ศรีสวัสดิ์ รุกหนักเพิ่มสาขาบริการใน พีทีที สเตชั่น

บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD รุกหนักจับมือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) เดินหน้าเปิดให้บริการสาขาในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เพิ่มในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ด้านผู้บริหาร ธิดา แก้วบุตตา เชื่อการผนึกกำลังครั้งนี้จะช่วยตอกย้ำการบริการครบทุกเรื่อง ทั้งสินเชื่อและประกันแบบครบจบที่เดียว พร้อมเสิร์ฟความสะดวกสบาย รวดเร็ว ทันใจ ทุกที่ ทุกเวลา ตั้งแต่ 2 สิงหาคมนี้

ธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า ปัจจุบันศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ มีสาขาอยู่ทั่วประเทศกว่า 5000 สาขา ซึ่งแผนการขยายสาขาเข้าไปในสถานีบริการน้ำมันเป็นแนวทางการรุกตลาดและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น โดยได้ร่วมมือกับ โออาร์ เปิดให้บริการสาขาศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ เพิ่มเติมใน พีทีที สเตชั่น จากเดิมที่ได้ทดลองเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมันไปแล้วในพื้นที่ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของศรีสวัสดิ์ เป็นกลุ่มที่ใช้รถทุกประเภทอยู่แล้วและรถทุกคันส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงต้องเติมน้ำมัน ดังนั้นการเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมันโดยเฉพาะ พีทีที สเตชั่น ที่มีจำนวนสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ น่าจะตอบโจทย์ของบริษัทที่ต้องการเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เหมือนลูกค้าไปที่ไหนก็เจอเรา เพราะเราต้องการตอกย้ำการบริการที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็วทันใจทุกที่ โดยลูกค้าที่สนใจสามารถใช้บริการสินเชื่อจำนวนทะเบียนเล่ม และบริการประกันภัยรถทุกประเภท ได้เหมือนสาขาปกติ ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมนี้เป็นต้นไปเพิ่มเติมได้ที่ จ.ลำพูน และ จ.ราชบุรี

สำหรับในอนาคตทางศรีสวัสดิ์อยู่ระหว่างศึกษาพฤติกรรมลูกค้า พร้อมไปกับศึกษาเรื่องพื้นที่ร่วมกันกับ โออาร์ เพื่อให้แน่ใจว่าการเปิดให้บริการในพีทีที สเตชั่น  ตอบโจทย์และตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าหรือไม่ หากมีแนวโน้มไปในทางที่ดี บริษัทก็จะขยายสาขาในสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเติมอีกในอนาคต นอกจากจะมีข้อเสนอดีๆ เกี่ยวกับบริการของทางศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ แล้ว ลูกค้าที่มาใช้บริการทุกคนจะได้รับสิทธิพิเศษจากการใช้บริการจากศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto อาทิ รับส่วนลด On top 100 บาท สำหรับน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ 100% (เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการ) และ ส่วนลด 5% พร้อมส่วนลดค่าเทิร์นแบตเพิ่มสูงสุด 500 บาท สำหรับแบตเตอรี่ทุกรุ่นที่ FIT Auto มีจำหน่าย (ไม่รวมอะไหล่ด่วน) เป็นต้น” ธิดา กล่าวเสริม

โดยลูกค้าที่สนใจใช้บริการ สามารถใช้บริการได้ทั้ง 5 สาขา ได้แก่ สาขาเดิม 3 สาขา ที่ พีทีที สเตชั่น (1) สาขาขุนกระทิง ที่ตั้งเลขที่ 8/5  หมู่ 1 ต.ขุนกระทิง อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร หรือ พีทีที สเตชั่น (2) สาขาบางเดื่อ      ต.บางเดื่อ อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี หรือ พีทีที สเตชั่น (3) สาขาคำตากล้า ที่ตั้งเลขที่ 95 ต.คำตากล้า อ. คำตากล้า จ.สกลนคร และสาขาที่เปิดให้บริการเพิ่มอีก 2 สาขา ที่ พีทีที สเตชั่น (4) สาขาลำพูน-ดอยติ ที่ตั้งเลขที่ 352  ม.2  ต.เวียงยอง  อ.เมืองลำพูน  จ.ลำพูน และ (5) พีทีที สเตชั่น สาขาราชบุรี (สี่แยกห้วยชินสีห์) ที่ตั้งเลขที่ 218  ม.4  ต.อ่างทอง  อ.เมืองราชบุรี  จ.ราชบุรี ทั้งนี้ลูกค้าที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.sawad.co.th และทุกช่องทางการติดต่อสื่อสารของบริษัทฯ หรือโทร. 1652

‘บลูบิค’ ได้ไฟเขียว ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง

บมจ.บลูบิค กรุ๊ป เตรียมเสนอขาย IPO 25 ล้านหุ้น หลังสำนักงาน ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง เข้าระดมทุนใน  ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ชูความเชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาปรับใช้แบบครบวงจร ด้วยทีมบุคลากรคุณภาพ ช่วยปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจและผลักดันการเติบโตให้แก่องค์กรขนาดใหญ่ เดินหน้าเสริมแกร่งทีมงานรองรับการขยายธุรกิจและร่วมมือพาร์ทเนอร์ชั้นนำเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี ตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน 

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า บลูบิค  มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างครบวงจร พร้อมทีมบุคลากรมากประสบการณ์จากบริษัทคอนซัลต์ระดับโลกกว่า 100 คน ที่พร้อมช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันและปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจให้แก่องค์กร  ขนาดใหญ่ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานสู่ยุคดิจิทัลและสร้างการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด โดยปัจจุบันบริษัทฯ มี  5 บริการหลัก ได้แก่

  1. บริการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting)โดยทำหน้าที่ค้นหาปัจจัยความสำเร็จทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า กำหนดทิศทางกลยุทธ์ด้านต่างๆ วิเคราะห์ผลกระทบและโอกาสเชิงเศรษฐศาสตร์จากการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเติบโตอย่างก้าวกระโดด (Exponential Growth)
  2. บริการที่ปรึกษาการบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์(Strategic PMO) โดยทำหน้าที่บริหารโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความซับซ้อนสูงให้กับองค์กรขนาดใหญ่ และเข้าไปวางโครงสร้างระบบไอทีภายในองค์กร
  3. บริการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี(Digital Excellence and Delivery) โดยทำหน้าที่ ให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านดิจิทัลครบวงจรและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับแต่ละองค์กร อาทิ การออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งานและส่วนติดต่อระหว่างผู้ใช้กับระบบ (UX/UI) บนหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
  4. บริการที่ปรึกษาด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Big Data & Advanced Analytics)โดยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยีปัญญา
    ประดิษฐ์ (AI) รวมถึงให้คำแนะนำการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เพื่อนำไปใช้สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
  5. บริการด้านทรัพยากรบุคคลชั่วคราวที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที (IT Staff Augmentation)โดยทำหน้าที่จัดหาพนักงานที่เชี่ยวชาญด้านไอที อาทิ โปรแกรมเมอร์ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อปฏิบัติงานตามกำหนดระยะเวลาจนจบโครงการ

นายพชร กล่าวต่อว่า บลูบิค มีแผนขยายการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตทั้งสิ้น 7 ด้าน ได้แก่ 1. การเพิ่มบุคลากรและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ตลอดจนวางแผนพัฒนาศูนย์การพัฒนาทักษะ (Learning Academy Center) 2. พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Software as a Service หรือ SaaS) รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research and Development Center) 3. เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภายใน ผ่านการยกระดับระบบซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร 4. ขยายพื้นที่สำนักงานรองรับการเพิ่มบุคลากร 5. ชำระเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน 6. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ และ 7. ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องและ มีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตและรับมือความผันผวนของตลาด

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2561 – 2563 มีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งกำไรและรายได้จาก     การขายและให้บริการ โดยมีกำไรสุทธิคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 51.81% ส่วนรายได้จากการขายและให้บริการ อยู่ที่ 132.76 ล้านบาท 184.94 ล้านบาท และ 200.53 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 22.90% ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 มีรายได้จากการขายและบริการ 49.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการทรานส์ฟอร์มองค์กรเพื่อเข้าสู่ดิจิทัลของลูกค้า อีกทั้งบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจในการเป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีกำไรสุทธิ 12.34 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24.78% ของรายได้จากการขายและให้บริการ ซึ่งเติบโตขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิที่ 22.06% ของปี 2563

นายปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK กล่าวว่า บลูบิค เห็นโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลและสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวน ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องเร่งปรับตัวด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านไอทีเข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานสู่ดิจิทัล เพื่อรองรับเป้าหมายการเพิ่มศักยภาพและเร่งการเติบโตภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น บริษัทฯ จึงเดินหน้าขยายทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากบริษัทระดับโลก ซึ่งจะเป็นหัวใจหลักต่อการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง อาทิ Management Consultant, Technology Consultant และ Project Manager ตลอดจนจัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากรและมุ่งเน้นพัฒนาระบบงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในการออกแบบนวัตกรรมเพื่อนำเสนอโซลูชันด้านเทคโนโลยี

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมเปิดรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและต่อยอดสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ล่าสุดได้เดินหน้าความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) เพื่อเติมเต็มนวัตกรรมและศักยภาพด้านดิจิทัลสู่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

ด้าน นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ความคืบหน้าการนำ บมจ.บลูบิค กรุ๊ป เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หลังจากยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 25 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งแล้ว โดยภายหลังได้รับอนุมัติให้เสนอขายหุ้น IPO และแบบ Filing มีผลใช้บังคับ จะกำหนดวันที่เสนอขายหุ้น IPO และคาดว่าจะนำ บมจ.บลูบิค กรุ๊ป เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในปีนี้

ยก “เอ็มโพเรียม-เอ็มควอเทียร์” มาไว้ที่บ้าน!

หลังจากเปิดซีซั่นที่ 4 ด้วยการช่วยผู้ประกอบการร้านอาหารใน EP.1 แล้ว อีพีล่าสุดนี้  LINE SHOPPING X@TuesLIVE ซีซั่น 4 EP.2 กลับมาพร้อมกับความสนุก นำโดย ป้าตือ – สมบัษร ถิระสาโรช และ 2 โคโฮสต์ รัศมีแข และ เกล้า-น้ำพราว มาร่วมดึงความสนุกปลดล็อคความเหงา ให้เราได้ช้อปปปปปป!! เพราะอีพีนี้ ยกห้าง เอ็มโพเรียม และ เอ็มควอเทียร์ มาให้ช้อปแหลกแบบจุกๆ กับเวาเชอร์ส่วนลดพิเศษสไตล์ TuesLIVE ที่พร้อมให้ทุกคนได้ตุน!!! ไว้รอช้อปตอนห้างเปิด โดยสามารถใช้ได้ทั้งห้าง ตั้งแต่ ซูเปอร์แบรนด์, education ยันโซน Dining ที่มาพร้อมดีลราคาที่ดีที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน พร้อมเซอร์ไพรส์โค้ด 1,500 บาท ในไลฟ์เท่านั้น!! เปิดจอรอช้อป พร้อมกัน วันอังคารที่ 3 สิงหาคมนี้ เวลา 17.00 ทาง LINE SHOPPING

มารอบนี้ อย่างที่ ป้าตือ ได้บอกไว้ ว่าเป็น Brand Day ที่จัดเต็มให้แต่ละแบรนด์มามอบความคุ้มค่าให้คนดูจริงๆ โดยครั้งนี้ เป็นคิวของ 2 ศูนย์การค้าชั้นนำ “เอ็มโพเรียม” และ “เอ็มควอเทียร์” ที่ขนเวาเชอร์มาให้แฟนๆ ที่รักการช้อปปิ้งทั้งศูนย์ ได้กด CF กันรัวๆ ผ่าน LINE SHOPPING พร้อมด้วยคูปองส่วนลดที่ลดแล้ว ยังลดอีก กดแก้เหงาเพลินๆ ในช่วงกักตัวแบบนี้ มีโค้ดส่วนลดจาก LINE SHOPPING เพิ่มให้ไปอีก สูงสุดถึง 600 บาท และรับ LINE POINTS จากการซื้อสินค้าไปเป็นส่วนลดในการจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ หรือซื้อสินค้าผ่าน Rabbit LINE Pay ได้แบบ 1 พ้อยท์ = 1 บาท อีกด้วย

ช้อปสะสมทุกสัปดาห์ แล้วลุ้นได้ไปร่วม The Top Shopper Exclusive Trip (เดอะ ท็อป ช็อปเปอร์ เอ็กคลูซีฟ ทริป) สำหรับ 5 ลำดับแรกที่ช้อปสูงสุดใน LINESHOPING X @TuesLIVE ซีซั่น 4 รวมมูลค่ารางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท! รอชมไลฟ์พร้อมกัน! ทุกวันอังคาร เวลา 17.00 น. เพียงแอด @LINESHOPPING และ @TuesLIVE ทางแอพพลิเคชั่น LINE

เมื่อบรรจุภัณฑ์จะไม่ใช่แค่การปกป้องสินค้าอีกต่อไป

ในอนาคตคุณค่าของ บรรจุภัณฑ์ หรือหีบห่อจะไม่ใช่แค่การปกป้องสินค้าหรือนำพาสินค้าไปถึงมือผู้บริโภคอีกต่อไป เพราะสังคมโลกต่างให้ความสำคัญกับการปกป้องโลกใบนี้ คิดค้นทุกวิธีในการลดภาระให้กับโลก จนเกิดเป็น Circular Economy เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความยั่งยืน กลายเป็นแกนสำคัญของการดำเนินธุรกิจในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วยเช่นกัน

ในพิธีเปิด “กิจกรรมส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการจัดการระบบหีบห่อ และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Circular Packaging towards BCG ภายใต้แนวคิด The Future is Circular หนึ่งในโครงการส่งเสริมสินค้านวัตกรรมและแนวคิดสร้างสรรค์ภายใต้กรอบ BCG (Bio-Circular-Green Economy) สู่สากล จัดโดยสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์มาร่วมแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการจัดการระบบหีบห่อ และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนแนวทางการปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการไทย

นายสินชัย เทียนสิริ ผู้อำนวยการสถาบันรหัสสากล (GS 1) อดีตผู้อำนวยการสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และ รีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) เล่าว่า ในยุคแรกบรรจุภัณฑ์ถูกใช้สำหรับการนำสิ่งของไปในพื้นที่ต่างๆ สำหรับการเดินทางไกล หรือการนำไปฝากผู้คน โดยเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้ง (Linear Economy) เนื่องจากทรัพยากรยังมีเพียงพอ จนมาถึงยุคก่อให้เกิดปัญหาขยะจึงเป็นการใช้แล้วนำไปรีไซเคิล (Recycle Economy) แต่กระบวนการนี้ย่อมมีต้นทุน หากพิจารณาแล้วว่าสิ่งนั้นไม่คุ้มค่าก็จะถูกทิ้งภาระให้โลกบำบัดต่อไป จนปัจจุบันเองเมื่อทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ทำให้เกิดแนวคิด 3R คือ Reduce ลดการใช้วัสดุที่รีไซเคิลไม่ได้ หรือใช้วัสดุชีวภาพให้มากที่สุด สามารถนำมา Reuse หรือนำกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด คำนึงถึงการใช้ฟังก์ชั่นอย่างพอเหมาะ ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ได้เพิ่มขึ้น และเมื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้มากที่สุดแล้วจึงนำไป Recycle ต่อไป
การจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ดีนั้นทุกภาคส่วนต้อง Collaboration กัน ร่วมคิด ร่วมทำ และรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค หรือภาครัฐอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการที่ต้องการส่งสินค้าไปต่างประเทศ ต้องคิดวงจรให้จบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง อย่ามองแค่ฟังก์ชั่นการปกป้องสินค้า แต่จะทำอย่างไรให้ปกป้องสินค้าและปกป้องโลกได้ด้วย ตั้งแต่เริ่มออกแบบว่าผลิตจากวัสดุชีวภาพได้หรือไม่ ลดการใช้พลาสติกให้มากที่สุด เมื่อผู้บริโภคซื้อสินค้าไปแล้วจะสามารถใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้อย่างไรบ้าง หลังจากใช้เต็มประสิทธิภาพแล้วจะนำไปทำอย่างไร ไปส่งที่ใดเพื่อรีไซเคิล ผู้ผลิตควรมีรายละเอียดระบุไว้ในบรรจุภัณฑ์เลย เช่น พิมพ์บนกระดาษห่อหมากฝรั่งว่าใช้แล้วนำกระดาษนั้นห่อหมากฝรั่งก่อนทิ้ง การระบุไปบนเนื้อแก้วเลยว่ารีไซเคิลได้ หรือเพิ่มรายละเอียดว่าสามารถนำไปส่งรีไซเคิลที่ไหนได้ เพราะขณะนี้หลายประเทศให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมาก บางประเทศกำหนดเป็นมาตรการการนำเข้าสินค้าเลยทีเดียว ในอนาคตประเด็นนี้อาจจะกลายเป็นกำแพงทางการค้าได้

ด้าน นายทินกร เหล่าเราวิโรจน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์ไทย (ATSI) ได้ให้ข้อคิดเห็นสำหรับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เป็น Smart Packaging ที่สร้างคุณค่าเพิ่มมากกว่าการบอกข้อมูลสินค้า เพื่อประโยชน์ทั้งในแง่ของธุรกิจและต่อผู้บริโภคว่า Smart Packaging นั้นมี 2 ประเภท คือ Active Packaging มักใช้กับสินค้าประเภทอาหาร ซึ่งจะช่วยยืดอายุบนชั้นวางสินค้าให้ยาวนานขึ้น เช่น การใช้วัสดุที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย วัสดุนั้นสามารถดูดซับออกซิเจนได้ ช่วยรักษาคุณภาพอาหาร หรือฟิล์มบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากเลือดหมู ก็จะช่วยรักษาคุณภาพของอาหาร อุณหภูมิ การป้องกันน้ำต่างๆ และ Intelligent Packaging เพื่อสื่อสารกับลูกค้า เช่น สื่อสารด้วยตัวชี้วัด (Indicator) ที่เป็น สี เพื่อบอกถึงความสด ความสุก สำหรับการรับประทาน เพื่อเก็บข้อมูล ทั้งการให้และรับข้อมูลด้วย QR Code, RFID หรือ NFC และเพื่อส่งเสริมด้านการตลาด ช่วยสร้างประสบการณ์กับผู้บริโภค หรือกิจกรรมร่วมสนุกต่างๆ ดังเช่นที่ผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตออแกนิคแบรนด์ YEO จากประเทศอังกฤษ มี QR Code บนกล่องผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้บริโภคได้เห็นวิดีโอเรื่องราวที่มีภาพ เสียง ซึ่งน่าสนใจและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่า

ส่วนแบรนด์ระดับโลกอย่างเนสท์เล่ (Nestlé) ที่ได้เริ่มปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อลดภาระของโลกแล้วในหลายๆ ประเทศ นายจิรพัฒน์ ฐานสันโดษ Market Packaging Manager, Indochina บริษัท เนสท์เล่ ประเทศไทย จำกัด เล่าว่า เนสท์เล่ มีความมุ่งมั่นทางด้านสิ่งแวดล้อม 2 เรื่อง คือ ลดการสร้างมลพิษต่อโลกให้ได้ 100% ในปี 2050 และเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดของสินค้าให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยในข้อสองนี้ได้แบ่งออกเป็น 5 แนวทางการดำเนินงาน คือ

• Reduce ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นและลดปริมาณพลาสติกมากเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนักหรือขนาดของบรรจุภัณฑ์ หรือการกำจัดส่วนประกอบที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภค เช่น การปรับขวดน้ำเป็นรูปแบบใหม่ ตัดสีฟ้าอ่อนบนขวดที่เป็นภาพจำของแบรนด์ออก เลิกใช้พลาสติกซีลที่ฝาขวด หรือการลดใช้สีที่ฝาถ้วยไอศกรีมเพื่อรีไซเคิลง่ายขึ้น

• Reuse & Refill ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมมากขึ้น เพื่อช่วยลดผลกระทบของการใช้แล้วทิ้ง

• Alternative Materials การหาวัสดุทดแทนอื่นๆ ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เช่น ซองช็อคโกแลต smarties เปลี่ยนจากพลาสติกเป็นกระดาษ ถุงบรรจุเนสกาแฟที่เคยเป็นพลาสติกก็เปลี่ยนเป็นถุงกระดาษ เปลี่ยนซองกาแฟเป็นการใช้วัสดุที่เมื่อเผาแล้วหลอมละลายเป็นก้อนเดียวกัน ไม่สร้างภาระแก่โลก เครื่องดื่มไมโลแบบกล่องเปลี่ยนไปใช้หลอดกระดาษ เปลี่ยนกระป๋องกาแฟเป็นอลูมิเนียม 100% และซองไอศกรีมเป็นซองกระดาษ เป็นต้น

• Infrastructure การมองหาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อให้บรรจุภัณฑ์มีการนำไปรีไซเคิลอย่างจริงจัง

• Behavior Change การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการตลาดของเนสท์เล่ ทั้งด้าน การส่งเสริม การโปรโมท การให้ความรู้ เพื่อนำไปสู่การแยกขยะอย่างถูกต้อง เพื่อให้เกิด Circular Economy ที่แท้จริง เช่น ทุกปีที่เนสท์เล่จัดกิจกรรมชิงโชค จะได้รับซองกาแฟเป็นจำนวนมาก ก็จะนำไปทำเป็นโต๊ะเทียมเพื่อบริจาคให้กับโรงเรียนต่อไป การนำขวดน้ำดื่ม (Pet) มาทำเป็นเสื้อเพื่อแจกให้กับพนักงาน หรือการเข้าไปให้ความรู้ในโรงเรียนเกี่ยวกับการคัดแยกและจัดเก็บกล่องนม ยูเอชทีที่ถูกวิธี และการส่งเสริมให้ความรู้พนักงานด้วยกิจกรรม Beach Cleaning เพราะเชื่อว่าพนักงานก็คือผู้บริโภคคนหนึ่งที่สามารถนำความรู้ไปส่งต่อให้กับครอบครัวและคนอื่นๆ ได้

“หลายครั้งที่เมื่อแบรนด์เลือกใช้วัสดุทางเลือกอื่นแล้วทำให้ราคาสูงขึ้น แต่ก็ยังเดินหน้าไปต่อเพราะมองไปถึงประโยชน์แท้จริงที่ทั้งโลกจะได้รับ และการมองหาวัสดุใหม่ๆ นั้นยังเป็นความท้าทายซึ่งผู้ประกอบการจะต้องคำนึงเสมอว่าหากเปลี่ยนแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปใช้แบบเดิมได้ ส่วนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ควรคิดถึงปลายทางสุดท้ายเสมอ ในยุคก่อนๆ จะมองแค่ความชอบของผู้บริโภคหรือการขายสินค้า แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำทุกครั้งคือจะสอบถามไปยังผู้รับซื้อขยะหรือผู้รีไซเคิลว่าถ้าออกแบบแบบนี้จะถูกคัดแยกง่ายไหม นำไปรีไซเคิลได้ไหม ที่สำคัญคือองค์กรต้องรวดเร็วในการรับฟีดแบคจากผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าหลังจากเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์และนำมาปรับให้เร็วที่สุด” นายจิรพัฒน์ ทิ้งท้าย

เมื่อการดูแลและปกป้องโลกเป็นปัจจัยสำคัญของการบริโภคสินค้าทั่วโลกในขณะนี้ ผู้ส่งออกไทยควรเรียนรู้และปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงของโลก แม้จะต้องใช้เวลาและงบประมาณในการเริ่มต้น แต่ผลที่ได้รับคือธุรกิจจะสามารถดำเนินต่อไปได้ในระยะยาว และส่งออกได้อย่างยั่งยืน

บรรยายกาศเสวนาออนไลน์ “แนวโน้มการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการจัดการระบบหีบห่อ และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และแนวทางการปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการไทย”

ท็อปส์ เปิดพื้นที่ส่งความสดจากยอดดอยสู่ชุมชน

จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 รอบใหม่นี้ ได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ผลิตพืชผลต่าง ๆ ทั่วประเทศ  ท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จึงได้ร่วมสนับสนุนการส่งต่อผลผลิตจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภค นอกจากจะเป็นการระบายผลผลิตช่วยเหลือแก่เกษตรกร แล้วยังเป็นการส่งมอบสุขภาพที่ดีแก่ประชาชน โดยตลอดเดือนสิงหาคมนี้ ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์  รวม 59 สาขา และช่องทางท็อปส์ ออนไลน์ ได้จัดเทศกาล “สินค้าโครงการหลวง  ดี อร่อย  ส่งความสด จากยอดดอยสู่ชุมชน” โดยนำพืชผัก สด ๆ ผลไม้อร่อย ๆ และสินค้าแปรรูปหลากหลาย จากโครงการหลวง มาให้ทุกท่านได้ช้อป ตั้งแต่วันนี้ – 31 ส.ค. 2564

ตลอดเดือนสิงหาคมนี้ ทุกท่านจะได้ช้อปผลิตผลภายใต้การดูแลและควบคุมคุณภาพของโครงการหลวง ส่งตรงความสดจากยอดดอยถึงมือผู้บริโภค  ไม่ว่าจะเป็นผักสดที่มีหมุนเวียนทุกสัปดาห์ ได้แก่ ฟักทองญี่ปุ่น ผักโขม มะเขือเทศพันธุ์เนื้อ เบบี้ฮ่องเต้  ยอดฟักซาโยเต้ ลูกฟักแม้ว ถั่วแขก ผักกาดกวางตุ้ง  มะเขือม่วง  แตงกวาญี่ปุ่น  คะน้าฮ่องกง ปวยเล้ง  สลัดคอส , ผักออร์แกนิคนานาชนิด ได้แก่  บีทรูท ปวยเล้ง โอ๊คลีฟเขียว บัตเตอร์เฮด, ผลไม้สดอร่อยดีต่อสุขภาพ ได้แก่ เสาวรส ลูกพลับ  อโวคาโด ฯลฯ  สินค้าแปรรูปโครงการหลวง ได้แก่ ถั่วแดงหลวง งาดำ ข้าวกล้องไก่ป่า ข้าวกล้องเฮงาะเลอทิญ ข้าวกล้องเล่าทูหยา ข้าวดอยซ้อมมือ ควินัว นอกจากนี้ยังมีสินค้าแปรรูปตราดอยคำ ได้แก่ น้ำผลไม้ ผลไม้อบแห้ง ซอสมะเขือเทศ  น้ำผึ้งเกสรดอกลำไย  แยมผลไม้ เครื่องดื่มผงสำเร็จรูป เป็นต้น

ในสถานการณ์โควิด-19 การดูแลรักษาสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น การเลือกซื้อผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ  เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย และยังเป็นการร่วมช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรให้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว  อุดหนุนสินค้าโครงการหลวง ได้ที่ ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ทุกสาขา พร้อมช้อปผ่าน www.tops.co.th ในเทศกาล “สินค้าโครงการหลวง    ดี อร่อย  ส่งความสด จากยอดดอยสู่ชุมชน”  ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 สิงหาคม 2564

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.tops.co.th , เฟซบุ๊ก TopsThailand, Central Food Hall หรือ แอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand

SAPPE เปิดตัวกาแฟปรุงสำเร็จ 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ เจาะเทรนด์ดูแลสุขภาพ

บมจ.เซ็ปเป้ หรือ SAPPE จับพฤติกรรมผู้บริโภคนำ Pain Point ของลูกค้ามาสร้างสรรผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ เปิดตัว ผลิตภัณฑ์ใหม่ กาแฟปรุงสำเร็จแบรนด์ เพรียว คอฟฟี่ สูตรใหม่ “คอลลาเจน ไทพ์ทู” มีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดข้อปวดเข่า เพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูก และแม็กซ์ทีฟ ‘กาแฟถังเช่าสายพันธุ์ทิเบตผสมวิตามินบีรวม’ กาแฟสำหรับผู้ชายที่ต้องการดูแลสุขภาพ เจาะกลุ่มผู้บริโภคกาแฟ 3in1 วางจำหน่ายแล้วผ่านร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ ราคาซองละ 10 บาท 

นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสที่ บริษัทฯ รุกหนักพัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลัง โดยล่าสุดได้เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเจาะตลาดกาแฟปรุงสำเร็จ แบบ 3 in 1 ได้แก่ กาแฟปรุงสำเร็จแบรนด์ เพรียว คอฟฟี่ สูตรใหม่ คอลลาเจน ไทพ์ทู และ แม็กซ์ทีฟ กาแฟถังเช่าสายพันธุ์ทิเบตผสมวิตามินบีรวม พร้อมวางจำหน่ายทั่วประเทศผ่าน 4 ช่องทางหลัก คือ ร้านสะดวกซื้อ, โมเดิร์นเทรด, ร้านค้าปลีก และช่องทางออนไลน์ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนยอดขายของบริษัทฯ ให้เติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง  

สำหรับเพรียว คอฟฟี่ สูตรใหม่ คอลลาเจน ไทพ์ทู เกิดจากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน พบปัญหา (Pain Point) ของกลุ่มผู้บริโภคที่เกิดขึ้นมาจากภาวะปัญหาน้ำหนักตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา รวมทั้งอาการปวดข้อปวดเข่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมักจะใช้วิธีเติมผงคอลลาเจนลงในกาแฟ 3 in 1 ที่รับประทานทุกวัน ประกอบกับหากประเมินภาพรวมตลาดกาแฟควบคุมน้ำหนักในปัจจุบัน ยังไม่มีผู้เล่นรายใดหรือแบรนด์ใดเข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟปรุงสำเร็จ 3 in 1 ในรูปแบบนี้ บริษัทฯ จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาให้ตรงจุด  ด้วยการออกผลิตภัณฑ์กาแฟปรุงสำเร็จแบรนด์ เพรียว คอฟฟี่ สูตรใหม่ คอลลาเจน ไทพ์ทู กาแฟสำหรับคนรักสุขภาพ ด้วยคุณสมบัติของคอลลาเจน เปปไทด์ ไทพ์ทู มีส่วนช่วยบรรเทาอาการเข่าลั่น ปวดข้อ ข้อเข่าติด โดยมีแคลเซียม แอลทีโอเนต เพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูก ซึ่งเป็นแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดีที่สุด ประกอบกับมีโครเมียม อะมิโน แอซิด คีเลต  และไม่ผสมน้ำตาลทราย มีแคลอรีต่ำเพียง 70 Kcal ในราคาซองละ 10 บาท 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่กาแฟปรุงสำเร็จแม็กซ์ทีฟ “กาแฟถังเช่าสายพันธุ์ทิเบตผสมวิตามินบีรวม” เกิดจากกระแสการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่ในปัจจุบันจะมองหาผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น และถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก บริษัทจึงจับกระแสตลาดกาแฟสมุนไพร ด้วยการผสมถั่งเช่าสายพันธุ์ทิเบตและวิตามินบีรวม เพื่อให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากการดื่มกาแฟมากยิงขึ้น โดยกาแฟปรุงสำเร็จแม็กซ์ทีฟ มีวิตามินบีรวม มีส่วนช่วยลดอาการอ่อนเพลีย  ไม่ผสมน้ำตาลทราย ไม่มีคอเลสเตอรอล ในราคาซองละ 10 บาท สามารถดื่มเพื่อสุขภาพได้เป็นอย่างดี  

“เมื่อเราดูจากผลวิจัย พบว่ามีการปรับตัวของผู้บริโภคกาแฟในช่วงวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดกาแฟในปี 2563 เติบโต 10.7% ปัจจัยหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการปรับตัวรับเทรนด์ใหม่ๆ ของผู้ผลิตกาแฟ ทำให้ผู้บริโภคนิยมชงกาแฟดื่มเองมากขึ้น ประกอบกับเราได้ลงลึกถึงรายละเอียดสำคัญในการสำรวจพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย SAPPE จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพรียว คอลลาเจน ไทพ์ทู และกาแฟถังเช่าสายพันธุ์ทิเบตผสมวิตามินบีรวม ตราแม็กซ์ทีฟ ที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นสายสุขภาพ รวมถึงเจาะเข้าถึงกลุ่มตลาดกาแฟควบคุมน้ำหนัก และขยายฐานสู่กลุ่มลูกค้าที่นิยมดื่มกาแฟ 3 in 1” นางสาวปิยจิต กล่าว

โรคแพนิค ภาวะกังวลที่อันตรายกว่าที่คาดคิด

เคยไหมกับการเตรียมตัวเต็มพิกัดก่อนออกไปเผชิญโลกภายนอก แต่พอกลับมาจู่ๆ ก็มีอาการระคายคอ ไอแห้งๆ จากร่างกายสบายเต็มร้อยกลับรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีเหตุผล จนอดคิดไม่ได้ว่าเราออกไปเจออะไรมา หรือ #เราติดยังน๊า!?!

แม้ว่าจริงๆ แล้วสภาพร่างกายของเรายังสามารถโต้รุ่งดูซีรีส์ได้ทั้งคืนเหมือนปกติ แต่ความกังวลที่ก่อเกิดนั้นมันบอกให้เราอุดอู้อยู่แต่บนเตียง พร้อมนึกไปสารพัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาการนี้อธิบายตามภาษาโรคได้ง่ายๆ ว่าเรากำลังเกิดภาวะ ‘โรคแพนิค’ (Panic Disorder) อยู่นั่นเอง

โรคแพนิคไม่ใช่โรคที่ทำให้เกิดอาการน่ากังวล แต่ความกังวลต่างหากที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคนี้ขึ้น ปฏิกิริยาแรกที่เกิดคืออาการตื่นตระหนก ตกใจกลัว ทั้งโรคนี้ยังเกิดได้จากหลายสาเหตุ ใกล้ตัวหลายคนที่สุดคงเป็นบรรดาความเครียดที่ถาโถมเข้ามาต่อเนื่องไม่หยุดพัก ตัวอย่างเช่น ความเร่งรีบในชีวิต การอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือจอมือถือเป็นเวลานาน พักผ่อนน้อย ไม่ออกกำลัง หรือแม้แต่คำสั่งล็อกดาวน์ ก็อาจมีส่วนเป็นเหตุของโรคแพนิคได้เช่นกัน และถ้าไม่นับสาเหตุจากความเครียดแล้ว ผลกระทบที่เกิดกับจิตใจอย่างรุนแรง เช่นการสูญเสีย ความผิดหวัง หรือเหตุการณ์รุนแรงอื่นๆ ที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนได้ จนส่งผลต่อสารเคมีในสมองเสียสมดุลการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติไป ก็เป็นส่วนที่ก่อให้เกิดอาการแพนิคฉับพลันขึ้นได้เช่นกัน และอาจนับรวมถึงเหตุไกลๆ ในปัจจัยด้านพันธุกรรม ที่ผู้ป่วยบางคนมีโอกาสเกิดโรคแพนิคได้มากกว่า เนื่องจากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรควิตกกังวล

แล้วสรุปว่าอาการที่เป็นอยู่นี้ คือโรคแพนิคหรือโรคระบาดล่ะ? จริงๆ แล้วในทางการแพทย์ก็มีแบบประเมินเบื้องต้นให้ลิสต์ดูว่าที่เป็นแพนิคอยู่หรือเปล่า แต่ก่อนที่จะเช็คก็ขอแนะนำให้ผ่อนคลายร่างกายลงบ้างเล็กน้อย เพื่อไม่เพิ่มความกังวลให้กัดกินใจมากที่กว่าที่เป็น

  • มีอาการใจสั่น ใจเต้นแรง หรือใจเต้นเร็วมาก
  • เหงื่อออก
  • ตัวสั่น มือเท้าสั่น
  • หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจติดขัด
  • รู้สึกอึดอัด หรือแน่นอยู่ข้างใน
  • เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก
  • คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน
  • วิงเวียน โคลงเคลง มึนตื้อ หรือจะเป็นลม
  • ครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวสั่น ร้อนวูบวาบ เหมือนจะเป็นไข้
  • รู้สึกชา หรือรู้สึกซ่าๆ (paresthesia)
  • รู้สึกเหมือนสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป (derealization หรือ depersonalization)
  • กลัวคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวเป็นบ้า
  • กลัวว่าตนเองกำลังจะตาย

ในตอนต้นเราเล่าว่าโรคแพนิคไม่ใช่โรคที่ทำให้เกิดอาการน่ากังวล แต่มันจะเป็นอีกกรณีหนึ่ง หากผู้ป่วยมีอาการข้างต้นมากกว่า 4 อาการขึ้นไป รวมถึงอาการยังเกิดขึ้นซ้ำๆ โดยคาดการณ์ไม่ได้ และตามมาด้วยพฤติกรรมทางลบในหลายๆ ด้านเช่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่กล้าใช้ชีวิตประจำวันที่เคยทำเป็นประจำ

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คืออาการของ PANIC ATTACK’ และที่น่ากังวลที่สุดคือสิ่งนี้มักมาพร้อมกับอาการที่น่าเป็นห่วงอื่นๆ ซ้ำยังมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลาราว 1 เดือน (หรือมากกว่านั้น) เช่น โรคกลัวที่ชุมชน (Agoraphobia), โรคกลัวเฉพาะอย่าง (Specific Phobia), โรคกลัวสังคม (Social Phobia) รวมถึงโรคทางจิตเวชอื่นๆ เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือแม้แต่กับโรคซึมเศร้า

แม้อาการครึ่งหลังของโรคแพนิคจะเป็นสิ่งที่น่ากังวล (แบบน่ากังวลจริงๆ) แต่ใช่ว่าโรคนี้จะไม่มีทางรักษา แพทย์หญิงพรทิพย์ ศรีโสภิต ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่าโดยทั่วไป โรคแพนิคจะแบ่งการรักษาออกเป็น 2 วิธี หนึ่งคือการรักษาด้วยยา โดยใช้ตัวยาเข้าไปปรับสมดุลสารสื่อประสาทในสมอง ใช้เวลารักษาประมาณ 8-12เดือน ขึ้นกับปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคในแต่ละตัวบุคคล

อีกวิธีหนึ่งคือการรักษาทางใจ หรือการทำจิตบำบัดประเภทปรับความคิดและพฤติกรรม สามารถทำได้หลากหลายแบบ เช่นพยายามรู้เท่าทันอารมณ์และมีสติบอกกับตัวเองว่าอาการดังกล่าวเป็นเรื่องชั่วคราว สามารถหายได้ หรือใช้วิธีการฝึกฝนเพื่อรักษาอาการในรูปแบบต่างๆ ทั้งการฝึกคลายกล้ามเนื้อ, การฝึกสมาธิ, การฝึกคิดในทางบวก และฝึกหายใจในกรณีผู้มีอาการหายใจไม่อิ่ม โดยให้หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ช้าๆ เพื่อเบนความสนใจของอาการ และทำให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวจนเริ่มผ่อนคลายและอาการค่อยๆ ดีขึ้น

“โดยการรักษาโรคแพนิคให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด คือใช้วิธีการสองด้านทั้งตัวยาและการรักษาจิตใจควบคู่กันไป พร้อมกับมีสติไม่แตกตื่นกับโรคมากเกินไป เพื่อให้ผู้ป่วยหลังการรักษากลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และไม่ต้องกังวลใจกับอาการนั้นๆ อีกต่อไป” คุณหมอพรทิพย์ ให้ข้อมูลสรุป

ติดตามข่าวสารและความรู้ที่น่าสนใจจาก โรงพยาบาลพระรามเก้า เพิ่มเติมได้ทาง Website: www.praram9.com / Line: lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital โรงพยาบาลพระรามเก้า HEALTHCARE YOU CAN TRUST เรื่องสุขภาพ…ไว้ใจเรา

ส่อง 6 แฟชั่นแบรนด์พรีเมียมระดับโลก

เพราะ สไตล์ ไม่เข้าใครออกใคร แต่ละคนมีสไตล์การแต่งตัวเป็นของตัวเอง ทั้ง เรียบ หรู หวาน ขรึม เปรี้ยว ตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันออกไป และการลุกขึ้นมาแต่งตัว มิกซ์แอนด์แมทช์ ก็เป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี แม้ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้เราไม่ได้ออกไปแฮงเอาท์กันได้ตามสะดวก แต่ถ้ามีไอเทมตัวเด็ดเก็บไว้เป็นคอลเลคชั่น อัพลงโซเชียลก็ดีต่อใจ ปั๊วะปังได้สุดเช่นกัน ฉะนั้น ช้อปปี้ ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ในฐานะจุดหมายปลายทางของสินค้าแฟชั่นสำหรับนักช้อปทุกเพศทุกวัย เล็งเห็นถึงพฤติกรรมนักช้อปสายแฟทั้งหลาย ทั้งสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมอบประสบการณ์ช้อปออนไลน์เหนือระดับกับ ช้อปปี้ พรีเมียม ราวกับยกห้างสรรพสินค้าที่ครบครันด้วยที่สุดของแบรนด์พรีเมียมทั้งไทยและเทศมารวมไว้บนแพลตฟอร์ม โดยช้อปปี้เดินหน้าแท็กทีม 6 แฟชั่นแบรนด์ดังระดับตำนานบน ช้อปปี้ พรีเมียม นำทัพความปังโดย Polo Ralph Lauren, Calvin Klein, Rado, Moschino, COCCINELLE, VALENTIER พร้อมส่งไอเทมในคอลเลคชั่นสุดเลอค่ามาเอาใจนักช้อปสายแฟทุกสไตล์ ให้สนุกไปกับการมิกซ์แอนด์แมทช์ เสื้อผ้า แอคเซสเซอรี่ ผ่านแคมเปญ  Shopee 8.8 Crazy  Flash Sale ลดเดือด ที่ขนทัพแบรนด์แฟชั่นชั้นนำบน ช้อปปี้ พรีเมียม และร้านค้าชั้นนำที่มาพร้อมดีลสุดหรู โปรสุดปัง ตั้งแต่วันที่ 5 – 8 สิงหาคม 2564

เริ่มต้นกันด้วยแบรนด์ Polo Ralph Lauren แบรนด์ดังระดับโลกในตำนาน รังสรรค์ความพิถีพิถันโดย โปโล ราฟ ลอเรนซ์ ดีไซเนอร์แบรนด์สัญชาติอเมริกันถือกำเนิดในปี 1967 ด้วยเสื้อผ้าของคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย ซึ่งเน้นสไตล์เรียบง่าย แต่คงความคลาสสิคตลอดกาล ไม่ว่าจะออกคอลเลคชั่นไหนมา ก็เป็นที่ถูกใจเหล่าคลาสสิค เลิฟเว่อร์เป็นอย่างมาก และสำหรับไอเทมที่ Polo Ralph Lauren  แนะนำในช่วงเวลานี้ เรียกได้ว่าแฟนๆ ต้องหลงใหลกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวผ้าลินิน เอกลักษณ์ตามสไตล์ Polo Ralph Lauren พิมพ์ stripe สีเทา พร้อมด้วยโลโก้ Pony บริเวณหน้าอกเสริมลุคหล่อ สุขุมไปอีกขั้น

Calvin Klein ของดีไซเนอร์แบรนด์ชาวอเมริกันที่ โด่งดังมาจากการออกแบบเสื้อผ้า ทั้งเสื้อผ้าฃสไตล์สปอร์ต ยีนส์ ชุดสูท รวมทั้งชุดชั้นใน ก่อตั้งในปี 1968 ซึ่งเป็นที่โดดเด่นจากการออกแบบชุดชั้นในที่มีขอบ เป็น Font Logo Calvin Klein รวมทั้งยังปฏิวัติวงการยีนส์ในช่วงยุคการออกแบบยีนส์ ทรงเข้ารูป พร้อมกับสโลแกนที่ว่า “Nothing between me and my Calvin” เห็นแบบนี้แล้วหนุ่มๆ สายแฟสุดเท่ ต้องมียีนส์เดนิมดีๆ อย่าง กางเกงยีนส์ผู้ชาย Calvin Klein Slim Fit ก็เป็น ไอเทมฮิตที่หนุ่มๆ ต้องมีติดตู้ไว้

Rado (ราโด้) เป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาชั้นนำที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มีชื่อเสียงในด้านการดีไซน์ ด้านนวัตกรรมและการใช้วัสดุเชิงปฏิวัติเพื่อสร้างนาฬิกาที่สวยและทนทานที่สุดในโลก นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1917 ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมทั้งเป็นหนึ่งแบรนด์ดังที่ครองใจหนุ่มสาวอย่างแพร่หลาย โดยคอลเลคชั่นนาฬิกาที่หนุ่มๆ ห้ามพลาดเพราะถือเป็นคอลเลคชั่นใหม่ เน้นความหล่อสปอร์ต สุดหรู อย่าง RADO Captain Cook High-Tech Ceramic นาฬิกาข้อมือ รุ่น R32127162 ให้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างมีระดับ เมื่อ DNA ของ RADO อยู่บนข้อมือคุณ โดยรุ่นนี้นำนวัตกรรมไฮเทคเซรามิกมาหล่อเป็นตัวเรือนแบบชิ้นเดียว คุณสมบัติป้องกันรอยขีดข่วนและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ส่วนภายในมาพร้อมกลไกระดับพรีเมี่ยมของแบรนด์ อย่าง คาลิเบอร์ (Calibre) R734 และขดลวดขนาดเล็ก Nivachron™️ Hairspring ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมอันยอดเยี่ยมของ Rado เพราะมีคุณสมบัติช่วยปกป้องนาฬิกาจากสนามแม่เหล็กรอบๆ ตัวในชีวิตประจำวันของเราได้อีกด้วย

สาวแฟชั่นนิสต้า ห้ามพลาดกับ “VALENTIER” แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง ผสมผสานความหวาน ความเซ็กซี่ และความสมาร์ทอย่างลงตัว ที่จะช่วยเติมเต็มคุณให้สวยในทุกๆโอกาส และสำหรับคอลเลคชั่นที่ทาง “VALENTIER” เนรมิตให้คุณสวยหวานยิ่งขึ้น ด้วย Lily Of The Valley Chiffon Blouse เสื้อแขนยาวผ้าชีฟองพิมพ์ลายดอกลิลลี่แห่งหุบเขา แต่งระบายช่วงแขน ดีเทลโบว์ผูกข้อมือ ช่วงไหล่และปลายแขนตัดต่อผ้าลูกไม้ทอบาง ผ้านิ่ม ลื่น ใส่สบาย เหมาะกับหลายโอกาส จะใส่ในวันสบายๆ หรือจะใส่ออกงานก็ได้เช่นกัน เห็นแบบนี้แล้วสาวๆ ไม่ควรพลาดที่จะมีไว้มาประดับตู้เสื้อผ้า มีโอกาสใส่เมื่อไหร่รับรองเสริมลุคสวยดุจเจ้าหญิงอย่างแน่นอน

Moschino (มอสชิโน่) อีกหนึ่งแบรนด์พรีเมียมชั้นนำสัญชาติอิตาเลียน ที่สาวๆ หลายคนหลงใหล ด้วยภาพลักษณ์แบรนด์ที่หรูหราและยังแฝงไปด้วยเอกลักษณ์ความสร้างสรรค์ สนุกสนานและขี้เล่น จึงทำให้แบรนด์โดดเด่นและเป็นที่นิยมจนถึงทุกวันนี้ โดยไอเทมที่นักช้อปสายแฟขาดไม่ได้เลย คือ แว่นกันแดด Moschino Round Frame จากคอลเลคชั่น Teddy Bear ที่ผสมผสานความมีเสน่ห์และความขี้เล่นของแบรนด์ได้อย่างลงตัว ด้วยดีไซน์ของโครงโลหะที่มีน้ำหนักเบา ทำให้สวมใส่สบายและยังทนทาน มาพร้อมกับแมสคอตตุ๊กตาหมี Teddy เสริมเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างลงตัว

อีกหนึ่งแบรนด์กระเป๋าหนังสุดหรูครองใจสาวๆ อย่าง COCCINELLE (ค็อกชิเนลเล่) แบรนด์เครื่องหนังคุณภาพจากอิตาลี ที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานนวัตกรรมใหม่รวมกับความประณีตดั้งเดิม ตลอดจนการค้นคว้าวัสดุและเทคนิคการผลิตใหม่ๆ อยู่เสมอ อีกทั้งบรรดาเจ้าแม่แฟชั่นแห่งวงการก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย ด้วยดีไซน์ และคุณภาพของการใช้งานใช้ได้กับหลากหลายโอกาส เป๊ะ ปัง มากที่สุด วันนี้เราจึงแนะนำกระเป๋าที่ทุกคนต้องมี อย่าง COCCINELLE ALBA 150101  คอลเลคชั่นใหม่ที่มีรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมสายหนังที่มีการตัดเย็บอย่างดี ขนาดกระทัดรัด เหมาะกับการใช้งานในทุกวัน

นักช้อปสายแฟคนไหน อดใจไม่ไหวกับสินค้าแบรนด์ดังระดับพรีเมียมที่ช้อปปี้พามาส่องแล้ว อยู่บ้านคุณก็สามารถเข้าช้อปปี้มาช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์ดังได้ก่อนใคร กดใส่ตระกร้า เตรียมตัวให้พร้อม ออกจากบ้านเมื่อไหร่ เป็นอันว่าเรา สวย หล่อสมบูรณ์แบบราวกับหลุดออกมาจากรันเวย์กันเลยทีเดียว งานนี้นอกจากช้อปปี้พาชมแบรนด์ดังและคอลเลคชั่นสุดปังแล้ว ก็ยังมีดีลสุดคุ้มค่าจากแบรนด์ดังทั้งไทยและเทศ บน ช้อปปี้ พรีเมียม อาทิ Polo Ralph Lauren, Calvin Klein, Rado, Moschino, COCCINELLE, VALENTIER, FURLA, Ray-Ban, TOMMY HILFIGER, Patinya และอีกมากมายที่จะขนกองทัพไอเทมเด็ดมามอบให้นักช้อปสายแฟแบบจัดเต็ม ตั้งแต่วันที่ 5 – 7 สิงหาคม 2564 พบกับส่วนลดสูงสุด 80% พร้อมเก็บโค้ดลดเพิ่มสูงสุด 2,600 และ โค้ดรับเงืนคืน 20% coins เพื่อเตรียมช้อปในวันที่ 8 เดือน 8

เช็ค เอ้าท์ แคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale ลดเดือด ที่ส่งดีลลดสุดโหดมาให้นักช้อปชาวไทยได้เพลิดเพลินสินค้าครอบคลุมทุกหมวดหมู่ ด้วย โปรโมชั่น Flash Deals ลดสูงสุด 88% โค้ดลดสูงสุด 888 บาท และโปรโมชั่นส่งฟรี ขั้นต่ำ 0 บาท พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษเมื่อชำระเงินผ่าน ShopeePay ตั้งแต่วันนี้ – 8 สิงหาคม 2564 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shopee.co.th/m/8-8

แนะนั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด–19 ในปัจจุบันทำให้หลายคนจำเป็นต้องทำงานที่บ้าน (Work from home) แต่ทราบหรือไม่ว่าการนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมนานๆ โดยไม่ขยับหรือเปลี่ยนอิริยาบถ  รวมถึงการนั่งอย่างที่ไม่เหมาะสม อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลังจากการนั่งผิดท่าเป็นระยะเวลานาน และอาจลุกลามจนเป็นออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) ได้โดยไม่รู้ตัว แบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผมจากสารสกัดธรรมชาติ ‘ธัญ’ (THANN) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด กภ.บุญญาพร เลิศวัฒนกิตติ มาแนะ “นั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) พร้อมเทคนิคการนวดผ่อนคลายตัวเองระหว่างการทำงานที่บ้าน” กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างความผ่อนคลาย อาทิ ‘ไทม์ ทู รีเฟรช’ (Time to RefreshTM), ‘ก้านไม้หอม’ (Aroma diffuser), ‘บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์’ (Bath & Massage Oil)  และ ‘บอดี้ บัตเตอร์’ (Body Butter) ร่วมกับเซเลบริตี้สาวสวยมาเผยเคล็ดลับการสร้างความผ่อนคลายระหว่างทำงานอยู่ที่บ้านตามแบบฉบับของตนเอง อาทิ ปณิตา ศรไทยเทวา, ศิตา ชุติภาวรกานต์ และ สิรี วงศ์รักมิตร

กภ.บุญญาพร เลิศวัฒนกิตติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด ได้แนะนำการจัดท่านั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม พร้อมเทคนิคการนวดผ่อนคลายตัวเองระหว่างการทำงานที่บ้าน ว่า “ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)  คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) รวมถึงอาการปวดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อและเอ็น (Tendinitis) และอาการปวดชาจากปลายประสาทที่ถูกกดทับบริเวณหลัง บ่า คอ ศีรษะ แขน และข้อมือ อาการเหล่านี้มักพบได้บ่อยกับกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่นั่งทำงานในท่าเดิมนานเกินไป โดยไม่มีการขยับปรับเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ ซึ่งอาการในระยะแรกนั้นอาจไม่รุนแรงมากเหมือนเป็นการปวดธรรมดาทั่วไป หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นโรคปวดเรื้อรังได้

การจัดท่านั่งที่ถูกต้องในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

  • ศีรษะตั้งตรง ไม่ยื่นคอ เก็บคาง ไม่หนีบโทรศัพท์คุย
  • ตา อยู่ระดับเดียวกับหนาจอ ห่างประมาณ 45-60 ซม.
  • หลัง นั่งหลังตรง พิงพนักเล็กน้อย
  • ต้นขาและสะโพก นั่งบนเบาะให้เต็มก้น และขนานกับพื้น
  • ข้อมือและแขน อยู่ระนาบเดียวกกับแป้นพิมพ์ หากใช้เม้าส์ควรมีที่รองข้อมือ
  • ข้อศอก แนบลำตัว งอศอกทำมุม 90-120 องศา
  • ไหล่ ไม่ยกและปล่อยแขนช่วงบนตามธรรมชาติ
  • หัวเข่า ควรอยู่ระดับเดียวกับสะโพก ให้ปลายเท้าวางล้ำไปข้างหน้าเล็กน้อย
  • เท้า วางแนบพื้น หากความสูงของโต๊ะไม่พอดี ควรใช้กล่องหรือที่รองมาไว้วางเท้า

คนส่วนใหญ่ที่นั่งทำงานทั้งวันมักมีอาการปวดหลังส่วนบนและส่วนล่างตามมา สาเหตุจากท่านั่งที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการนั่งท่าใดท่าหนึ่งนานจนเกินไป ดังนั้นควรแก้ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบททุก 1 ชั่วโมงด้วยท่าที่เหมาะสม ได้แก่

  • ผสานมือทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงขึ้นไปเหนือศีรษะ ยืดตัวค้างไว้ 10 วินาที ทำติดต่อกัน 5 ครั้ง จะช่วยฝึกยืดตัวระหว่างนั่งทำงาน
  • นำมือทั้ง 2 ข้างท้าวเอวแล้วหมุนสะโพกไปข้างหลัง สลับกันซ้าย-ขวา ทำซ้ำ 20 ครั้ง จะช่วยให้กระดูกสันหลังยืดยุ่นตัวมากขึ้น ช่วยลดอาการปวดหลังได้
  • เก็บคางเข้าหาแนวกลางลำตัวค้างไว้ 5 วินาที ทํา 10 ครั้ง จะช่วยลดภาวะคอยื่นไปข้างหน้า

นอกจากนี้ยังมีวิธีผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกายจากอาการเมื่อยล้า โดยสามารทำได้ดังนี้

  • ยืนตัวตรงชิดกําแพง พยายามให้ศีรษะ ไหล่ และหลัง ชิดติดกําแพงให้มากที่สุด ยกแขนขึ้นทํามุมตั้งฉาก ผ่อนบ่าสบายๆ ให้รู้สึกเกร็งบริเวณสะบักด้านหลังค้างไว้ 10 วินาที  ทําซํ้า 10 ครั้ง  จะช่วยลดการเกร็งของคอ บ่าและไหล่
  • ยืนก้มตัวหันหน้าเข้าหากำแพงในระยะห่างที่พอดี โน้มตัวไปข้างหน้าโดยใช้มือยันกําแพงไว้ และปล่อยตัวลง  ค้างไว้ 10 วินาที ทําซํ้า 5-6 ครั้ง จะช่วยยืดกล้ามเนื้อด้านหน้า และลดภาวะหลังค่อม
  • นั่งไขว้ขาข้างขวาเหมือนท่านั่งไขว่ห้าง แล้วหมุนลําตัวด้านบนไปทางขวาค้างไว้ 10 วินาที  ทํา 5-6 ครั้งแล้วสลับข้าง จะช่วยลดอาการปวดเมื่อยหลังและสะโพก
  • นั่งไขว้ขาข้างขวาเป็นเลข 4 แล้วก้มตัวลงไปด้านหน้าค้างไว้ 10 วินาที  ทํา 5-6 ครั้งแล้วสลับข้าง  จะช่วยลดอาการปวดหลัง, สะโพกและก้น

ภาวะออฟฟิศซินโดรมนั้น นอกจากจะมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานด้วยท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยร่วม คือ “ความเครียด” จากการทำงาน ดังนั้นจึงควรหาเวลาผ่อนคลายทางด้านอารมณ์ระหว่างการทำงานด้วยการใช้กลิ่นหอมบำบัด (Aromatherapy) จากน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ อาทิ ไทม์ ทู รีเฟรช และ ก้านไม้หอม นอกจากนี้การทำสปาด้วยตัวเองที่บ้านด้วยการแช่ตัวในน้ำอุ่นที่ผสมบาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์ หรือการนวดตัวด้วยบอดี้ บัตเตอร์ ร่วมกับท่านวดเพื่อความผ่อนคลาย นอกจากจะช่วยคลายกล้ามเนื้อและความเครียดแล้ว ยังสามารถบำรุงผิวให้เนียนุ่มชุ่มชื้นไปพร้อมกันได้”

ธัญ (THANN) ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม ผสานคุณค่าแห่งพืชพรรณจากแหล่งธรรมชาติชั้นดีทั่วโลกและเทคโนโลยีอันทันสมัย ตลอดระยะเวลากว่า 19 ปีที่ผ่านมา ‘ธัญ’ (THANN) มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ธรรมชาติผสานเทคโนโลยีชั้นนำ ผ่านการทดสอบจากสถาบันวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง Spincontrol Asia Co.,Ltd. (France), Skinnova Lab Co.,Ltd. และ Dermscan Asia อาทิ Dermatological test, Irritation test และ Efficacy test เพื่อยืนยันในคุณภาพและประสิทธิภาพเพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม และครั้งนี้แบรนด์ ธัญ (THANN) ได้แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีจำหน่ายในร้านและเคาน์เตอร์ ธัญ (THANN) กว่า 100 สาขาในทวีปเอเชีย อเมริกา และยุโรป ไทม์ ทู รีเฟรช (Time to RefreshTM) ขนาด 15 มล. ราคา 410 บาท เติมความสดชื่นระหว่างวัน ด้วยส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 8 ชนิด อาทิ เกล็ดสาระแหน่ (Menthol), ยูคาลิปตัส (Eucalyptus),  เปปเปอร์มินท์ (Peppermint), เลมอน (Lemon peel oil), โรสแมรี่ (Rosemary ), กานพลู (Clove), พริกไทยดำ (Black Pepper ) และจันทน์เทศ (Nutmeg) เนื้อเจลบางเบา สูตรเย็น มอบคุณค่าการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วย     ออแกนิค เชียร์บัตเตอร์ (Organic shea butter), ออแกนิค โกโก้บัตเตอร์ (Organic cocoa butter), ออแกนิค โจโจ้บา ออยล์ (Organic jojoba oil) และออแกนิค อาร์แกน ออยล์ (Organic argan oil)

ก้านไม้หอม (Aroma diffuser) ขนาด 150 มล. ราคา 1,450 บาท มอบกลิ่นหอมนุ่มนวลจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานได้มากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ตกแต่ง และสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น โต๊ะทำงาน หรือห้องนอน มีให้เลือก 5 กลิ่น อาทิ อะโรมาติก วูด ( Aromatic wood), โอเรียนทอล เอสเซ้นซ์ (Oriental Essence), อีสเทิร์น ออร์ชาร์ด (Eastern Orchard), อีเดน บรีซ (Eden Breeze) และ เอิร์ลเกรย์ อินฟิวชั่น (Earl Gray Infusion)

บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์ (Bath & Massage Oil) ขนาด 295 มล. ราคา 990 บาท เติมเต็มความชุ่มชื้น คืนชีวิตชีวา   สู่ผิว ด้วยคุณค่าการบำรุงของน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ อาทิ น้ำมันรำข้าว (Rice Bran Oil), น้ำมันอโวคาโดออแกนิค (Organic Avocado oil), น้ำมันดาวอินคาออแกนิค (Organic Inca Inchi oil) และน้ำมันมะกอก (Olive oil) มอบความชุ่มชื้นสู่ผิวได้ยาวนาน พร้อมมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงประสิทธิภาพ สูตรบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่อุดตันรูขมุขน พร้อมกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ มีให้เลือก 6 กลิ่น คือ กลิ่นอะโรมาติก วูด (Aromatic Wood) เติมเต็มความเบิกบาน มีชีวิตชีวาด้วยส่วนผสมของ ส้ม จันทน์เทศ ส้มแทงเจอรีน และไม้จันทน์,  กลิ่นโอเรียนทอล เอสเซ้นซ์ (Oriental Essence) สดชื่นเบาสบายด้วยกลิ่นอายแห่งโลกตะวันออกด้วยส่วนผสมของตะไคร้และมะกรูด, กลิ่นอีเดน บรีซ (Eden Breeze) ให้ความสงบสมดุล แฝงความอบอุ่นอ่อนหวานด้วยส่วนผสมของดอกมะลิและดอกกุหลาบ, กลิ่นอีสเทิร์น ออร์เชิร์ด (Eastern Orchard) สดชื่นรื่นรมย์ด้วยส่วนผสมของส้มยูซุ  มะนาว น้ำมันหอมระเหย และดอกมะลิ, กลิ่นสปริง ฟอเรสต์ (Spring Forest)  สะอาด สดชื่น มีชีวิตชีวาด้วยส่วนผสมของหญ้าแฝก เมล็ดถั่ว และเจอราเนียม และกลิ่นลาเวนเดอร์โรสแมรี่ (Lavender & Rosemary)  ที่มอบความผ่อนคลายด้วยส่วนผสมของดอกลาเวนเดอร์และดอกโรสแมรี่

บอดี้ บัตเตอร์ (Body Butter) ขนาด 350 มล. ราคา 1,550 บาท ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายสูตรเสริมประสิทธิภาพที่ให้มากกว่าความชุ่มชื้น คืนความเรียบเนียนสู่ผิว ผิวเรียบเนียนขึ้น 19%*, ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น 22.9%** แม้เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง รวมถึง 90% ของผู้ทดสอบผิวมีความกระจ่างใสขึ้น*** ด้วยส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาตินานาชนิด อาทิ สารสกัดอานุภาคขนาดเล็กจากใบชิโซะ (Nano shiso extract), สารสกัดจากจมูกข้าวบาร์เลย์ (Barley extract), เมล็ดเชียบัตเตอร์ออแกนิค (Organic Shea Butter), โจโจ้บา ออยล์ ออแกนิค (Organic Jojoba oil), น้ำมันมะพร้าวออแกนิค (Organic Coconut oil), น้ำมันรำข้าว (Rice bran oil), สารสกัดอานุภาคขนาดเล็กจากบุทเชอร์บรูม (Butcher]s broom extract), สารสกัดมิลค์ทิสเทิล (Milk  Thistel extract), สารสกัดจากสนหางม้า (Horsetail extract), สารสกัดจากสาหร่ายทะเล (Bladderwrack extract), สารสกัดจากสาหร่ายเคลป์ (Kelp extract), สารสกัดจากใบไอวี่ (Ivy extract) และ สารสกัดจากรากชะเอมเทศ (Licorice extract) โดยแนะนำให้ใช้ควบคู่กับการออกกำลังกายจะช่วยให้ผิวกระชับและเรียบเนียนน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น

ด้าน เซเลบริตี้ต่างร่วมทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมเผยเคล็ดลับการสร้างความผ่อนคลายระหว่างทำงานอยู่ที่บ้านตามแบบฉบับของตนเอง เริ่มที่ ปณิตา ศรไทยเทวา เล่าว่า “การเวิร์คฟอร์มโฮมก็มีข้อดีตรงที่ช่วยให้เราประหยัดเวลาในการเดินทาง สามารถมีเวลาทำงานเยอะขึ้น เราจึงจัดสถานที่สำหรับนั่งทำงานที่บ้านโดยเลือกห้องที่มีแสงธรรมชาติส่องถึง สามารถมองเห็นท้องฟ้าหรือต้นไม้ได้ เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีระหว่างการทำงาน โดยไม่ควรนั่งทำงานในท่าเดิมเกิน 1-2 ชั่วโมง และหมั่นขยับร่างกายเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ สลับกับการลุกเดินประมาณ 5-10 นาที เนื่องจากหากเรานั่งนานๆ ก็จะทำให้ปวดหลัง ส่วนเคล็ดลับการสร้างความผ่อนคลายระหว่างการทำงาน หรือเวลาที่คิดงานไม่ออก เราจะมีตัวช่วยอย่างการนวดขมับด้วยไทม์ ทู รีเฟรช รวมถึงการสร้างบรรยากาศความผ่อนคลายด้วยก้านไม้หอมซึ่งเราจะวางไว้ทุกห้อง ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นด้วยกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ พอหมดวันก็จะผ่อนคลายด้วยการแช่น้ำอุ่นที่ผสมบาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์ กลิ่นลาเวนเดอร์โรสแมรี่ นอกจากจะได้ผ่อนคลายจากกลิ่นหอมแล้ว ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวเราได้เป็นอย่างดี เพราะการแช่น้ำอุ่นนานๆ ผิวอาจสูญเสียความชุ่มชื้นและทำให้ผิวแห้งได้ง่าย หลังจากอาบน้ำเสร็จก็จะบำรุงผิวด้วยบอดี้ บัตเตอร์ ทุกครั้ง เพื่อผิวจะได้ไม่แห้งกร้านและยังคงความชุ่มชื้นอย่างมีสุขภาพดี”

ถัดมาที่ ศิตา ชุติภาวรกานต์ เล่าว่า “ตั้งแต่ที่ต้องปรับเปลี่ยนการทำงานมาเป็นเวิร์คฟอร์มโฮม ทำให้เราต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่าอยู่ที่บริษัท ไม่ว่าจะเป็นการประชุม ตรวจงาน รวมถึงให้คำปรึกษากับพนักงานที่มีข้อสงสัยหรือต้องส่งงานให้กับเราตลอดทั้งวัน ดังนั้นเราจึงเน้นให้ความสำคัญกับการจัดท่านั่งให้เหมาะสม หากเรานั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลังได้ พอหมดวันมีหลายครั้งที่รู้สึกปวดเมื่อย อ่อนล้าทั้งหลังและสายตา เราก็จะใช้วิธีนวดกดเบาๆ ตามจุดต่างๆ แต่การนวดเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้ความเครียดและความเหนื่อยล้าหายไปได้ เราจึงต้องมีตัวช่วยอย่างการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการผ่อนคลายร่วมด้วย อย่างวันไหนที่ต้องประชุมหลายงานติดต่อกันก็มักจะเติมความสดชื่นระหว่างวันด้วยไทม์ ทู รีเฟรช ซึ่งสะดวกและง่ายต่อการพกพา สามารถหยิบใช้งานได้ตลอดวัน รวมถึงสร้างบรรยากาศความหอมภายในห้องด้วยก้านไม้หอม พอหมดวันก็จะแช่ตัวในน้ำอุ่นที่ผสมบาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์ เพื่อคืนความมีชีวิตชีวาด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักทั้งวันได้”

สิรี วงศ์รักมิตร

ปิดท้ายที่ สิรี วงศ์รักมิตร เผยว่า “มิ้งทำงานเป็นหมอเฉพาะทางด้านโภชนาการ พอเลิกจากงานประจำก็ต้องกลับมาเวิร์คฟอร์มโฮมต่อ เพราะต้องเตรียมพรีเซ้นต์งานควบคู่กับการทำงานวิจัย ซึ่งเวลาส่วนใหญ่แต่ละวันจึงหมดไปกับการทำงาน ดังนั้นห้องทำงานของมิ้งที่บ้านก็จะจัดบรรยากาศให้เหมาะสมกับการทำงาน เช่น การจัดแสงสว่างให้เพียงพอ เปิดเพลงคลอเบาๆ พร้อมกับเปิดเครื่องกระจายกลิ่นหอม รวมถึงวางก้านไม้หอมไว้ตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีระหว่างการทำงาน พยายามจัดสรรเวลานั่งทำงานให้ไม่เกินรอบละ 1 ชั่วโมง สลับกับการหยุดพัก 5-10 นาที เพื่อไม่ให้ร่างอ่อนล้าจนเกินไป ที่สำคัญคือต้องจัดท่านั่งอย่างเหมาะสม ส่วนเวลาที่มิ้งรู้สึกเครียดก็มักจะใช้ไทม์ ทู รีเฟรช ควบคู่กับการนวดบริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง ก็จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที แต่หากวันไหนที่เหนื่อยล้ามากๆ ก็มักจะใช้หินกัวซานวดคอ บ่า ไหล่ระหว่างอาบน้ำ และไม่ลืมที่จะบำรุงผิวด้วยบอดี้บัตเตอร์ หลังการอาบน้ำทุกครั้ง เพื่อช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นตลอดวัน”

สัมผัสความผ่อนคลายกับผลิตภัณฑ์ ธัญ (THANN) อาทิ ไทม์ ทู รีเฟรช (Time to RefreshTM), ก้านไม้หอม (Aroma diffuser), บอดี้ บัตเตอร์ (Body Butter) และ บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์ (Bath & Massage Oil) ได้แล้ววันนี้ที่ออนไลน์สโตร์  www.thann.co.th (ส่งฟรีทั่วประเทศ) และร้าน ธัญ (THANN) ทั้ง 12 สาขาทั่วประเทศ อาทิ สาขาสุขุมวิท 47, ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ชั้น 3 ศูนย์การค้าเกษร, ชั้น 5 ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม, ชั้น 1 และชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, ชั้น 4 ไอคอน สยาม, ร้านวูว์ ถนนเจริญราษฎร์ และสาขาถนนพระปกเกล้า (ตรงข้ามวัดเจดีย์หลวง) จังหวัดเชียงใหม่, สาขาป่าตอง (หน้าโรงแรม La Flora ป่าตอง) จังหวัดภูเก็ต และ ธัญ เวลเนส เดสทิเนชั่น จ.พระนครศรีอยุธยา

แม็คโคร รับซื้อตรงมังคุดช่วยเกษตรกรภาคใต้ มากกว่า 300 ตัน

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เร่งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมังคุดในภาคใต้ หลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ประสบปัญหาผลผลิตล้น ร่วมมือ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ตั้งเป้ารับซื้อตลอดเดือนสิงหาคมมากกว่า 300 ตัน ช่วยชาวสวนกว่า 1,000 ราย  เสริมช่องทางส่งตรงสาขา คาดกระจายมังคุดใต้คุณภาพดีสู่ผู้บริโภคผ่านแม็คโครทุกสาขาทั่วประเทศ

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า  จากสถานการณ์เกษตรกรผู้ปลูกมังคุดภาคใต้ประสบปัญหาล้นตลาด เนื่องจากผลผลิตในปีนี้ออกสู่ตลาดในปริมาณมาก ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง แม็คโคร ตระหนักถึงความเดือดร้อนของเกษตรกร เร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน และยังบูรณาการความร่วมมือกับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในการบรรเทาความเดือดร้อน ด้วยการรับซื้อมังคุดคุณภาพดีจากภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าตลอดเดือนสิงหาคมนี้ จะช่วยชาวสวนระบายผลผลิตได้มากกว่า  300 ตัน

“ในครั้งนี้ เราช่วยกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่  กลุ่มวิสาหกิจชุมชน เกือบ 20 กลุ่มในจังหวัดภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็น จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ชุมพร ระนอง นราธิวาส ซึ่งมีเกษตรกรรายย่อยเป็นสมาชิกรวมกันมากกว่า 1,000 ราย  คาดว่าจะรับซื้อมังคุดได้มากกว่า 300 ตัน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวสวนที่เดือดร้อนได้อย่างทันท่วงที เพราะมังคุดเป็นผลไม้ฤดูกาลมีช่วงระยะเวลา โดยแม็คโครได้จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายตลอดเดือนสิงหาคมเพื่อให้ลูกค้าทั่วประเทศได้ร่วมกันอุดหนุนผลผลิตของเกษตรกรที่กำลังเดือดร้อน ซึ่งในช่วงเดียวกันนี้ยังเป็นช่วงฉลองการครบรอบ 32 ปีของแม็คโครด้วย”

ทั้งนี้ แม็คโคร ดำเนินการรับซื้อผลผลิตมังคุด ภายใต้  ‘โครงการแม็คโครเคียงข้างเกษตรกรไทย สู้ภัยโควิด’  ที่บูรณาการความร่วมมือกับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และภาคีอื่นๆ ในการแก้ปัญหา สินค้าเกษตรล้นตลาดอย่างรวดเร็ว สามารถช่วยเกษตรกรที่กำลังประสบปัญหาได้ทันท่วงที ที่ผ่านมาได้ช่วยระบายผลผลิตจากเกษตรกรทั่วประเทศที่ประสบปัญหาล้นตลาดไปแล้วมากมาย อาทิ มะม่วง, ฟักทอง, เผือก, หน่อไม้หวาน, พริกสด, สับปะรดปัตตาเวีย, สละอินโด, ปลานิล, กุ้ง ฯลฯ

นางศิริพร กล่าวอีกว่า  “ด้วยสถานการณ์แห่งความยากลำบากที่เกิดขึ้น แม็คโครพบว่า พี่น้องเกษตรกรรายย่อยประสบปัญหาเป็นจำนวนมาก อะไรที่สามารถช่วยได้ เราจะดำเนินการอย่างทันท่วงที  นอกจากนี้ยังกำหนดระยะเวลาการชำระสินค้า (Credit Term) ให้เร็วขึ้น เพื่อส่งเสริมสภาพคล่องให้พวกเขาได้เดินหน้าต่อ  ซึ่งปัจจุบันเรามีเกษตรกรรายย่อยที่เป็นคู่ค้ากับแม็คโคร มากกว่า 7,000 ราย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19  เกษตรกรรายย่อยเป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่แม็คโครให้ความสำคัญในการช่วยเหลือ พัฒนา เราจะเคียงข้างกับพวกเขาเพื่อต่อสู้วิกฤตนี้ไปด้วยกัน”