นักลงทุนญี่ปุ่นสนใจพาร์ทเนอร์ไทยผลิตชิ้นส่วนในนิคมฯ ป้อนโรงงานเพิ่ม

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยหลังหารือเจโทร นักลงทุนญี่ปุ่นยังสนใจลงทุนในไทย เล็งพาร์ทเนอร์ไทยผลิตชิ้นส่วนในนิคมฯ ป้อนโรงงานเพิ่ม พร้อมเป็นตัวกลางช่วยผู้ประกอบการในนิคมฯ และผู้ผลิตได้สร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมร่วมกับนายอัทซึชิ ทาเคทาชิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) โดยเจโทรได้ทำการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยเป็นประจำทุกปี สำหรับผลการสำรวจในครึ่งปีแรกของปี 2564 มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ นักลงทุนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ระบุว่า ยังมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 60% นอกจากนี้ จากปัญหาเรื่องการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการขนส่งระหว่างประเทศที่ทำได้ยากขึ้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าจะใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตไทยมากขึ้น โดยอาจจะลดการนำเข้า เพราะมีความเสี่ยงเรื่องขนส่ง ดังนั้นจึงมองว่าเป็นโอกาสของผู้ผลิตในนิคมฯ เพราะมีความสามารถในการผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งหากประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจนขึ้น ทาง กนอ.จะได้ช่วยให้ผู้ประกอบการได้มีโอกาสหารือกันเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจต่อไป

“จากการที่ กนอ.ได้หารือกับเจโทร พบว่านักลงทุนญี่ปุ่นยังคงมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทย และถึงแม้ว่าจะมีผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกได้ในช่วงครึ่งปีหลัง  แต่ช่วงที่โควิด-19 กลับมาระบาดอีกรอบก็ต้องยอมรับว่า การขนส่งสินค้าจากซัพพลายเออร์ของเขาทำได้ยาก ดังนั้นเขาก็มองว่า ถ้าได้พาร์ทเนอร์ชาวไทยที่ผลิตพวกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนโดยเฉพาะในนิคมฯ ก็จะลดปัญหาเรื่องการขนส่งระหว่างประเทศได้มาก เพราะในนิคมฯ ก็มีผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมที่โดดเด่นต่างกัน เราก็พร้อมให้ความสนับสนุนเต็มที่ อาจจะเป็นในรูปแบบการเจรจาระหว่างผู้ผลิตต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำในแต่ละธุรกิจให้ได้มาหารือกัน ซึ่งถ้ามีโอกาสตรงนั้น กนอ.พร้อมช่วยเป็นผู้ประสาน เพื่อให้เกิดการลงทุนและจ้างงานในนิคมฯ เพิ่มขึ้น”นายวีริศ กล่าว

นอกจากนี้เจโทรยังได้เปิดเผยอีกว่า นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจในนโยบายเศรษฐกิจบีซีจี โดยผู้ตอบแบบสำรวจกว่าครึ่งระบุว่า ยังสนใจสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจชีวภาพ หรือบีซีจี โดยเฉพาะในประเด็นพลังงานสีเขียว เช่น ไฟฟ้าหรือไอน้ำจากพลังงานทดแทน ประเด็นผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงาน เช่น ชิ้นส่วนประหยัดพลังงานในรถยนต์ เซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุที่เกี่ยวข้อง  เซลล์เชื้อเพลิง เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งประเด็น เและการบำบัดหรือกำจัดกากอุตสาหกรรมด้วย

สำหรับภาพรวมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็น 37.36% รองลงมาคือนักลงทุนจากประเทศจีน 8.16% อเมริกา 6.79% สิงคโปร์ 6.78% และไต้หวัน 4.11% ตามลำดับ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง 10.91% รองลงมาคืออุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ 9.97% อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม 8.3% อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ 7.65% อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ 6.6%  ตามลำดับ

XO แย้มไตรมาส 2 จัดทัพซอสส่งออก ลุยส่งมอบได้ตามแผน

XO อัพเดทสถานการณ์ซอสส่งออกใน Q2/64 เดินหน้าตามเป้า แม้มีปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในระหว่างไตรมาส แต่ปัจจุบัน สามารถแก้ปัญหาและส่งออกสินค้าได้ตามแผน ขณะที่ภาพรวมตัวเลขยังดูดี เนื่องจากสินค้ากลุ่มซอส ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มหลักมีอัตรากำลังการผลิตในระดับสูงต่อเนื่อง

นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส น้ำจิ้ม รวมทั้ง เครื่องแกง เครื่องประกอบอาหารไทย เปิดเผยว่า ทิศทางสถานการณ์ซอสส่งออกในไตรมาส 2/64 ผลงานผ่านฉลุย จากการขยายตลาดต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มีออเดอร์ในมือที่รอส่งมอบราว450 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถส่งออกด้ตามแผนสนับสนุนให้ภาพรวมผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ระหว่างทางประสบปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ต่ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ตู้ครบถ้วนและส่งออกได้ตามแผนแล้ว สนับสนุนให้แนวโน้มผลการดำเนินงานจะสามารถทำ All Time High ตามเป้าหมายได้อีกครั้ง ทั้งนี้ จากทิศทางครึ่งปีแรกอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ก็มีโอกาสเสนอทีประชุมบอร์ดพิจารณาการจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตราที่สูงต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้คำนึงถึงความปลอดภัย และห่วงใยในสุขภาพของพนักงานทุกคน จึงรณรงค์ให้พนักงานได้รับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด และปัจจุบันได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว 100% สร้างความปลอดภัยให้องค์กร และสร้างความเชื่อมั่นในการเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่องในอนาคต

ด้าน บทวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุXO ผลงานทำสถิติสูงสดใหม่ตามคาด ประเมินกำไร 2Q21E ทำสถิติสูงสุดใหม่ตามคาดโต +44%เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (YoY) จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท อิง 2021E PER ที่ 23x (เทียบเท่า 5-yr average PER) มีมุมมองเป็นกลางจากการจัดประชุม group conference call เมื่อ 15 ก.ค. 64 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

  1) บริษัทมียอดขาย 2Q21E มากถึง 400 ล้านบาท คิดเป็น 89% ของ backlog ที่ 450 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายสูงสุดรายไตรมาสที่บริษัทเคยทำได้ และมี Utilization rate แตะ 80% เพิ่มขึ้นจาก 1Q21 ที่ 70% ปัจจุบันจ่ายค่า listing fees ไปประมาณ 50%จากงบที่ตั้งไว้ 10-15 ล้านบาท

  2) แนวโน้มยอดขาย 3Q21E ยังอยู่ในแนวโน้มที่ดี ปัจจุบันมียอดขายถึงช่วงปลายเดือน ส.ค.21 ราว 300-350 ล้านบาท นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กัญชงคาดมียอดขายที่จะเข้ามาในช่วงปลาย 3Q21E ราวอีก 3ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เห็นถึง Demand ของผลิตภัณฑ์กัญชงสูงกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับยอดขายเวลาออกผลิตภัณฑ์ใหม่

  3) มีแผนการขยายไลน์การผลิตเพิ่มเติม 1 ไลน์ คาดใช้เงินราว 100 ล้านบาท และจะสามารถเริ่มเปิดไลน์การผลิตได้ในช่วงปลาย 2Q22E ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ราว 600-700 ล้านบาทต่อปี  

คาดกำไร 2Q21E ทำสถิติสูงสุดที่ 132 ล้านบาท (+44% YoY, +26% QoQ) เราประเมินกำไร 2Q21E ที่ 132 ล้านบาท (+44% YoY, +26% QoQ) มีรายได้รวม 2Q21E อยู่ที่ 420 ล้านบาท (+24% YoY, +19% QoQ) และคาด gross profit margin สามารถทำได้ใกล้เคียง 1Q21 ที่ 45% (1Q21 = 45.5%, 2Q20 = 41.8%) เป็นผลจากการ lock ราคาต้นทุนไว้ทั้งปี ทั้งนี้เชื่อว่าบริษัทจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องการขนส่งได้ (เรือและตู้คอนเทนเนอร์)

ทั้งนี้ จึงคงกำไรสุทธิปี 2021E โต 52% YoY คงกำไรสุทธิปี 2021E ที่ 484 ล้านบาท (+52% YoY) โดยเราประเมินว่ารายได้กลุ่มซอสปี 2021E จะโต +30% YoY และยังคงสมมติฐาน gross profit margin ปี 2021E ที่ 45% จากต้นทุนการผลิตที่มีการ lock ต้นทุนบางส่วนต่อเนื่องไปถึงปี 2022E นอกจากนี้ยอดขายที่มาจากกลยุทธ์ใหม่อย่าง listing fee เริ่มเห็นยอดขายเข้ามาตั้งแต่ 1Q21 ซึ่งเร็วกว่าที่เราคาดไว้ที่ 3Q21E และประมาณการกำไรยังมี upside จากผลิตภัณฑ์กัญชง ปัจจุบันยังรอความชัดเจนทางกฎหมายจาก อ.ย.

โดยประเมินราคาเป้าหมาย XO ที่ราคา 26.00บาท อิง 2021E PER ที่ 23x (เทียบเท่า 5-year average PER) โดย XO ปัจจุบันเทรดที่ 2021E PER ที่ 17x และมีอัตราการเติบโต EPS CAGR (2020-2022E) ที่ 31.4% โดยเราประเมินราคาเป้าหมาย PER ที่ 23x มีความเหมาะสมจาความต้องการผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องไปถึงปี 2022E จากกลยุทธ์ใหม่ รวมทั้ง บริษัทได้ทำการล็อกราคาต้นทุนไปจนถึงปีหน้าเรียบร้อยแล้ว และ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะยังสามารถอยู่ในระดับสูง และทำให้ EPS CAGR (2020-2022E) ขยายตัวต่อเนื่องที่ 31.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 24%

SSP เฮ!กดปุ่ม COD โซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น 20 MW รับรู้รายได้ทันที

บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) กดปุ่ม COD โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น “โครงการ LEO 1″ ขนาดกำลังผลิต 20 เมกะวัตต์เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้มีกำลังการผลิตปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 163 เมกะวัตต์  ฟากซีอีโอ “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุทยอยรับรู้รายได้ทันที มั่นใจสนับสนุนผลงานปีนี้โตเข้าเป้า 20% เดินหน้าเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้าพอร์ตเพิ่ม ผลักดันกำลังผลิตไฟฟ้าในมือทะลุ 400 เมกะวัตต์ภายในปี 2567

นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 บริษัทฯได้ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date: COD) ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ในโครงการ LEO 1 มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 20 เมกะวัตต์  ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือเพิ่มขึ้นเป็น 163 เมกะวัตต์จากเดิมอยู่ที่ 143เมกะวัตต์  

ขณะที่บริษัทฯคาดว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ น่าจะเริ่ม COD ในไตรมาส 4/2564 ซึ่งจะช่วยผลักดันกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศสิ้นปี 2564เพิ่มขึ้นเป็น 200 เมกะวัตต์

บริษัทฯสามารถ COD โครงการ LEO 1 ได้ตามแผนงานที่วางไว้ และสามารถรับรู้รายได้ได้ทันที ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผลงานปี 2564เติบโตได้ในระดับ 20% จากปีก่อน ส่วนความคืบหน้าของโครงการโรงไฟฟ้า Leo 2 ขนาดกำลังการผลิต 17 เมกะวัตต์ ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการและคาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายเช่นกัน แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบของเชื้อเพลิงชนิดต่างๆเพิ่มเติม เพื่อผลักดันให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในมือปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 400เมกะวัตต์ ภายในปี 2567″

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าประเภท SPP ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งมีขนาดกำลังผลิตรวม ประมาณ 50 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล (Biomass) โดยพยายามจะมองหาโอกาสเข้าซื้อลงทุนในโครงการต่างๆมากขึ้นมาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า

AMR เปิดเทรดเหนือจอง 18.84%

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น AMR ร่วมแสดงความยินดี กับ มารุต ศิริโก กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอเอ็มอาร์ เอเซีย หรือ AMR พร้อมคณะผู้บริหารบริษัท ในพิธีเปิดทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก ซึ่ง AMR เป็นผู้เชี่ยวชาญระบบขนส่งทางรางเบอร์หนึ่งของเมืองไทย โดยเปิดทำการซื้อขายวันแรก สร้างผลตอบแทนสุดประทับใจ พุ่งเหนือจอง 18.84% เทียบกับราคาไอพีโอ 6.90 บาทต่อหุ้น ตอกย้ำนักลงทุนมั่นใจปัจจัยพื้นฐานธุรกิจ

เมย์แบงก์ กิมเอ็ง โชว์ผลงานครึ่งปีแรกปี 64 กำไร 448.04 ล้าน

บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 448.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 206.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 85.38 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

นายอารภัฏ สังขรัตน์  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 448.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 206.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 85.38 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 241.69 ล้านบาท และสำหรับผลประกอบการในงวดสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 171.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.29 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.07 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 107.02 ล้านบาท  

บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงสำคัญสำหรับผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สำหรับครึ่งปีแรก 2564  ดังนี้ รายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 289.63 ล้านบาท จาก 1,049.51 ล้านบาท เป็น 1,339.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.60 เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 316.35 ล้านบาท จาก 947.19 ล้านบาท เป็น 1,263.54  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.40 อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้นจาก 68,616.75 ล้านบาท/วัน เป็น 98,327.80 ล้านบาท/วัน หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.30 และ สัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัท เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 42.92 เป็นร้อยละ 48.12 อันเป็นผลให้ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคล เพิ่มขึ้นจาก 29,447.68 ล้านบาท/วัน เป็น 47,317.71 ล้านบาท/วัน หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 60.68 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 26.72 ล้านบาท จาก 102.32 ล้านบาท เป็น 75.60 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 26.11 รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 45.10 ล้านบาท จาก 18.91 ล้านบาท เป็น 64.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 238.50 เนื่องมาจากค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 11.91 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มขึ้น 9.39 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นเพิ่มขึ้น 23.80 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 27.61 ล้านบาท จาก 373.89 ล้านบาท เป็น 401.50 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.38 เนื่องมาจาก รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 39.88 ล้านบาท กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 22.23 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 2.68 ล้านบาท ในขณะที่ รายได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากในสถาบันการเงินและพันธบัตรรัฐบาลลดลง 37.18 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564  ถือว่าน่าพอใจและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   แต่ความเชื่อมั่นของตลาดและกิจกรรมการลงทุนยังคงเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้นของลูกค้า  เราจึงได้ขยายขอบเขตผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมหุ้นทั่วโลกและกองทุนระดับโลก และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราจะแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีโครงสร้างและแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนให้แก่ลูกค้าต่อไป”  นายอารภัฏ กล่าวเพิ่มเติม

ช้อปอะไรดี? เค้ก ‘เอส แอนด์ พี’ ของขวัญแทนสายใยรักบอกรักแม่

ต้อนรับเทศกาลวันแม่ ให้เค้ก ‘เอส แอนด์ พี’ เป็นของขวัญแทนสายใยรักจากลูก..ถึงแม่ เอส แอนด์ พี ได้รังสรรค์เค้กแสนอร่อยหลากหลายดีไซน์เฉพาะช่วงโอกาสพิเศษ เพื่อแสดงถึงความรัก ความอบอุ่น และความประทับใจจากลูกถึงแม่ อาทิ เค้กมะลิสื่อรัก / เค้กมะลิร้อยรัก / เค้กเลิฟมัม และเค้กมาลัยแสนสวย

มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ รับส่วนลด 20% เมื่อสั่งจองเค้กล่วงหน้า

ตั้งแต่วันนี้ – 5 สิงหาคม 2564 และรับเค้กได้ตั้งแต่วันที่ 9-12 สิงหาคม 2564 ที่ร้านเอสแอนด์พีทุกสาขา หรือสั่งผ่าน S&P 1344 Delivery สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/snpfood

“ก้อง-สมเกียรติ” เหินฟ้าลุยโมโตทู ออสเตรีย ลั่นคว้าท็อปไฟว์ครึ่งฤดูกาลหลัง

“คิงคองก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดหนึ่งเดียวของไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” บินลัดฟ้าเตรียมสู้ศึกโมโตทู สนาม 10 ที่ออสเตรีย เจ้าตัวเผยความพร้อมร่างกายและจิตใจสมบูรณ์เต็มร้อย ตั้งเป้าเก็บแต้มทุกสนามที่เหลือของปีนี้ ขณะที่บอสฮอนด้ามั่นใจนักบิดไทยทำผลงานยกระดับต่อเนื่อง เชื่อมีลุ้นถึงตำแหน่งท็อปไฟว์ในครึ่งฤดูกาลหลัง

ความเคลื่อนไหวของ “คิงคองก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดดาวรุ่งหนึ่งเดียวของไทยในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบระดับเวิลด์กรังด์ปรีซ์ รุ่นโมโตทู เจ้าของหมายเลข 35 สังกัดทีมแข่งอิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ซึ่งลงแข่งขันแบบเต็มฤดูกาลต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

ล่าสุด เมื่อคืนกลางดึกของวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา นักบิดดาวรุ่งชาวไทยวัย 22 ปี ได้ออกเดินทางสู่ประเทศออสเตรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อสมทบกับต้นสังกัดเตรียมเข้าร่วมการแข่งขันสนามที่ 10 ประจำปีนี้ ที่สนามเรดบูล ริง รายการ สตีเรียน กรังด์ปรีซ์ ระหว่างวันที่ 6-8 สิงหาคมนี้ โดยมี ดร.อารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เดินทางไปส่งและให้กำลังใจถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิ

สมเกียรติ จันทรา กล่าวว่า “การได้กลับมาที่เมืองไทยช่วงพักเบรกครึ่งฤดูกาล ได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ได้พบเจอเพื่อนๆ โดยเฉพาะแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยที่คอยส่งกำลังใจให้อยู่ตลอด ผมรู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบตฯ เติมพลังให้กับตัวเอง ทำให้เพิ่มความมั่นใจได้มากทีเดียว อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลับมาบ้าน ตัวผมเองยังคงทำการฝึกซ้อมตามโปรแกรมของทีม ทั้งการขี่จักรยานและการขี่รถโมโตครอส ซึ่งตอนนี้ความฟิตร่างกายและจิตใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มั่นใจว่าจะสามารถเก็บแต้มทุกสนามที่เหลือตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ครับ”

ขณะที่ ดร.อารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้ สมเกียรติ ยกระดับผลงานมาได้อย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อมั่นว่าศักยภาพของเขาตอนนี้ถือว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกับนักบิดแถวหน้าของโลก ด้วยผลงานครึ่งปีแรกสามารถจบการแข่งขันในตำแหน่งท็อปเท็นมาแล้ว และมีความมั่นใจว่าในครึ่งฤดูกาลหลัง แฟนกีฬาความเร็วชาวไทย มีลุ้นได้เห็นสมเกียรติคว้าท็อปไฟว์แน่นอน ฝากส่งกำลังใจและติดตามเชียร์นักบิดดาวรุ่งหนึ่งเดียวของไทยคนนี้ด้วยครับ”

แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยสามารถติดตามข่าวสารของ “คิงคองก้อง” สมเกียรติ จันทรา พร้อมส่งกำลังใจเชียร์นักบิดหนึ่งเดียวของไทยในศึกโมโตจีพี รุ่นโมโตทู ตลอดฤดูกาล 2021 ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : fb.com/aphondaracingth<http://fb.com/aphondaracingth>

CIG ได้รับการต่ออายุแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันอีก 3 ปี

CIG ปลื้ม!! CAC ได้รับการต่ออายุแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชัน อีก 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.64 โดย พลตำรวจเอกปรุง บุญผดุง ประธานกรรมการบริษัท ระบุช่วยสร้างความมั่นใจให้กับบริษัทคู่ค้าและขยายเครือข่ายธุรกิจโปร่งใสเพื่อลดปัญหาคอร์รัปชัน

พลตำรวจเอกปรุง บุญผดุง ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ซี.ไอ. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CIG ผู้นำด้านอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนสำหรับระบบปรับอากาศและทำความเย็นให้กับแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกเปิดเผยว่าตามที่บริษัทฯ ได้จัดทำแบบประเมินตนเองในเรื่องมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันและได้ยื่นแบบประเมินตนเองไปให้คณะกรรมการแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) พิจารณา

ทางสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการแนวร่วมต่อต้านฯ ได้แจ้งมาว่าในการประชุมของคณะกรรมการแนวร่วมต่อต้านฯ ประจำไตรมาส1/2564 มีมติให้ต่ออายุการรับรองบริษัทฯ เป็นสมาชิกของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย โดยการรับรองดังกล่าวจะมีอายุ 3 ปี นับจากวันที่มีมติให้การรับรอง วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ครบกำหนดอายุการรับรอง 3 ปี ในวันที่ 30 มิถุนายน 2567

“บริษัทฯ ภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการพิเศษร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย โดยล่าสุดทางสมาคมได้มีมติต่ออายุการรับรอง บริษัท ซี.ไอ. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นสมาชิกเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา” พลตำรวจเอกปรุง บุญผดุง กล่าว

โทอะโกเซ ลงนามซื้อขายที่ดินกับ ดับบลิวเอชเอ ขยายฐานการผลิตในเขตอีอีซี

บริษัท โทอะโกเซ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อะคริลิคด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศญี่ปุ่น ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เตรียมขยายฐานการผลิตปัจจุบัน ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 ในจังหวัดชลบุรี พร้อมใช้เทคโนโลยีล่าสุดมาเสริมทัพกำลังการผลิตให้สอดรับกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมจากทั้งในและต่างประเทศ

TRITN แจ้งลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน FPT

บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TRITN แจ้งว่า ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ได้มีมติให้บริษัทใช้สิทธิเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT เกินสิทธิ จำนวนไม่เกิน 10,000,000 หุ้น เป็นเงินไม่เกิน 75,000,000 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณไม่เกินร้อยละ 1 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุนของ FPT ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 บริษัทได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินสิทธิ ทั้งสิ้นจำนวน 10,000,000 หุ้น โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 บริษัทได้ดำเนินการชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวให้กับ FPT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นเงิน จำนวน 75,000,000 บาท

นางสาวหลุยส์ เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า “การเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินสิทธิดังกล่าว บริษัทได้เล็งเห็นโอกาสที่ดีที่จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าทั้งในด้านการลงทุน รวมถึงด้านความสัมพันธ์ในทางธุรกิจต่อไปในอนาคตกับ FPT โดยการเพิ่มทุนในครั้งนี้ FPT มีแผนจะนำเงินไปใช้สำหรับโครงการก่อสร้างท่อขนส่งน้ำมันใหม่ ๆ  ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อบริษัทและต่อสังคม รวมถึงเป็นการช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น สอดคล้องกับนโยบายในการดำเนินธุรกิจของบริษัท”

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (“FPT”) บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (“FPT”) ได้จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2534  เพื่อดำเนินกิจการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อจากโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ผ่านคลังน้ำมันช่องนนทรี โดยขนส่งน้ำมันอากาศยานไปยังคลังน้ำมันดอนเมืองและคลังน้ำมันสุวรรณภูมิให้กับ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (“BAFS”) พร้อมกับขนส่งน้ำมันภาคพื้นดินไปยังคลังน้ำมันบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระยะทางรวม 99 กิโลเมตร ซึ่งตลอดระยะเวลาในการดำเนินกิจการมา กว่า 28 ปี ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแต่อย่างใดอีกทั้งเป็นระบบการขนส่งน้ำมันที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัด ปลอดภัย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รักษาสิ่งแวดล้อม และลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุกน้ำมันในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ต่อมา FPT ได้รับอนุมัติจากกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้ขยายระบบท่อขนส่งน้ำมันและคลังน้ำมันไปภาคเหนือระยะทางรวม 576 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อที่ยาวที่สุดของกลุ่มประเทศอาเซียนโดยโครงการระยะที่ 1 ต่อขยายจากระบบท่อเดิมที่คลังน้ำมันบางปะอินไปยังคลังน้ำมันพิจิตรระยะทาง 367 กิโลเมตร เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562  และโครงการระยะที่ 2 ต่อขยายสถานีเพิ่มแรงดันกำแพงเพชรไปยังคลังน้ำมันนครลำปางระยะทาง 209 กิโลเมตร จะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3/2564

ในส่วนของการเพิ่มทุนของ FPT ในครั้งนี้ FPT มีวัตถุประสงค์หลักจะนำเงินไปใช้สำหรับโครงการระยะที่ 3 ส่วนต่อขยายระบบท่อขนส่งน้ำมันสระบุรี-อ่างทอง ระยะทาง 52 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อบริษัทและสังคม รวมถึงตอบสนองนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมให้ระบบท่อขนส่งน้ำมันเป็น ยุทธศาสตร์หลักสำคัญในด้านการจัดการระบบน้ำมันอันเป็นพลังงานสำคัญของชาติ สร้างความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงาน ส่งผลให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศที่เชื่อถือได้ เอื้อต่อนโยบายการเก็บสำรองน้ำมันทาง ยุทธศาสตร์ของประเทศในระบบคลังน้ำมันส่วนภูมิภาค รองรับการเจริญเติบโตของการบริโภคน้ำมันทางภาคเหนือ อีกทั้งยังช่วยลดอุบัติเหตุ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จากรถบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น สอดคล้องกับนโยบายในการดำเนินธุรกิจของบริษัท