชาชนที่อยู่ในระบบการออมภาคบังคับ (Pillar 1) เพื่อจูงใจให้เข้าสู่การออมเงินภาคบังคับร่วมกับนายจ้าง

TRUBB ไฟเขียว “เวิลด์เฟล็กซ์” เข้าตลาดหุ้น

ผู้ถือหุ้น TRUBB โหวตหนุนแผน Spin Off บริษัทย่อย “เวิลด์เฟล็กซ์” เข้าจดทะเบียนใน SET คาดยื่นไฟลิ่งภายใน Q3/64 ขายหุ้นไอพีโอ 142 ล้านหุ้น โดยส่วนหนึ่งจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นของ TRUBB ที่เป็น Pre-emptive Rights  พร้อมอนุมัติเพิ่มทุน 340.74 ล้านหุ้น แบ่งขายผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 5:1 ราคาหุ้นละ 2.20 บาท ควบแจก TRUBB-W2 ฟรี  โดย 1 หุ้นเพิ่มทุนรับ 1 วอร์แรนต์ และอีกส่วนเก็บไว้ขายให้กับ PP เสริมฐานะทางการเงินมีความแข็งแกร่งและมั่นคง รองรับแผนธุรกิจน้ำยางข้น-น้ำยางแปรรูป-ผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง 

นายภัทรพล วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติแผนการนำ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดย TRUBB ถือหุ้นใน WFX ในสัดส่วน 95.59% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยคาดการณ์กำหนดการยื่นแบบคำขอและร่างหนังสือชี้ชวนภายในไตรมาส 3/2564

โดยกำหนดจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WFX จำนวนไม่เกิน 142,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท ดังนี้ (1) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WFX จำนวนไม่เกิน 11,360,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUBB (Pre-emptive Rights) (2) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WFX จำนวนไม่เกิน 14,200,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของ WFX และ (3) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WFX จำนวนประมาณ 116,440,000 หุ้น เพื่อเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 340,739,842 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 681,479,688 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 1,022,219,530 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 340,739,842 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท

ทั้งนี้ หุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจะแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ

(ก) เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) จำนวน 136,295,937 หุ้น โดยมีราคาเสนอขาย 2.20 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่า 299,851,061.40 บาท  ในอัตราส่วนการจัดสรร 5 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยกำหนดให้วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นพร้อม TRUBB-W2 (Record Date) ในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 และกำหนดวันจองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในระหว่างวันที่ 1- 8 กันยายน 2564

(ข) รองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 2 (TRUBB-W2)  ที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ที่จองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 136,295,937 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่า โดยมีอัตราส่วนการจัดสรร  1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ต่อ 1 หน่วย TRUBB-W2  อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ  3 ปี มีอัตราการใช้สิทธิ  1 หน่วย TRUBB-W2 มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญ 1 หุ้น โดยกำหนดราคาใช้สิทธิ 6 บาทต่อหุ้น

(ค) เพิ่มทุนจดทะเบียน แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวนไม่เกิน 68,147,968 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนชำระแล้วของบริษัทฯ

ต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่าน ที่อนุมัติแผนเพิ่มทุนของ TRUBB ในครั้งนี้ เนื่องจากจะทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทฯมีความแข็งแกร่งและมั่นคง รองรับแผนการขยายธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และกำไรในอนาคต เนื่องด้วยปัจจุบันธุรกิจหลักของบริษัทฯ คือการผลิตและจำหน่ายน้ำยางข้นและผลพลอยได้จากน้ำยาง ซึ่งผลิตภัณฑ์น้ำยางข้นจะนำไปเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตถุงมือแพทย์, ถุงมือยางทำความสะอาด, ถุงยางอนามัย, เส้นด้ายยางยืด, กาว, ลูกโป่ง, จุกนมยางสำหรับเด็ก, โฟม หมอน และที่นอน เป็นต้น ซึ่งจากความผันผวนของราคายางและสภาพอากาศที่ผลิตยาง ประกอบกับแนวโน้มของค่าแรงที่สูงขึ้นในอนาคต รวมถึงการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

กรรมการผู้จัดการใหญ่ TRUBB กล่าวอีกว่า บริษัทฯมีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้างทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขยายธุรกิจน้ำยางข้นและน้ำยางแปรรูป อันเป็นธุรกิจปัจจุบันของบริษัทฯ ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น และขยายธุรกิจเข้าสู่การผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความต้องการและเติบโตสูงขึ้นมากจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และถือเป็นกลยุทธ์การเจริญเติบโตแนวดิ่ง (Vertical Growth Strategy) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบถ้วน อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเป็นการลดความเสี่ยงในการพึ่งพิงรายได้จากผลิตภัณฑ์ยางน้ำข้นและผลพลอยได้จากน้ำยาง ทำให้บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องจัดหาแหล่งเงินทุน ซึ่งไม่เป็นภาระกับผู้ถือหุ้นเดิมเกินกว่าความจำเป็น และเพื่อให้ได้เงินทุนเพียงพอในการบริหารงาน โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อจะช่วยให้บริษัทฯ มีฐานเงินทุนที่เข้มแข็งพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต

ร่อนทองขาย เป็นอาชีพเสริมช่วงโควิด-19

ชาวบ้าน ภูเขาทอง รวมกลุ่มร่อนทองขาย พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบให้กับหลายๆ คน ซึ่งแต่ละวันกลุ่มชาวบ้านแต่ละคน ก็จะถืออุปกรณ์ในการร่อนที่เรียกว่าเรียง นำติดตัวมา แล้วก็เดินลงไปในน้ำ เพื่อตักดินซึ่งปะปนกับทองในน้ำ นำขึ้นมาร่อนไปมา ใช้เวลาร่อนทองกันตลอดทั้งวัน หากใครเหนื่อยก็พักได้  แล้วแต่ว่าใครอยากทำมากน้องเพียงใด หากร่อนทองได้มาก ก็จะได้เงินมากตามไปด้วย  เมื่อร่อนได้แล้วเพื่อนๆ ในกลุ่มก็จะนำมารวมกันและขายให้กับคนในหมู่บ้านที่จะมารับซื้อ  เพื่อนำไปขายต่อที่ร้านทอง ส่วนเงินที่ได้ก็จะนำมาแบ่งกัน

ขณะที่ ราคาขายทอง 1 กรัม จะอยู่ที่ 800-1,000 กว่าบาท ซึ่งนับเป็นรายได้ที่ไม่น้อยหน้าอาชีพใดเลย  แต่ทั้งนี้การร่อนทองก็จะต้องใช้ความอดทน ที่จะต้องยืนแช่อยู่ในน้ำกันตลอดทั้งวัน

สำหรับอาชีพร่อนทอง เป็นอาชีพที่ได้สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ในพื้นที่บ้านภูเขาทอง อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส  มาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งบางครอบครัว ก็จะยึดเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว ขณะที่ บางครอบครัว ก็จะทำกันเป็นอาชีพเสริม  เพื่อให้มีรายได้เพิ่มจากการอาชีพสวนยาง สวนผลไม้

ยก “ภูเก็ต” ต้นแบบเมืองกีฬา สนับสนุนสปอร์ตคอมเพล็กซ์

รมว.พิพัฒน์ พร้อม “จุฑาธิป” นักปั่นทีมชาติไทย ยก “ภูเก็ต”  ต้นแบบเมืองกีฬา สนับสนุนสปอร์ตคอมเพล็กซ์ พร้อมทดสอบบริการนวดบำบัดแบบนักกีฬา ด้าน “น้องเทนนิส” ลงเรือดูไข่มุก หนุน “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” พร้อมรับนักท่องเที่ยว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ พร้อมด้วย “จุฑาธิป มณีพันธุ์” นักปั่นสาว และโค้ชตั้ม ไปผ่อนคลายนวดเชิงบำบัดสปาสำหรับนักกีฬา และบุคคลทั่วไป พร้อมพาชมศูนย์ฝึกกีฬาชนิดต่างๆ  ที่ธัญญปุระ สปอร์ต แอนด์ เฮลท์ที รีสอร์ท ซึ่งถือเป็นสปอร์ตคอมเพล็กซ์ ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง สอดรับกับความเป็น “ภูเก็ตเมืองกีฬา” อย่างแท้จริง
เมื่อวันที่ 31 กรกฏาคม ที่ผ่านมา ที่จังหวัดภูเก็ต ทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ที่เดินทางกลับมาจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมทำกิจกรรมในภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ร่วมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย “โค้ชตั้ม” พันจ่าอากาศเอก วิสุทธิ์ กสิยะพัท หัวหน้าผู้ฝึกสอนจักรยานประเภทถนนทีมชาติไทย และ “บีซ” ร้อยโทหญิง จุฑาธิป มณีพันธุ์ นักกีฬาจักรยานทีมชาติไทย โดยได้เดินทางไปชมศูนย์ฝึกนักกีฬา ณ ธัญญปุระ สปอร์ต แอนด์ เฮลท์ที รีสอร์ท ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา คลินิก โรงแรม และ Wellness Center โดยมี นายชาติชาย เย็นบำรุง และทีมผู้บริหารธัญญปุระ ให้การต้อนรับ โดย จุฑาธิป นักปั่นสาวทีมชาติไทย มีโอกาสได้นวดเชิงบำบัดสำหรับนักกีฬา  “Thanyapura Signature Massage” ณ Wellness Center หลังฝึกซ้อมอย่างหนักมานาน
ขณะที่  “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ฮีโร่เหรียญทองเทควันโดประวัติศาสตร์โอลิมปิกเกมส์ พร้อมด้วย “จูเนียร์” รามณรงค์ เสวกวิหารี นักเทควันโดหนุ่ม รุ่น 58 กก. ได้ลงเรือหางยาวแบบพื้นบ้าน ไปเยี่ยมชม ฟาร์ม อมร ภูเก็ต เพิร์ล (phuket pearl) โรงงานแปรรูปอัญมณีไข่มุก แห่งเดียวใน จ.ภูเก็ต และเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัด(GI)โดยได้เรียนรู้และสัมผัสหอยมุกที่ใช้เพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำเค็มทั้ง 3 สายพันธุ์และผ่าหอยมุกปีกนกให้ได้ชมหอยมุกด้านใน เพื่อศึกษาวิธีดูไข่มุกแท้ ไข่มุกปลอม ศัตรูของหอยมุกและวิธีการดูแลต่างๆ ก่อนที่จะไปเยี่ยมชมโรงงานอัญมณีไข่มุก ดูกรรมวิธีออกแบบและขึ้นตัวเรือนรวมถึงวิธีการตรวจสอบคุณภาพของไข่มุก รวมไปถึง Crown Gallery ที่รวบรวมมงกุฏไข่มุก สัญลักษณ์แห่งความงดงามระดับประเทศ  ซึ่งฮีโร่จอมเตะ “น้องเทนนิส” ได้รับสร้อยไข่มุกแท้ เป็นของที่ระลึกกับจูเนียร์ และสมาคมกีฬาเทควันโด กลับบ้านอีกด้วย
ด้านโค้ชเช ยอง ซอก โค้ชเกาหลีหัวใจไทย กล่าวชื่นชมโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ที่ทำให้นักกีฬาที่ฝึกซ้อมอย่างหนักก่อนไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ หลังเสร็จภารกิจได้กลับมาพักผ่อน 14 วัน ถ้ามาภูเก็ต ตรวจโควิด-19 ผ่าน สามารถท่องเที่ยวทุกแห่งภายในจังหวัดได้ ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดีมากสำหรับนักกีฬาไทย เพราะการที่นักกีฬาเหนื่อยกับการฝึกซ้อมและแข่งขันมานาน ต้องมากักตัว 14 วันอยู่แต่ในห้องคงอึดอัด อยู่ภูเก็ตประทับใจบรรยากาศดี อาหารอร่อยแบบไทยแท้  ได้ทาน ส้มตำปลาร้า ไก่ย่าง สุดแซ่บ ตนชอบมาก รู้สึกหายเหนื่อย

HumanSoft เปิดแผนปักธง 5 ปีเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

“กว่าจะถึงจุดนี้ได้ ถือว่าใช้เวลาพอสมควรในการเรียนรู้ ปรับปรุง พร้อมทดสอบระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล (HR) กับสถานที่ทำงานต่าง ๆ ทั้งรูปแบบธุรกิจเอสเอ็มอี รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อยกระดับระบบซอฟต์แวร์ให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ HR ที่ต้องตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีความหลากหลายและแตกต่าง ทั้งนโยบายของผู้บริหารและองค์กรได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมมากที่สุด” ประโยคข้างต้นจาก นายอัษฎาวุธ จิตตเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวแมนซอฟท์ จำกัด จังหวัดพิษณุโลก  ผู้บุกเบิกซอฟต์แวร์ระบบบริหารงานทรัพยากรบุคคล แบรนด์ฮิวแมนซอฟท์ (HumanSoft)

เขา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจว่า เกิดจากการเข้ามาช่วยงานคุณพ่อที่ประกอบธุรกิจโรงพิมพ์ เลยเห็นถึงปัญหาของการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะการบริหารค่าจ้าง เงินเดือน ที่ต้องเสียเวลาการคำนวณเงินเดือนของพนักงานในแต่ละเดือนอยู่เป็นประจำ จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภายในองค์กรขึ้นมาใช้ โดยร่วมกับเพื่อน ลงทุนทำธุรกิจตั้งบริษัท ภายใต้ชื่อ หจก.โฟเทค ซอฟโค้ด เพื่อพัฒนาระบบและให้บริการเขียนโปรแกรม HR ช่วยให้การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกิดความคล่องตัวมากขึ้น

ก้าวใหม่ที่สำคัญของบริษัท ฮิวแมนซอฟท์ จำกัด ในช่วงเวลานั้นได้รับความสนใจจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งที่เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ทำให้ปรับรูปแบบบริหารจัดการธุรกิจใหม่ จากเดิมที่เป็นการร่วมลงทุนกับเพื่อนในรูปแบบห้างหุ้นส่วนจำกัด ก็ต้องยกระดับปรับเปลี่ยนเป็นบริษัท พร้อมจดทะเบียนการค้า เพื่อเดินหน้าธุรกิจ ในฐานะผู้ให้บริการระบบบริหารธุรกิจดิจิทัล โปรแกรมคิดเงินเดือนออนไลน์ ภายใต้แบรนด์ HumanSoft

จุดเด่นผลิตภัณฑ์ของ HumanSoft คือ ระบบบริหารธุรกิจดิจิทัล ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ ตอบรับความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ครบถ้วน ไม่ว่าจะกำหนดเงื่อนไขใดเข้ามา ก็ปรับเปลี่ยนระบบซอฟต์แวร์ได้อย่างสอดคล้อง รองรับนักธุรกิจยุคใหม่ หรือเจ้าของธุรกิจต่าง ๆ ที่สามารถรับรายงานความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น หัวหน้าอนุมัติเอกสาร หรือ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ที่บริหารจัดการพนักงานได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดภาระกระบวนการทำงานที่ยุ่งยากให้น้อยลง เช่น การลงเวลา, จัดการขาด, ลา, มาสาย, โอที, จัดกะการทำงาน, คิดเงินเดือนอัตโนมัติตามเงื่อนไข และเอกสารภาษีทั้งหมด เป็นต้น

ที่สำคัญระบบของ HumanSoft ยังใช้งานง่าย รองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android  หรือเว็บเบราว์เซอร์หลายแพลตฟอร์ม พร้อมแจ้งเตือน ส่งข้อมูลได้ฉับไว ผ่าน  Line สามารถใช้งานฟรี 30 วันแรกครบทุกฟังก์ชั่น พร้อมทีมการตลาดที่อธิบายรายละเอียดการใช้งาน และมี 3 แพคเกจให้เลือก ได้แก่ BASIC, STANDARD และ PROFESSIONAL เป็นต้น ส่วนราคาให้บริการมีทั้งแบบรายเดือนและรายปี ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนพนักงานและฟังก์ชั่นที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องการใช้ โดยราคาเริ่มต้นเดือนละ 790 บาท

ภาพรวมธุรกิจปัจจุบันมีฐานลูกค้าสะสมรวม 700 บริษัท ดูแลพนักงานมากกว่า 7,000 ราย พร้อมมีมูลค่างานในมือ (backlog) ต่อเนื่อง สะท้อนจากช่วงที่ผ่านมาได้ทำการตลาดออนไลน์เพิ่มขึ้น จากเดิมที่แต่ละเดือนมีลูกค้าประมาณ 3-5 ราย เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 20 ราย ส่วนการให้บริการของแต่ละบริษัทที่เข้ามาติดต่อจะใช้เวลา 1-2 เดือนในการพัฒนาระบบให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

ทั้งนี้ จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาใช้บริการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายใหม่ ๆ พอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงงานที่มีพนักงานเป็นจำนวนมาก ชะลอการลงทุนในส่วนนี้ออกไปก่อน เพื่อบริหารจัดการต้นทุน แต่ยังมีกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่มีพนักงานไม่มาก ก็ติดต่อสอบถามเข้ามาเช่นกัน เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ทำให้แต่ละบริษัทที่มีมาตรการทำงานที่บ้าน (Work from Home) จึงต้องการระบบซอฟต์แวร์ HR เข้ามาเป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล เช่น การลงเวลา หรือติดตามงานต่าง ๆ เป็นต้น

นอกจากนั้น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ถือเป็นสถาบันการเงินเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ช่วยให้เราเข้าถึงแหล่งเงินทุน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ในโครงการสินเชื่อ “เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ทำให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเติบโตในอนาคต

ส่วนแผนธุรกิจในอนาคต วางเป้าหมายไว้ 5 ปีหลังจากนี้ คือการนำบริษัทเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายฐานและเพิ่มปริมาณลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น พร้อมกับไม่หยุดพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ HR ของ HumanSoft เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง รับยุคนิวนอร์มัล (New normal)

“เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์” ตอกย้ำเป้าหมายมุ่งสู่ Net-Zero

เจนเนอราลี่ ประเทศไทย ขานรับโยบายของเจนเนอราลี่ กรุ๊ป ที่ได้ร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง Net-Zero Insurance Alliance (NZIA) โดยได้ให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเป็นศูนย์จากพอร์ตการรับประกันภัย พร้อมผลักดันองค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยแนวคิด “ESG” เชื่อจะเชื่อมโยงนโยบายและแนวคิดได้ในทุกมิติ

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “จากการเปิดประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ในการแก้ปัญหาวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือ G20 Climate Summit ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ที่ผ่านมา มร.ฟิลลิป ดอนเนท (Philippe Donnet) ประธานกรรมการบริหารของ เจนเนอราลี่ กรุ๊ป ได้ร่วมกับพันธมิตรบริษัทประกันภัยชั้นนำระดับโลก* ใช้ชื่อว่า Net-Zero Insurance Alliance (NZIA) ซึ่งเจนเนอราลี่ได้เป็นผู้นำเสนอความมุ่งมั่นของอุตสาหกรรมประกันภัยในการเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิในระบบจนเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions Economy) ภายในกลางปี ค.ศ. 2050 ซึ่งสมาชิกของ NZIA จะกำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาการรับประกันภัยและกำลังแนะนำเกณฑ์การยกเว้นที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับภาคส่วนอุตสาหกรรมที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการกำจัดการลงทุนในกิจกรรมเหล่านี้โดยสมบูรณ์ นอกจากนี้จะรวมเกณฑ์ความเสี่ยงในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เหลือศูนย์ไว้ในกรอบการบริหารความเสี่ยงด้วย โดยกลุ่มบริษัทฯ ยังตั้งใจที่จะสร้างการลงทุนใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนที่มีมูลค่า 8.5 – 9.5 พันล้านยูโรในช่วงปีค.ศ. 2021-2025 ซึ่งการสร้างความยั่งยืนนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของแผน Generali 2021 เพื่อส่งเสริมการสร้างมูลค่าและนวัตกรรมขององค์กรในระยะยาว เป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของเจนเนอราลี่ที่มีต่อสังคมและชุมชนที่เจนเนอราลี่ดำเนินการในฐานะ Lifetime Partner โดยเจนเนอราลี่ กรุ๊ปนั้นได้รับการยืนยันการจัดอันดับของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability World Index – DJSI) ซึ่งเป็นการจัดอันดับบริษัทชั้นนำโดยใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในปีที่ผ่านมาอีกด้วย”

สำหรับ เจนเนอราลี่ ประเทศไทย เองก็พร้อมขานรับนโยบายดังกล่าว ล่าสุดในการประชุมพนักงาน ครั้งที่ 2 ประจำปี 2564 (Town Hall Meeting) คณะผู้บริหารได้ตอกย้ำนโยบายด้านความยั่งยืนทางธุรกิจควบคู่ไปกับการผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่เจนเนอราลี่ได้ให้ความสำคัญและยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด ตามแนวคิดการดำเนินงานที่จะพัฒนาสร้างแข็งแกร่งให้เท่าทันตามความต้องการของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ด้วยแนวคิดการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืนมาปรับใช้ในกระบวนการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 มิติ คือ “ESG” ได้แก่ ความ

o Environment : การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการปฎิบัติงานที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม เช่น การลดใช้กระดาษ การไม่ลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการการเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

o Social : การเห็นความสำคัญของสังคม การออกแบบประกันสุขภาพและประกันสำหรับผู้สูงอายุ การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงคนหมู่มาก รวมไปถึงการสนับสนุนแนวคิดที่สนับสนุนความหลากหลายและการมีส่วนร่วม (Diversity & Inclusion)

o Governance : ธรรมาภิบาลหรือบรรษัทภิบาล การกำกับดูแลการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) และมีความโปร่งใสในองค์กร

“ขณะเดียวกันบริบทของโลกในอนาคตที่เรียกว่า เมกะเทรนด์ (Megatrends) ที่ยังมีอิทธิพลต่อชีวิตของภาคธุรกิจและผู้คนไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งเจนเนอราลี่ก็พบข้อมูลว่า ESG megatrend ที่คาดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจ สังคม และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้อย่างมีนัยสำคัญในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยจะสอดคล้องการกับก่อตั้ง Net-Zero Insurance Alliance (NZIA) ในการเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมเศรษฐกิจที่มีก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดแนวทางให้เจนเนอราลี่ ประเทศไทยในการปรับกลยุทธ์ตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อทำให้แนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรและสังคม พร้อมกับการตั้งเป้าหมายที่เชื่อมโยงกับเมกะเทรนด์เพื่อสร้างการเติบโตและมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับองค์กรได้ในอนาคต” นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย

โฮมโปร ปรับสินค้าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนอยู่บ้าน อยู่ไหนก็ช้อปได้

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร ในฐานะผู้นำเรื่องบ้านครบวงจร TOTAL HOME SOLUTION รับมือกับภาวะวิกฤติ COVID-19 ปรับสินค้าตอบโจทย์ ในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ รองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเรื่องบ้านที่ตอบสนองเรื่องความสะอาดภายในบ้านครบวงจร ตลอด 24 ชม. เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส เหมือนยกโฮมโปรมาไว้ที่บ้านคุณ

นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการช่วยกันหยุดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด – 19 และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้โดยเร็วที่สุด จึงทำให้ต้องงดการเดินทางที่ไม่จำเป็น และอาจไม่สะดวกในการใช้ชีวิต โฮมโปรเข้าใจถึงปัญหาของลูกค้าทุกคน เห็นความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเราได้วางแผนตั้งรับสถานการณ์ดังกล่าวเอาไว้แล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าเตรียมสินค้า เพื่อให้มีเพียงพอ เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการSME และลูกค้าทั่วไป จากการที่ เกิดความกังวลเรื่องการแพร่ระบาด ส่งผลให้ คนส่วนใหญ่ไม่ออกนอกบ้าน คนทำงานก็ทำงานที่บ้านมากขึ้น เราจึงคัดสรรสินค้าที่สนองตอบไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป สามารถช้อปเรื่องบ้าน ผ่านทุกช่องทางออนไลน์ของโฮมโปร เพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าตลอด 24 ชม.

“โฮมโปร” ในฐานะผู้นำเรื่องบ้านครบวงจร TOTAL HOME SOLUTION ได้เตรียมรับมือกับปัญหาวิกฤติไวรัสโควิด 19 ( COVID-19 ) จึงได้เตรียมสต็อกสินค้าไว้รองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น โดยแบ่งกลุ่มสินค้าเป็น Stay Safe Stay Home อยู่บ้านให้ปลอดภัย

กลุ่มสินค้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID -19 ของใช้ส่วนตัวที่ทุกคนต้องมี กระดาษอเนกประสงค์ , หน้ากากอนามัยการแพทย์ , เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ , ถุงมือยาง , สบู่เหลวล้างมือ, สเปรย์ทำความสะอาดฆ่าเชื้ออเนกประสงค์ , ตะกร้าผ้า , ผ้าขนหนู อุปกรณ์จำเป็น ตู้ลิ้นชัก 4 ชั้น ,โต๊ะอเนกประสงค์เหลี่ยม , เก้าอี้พลาสติก , มุ้งชุดผ้าปูที่นอนหมอนข้าง, หมอนหนุน , ราวพาดผ้าสแตนเลส และเครื่องใช้ไฟฟ้า รางปลั๊กไฟ , พัดลมตั้งโต๊ะ , ตู้เย็น 1 ประตู , กาต้มน้ำไฟฟ้า , ไมโครเวฟ หม้อหุงข้าว , เครื่องซักผ้าฝาบน , เครื่องปิ้งขนมปัง

โฮมโปร พร้อมมอบประสบการณ์การซื้อของที่สะดวกสบาย และไร้รอยต่อให้แก่ลูกค้า ตอบโจทย์ทุกความต้องการ และทุกไลฟ์สไตล์จากที่บ้านตลอด 24 ชม. เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส เหมือนยกโฮมโปรมาไว้ที่บ้านคุณ บริการ CHAT SHOP4YOU เพียงทักมาเราช่วยช้อปแทนลูกค้า เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว ทั้งยังช่วยเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เพียง สั่ง > จ่าย > ส่ง แค่ 3 ขั้นตอนง่ายๆ สั่งได้ที่ช่องทาง Line @HomePro,Facebook HomePro Thailand, จ่ายง่ายสะดวกหลากหลายช่องทางการชำระเงิน ผ่านเงินโอน / โอนเงิน / พร้อมเพย์ / อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง / คิวอาร์เครดิต / บัตรเครดิต / เดบิตกับธนาคารชั้นนำ ช้อปออนไลน์สะดวก24 ชั่วโมงที่ www.homepro.co.th หรือดาวน์โหลด Mobile Application HomePro APP แอปเดียวครบ จบทุกเรื่องบ้าน

โดยลูกค้าสามารถเลือกดูสินค้าเรื่องบ้านมากมาย ครบทุกหมวดหมู่ พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม จะเลือกรับด้วยตนเองที่สาขากับบริการ Click &Collect หรือบริการส่งถึงหน้าบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เราพร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเต็มกำลัง

Shopee 8.8 Crazy Flash Sale แจกโค้ดลดสูงสุด 888 บาท

ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เจาะลึกพฤติกรรมการช้อปออนไลน์ของผู้บริโภคชาวไทย ผ่านกลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้าถึงนักช้อปทุกเพศ ทุกวัย อย่าง โปรโมชั่นแฟลชเซลล์ (Flash Sale) หรือที่รู้จักกันดีว่า สินค้านาทีทอง ถือเป็นกิจกรรมที่ดึงดูดใจผู้บริโภคให้มาช้อปสินค้าราคาสุดคุ้มในระยะเวลาที่กำหนดบนแพลตฟอร์ม เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโปรโมชั่นที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มนักช้อปสายความคุ้มค่าจะต้องตั้งตารอ เพราะสินค้าที่นำมาจัดโปรโมชั่นแฟลชเซลล์ (Flash Sale) เป็นสินค้าที่มีความหลากหลายครอบคลุมทุกหมวดหมู่จากร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ ตอบโจทย์นักช้อปทุกไลฟ์สไตล์ และเพื่อเป็นการส่งประสบการณ์ความคุ้มค่าคุ้มราคาผ่านการจับจ่ายสินค้าราคาดีที่สุดซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ช้อปปี้จึงเดินส่งแคมเปญ ลดเดือด ที่มาพร้อมไฮไลท์ ลดเยอะสุด ไม่ต้องคิดนาน ด้วยส่วนลดสูงสุด 5,000 บาท ด้วยโปรโมชั่นสุดแรง 3 ต่อ อย่าง Flash Deals ลดสูงสุด 88% โค้ดลดสูงสุด 888 บาท และ ส่งฟรี ขั้นต่ำ 0 บาท ด้วยสินค้าราคาสุดว้าวหลายแสนรายการ จากนับพันร้านค้าและแบรนด์ดังบน อาทิ Lotus’s, Samsung, LG, MamyPoko, Huawei, Unilever และอีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ – 8 สิงหาคม 2564 พร้อมกองทัพความสนุกสนานส่งตรงถึงบ้านนักช้อปชาวไทยให้ได้ผ่อนคลายความเครียดในสถานการณ์เช่นนี้อีกด้วย

สำหรับโปรโมชั่นแฟลชเซลล์ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของช้อปปี้ที่สามารถกระตุ้นกิจกรรมทางการตลาดและกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ พร้อมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งโปรโมชั่นที่ทำให้แพลตฟอร์มของช้อปปี้มีความคึกคักจากเหล่านักช้อปมากยิ่งขึ้น ช้อปปี้ จึงเชื่อมั่นว่า จะสามารถมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย และ ทำให้ทุกการจับจ่ายของนักช้อปมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยสามารถการันตีความสำเร็จแบบครบสูตรด้วยสถิติที่น่าสนใจจาก “โปรโมชั่นแฟลชเซลล์” ดังนี้

● ในเดือนมิถุนายน 2564 พบกว่าสินค้าแฟลชเซลล์จำหน่ายออกไปได้มากถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา

● ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 พบว่าสินค้าแฟลชเซลล์ที่ขายออกเร็วที่สุดทำสถิติได้ภายใน 4 วินาที

● เปิดโผสินค้าแฟลชเซลล์เด็ด โดนใจช่วงครึ่งปีแรก 2564: ในครึ่งปีแรกของปี 2564 สินค้าแฟลซเซลล์ฮอตฮิตโดนใจคุณผู้ชาย ได้แก่ สายชาร์จมือถือ, ผ้าเช็ดรถ, ถุงเท้า และพบว่า ผ้าปูโต๊ะ, กระเป๋าผ้า, กรรไกรทำอาหาร เป็นสินค้าแฟลชเซลล์สุดว้าวตรงใจคุณผู้หญิง

ตั้งแต่วันนี้ – 8 สิงหาคม 2564 นักช้อปแฟลชเซลล์ตัวยงเตรียมพบกับแคมเปญตื่นเต้น เร้าใจในแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale ลดเดือด ที่มาพร้อมโปรโมชั่นสุดเข้มข้นผ่านกองทัพสินค้าจากร้านค้าและแบรนด์ดังชั้นนำบน Shopee Mall อาทิ BabyLove, TCL, Hisense, Oppo และอีกคับคั่ง ด้วยไฮไลท์พิเศษดังนี้

● Midnight Crazy Flash Sale ดีลเดือดทุกเที่ยงคืน ลดสูงสุด 88%: พบกับสินค้าแฟลชเซลล์ดีลเดือด ที่มาพร้อมส่วนลดสุดเครซี่สูงสุด 88% ครอบคลุมทุกหมวดหมู่สินค้าทุกเที่ยงคืน ถึง ตีสอง เช่น VIVO Y20 2021, XBOX SERIES S, Harman/Kardon SoundSticks 4 ลำโพงตั้งโต๊ะ, Roborock หุ่นยนต์ดูดฝุ่นถูพื้นอัจฉริยะ S5 Max, Lancome Advanced Genifique Youth Activating Concentrate, GoPro 9 Black และอีกมากมาย

● โค้ดลดสูงสุด 888: ช้อปสุดเข้นข้น พร้อมรับโค้ดลดส่วนสูงสุด 888 บาท

● ช้อปสุดมันส์ไปกับสินค้าราคาสุดเครซี่เพียง 8 บาท และ 88 บาท: นักช้อปรักความไวสายแฟลชเซลล์ตัวยงห้ามพลาด เตรียมช้อปสินค้าราคาดีที่สุด เริ่มต้นเพียง 8 บาท และ 88 บาท ด้วย 5 ช่วงเวลาความคุ้ม อย่าง 0.00 น, 2.00 น, 12.00 น, 18.00น , 21.00 น ทุกวัน

● ชำระเงินผ่าน ShopeePay มีแต่ได้: เพราะ ShopeePay ใจดี แจกโค้ดส่วนลดจ่ายบิลสูงสุดถึง 100 บาท! ไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับการจ่ายบิลค่าน้ำและค่าไฟ สำหรับค่าโทรศัพท์ก็ประหยัดกันถ้วนหน้าด้วยโปรเติมเงินมือถือและซื้อแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต เริ่มต้นเพียง 1 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมี โค้ดส่งฟรีขั้นต่ำ 0 บาท, โค้ดส่วนลดสูงสุด 20% และ Flash Sale ป๊อปคอร์นไซส์สุดคุ้มจากเมเจอร์กรุ๊ป และเอสเอฟ ซีเนม่า เริ่มต้นเพียง 8 บาท

● โปรโมชั่นส่งฟรีขั้นต่ำ 0 บาท: ยกระดับความคุ้มค่าจากโค้ดส่งฟรีขั้นต่ำ 0 บาท[9] ตลอดทั้งวัน ทั้งแพลตฟอร์ม

เสริมทัพความบันเทิงเต็มสูบพร้อมพิชิตรางวัลใหญ่ กว่า 20 ล้านบาท ! บนแอปช้อปปี้

ช้อปปี้ ยังคงเดินหน้ามุ่งมั่นสร้างปฏิสัมพันธ์และเติมเต็มประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ให้นักช้อปชาวไทยทุกคนที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความบันเทิง ผ่านกิจกรรมยอดฮิตของช้อปปี้ อย่าง Shopee Live, Shopee Prizes และ Shopee 8.8 Mega Game Show ที่มามอบความสุขส่งตรงถึงบ้านคุณพร้อมกองทัพรางวัลมูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท

● เสริมทัพความบันเทิงผ่านคอนเทนต์สุดปังกับ Shopee Live: ตั้งแต่วันนี้ – 8 สิงหาคม 2564 แฟนๆ ช้อปปี้ไลฟ์จะได้พบการกลับมาของรายการยอดฮิตตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์จากกองทัพ เซเลบริตี้ คู่จิ้น ศิลปินดาราอย่างคับคั่ง อาทิ วอร์ วนรัตน์, BNK48, CGM48, 3 สาววง PiXXiE ควบคู่ไปกับการช้อปปิ้งสินค้าแฟลชเซลล์ราคาสุดเครซี่ ลดเดือดด้วยดีลเด็ดจากแบรนด์ดัง อย่าง L’oreal, Rayban, Aurora Design, KFC, Mister Donut พร้อมของรางวัลอีกมากมาย อาทิ ทองคำ[10], Flash Sale Voucher 15% , Shopee Coins รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท

● ร่วมพิชิตรางวัลรวมกว่า 11 ล้านบาทผ่าน Shopee Prizes: นักช้อปสายเกม พบกับพาเหรดเกมฮิตบนช้อปปี้ อาทิ Shopee Farm, Shopee Daily Prizes, Shopee Candy, Shopee Bubble , Shopee Pets, Shopee Shake Shake และพิเศษสำหรับแคมเปญ 8.8 เตรียมพบกับ Shopee โชคหล่นทับ[11] ยิ่งกด ยิ่งซื้อ ยิ่งมีสิทธิ์มาก มีสิทธิ์รับเงินโบนัสผ่าน ShopeePay มูลค่า 5,000 จำนวน 50 รางวัล โดย Shopee Prizes ขนกองทัพรางวัลรวมมูลค่า 11 ล้านบาท

● เสิร์ฟความบันเทิงจัดเต็มกว่าเดิมกับรายการ“Shopee 8.8 Mega Game Show”: ปังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ เตรียมพบกับรายการเฉพาะกิจ “Shopee 8.8 Mega Game Show” ฟังร้องได้ล้าน โดยช้อปปี้ยกทัพเหล่าซุปตาร์แห่งวงการบันเทิง เสิร์ฟความสุข สนุก จัดเต็มเอาใจผู้ใช้งานชาวไทยด้วยกิจกรรมทางความบันเทิงแบบนอนสตอปตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม อย่าง การแสดงโชว์พลังเสียงสุดปังระดับ Divas แห่งวงการ ต่อด้วยกิจกรรม Celeb Battle แข่งขันร้องเพลงจากซุปตาร์ทั้ง 2 ทีม ที่แฟนๆ ทางบ้านสามารถเป็นส่วนหนึ่งแห่งความสนุกครั้งนี้ด้วยการร่วมโหวตว่าทีมไหนจะเป็นทีมที่ชนะ พร้อมมีสิทธิ์รับรางวัลอีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ แฟนๆ ยังจะได้พบกับเกมยอดฮิต สุดมันส์ บนช้อปปี้ อย่าง Shopee Catch และ Shopee Shake Shake ช้อปปี้แอบกระซิบ.. รางวัลรวมมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท อาทิ เงินสด ทองคำและ ช้อปปี้ คอยน์ ห้ามพลาด 8 เดือน 8 เวลา 18.00 น. – 20.00 น. รับชมพร้อมกันทางช่อง CH7 และ Shopee Live

พบกับแคมเปญ ลดเดือด ที่ส่งดีลลดสุดโหดมาให้นักช้อปชาวไทยได้เพลิดเพลินสินค้าครอบคลุมทุกหมวดหมู่ ด้วย โปรโมชั่น Flash Deals ลดสูงสุด 88% โค้ดลดสูงสุด 888 บาท และโปรโมชั่นส่งฟรี ขั้นต่ำ 0 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 8 สิงหาคม 2564 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เน้นรุกตลาดแบบ Data-Driven

แม้ COVID-19 ระลอกใหม่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น แต่ภาคธุรกิจก็ต้องเดินหน้าต่อ พร้อมปรับแผนรับมือด้วยการปูพรมการตลาดดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเสริมความสะดวกแก่กำลังซื้อรองรับความต้องการ เชื่อ Work from home Function ยังเป็นคำตอบที่ใช่ของลูกค้าในปัจจุบันและคาบเกี่ยวสู่อนาคต  พัฒนาบริการพิเศษ VIP Video Call & Private Tour ให้ผู้บริโภคสามารถคลิกเข้าชมโครงการได้แบบ 360 องศาผ่านออนไลน์แพลตฟอร์ม

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า กว่า 1 ปีที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งรุนแรงที่สุดจากวิกฤติ COVID-19 ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวเช่นเดียวกับภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทย ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นกันต้องมีการปรับแผนรับมืออย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 ถือเป็นโจทย์ที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้เพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนับจากเกิดการแพร่ระบาด บริษัทฯ เองได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์การตลาด การพัฒนาโครงการพร้อมอยู่ที่มีความหลากหลาย ปรับโฉมการออกแบบให้ตอบโจทย์ Work from home Function รวมทั้งรับเทรนด์การประหยัดพลังงานภายในบ้านด้วย Ecosystem เดินหน้าการตลาดเพิ่มการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ตลอดจนพัฒนาการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพ

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เอื้อต่อความต้องการและความสะดวกสบายของผู้บริโภคตามสถานการณ์อยู่เสมอ โดยได้นำกลยุทธ์ Data-Driven Marketing มาเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนการทำธุรกิจ เพื่อมอบบ้านที่ตรงตามความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงอย่างเหมาะสม การตลาดแบบ Data-Driven จะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารงบประมาณได้ดีและตรงจุดยิ่งขึ้น ทั้งยังนำข้อมูลที่ได้มาศึกษาถึงความต้องการของตลาด สร้างข้อได้เปรียบทางการตลาดและการขายแบบตรงใจ รวมถึงการเลือกใช้สื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้นำข้อมูลที่ได้มาปรับกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ออนไลน์ แพลตฟอร์ม และพัฒนารูปแบบบริการที่พร้อมมอบความสะดวกและปลอดภัยผ่านโลกออนไลน์อย่างสมบูรณ์แบบเพื่อให้ลูกค้ายังสามารถเลือกซื้อบ้านได้ผ่าน Private tour แบบ VDO call เพื่อต่อยอดการสร้างโอกาสในการขายอย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์นี้

“COVID-19 สร้างจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยในทุกกลุ่มตลาด เป็นตัวเร่งให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคก้าวสู่การตลาดแบบดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเร็วยิ่งขึ้น จนสร้างประสบการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นกลายเป็น new normal ที่ผู้บริโภคยอมรับและคุ้นเคย ที่สำคัญคือแบรนด์ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด” นายชูรัชฏ์ กล่าวเสริม

ทำอย่างไรให้ลูกค้าเลือกซื้อบ้านได้แม้นั่งอยู่ที่บ้านถือเป็นความท้าทายของธุรกิจอสังหาฯ สิ่งนี้คือโจทย์ที่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมืออย่างเข้มข้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะเป็นช่วงที่ส่งผลกระทบในภาพรวมที่หนักที่สุดช่วงนึงจากปัญหา COVID-19

การพัฒนาบริการพิเศษ VIP Video Call & Private Tour ให้ผู้บริโภคสามารถคลิกเข้าชมโครงการได้แบบ 360 องศาผ่านออนไลน์แพลตฟอร์มของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับการตอบรับอย่างมากในช่วง COVID-19 “บริษัทฯ เปิดให้ลูกค้าสามารถลงทะเบียนล่วงหน้า (Pre-registration) เพื่อเยี่ยมชมโครงการผ่านระบบ VDO Call เพื่อนำชมโครงการตามที่ลูกค้าต้องการ เปิดโอกาสให้ลูกค้าสอบถามข้อสงสัยได้แบบ real time เพียงคลิก https://www.lalinproperty.com/visit-vip/  เพื่อลงทะเบียน และกดเลือกโครงการที่ต้องการเยี่ยมชม พร้อมระบุวันและเวลาที่สะดวกในการ VDO Call เจ้าหน้าที่โครงการก็จะติดต่อไปตามวันและเวลาที่นัดหมาย เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้นในช่วง COVID-19”