GBS คัดหุ้นเด่นประจำเดือน ชูกลุ่มแจ้งงบ Q2 เด่น-WFH 100%

บลโกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเดือนสิงหาคมยัง Sideway Down จากตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พุ่งทำลายสถิติรายวัน ล่าสุด ศบค.ยกระดับพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ขยายเวลาล็อกดาวน์เพิ่มอีก 14 วัน ส่งผล Consensus เตรียมหั่น GDP ปี 64 ลงอีก จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ระดับ 1,500-1,570 จุด พร้อมคัดหุ้นเด่นเดือนสิงหาคมกลุ่มแจ้งงบQ2/64 ออกมาดี และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย WFH 100%

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมยังคง Sideway Down โดยนักลงทุนยังกังวลจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศยังอยู่ในระดับสูงจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่รุนแรงขยายพันธุ์เร็วกว่าสายพันธุ์อื่น 1,000 เท่า ทำให้ทั่วโลกเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง

โดยสถานการณ์ใน อินโดนีเซีย ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทะลุ 3,460,000 ราย เสียชีวิตกว่า 97,000 ราย สูงสุดในอาเซียน ส่วนฟิลิปปินส์ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พุ่งทะลุ 1,600,000 ราย เสียชีวิตกว่า 28,000 ราย สูงอันดับ 2 ในอาเซียน ด้านญี่ปุ่นประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมการระบาดในหลายจังหวัด จีนประกาศใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดทั่วประเทศ เวียดนามจะขยายเวลาล็อกดาวน์ มาเลเซียขยายภาวะฉุกเฉินในซาราวักถึง ก.พ.ปีหน้า พร้อมระงับเลือกตั้ง ส่วนอังกฤษเตือนเมียนมาอาจติดโควิด-19 ครึ่งประเทศในอีก 2 สัปดาห์หากไม่ได้รับวัคซีนเพียงพอ

อีกทั้งทาง ศบค.ได้ประกาศยกระดับเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ขยายเวลาล็อกดาวน์ 14 วัน ผ่อนคลายร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า มีผลตั้งแต่ 3 ส.ค. หากยังไม่ดีขึ้นอาจขยายเวลาต่อไปจนถึง 31 ส.ค. ซึ่งประเมินว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/64 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสาม ด้วยการบริโภคภาคเอกชนลดลง และภาคการท่องเที่ยวที่ยังยังไม่ฟื้นตัว เพราะยังจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศยังมีอยู่ ส่งผลให้ Consensus อาจปรับลดประมาณการ GDP ปี 64 ลงอีก จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ระดับ 1,500-1,570 จุด

ขณะที่กลุ่มโอเปก ได้เพิ่มการผลิตน้ำมันเป็น 26.72 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน ก.ค. สูงสุดในรอบ 15 เดือนตามมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือน ส.ค.จนถึงเดือน ธ.ค.ปีนี้  โดยราคาน้ำมัน WTI ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 0.7% ปิดเหนือระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยยังเชื่อมั่นต่อแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันท่ามกลางการเปิดเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ แม้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ยังคงจับตายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และการแก้ไขสถานการณ์ของภาครัฐ รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 5/2564  ประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.)  และสำนักงานประกันสังคมเริ่มโอนเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตนตาม ม.33 และการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในหมวดต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศออกมาตลาดในช่วงเดือนสิงหาคม อีกทั้งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/64 ออกมาดี ได้แก่ WICE, AS, BCH, LANNA, SPALI, XO และCKP และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย WFH 100% ได้แก่ ADVANC, DTAC, TRUE, JAS, DIF, JASIF, ITEL, NETBAY, YGG, AS และ INSET

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำโลกในเดือนกรกฎาคมปรับตัวขึ้น 44$/Oz สู่ 1,814$/Oz โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีดิ่งลงสู่ 1.37% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. ส่งผลให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการลงทุนถือครองทองคำลดลง และสภาทองคำโลกระบุว่า 1 ใน 5 ของธนาคารกลางรายใหญ่มีแผนที่จะเพิ่มทองคำในระบบทุนสำรองในปีหน้าเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ทองคำได้รับปัจจัยหนุนหลังจากนายพาวเวลได้กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ  โดยระบุว่าเฟดจะยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE และจะยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นในขณะนี้ พร้อมกับย้ำว่าเฟดจะใช้นโยบายการเงินในการสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ส่วนประเด็นเงินเฟ้อนายพาวเวลมองว่าเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในระยะนี้เกิดจากปัจจัยชั่วคราว จากการที่รัฐต่าง ๆ ทำการเปิดเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ก่อนที่จะปรับตัวลงเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆกลับสู่ภาวะปกติ

ดังนั้นจากความผันผวนของราคาทองคำและความกังวลในการปรับลดวงเงิน QE ของเฟดในการประชุมเดือน ส.ค.-ก.ย.เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง ฝ่ายวิจัยประเมินกรอบทองคำในเดือนนี้ที่ 1,770-1,850 $/Oz โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านจากความกังวลการปรับลดวงเงิน QE

ทรู ประกาศต้อนรับ “แต้ว-สุดาพร” สู่ครอบครัวทรู

ทรู ชื่นชมพลังบวก น้องแต้ว สุดาพร สีสอนดี นักกีฬามวยสากลสมัครเล่นหญิงทีมชาติไทย สู้สุดใจ พิชิตชัยในศึกโอลิมปิก โตเกียวเกมส์ 2020 เตรียมต้อนรับเข้าเป็นสมาชิกใหม่ครอบครัวทรู สะท้อนต้นแบบความทุ่มเท สู้สุดพลัง เพื่อความเป็นที่ 1 สามารถทำให้ทุกสิ่งเป็นจริงได้ และเป็นเสมือนตัวแทนชาวไทยหัวใจนักสู้ ที่จะต้องก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็ง พร้อมปั้นเป็นฮีโร่ ทรู 5G คนใหม่ สวมบทบาทสุดท้าทาย รวมถึงสนับสนุนเงินรางวัล จำนวน 5 ล้านบาท ผ่านสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย แทนคำขอบคุณที่ร่วมสร้างความสุขให้คนไทยในครั้งนี้ รวมทั้งยินดีมอบสิทธิประโยชน์สินค้าและบริการหลากหลายในกลุ่มทรูเพิ่มเติมนอกเหนือจากการสนับสนุนการสื่อสารในช่วงการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น และเชิญชวนคนไทยส่งกำลังใจเชียร์ฮีโร่สาวไทย “น้องแต้ว” ควงกำปั้นยึดสังเวียน คว้าชัยชนะที่ 1 กลับมาให้คนในชาติได้ชื่นชมและภาคภูมิใจไปด้วยกัน

นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กลุ่มทรู ในฐานะผู้สนับสนุนหลักด้านการสื่อสารแก่นักกีฬาทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการในการแข่งขันโอลิมปิก โตเกียวเกมส์ 2020 รู้สึกชื่นชมและซาบซึ้งกับทุกพลังของทีมงานและนักกีฬาไทยทุกคน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความท้าทายเช่นนี้ ต่างก็เสียสละทุ่มเท เพื่อร่วมบันทึกประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับประเทศไทย สร้างความสุขให้กับคนไทยได้อีกครั้ง โดยเฉพาะสาวไทยหัวใจนักสู้อย่าง “น้องแต้ว” สุดาพร สีสอนดี นักกีฬามวยสากลสมัครเล่นหญิงทีมชาติไทย รุ่นไลท์เวท 60 กิโลกรัม ที่ได้เปิดประวัติศาสตร์อีกหน้าของสมาคมกีฬามวยสากลสมัครเล่นไทย สามารถผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 สำเร็จ และยังมีลุ้นคว้าแชมป์เหรียญทอง สร้างความภาคภูมิใจแก่พี่น้องชาวไทยได้อีก โดยกลุ่มทรู ได้เตรียมต้อนรับน้องแต้วมาเป็นสมาชิกในครอบครัวทรูด้วยกัน เพื่อเป็นแบบอย่างของความทุ่มเทและมุ่งมั่นที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนในสังคม ปลุกจิตวิญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นสู้อย่างเข้มแข็ง สอดคล้องกับความมุ่งมั่นตั้งใจของกลุ่มทรู ที่เชื่อมั่นว่า ทุกสิ่งเป็นจริงได้ และไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไทยและประเทศไทย พร้อมกันนี้ ยังเตรียมมอบบทบาทสำคัญ สู่การก้าวเป็นฮีโร่ ทรู 5G คนล่าสุด รวมถึงมอบสิทธิประโยชน์ในการใช้สินค้าและบริการต่างๆ ในเครือโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตลอดจนสนับสนุนเงินรางวัลผ่านสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย จำนวน 5 ล้านบาทแทนคำขอบคุณจากคนไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ ด้วยความเชื่อว่า คุณค่าที่แท้จริงของชีวิต คือ การมีกันละกัน ซึ่งกีฬา สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดความหมายของพลังใจให้กับทุกคนได้ โดยที่ผ่านมา กลุ่มทรู ให้ความสำคัญกับการแข่งขันกีฬาระดับโลกที่คนไทยเข้าร่วมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ กลุ่มทรู เป็นผู้สนับสนุนหลักด้านการสื่อสารแก่นักกีฬาทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการ โดยนำเครือข่ายอัจฉริยะ ทรู 5G ที่ดีที่สุด และครอบคลุมที่สุด อำนวยความสะดวกแก่ทัพนักกีฬาไทย โค้ช เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชน พร้อมจัดแคมเปญ “ทรูเชียร์ไทย” เป็นสื่อกลางให้คนไทยรวมทุกหัวใจนักสู้ เชิญชวนติดแฮซแท็ก #ทรูเชียร์ไทย และ #CheerThaiTogether ทุกการโพสต์หรือแชร์ที่เกี่ยวข้องกับการให้กำลังใจทัพนักกีฬาไทยผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อให้คว้าชัยชนะกลับมาให้คนในชาติได้ชื่นชม และภาคภูมิใจไปด้วยกัน

เบบี้บอท เปิดตัวคอลเลกชั่น ซัมเมอร์ เนเจอร์ เจาะตลาดรองเท้าเพื่อสุขภาพ

การเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงอายุของเด็ก นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาของกระดูก และรูปเท้าของเด็กได้เป็นอย่างดี เพราะเท้าเป็นอวัยวะที่มักถูกใช้งานเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะในวัยเด็กที่เริ่มหัดเดิน ดังนั้นการเลือกรองเท้าที่ถูกต้องจะมีส่วนช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีอย่างสมวัย โดยล่าสุด เบบี้บอท (Babybotte) แบรนด์รองเท้าที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านการเดินสำหรับเด็ก ภายใต้การบริหารของ อรนิดา จุลเสน ได้เปิดตัวรองเท้าคอลเลกชั่นใหม่ที่ชื่อว่า “ซัมเมอร์ เนเจอร์” (Summer Nature) นำเสนอแรงบันดาลใจจากความงดงามทางธรรมชาติ โดยมี แพทย์หญิงขวัญเมือง ณ ตะกั่วทุ่ง กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และพัฒนาการเด็ก ร่วมเผยถึงหลักเกณฑ์ในการเลือกรองเท้าสำหรับเด็ก พร้อมเหล่าเซเลบริตี้คุณแม่คนสวย อาทิ จุฑาธรรม จิราธิวัฒน์ กับน้องดวิน-น้องดีญ์อา, อรชุมา ดุรงค์เดช กับน้องโคลเอ้-น้องคอลิน, เมลนีย์ อยู่วิทยา กับน้องเฌอลินณ์ และรัสรินทร์ ชุมสาย ณ อยุธยา กับน้องไอออน มาแนะนำเคล็ดลับการเลือกรองเท้าคู่แรกให้ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย

เบบี้บอท แบรนด์รองเท้าที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านการเดินสำหรับเด็ก จากประเทศฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานกว่า 80 ปี โดยมีทีมนักวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการผลิตรองเท้าสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ซึ่งโครงรองเท้าจะต้องสามารถช่วยพยุงข้อเท้า และรองรับส้นเท้า สำหรับเด็กในช่วงหัดเดินได้ ส่วนพื้นรองเท้ายังมีบุเสริมอุ้งเท้า เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างรูปเท้าให้มีส่วนโค้งเว้า และเท้าไม่แบน ผ่านกระบวนการผลิตกว่า 120 ขั้นตอน ด้วยการเลือกใช้หนังแท้จากอิตาลี (Italian Full Grain leather) ในการตัดเย็บทั้งบริเวณด้านนอกและด้านใน ทำให้มีน้ำหนักเบา และรู้สึกนิ่มสบายขณะสวมใส่

โดยรองเท้า เบบี้บอท มีการออกแบบมาสำหรับเด็กแรกเกิด ไปจนถึงอายุ 15 ปี โดยแบ่งออกเป็น 4 รุ่น เริ่มจากรุ่นออล โฟร์ (All Fours) รองเท้าสำหรับเด็กแรกเกิด หรือช่วงกำลังคลาน โดยรองเท้าจะมีความยืดหยุ่นดี ทำให้เด็กรู้สึกคล่องตัว และคุ้นชินกับการใส่รองเท้า ถัดมาที่รุ่นท็อดเลอร์ (Toddler) เป็นรุ่นสำหรับเด็กเริ่มหัดเดิน-อายุ 2 ปี โดยรองเท้าจะช่วยเรื่องการทรงตัว รองรับการเดินได้ดี สามารถใส่เดินภายในบ้านได้ เพื่อช่วยให้เด็กฝึกการทรงตัว และเดินได้เร็วขึ้น ต่อมาที่รุ่นเฟิร์ส สเต็ป (First Step) รองเท้าสำหรับเด็กช่วงเริ่มเดิน และเริ่มวิ่ง ตั้งแต่อายุ 1-5 ปี โดยการออกแบบรองเท้าจะเน้นให้ผู้สวมใส่มีความคล่องตัวมากขึ้น และรุ่นอินเตอร์พิต (Intrepides) รองเท้าสำหรับเด็กอายุ 4-15 ปี ที่ดีไซน์ให้เหมาะสมกับการสวมใส่เพื่อทำกิจกรรมในแต่ละวัยมากขึ้น

อรนิดา จุลเสน กล่าวถึงจุดเด่นของแบรนด์ เบบี้บอท  ว่า “เบบี้บอทเป็นรองเท้าเด็กที่แพทย์แนะนำว่าคุณสมบัติตรงตามตำราแพทย์ เนื่องจากเป็นรองเท้าที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านการเดินสำหรับเด็ก โดยจะมีรองเท้าสำหรับเด็กแรกเกิด ไปจนถึงอายุ 15 ปี แต่ในแง่ของการผลิตเราจะให้ความสำคัญในขั้นตอนการผลิตรองเท้าของเด็กแรกเกิดถึงอายุ 5 ขวบมากเป็นพิเศษ เพราะในช่วงวัยนี้รองเท้าจะมีส่วนช่วยจัดรูปทรงกระดูกของเท้าด้วย และยังช่วยทำให้เท้ามีสรีระที่ดี ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการทรงตัว และทำให้ท่าทางในการเดินถูกต้องเหมาะสม เพราะหากเด็กไม่ได้สวมใส่รองเท้าที่ถูกต้องในช่วงเริ่มต้น จะมีผลต่อการเดินในอนาคตได้ ดังนั้นการหารองเท้าที่เหมาะสมกับสรีระเท้าของลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มากต่อการเริ่มต้นเดินของลูก เพราะรองเท้าที่ดีจะเป็นตัวช่วยในการสร้างความมั่นใจให้ลูกในการหัดเดินแต่ละก้าว และหากเด็กสวมใส่รองเท้าที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการเดินได้ อาทิ เดินแล้วล้มง่าย เดินเขย่งปลายเท้า เท้าบิดเสียรูป ท่าทางการเดินไม่สวย และภาวะเท้าแบน ซึ่งภาวะเท้าแบนจะส่งผลให้เดินได้ไม่นาน และเมื่อยง่าย โดยที่ผ่านมาเบบี้บอทได้รับการตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากลูกค้าชาวไทย เราจึงได้เปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ด้วยงานดีไซน์ที่สนุกขึ้น และพัฒนาการออกแบบให้เหมาะสมกับสรีระเท้าของเด็กไทยมากยิ่งขึ้น”

ด้าน แพทย์หญิงขวัญเมือง ณ ตะกั่วทุ่ง กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและพัฒนาการเด็ก ได้เผยถึงหลักเกณฑ์ในการเลือกรองเท้าสำหรับเด็กและข้อควรรู้ที่อาจเกิดขึ้นหากเด็กไม่ได้สวมใส่รองเท้าที่ดีว่า สรีระของเด็กวัยทารกจนถึงวัยหัดเดินจะมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับ โดยกระดูก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเล็กจะมีขนาดที่ใหญ่ตามวัยที่เติบโตขึ้น ทำให้สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้มากขึ้น จนเริ่มทรงตัว เกาะยืน เกาะเดิน ก้าวเดิน และวิ่งเองได้ แต่ทว่ากระดูกข้อเท้า และเท้าจะยังรับน้ำหนักตัวได้ไม่ดีมากนัก จึงทำให้การเดินจึงยังไม่มั่นคง และมักจะล้มบ่อย ดังนั้นการใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสมจะส่งผลกระทบต่อท่าทางการเดินของเด็ก อาจจะทำให้เกิดภาวะเท้าแบนถาวร เท้าบิดเสียรูป ท่าทางการเดินที่ไม่สวย ดังนั้นการหารองเท้าที่เหมาะสมกับสรีระเท้าของลูกจึงมีความสำคัญ และมีประโยชน์มากต่อการเริ่มต้นเดินของลูก เพราะรองเท้าที่ดีจะเป็นตัวช่วยในการให้ลูกมีความมั่นใจในก้าวเดินแต่ละก้าว เปรียบเสมือนเป็นการลงทุนด้านบุคลิกภาพให้ลูกเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเด็กเริ่มเกาะยืนได้ คุณพ่อหรือคุณแม่จึงควรเริ่มฝึกให้ลูกใส่รองเท้าตั้งแต่แรก เพื่อฝึกการยืนของลูกให้มั่นคง อีกทั้งยังช่วยให้ลูกได้คุ้นเคยกับการใส่รองเท้าในขณะเดินด้วย

โดยควรเลือกรองเท้าที่ทำจากวัสดุน้ำหนักเบา แต่รูปทรงรองเท้ามีความคงตัวได้ดี ซึ่งมักจะทำด้วยหนัง หรือผ้าแคนวาส ไม่ควรทำจากผ้าที่นิ่มเกินไป หรือเป็นฟองน้ำ ควรมีการระบายอากาศที่ดี ไม่อับชื้น และควรเป็นรองเท้าหุ้มข้อเท้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการทรงตัวให้เด็ก เพราะข้อเท้าของเด็กยังไม่สามารถรับน้ำหนักตัวเองได้ดี และหากการออกแบบมีส่วนเสริมบริเวณอุ้งเท้าด้านในด้วยก็จะยิ่งดี เพราะสรีระของอุ้งเท้าเด็กยังมีสภาพเป็นเท้าแบนอยู่ การลงน้ำหนักตัวจะยังไม่ถูกต้องตามแนวแกนการรับน้ำหนักของเท้า และขนาดของรองเท้าควรพอดีกับเท้าเด็ก และพื้นรองเท้าด้านในควรมีความแน่นเพียงพอ ไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป โดยรองเท้าที่ไม่ควรเลือกให้เด็กสวมใส่เลยนั้นคือรองเท้าคับเกินไป เพราะจะบีบนิ้วเท้า และส้นเท้าเด็ก ทำให้เท้าเด็กเสียดสีกับขอบรองเท้า ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองเป็นแผลถลอกช้ำได้ หรือนิ้วงอบิด รวมถึงรองเท้าที่ใหญ่เกินไป จะทำให้เด็กต้องจิกเท้าเดินในรองเท้า เนื่องจากรองเท้าไม่กระชับพอดีเท้า หรือรองเท้าที่มีพื้นอ่อนเกินไป จะทำให้เด็กใช้ปลายเท้าเดิน และจะติดเป็นพฤติกรรมไปจนโต กระทั่งรองเท้าที่แข็งกระด้างเกินไป จะทำให้กระดูก และเนื้อเยื่อเสียดสี เกิดเป็นตาปลา หรือแผลกดทับได้

และอีกหนึ่งข้อควรรู้ที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวัง หากเลือกรองเท้าให้ลูกไม่เหมาะสม หรือลูกมีการเคลื่อนไหวที่ผิดวิธี อาจส่งผลให้เป็นโรคข้อหย่อน หรือข้อหลวมได้ ซึ่งเป็นอาการผิดปกติของเอ็น และเนื้อเยื่อหุ้มข้อต่อของร่างกาย ที่มีความหย่อนตัว ไม่กระชับ ทำให้ข้อนั้นๆ ดูเหมือนไม่แข็งแรง รับน้ำหนักได้ไม่ดี จะส่งผลต่อท่าทางการทรงตัว และเคลื่อนไหว โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรม และบางครั้งเกิดจากพัฒนาการที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ตามอายุ อาการที่สังเกตุได้ง่ายๆ คือ เวลาขยับข้อต่อจะมีความรู้สึกสะดุดกึกๆ โดยทั่วไปมักจะเริ่มสังเกตุเห็นในขณะที่เด็กเริ่มเดินหรือวิ่ง การทรงตัวจะไม่ดี มักจะล้มบ่อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ปลายเท้าบิดเข้าด้านใน หรือส้นเท้าเอียง ดังนั้นหากเลือกรองเท้าที่ถูกต้องให้ลูกก็จะสามารถช่วยลดอาการของโรคนี้ลงได้ เพราะรองเท้าที่ดีจะเป็นตัวช่วยในการให้เด็กมีความมั่นใจในก้าวเดินแต่ละก้าว

สำหรับคอลเลกชั่น ซัมเมอร์ เนเจอร์” (Summer Nature) นี้ เบบี้บอท ยังคงแนวคิดการผลิตรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับเด็กเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ด้วยวัสดุที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรฐานระดับโลก พร้อมผสานงานดีไซน์ที่หลากหลายสำหรับเหล่าแฟชั่นนิสต้าตัวน้อย ด้วยแรงบันดาลใจจากความงดงามทางธรรมชาติ ถ่ายทอดผ่านลวดลายที่สะท้อนให้นึกถึงฤดูกาลแห่งซัมเมอร์ ไม่ว่าจะเป็นลายป่าไม้, ลายดาว, ลายผลไม้, ลายกากเพชร และอีกมากมาย ไปจนถึงโทนสีจากธรรมชาติ อาทิ สีชมพูพาสเทล, สีนู้ด, สีเบจ, สีเงิน, สีแพลทินัม, สีแดง, สีช็อกโกแลต, สีเหลือง และสีส้มที่จะทำให้นึกถึงไอติมแท่งเย็นๆ โดยในคอลเลกชั่นนี้ นอกจากรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อแล้ว ยังมีรองเท้าแตะหัวปิดที่เพิ่มความสะดวกสบายในการสวมใส่ด้วยตีนตุ๊กแก ซึ่งเหมาะกับการออกไปทำกิจกรรมในวันหยุดซัมเมอร์สำหรับเด็กโต

ด้าน เหล่าเซเลบริตี้คุณแม่คนสวยได้มาร่วมแนะนำเคล็ดลับการเลือกรองเท้าคู่แรกสำหรับลูกน้อยให้ดีที่สุด โดยเริ่มจาก คุณแม่ลูกสอง จุฑาธรรม จิราธิวัฒน์ เผยว่า “อันดับแรกเลยต้องเป็นรองเท้าที่ให้ความสำคัญด้านการออกแบบให้เหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย มีการใช้วัสดุตัดเย็บที่ทนทาน สวมใส่สบาย ถ่ายเทอากาศได้ดี เวลาใส่เดินแล้วไม่ลื่น สามารถช่วยส่งเสริมการสร้างพัฒนาการให้ลูก ให้เขารู้จักหัดเดินด้วยตัวเองได้อย่างมั่นใจ รวมถึงดีไซน์ก็ต้องสวยงาม และสามารถสวมใส่ได้หลายโอกาส อย่างน้องดวิน น้องดีญ์อา เราก็เลือกเบบี้บอทให้เขาใส่มาตลอด จะสังเกตเห็นได้เลยว่าพฤติกรรมการเดินของลูกดีมาก เวลาเดินเขามีบุคลิกภาพที่ดี ทรงตัวได้ดี และทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว”

ถัดมาที่ คุณแม่ลูกแฝด อรชุมา ดุรงค์เดช เล่าว่า ตอนแรกไม่มีความรู้เรื่องการเลือกรองเท้าสำหรับเด็กเลย เมื่อก่อนก็จะเลือกจากดีไซน์อย่างเดียว กระทั่งไปอ่านเจอบทความที่มีคุณหมอมาแนะนำว่าเด็ก 0 ถึง 5 ขวบ กระดูกข้อเท้าของเขาจะยังอ่อนอยู่ ไม่ค่อยแข็งแรง ควรเลือกใส่รองเท้าที่ช่วยพยุงข้อเท้า เพราะจะช่วยให้เด็กเดินไม่ผิดรูป พอมาเจอแบรนด์เบบี้บอทที่มีคุณสมบัติการออกแบบตรงตามที่คุณหมอบอก เราก็ตัดสินใจอย่างไม่ลังเลเลยที่จะเอามาให้ลูกใส่ เพราะเป็นรองเท้าที่ดีไซน์สวยและช่วยดูแลเรื่องพัฒนาการการเดินให้ลูกด้วย ส่วนเรื่องพฤติกรรมการเดินน้องคอลินจะเดินได้ไวกว่า เพราะเขาเป็นเด็กผู้ชาย ด้วยสรีระจะมีความแข็งแรงกว่าอยู่แล้ว ซึ่งเขาก็เดินได้คล่องขึ้น เพราะใส่รองเท้าที่ดี เวลาเดินเท้าก็ไม่สะบัด ไม่ล้มเลย ส่วนน้องโคลเอ้เขาเป็นผู้หญิงก็จะเดินช้ากว่า 2 ถึง 3 เดือน สำหรับเรามองว่าการเลือกรองเท้าที่ดีให้ลูกนั้นสำคัญมาก ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่ถ้าโดนรองเท้ากัดยังเจ็บเลย แต่เด็กเขาเป็นวัยเพิ่งเริ่มเดิน กำลังพัฒนา ถ้าเลือกใส่รองเท้าที่ไม่ถูกต้องตามหลัก อาจส่งผลให้เขามีการเดินที่ไม่ถูกต้อง และไม่สามารถทำกิจกรรม หรือเล่นกีฬาได้ในอนาคต

คนต่อมา คุณแม่ยิ้มสวย เมลนีย์ อยู่วิทยา เผยว่า ตอนน้องเฌอลินณ์ใกล้หัดเดินเรากังวลมากว่าจะหารองเท้าแบบไหนมาให้ลูกใส่ดี เพราะรู้ว่ารองเท้าที่ดีสำหรับเด็กจะต้องได้รับการตัดเย็บแบบเฉพาะทางเพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการการเดินเป็นหลัก ซึ่งเราตั้งใจจะหารองเท้าที่ใส่แล้วช่วยพยุงข้อเท้าลูก ใช้วัสดุอย่างดี ใส่สบาย ไม่กัดเท้า และไม่อับ แต่เราก็ยังอยากได้รองเท้าที่ดีไซน์สวยด้วย เพราะลูกเป็นผู้หญิง เราก็อยากให้เขาแต่งตัวน่ารักๆ ตั้งแต่เด็ก กระทั่งมาเจอแบรนด์เบบี้บอท ที่คุณภาพ และดีไซน์ ได้รับการการันตีจากหมอหลายๆ คน เราก็เลยให้น้องเฌอลินณ์ใส่แบรนด์นี้ตลอด ตอนนี้เขาก็กำลังหัดเดินเตาะแตะได้ประมาณ 5 ถึง 8 ก้าว สังเกตุเห็นเลยว่ารองเท้ามีส่วนช่วยให้เขายืนได้อย่างมั่นคง และก้าวเดินอย่างมั่นใจมาก ซึ่งสามารถช่วยลดอุบัติเหตุการล้มระหว่างหัดเดินได้ค่อนข้างดี

ปิดท้ายที่ คุณแม่คนเก่ง รัสรินทร์ ชุมสาย ณ อยุธยา เล่าว่า สำหรับการเลือกรองเท้าให้น้องไอออน โอบอุ้มใส่ใจมากตั้งแต่น้องเริ่มหัดเดิน เพราะเราทราบดีว่าการเลือกรองเท้าในวัยเด็กนั้นสำคัญมาก อย่างหลักในการเลือกให้น้องไอออน จะต้องเป็นรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา บริเวณหน้าเท้าต้องกว้างจะได้ไม่บีบนิ้วเท้าลูก ขนาดต้องพอดีไม่คับหรือหลวมจนเกินไป รัดข้อเท้าพอดี เพื่อให้เขาเดินได้อย่างคล่องแคล่ว รวมถึงดีไซน์ก็ต้องดูดี ไอออนเขาจะชอบแบบรองเท้ารัดส้น เปิดหน้า เพราะใส่สบาย ไม่ร้อน เวลาเลือกรองเท้าเราก็จะถามเขาด้วยว่าชอบแบบไหน เพราะอยากให้เขาใส่บ่อยๆ เนื่องจากรองเท้าที่ดีก็จะช่วยส่งเสริมในเรื่องพัฒนาการการเดินด้วย ตั้งแต่ไอออนใส่เบบี้บอทเขาเดินสวย ขาไม่โก่งงอเลย รองเท้ามีส่วนช่วยในการพยุงข้อเท้ามากๆ ทำให้สรีระ และท่าทางการเดินไม่มีปัญหาอะไรเลย

พบกับ เบบี้บอท รองเท้าที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านการเดินสำหรับเด็กได้แล้ววันนี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2 บริเวณด้านหน้าทางเข้าไอซ์สเก็ต, สยาม พารากอน ชั้น 3 บริเวณแผนกเด็ก, ร้าน QD Little thing ทุกสาขา, ร้าน Baby gift ทุกสาขา, ร้าน Minikids และโรงเรียนนานาชาติ Regent รวมถึงช่องทางออนไลน์ทาง www.babybotte-th.com, IG: babybotte_thailand, FB: babybotte Thailand และ Line@: @babybotte_thailand

SNNP โชว์ผลงาน ครึ่งปีแรกปี 2564 มีกำไรสุทธิ 254.7 ล้าน

‘บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง’ หรือ SNNP โชว์ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2564 ทำรายได้รวม 2,312.1 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 2,170.4 ล้านบาท เติบโต 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ทำได้ 254.7 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดกว่า 4,000% ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวอันดับหนึ่ง มีคุณภาพและแบรนด์เป็นหนึ่งในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย พร้อมมีฐานการผลิตและระบบจัดจำหน่ายสินค้าที่แข็งแกร่งครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน มั่นใจศักยภาพทางธุรกิจเติบโตแข็งแกร่งพร้อมฝ่าวิกฤต Covid-19 และส่วนหนึ่งมาจากกำไรพิเศษจากการสูญเสียการควบคุมในบริษัทย่อยในช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา  

นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP  ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) ทำรายได้ในส่วนที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯเติบโตได้ทั้งรายได้จากการขายในประเทศและต่างประเทศ เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 (มกราคม – มีนาคม) ภายใต้สถานการณ์ภายนอกที่มีความผันผวนจาก COVID-19 และมีอัตราการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากฐานธุรกิจที่พัฒนาขึ้นมาตลอดช่วง 5 ปี ให้มีความเข้มแข่ง ทั้งต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการที่ดีขึ้น ประกอบกับงบการเงินรวมของบริษัทฯในไตรมาส 2/2564 ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีโดยไม่ได้รวมรายได้หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเงินลงทุนของบริษัทฯในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศอีกต่อไป ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 เป็นผลการดำเนินงานที่สะท้อนให้เห็นศักยภาพในธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าที่มีฐานธุรกิจในประเทศที่เข้มแข็งพร้อมที่จะเติบโตต่อไปในต่างประเทศในอนาคต

ทั้งนี้ ผลดำเนินการที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว ทั้งในด้านคุณภาพและการบริการตลอดกว่า 30 ปี โดยการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่หนึ่งในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย รวมทั้งการมีฐานการผลิตและระบบจัดจำหน่ายสินค้าที่แข็งแกร่งครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุน ซึ่งผลักดันให้แบรนด์พอร์ตโฟลิโอมีการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งกลุ่มเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว โดยผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักอย่างเจเล่และเบนโตะสามารถขยายตัวได้อย่างโดดเด่นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

นายวิวรรธน์ กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจจัดจำหน่ายและการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเชิงรุก หลังจากได้ลงทุนก่อตั้งธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้บริษัท สิริโปร จำกัด ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้า 11 แห่งทั่วประเทศ พัฒนาคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทีมหน่วยรถเงินสดและบุคลากร เพื่อเข้าถึงกลุ่มร้านค้าปลีกได้ประมาณ 70,000 ร้านค้า และร้านค้าส่งดั้งเดิม 3,600 ร้านค้า เพื่อรองรับการให้บริการกระจายสินค้ากับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กได้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ รวมการมีพันธมิตรที่เข้มแข็งทั้งทีมผู้บริหารที่ร่วมก่อตั้งบริษัทฯมาด้วยกันตั้งแต่ปี 2562 และพันธมิตรรายใหม่อย่าง บริษัท บุญรอด เทรดดิ้งค์ จำกัด ที่เข้ามาร่วมทุนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถนำพาให้ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าเติบโตมาเป็นผู้เล่นแนวหน้าในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าระดับประเทศได้ในอนาคต

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ในส่วนที่ธุรกิจหลักของบริษัทฯที่เป็นผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าในกลุ่มขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มที่หลากหลายนั้น มีรากฐานทางธุรกิจของบริษัทฯ ที่วางไว้อย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย โดยยังให้ความสำคัญในการต่อยอดธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่จะมีฐานธุรกิจที่ประกอบด้วย โรงงานผลิตสินค้า ช่องทางการกระจายสินค้าที่ครอบคลุม และการสร้างภาพลักษณ์สินค้าให้เป็นที่หนึ่งในใจของผู้บริโภคในพื้นที่ และยังเตรียมตัววางแผนที่จะขยายการขายสินค้าในกลุ่มประเทศอื่นๆที่เป็นฐานประเทศส่งออกให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยแม้ว่าสถาณการณ์ภายนอกยังมีความเสี่ยง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 แต่เราเชื่อว่าเรามีความมุ่งมั่นและมีความพร้อมในเชิงธุรกิจในหลายๆ ที่พร้อมจะฟันฝ่าอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปและจะสามารถเติบโตให้อย่างก้าวกระโดดเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย  

ผ่าความสำเร็จ ‘ยูนิลิเวอร์’ เจ้าแห่ง Gamification บนโลกอีคอมเมิร์ซ

เนื่องจากการช้อปปิ้งออนไลน์ได้กลายเป็นกิจกรรมในชีวิตประจำวันของผู้คน ส่งผลให้ปัจจุบันออนไลน์ช้อปปิ้งไม่เพียงแต่เป็นการซื้อขาย แต่ยังเป็นการส่งเสริมประสบการณ์อันแปลกใหม่อีกด้วย ยูนิลีเวอร์ (Unilever) ผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ระดับโลก จึงได้ปรับตัวเข้ากับยุคดิจัทัล พร้อมโชว์ความสำเร็จกับการเป็นเจ้าแห่ง Gamification บนโลกอีคอมเมิร์ซ ด้วยการผนึกกำลังกับ ช้อปปี้ (Shopee) ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เดินหน้ายกระดับประสบการณ์ความบันเทิงให้แก่เหล่านักช้อปอย่างต่อเนื่อง พร้อมพาเหรดของรางวัลและโค้ดส่วนลดกว่า 2,000 รางวัล มูลค่ากว่า 1 แสนบาท และโปรโมชั่นดีลเด็ดอีกมากมาย ร่วมสร้างสีสันให้แก่เหล่านักช้อปมือโปรในแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale

ด้าน นายอภิชาติ ศาลิคุปต รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายพัฒนาลูกค้า บริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และการล็อกดาวน์ เป็นหนึ่งในปฏิกิริยาเร่งสำคัญที่ส่งผลให้เหล่าผู้บริโภคจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจับจ่ายใช้สอย จากเดิมที่ต้องออกจากบ้านเพื่อเดินจ่ายตลาด หรือเลือกซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้า แต่ในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากว่าเป็นวิธีที่สะดวกสบายและช่วยลดโอกาสในการสัมผัสกับคนหมู่มาก ด้วยเหตุนี้ยูนิลีเวอร์จึงได้มุ่งมั่นที่จะเสริมแกร่งความสามารถในทำการตลาดออนไลน์ และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคของเราในทุกเส้นทางการช้อปปิ้ง โดยนอกจากจุดแข็งในเรื่องนวัตกรรมสินค้าและการให้บริการลูกค้าเพื่อความพึงพอใจสูงสุดแล้ว การสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ร่วมกับผู้บริโภคก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะยูนิลิเวอร์เชื่อว่าการจับจ่ายไม่ได้หยุดแค่เพียงการซื้อมาขายไปเท่านั้น แต่แบรนด์ต้องยกระดับประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคเพื่อการปฏิสัมพันธ์ในเชิงลึกตลอดจนความสัมพันธ์อันดีในระยะยาว โดยยูนิลิเวอร์ได้ใช้เทคนิค Gamification ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในแง่ของการสร้างการรับรู้ (Brand Awareness) การเยี่ยมชมร้านค้า (Traffic) การมีปฏิสัมพันธ์ (Engagement) ฐานผู้บริโภคที่ติดตาม (Follower) รวมไปถึงการสั่งซื้อสินค้า (Transaction) อีกด้วย

ทั้งนี้ ยูนิลีเวอร์ ได้ร่วมมือกับ ช้อปปี้ ในการเทคโอเวอร์เกมบนแอปพลิเคชั่น ที่ไม่เพียงแต่สร้างความสนุก ความบันเทิงให้กับผู้เล่น ยังแฝงไปด้วยความตื่นเต้นจากการลุ้นรับรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไอเท็มสินค้าที่เป็นที่นิยม Shopee Coins รวมไปถึงโค้ดส่วนลดเพื่อนำไปซื้อสินค้าต่อได้อีกด้วย โดยในปัจจุบันยูนิลิเวอร์ถือว่าเป็นแบรนด์ที่มีผู้ใช้งานช้อปปี้เข้ามาร่วมเล่นเกมด้วยมากที่สุด ซึ่งมีรางวัลและโค้ดส่วนลดมามอบให้กับผู้ใช้งานช้อปปี้แล้วรวมกว่า 30,000 รางวัล โดยเรายังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นให้แก่เหล่านักช้อปในขณะที่เลือกซื้อสินค้าชั้นนำจากยูนิลีเวอร์อยู่ตลอด โดยในแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale นี้ ยูนิลีเวอร์ได้ยกระดับความเข้มข้นและเตรียมความพิเศษกว่า 2,000 รางวัล มาแจกในเกม Shopee Farm, Shopee Candy, Shopee Pets, Daily Prizes, และอื่นๆ เพื่อส่งความสุขและความบันเทิงให้แก่เหล่านักช้อปของเราทุกคนได้ร่วมสนุกกันอย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น

ล่าสุด ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 8 สิงหาคม นี้ เหล่านักช้อปจะได้พบกับประสบการณ์การช้อปปิ้งแสนสนุกบน Shopee Mall อีกครั้ง กับแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale ที่ยูนิลีเวอร์ได้เตรียมไฮไลท์ความพิเศษมามอบให้อย่างจุใจ อาทิ

· ความสนุกสุดคุ้มค่าบน Shopee Games: เพลิดเพลินไปกับความสนุกสุดเหวี่ยงจากกองทัพเกมบน Shopee Games ที่ยูนิลีเวอร์ได้เตรียมของรางวัลสุดล้ำค่าอย่าง โค้ดส่วนลด 20% และของรางวัลอีกมากมายจากแบรนด์ดังภายในเครือ ให้เหล่านักช้อปได้ทั้งสนุกและช้อปกันอย่างสุดคุ้มตลอดทั้งแคมเปญ

· ช้อปแบรนด์ดังกับโปรสุดปังใน 8.8: ช้อปกันให้คลั่งไปอีกขั้นกับโปรโมชั่นส่วนลดจากแบรนด์ความงามยอดนิยมอาทิ Vaseline, Dove , Tresemme , Sunsilk, Lux , และ Clear ที่จะมาเสิร์ฟความคุ้มค่ากับส่วนลดสูงสุด 50% โค้ดส่วนลดเพิ่ม 888 บาท และของแถมสุดพิเศษอีก 8 ชิ้น พร้อมพบกับสิทธิประโยชน์เกินคาดเมื่อชำระเงินผ่าน ShopeePay

ดีลดี ดีลเด็ด แจกไม่อั้น แถมยังเล่นเกมสนุก สำหรับใครที่ไม่อยากพลาด เราขอเตือนให้คุณวอร์มนิ้วมือไว้ให้พร้อมกับการกดสินค้า และเล่นเกมแสนสนุก ในแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale และสามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆ ที่ออกมาเอาใจนักช้อปอย่างต่อเนื่องที่ร้าน Unilever Beauty Hot Pro บน Shopee Mall ที่ https://shopee.co.th/unilever_beautyhotpro

OPPO เปิดตัวเทคโนโลยี Under-Screen Camera รุ่นใหม่

OPPO แบรนด์อุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก เปิดตัวเทคโนโลยี Under-Screen Camera (USC) รุ่นใหม่ ด้วยการผสานนวัตกรรมด้านฮาร์ดแวร์ที่ดีที่สุดและอัลกอริทึม AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ OPPO สร้าง Under-Screen Camera แบบใหม่ พร้อมการวางกล้องหน้าแบบประณีต และคงความเสถียรของหน้าจอได้ทั้งในระหว่างการใช้งานและ สแตนด์บาย มอบความลงตัวที่สมบูรณ์แบบระหว่างคุณภาพของหน้าจอที่มีความเสถียรและคุณภาพของกล้องที่ซ่อนอยู่ใต้หน้าจอได้อย่างเรียบเนียน

โซลูชัน Under-Screen Camera แบบใหม่นี้ จะมาช่วยแก้ปัญหาที่ท้าทายมากมายทั้งในด้านเทคนิคและการผลิตที่ OPPO ต้องเผชิญตั้งแต่เริ่มต้นพัฒนาเทคโนยี โดยครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น คุณภาพการแสดงผลที่ไม่สอดคล้องกันของพื้นที่หน้าจอที่อยู่เหนือกล้อง, คุณภาพของภาพต่ำจากหน้าจอที่บดบังกล้อง ตลอดจนปัญหาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนี้ ทำให้ OPPO สามารถก้าวข้ามด้วยโซลูชัน Under-Screen Camera แบบอัปเกรด มอบอีกขั้นของประสบการณ์การใช้งานแบบเต็มจอที่ดียิ่งขึ้น

ด้านจอแสดงผล โซลูชัน Under-Screen Camera รุ่นใหม่ของ OPPO มอบนวัตกรรมใหม่ทั้งในด้านการออกแบบโครงสร้างและอัลกอริทึม AI ดังนี้

• Pixel geometry อันล้ำสมัย: โซลูชันใหม่นี้ จะย่อขนาดแต่ละพิกเซลโดยไม่ลดจำนวนพิกเซลลง เพื่อคงคุณภาพของจอแสดงผลให้มีคุณภาพสูงแม้พื้นที่เหนือกล้อง ที่ความละเอียด 400-PPI

• Transparent wiring และดีไซน์แบบใหม่: OPPO เปลี่ยน screen wiring แบบดั้งเดิมมาเป็นวัสดุแบบ transparent wiring ที่ล้ำสมัย โดยเมื่อรวมกับกระบวนการผลิตที่มีความแม่นยำสูงที่ช่วยลดความกว้างของ screen wiring ได้ถึง 50% แล้ว ยังทำให้คุณภาพการแสดงผลมีความละเอียดมากยิ่งขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์การมองเห็นที่ราบรื่นยิ่งขึ้น

• การปรับปรุงด้านการควบคุมความแม่นยำของจอแสดงผล สี และความสว่างของหน้าจอ: ปัจจุบันมาตรฐานอุตสาหกรรมใช้ 1 pixel circuit ในการขับเคลื่อน 2 พิกเซล (“1-to-2”) ของพื้นที่หน้าจอเหนือกล้อง แต่ OPPO ได้เปิดตัวโซลูชันใหม่ ด้วยเทคโนโลยีหน้าจอที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ OPPO คือ การใช้ 1 pixel circuit ในการขับเคลื่อนเพียง 1 พิกเซล (“1-to-1”) โดยเมื่อผสานกับเทคโนโลยีการชดเชยอัลกอริทึมที่แม่นยำของ OPPO แล้ว จะทำให้จอแสดงผลสามารถควบคุมสีและความสว่างของทั้งหน้าจอได้อย่างแม่นยำโดยมีค่าเบี่ยงเบนประมาณ 2% สำหรับการใช้งานต่างๆ เช่น การอ่าน e-books, ข่าว หรือการนำทาง Under-Screen Camera รุ่นใหม่ของ OPPO ก็จะสามารถแสดงตัวอักษรขนาดเล็กได้อย่างแม่นยำ พร้อมคงรายละเอียดพื้นผิวและสีที่ดีมากยิ่งขึ้น มอบประสบการณ์การใช้งานที่เพลิดเพลินและสมจริงมากยิ่งขึ้น

• การปรับปรุงด้านความน่าเชื่อถือและอายุการใช้งาน: จากการใช้งาน “1-to-1” pixel circuit และ อัลกอริทึมในการเพิ่มประสิทธิภาพโดยเฉพาะ ทำให้ Under-Screen Camera รุ่นใหม่ของ OPPO สามารถชดเชยการแสดงผลของพื้นที่หน้าจอเหนือกล้องได้อย่างดี พร้อมเพิ่มอายุการใช้งานของหน้าจอได้สูงสุดถึง 50%

สำหรับด้านกล้อง U.S. Research Institutes ของ OPPO ได้พัฒนาชุดอัลกอริทึม AI ที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็น การลดการเลี้ยวเบน (Diffraction reduction), HDR และ AWB มาช่วยลดปัญหาที่มักพบในกล้องใต้หน้าจอ เช่น ภาพเบลอ และ การมีแสงสะท้อนในภาพ โดย OPPO ได้ทดสอบ AI diffraction reduction model ด้วยการใช้ภาพหลายหมื่นภาพมาช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการเลี้ยวเบนของแหล่งกำเนิดแสง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพได้คมชัดและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

จากความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่สูงมากขึ้น รวมถึงปัจจัยด้านรูปแบบของสมาร์ทโฟนที่มีการเติบโตมากยิ่งขึ้น ทำให้ OPPO ลงทุนอย่างหนักในการวิจัยและพัฒนาสิ่งเหล่านี้ โดย OPPO ได้เปิดตัวโซลูชัน Under-Screen Camera มาแล้วถึง 3 รุ่น ซึ่งตั้งแต่เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีนี้ในปี 2561 จนถึงปัจจุบัน OPPO ได้ยื่นขอสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องมากกว่า 200 ฉบับ โดยในปี 2563 OPPO ยังพัฒนาเทคโนโลยีนี้ด้วยการยื่นข้อเสนอด้านมาตรฐานเทคโนโลยี Under-Screen Camera ให้แก่ International Electrotechnical Commission (IEC) โดยข้อเสนอนี้มีตัวชี้วัดที่แนะนำ 7 สิ่ง ได้แก่ การส่งผ่านแสงของหน้าจอ, การสะท้อนของแสง, ความสม่ำเสมอไร้รอยต่อ, แกมมา คอลเลคชัน, การเปลี่ยนสี และการลดความสว่าง

OPPO จะยังคงทำการวิจัยและพัฒนาด้านการออกแบบฮาร์ดแวร์และประสิทธิภาพการประมวลผลอัลกอริทึมต่อไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเทคโนโลยี Under-Screen Camera ให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายสุดท้าย คือ การมอบระบบ Under-Screen Camera แบบเต็มหน้าจอที่สมจริงยิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้ทั่วโลก

บราเดอร์ ส่งเทคโนโลยีพิมพ์ผ้าดิจิทัล Direct to Garment กลืนตลาดซิลค์สกรีน

บราเดอร์ GTX เดินหน้ากวาดส่วนแบ่งการตลาดเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลในไทย หลังปีงบประมาณ 2563 เติบโตกว่า 40% มั่นใจยังโตต่อหลังกระแสนิยมสื้อยืดแบบ print on demand บูมทั่วโลก ดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่หันมาสร้างธุรกิจพิมพ์เสื้อยืดรับกำลังซื้อตลาดช่วงขาขึ้น พิเศษ! โปรสร้างอาชีพเพิ่มทางออกให้คนไทยฝ่าวิกฤติ COVID-19 ลดพิเศษ GTX Pro Bulk จาก 1.2 ล้านบาท เหลือเพียง 999,000 บาท คืนทุนเร็วสุด 2-3 สัปดาห์ พร้อมของแถมรวมกว่า 200,000 บาท ติดตั้งและสอนการใช้งานฟรี! พร้อมเริ่มธุรกิจได้แบบทันใจ

นายพงษ์พันธ์ สุระวัฒน์เจริญ ผู้จัดการอาวุโส แผนกขยายธุรกิจ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจการพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลกำลังเป็นที่สนใจอย่างมากของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคทั่วโลกสอดรับกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป ซึ่งพฤติกรรมและความนิยมของผู้บริโภคเป็นตัวกำหนดตลาดมากยิ่งขึ้น การพัฒนาชิ้นงานในแบบ mass production กำลังถูกความนิยมในแบบ print on demand หรือเทคโนโลยีการพิมพ์ลายลงบนผ้าโดยตรงเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ตลาดเสื้อยืดเป็นตลาดใหญ่ที่ครองมูลค่ากว่า 6,000,000 ล้านบาททั่วโลก ในไทยก็เช่นกันบราเดอร์ พบว่าคนไทย 1 คนจะซื้อเสื้อยืดอย่างน้อย 2 ตัวต่อปี ซึ่งตอบคำถามได้ดีว่าทำไม บราเดอร์ GTX ถึงเติบโตเพิ่มมากขึ้น และขยายฐานการรับรู้ในวงกว้างยิ่งขึ้นทั้งกลุ่มผู้ประกอบการและกลุ่มผู้บริโภค” นายพงษ์พันธ์ อธิบายเพิ่ม “บราเดอร์สังเกตพบว่า ‘พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป’ เป็นปัจจัยสำคัญที่กำลังจะทำให้ธุรกิจการพิมพ์ผ้าแบบซิลค์สกรีนค่อยๆ ลดกระแสความนิยมลง เพราะปัจจุบันผู้บริโภคต้องการอิสระในการออกแบบเพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่เสื้อยืดที่ตนสวมใส่หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นเสื้อยืดหนึ่งเดียวในโลกก็ว่าได้ และกระแสนิยมดังกล่าวทำให้บราเดอร์พัฒนาเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลขึ้น เพื่อขานรับต่อความนิยมที่จะสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า และที่สำคัญหากพิจารณาในด้านผู้ประกอบการ เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลบราเดอร์ GTX ก็ตอบโจทย์ของผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน เพราะได้พัฒนาให้สามารถประกอบธุรกิจได้ด้วยคนเพียงคนเดียวมีผู้ช่วยหลักคือระบบเทคโนโลยีที่บราเดอร์พัฒนามาให้อย่างครบวงจร หมดปัญหาเรื่องทีมงาน ช่วยบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างดีเยี่ยม

นางสาวประกายกุล ถมมา เจ้าหน้าที่การตลาดอาวุโสผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลบราเดอร์ GTX กล่าวว่า เทคโนโลยีการพิมพ์ผ้าแบบ direct to garment หรือเทคโนโลยีการพิมพ์ลายลงบนผ้าโดยตรงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดขั้นตอนการผลิต เพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการยุคใหม่แบบไร้รอยต่อ แค่มีไฟล์ดิจิทัลที่ต้องการสั่งพิมพ์ส่งคำสั่งไปยังเครื่องบราเดอร์ GTX เพียงเท่านี้ก็ได้ผลงานคุณภาพในเวลาที่รวดเร็ว ผลิตได้ตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป และช่วยปลดล็อคเรื่องข้อจำกัดด้านสีของระบบซิลค์สกรีนด้วย หากลูกค้าต้องการตรวจสอบตัวอย่างงานพิมพ์ก่อนสั่งพิมพ์จริงก็สามารถทำได้ในเวลาเพียง 1 นาที

“นอกจากการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลแล้ว บราเดอร์ยังพัฒนาสิ่งที่ถือเป็นความพิเศษที่เหนือกว่าคือ การคิดค้นหมึกพิมพ์พิกเมนต์ชนิดน้ำ ‘อินโนเบล่า (Innobella Textile)’ ขึ้นเพื่อใช้กับงานพิมพ์ผ้าโดยเฉพาะ มาพร้อมระบบหมึกพิมพ์อัจฉริยะที่มีคุณสมบัติพิเศษในการเตรียมหมึกพิมพ์ปริมาณมากให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยหมึกชนิดนี้มีโทนสีที่กว้างกว่าหมึกชนิดอื่นๆ ด้วยอนุภาคเม็ดสีขนาดเล็กและไม่สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกผสมกับของเหลวอย่างน้ำ ทำให้หมึกประเภทนี้มีอายุการใช้งานยาวนาน สีไม่ซีดจางลงง่ายๆ หมดกังวลเรื่องการตกสี เหมาะกับงานพิมพ์ระดับพรีเมี่ยม เพิ่มความสวยของสี ทั้งยังรับประกันด้านความปลอดภัย สามารถพิมพ์ได้แม้เสื้อผ้าของเด็กแรกเกิด ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 3 บาทต่อซีซี” นางสาวประกายกุล กล่าว

กระแสนิยมในกลุ่มเสื้อยืดสะสมถือเป็นเทรนด์ที่มีมาอย่างต่อเนื่องและพัฒนาเป็น community ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเทรนด์ใหม่ที่กำลังเป็นกระแสนิยมในปัจจุบันก็คือ ‘Over Print’ ที่สามารถพิมพ์ลายบนเสื้อยืดได้ทั้งตัว โดยใช้เทคนิคการพิมพ์ทับกันของสีบนเสื้อ ซึ่งนิยมพิมพ์ลายบนเนื้อผ้าคอตตอน 100% โดย บราเดอร์ GTX สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างมีคุณภาพที่สำคัญยังสามารถสั่งผลิตได้ตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป ช่วยบริหารต้นทุนได้อย่างดี ซึ่งต่างจากระบบซิลค์สกรีนที่ต้องมีต้นทุนในการทำบล็อคและต้องมีคำสั่งชื้อขั้นต่ำประมาณ 100 ตัวขึ้นไปถึงจะคุ้มทุนแต่ GTX จะสร้างความความคุ้มทุนได้ง่ายกว่าแก่ผู้ประกอบการ ในขณะเดียวกันก็ช่วยตอบโจทย์ของความต้องการผู้บริโภคกลุ่มนักสะสมได้อย่างแท้จริงเนื่องจากผู้ซื้อก็จะได้ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

ปัจจุบัน บราเดอร์ GTX มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ บราเดอร์ GTX Pro เครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลมาตรฐานมูลค่า 599,000 บาท และบราเดอร์ GTX Pro Bulk เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลระดับแอดวานซ์ ราคา 999,000 บาทรองรับงานพิมพ์ในปริมาณที่มากยิ่งกว่า “บราเดอร์ พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษแก่ผู้ประกอบการในยุค COVID-19 ให้ได้มีทางเลือกด้านอาชีพเพิ่มขึ้น โดยนำเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลบราเดอร์ GTX Pro Bulk มาจัดราคาพิเศษจากปกติ 1,200,000 บาท เหลือเพียง 999,000 บาท พร้อมของสมนาคุณมูลค่ากว่า 200,000 บาท โดยจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปติดตั้งเครื่องพร้อมแนะนำการใช้งานให้อย่างละเอียด ให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มธุรกิจได้ทันที” นางสาวประกายกุล กล่าวถึงโปรโมชั่นพิเศษช่วง COVID-19

“บี.กริม เพาเวอร์” ได้ปรับเพิ่มดัชนีระดับโลก MSCI ESG Ratings เป็น A

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า บริษัทได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ MSCI ESG Ratings จากระดับ BBB สู่ระดับ A โดย MSCI ESG Research หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือในด้านดัชนี ESG ในระดับนานาชาติ ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG (Environment, Social and Governance) ของบี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งประเมินศักยภาพในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งยืนยันถึงความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับสากล

นอกจากได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ MSCI ESG Ratings บี.กริม เพาเวอร์ ยังได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลด้านความยั่งยืนจากสถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก “FTSE4Good Index Series” เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และได้รับคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 จากสถาบันไทยพัฒน์ เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย และสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนอย่างยั่งยืน

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า จากนี้บริษัทยังเดินหน้าดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามหลัก ESG ต่อไป ซึ่งการได้รับการเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ MSCI ESG Rating จากระดับ BBB สู่ระดับ A เป็นสิ่งสะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจของบริษัทที่จะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้หลักธรรมภิบาล ตลอดจนการบริหารห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่ยึดหลักการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี สร้างคุณค่าให้กับสังคมในรูปแบบของ Sustainable Utility Solution Provider ด้วยการผลิตพลังงานที่มีคุณภาพสูงและบริการแบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ

PJW ผนึกกำลัง IP เขย่าตลาดกลุ่มอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์จากพลาสติก

บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) ส่งบริษัทลูก “พีเจ เมดิคอล” (PJM )ผนึกพันธมิตรทางธุรกิจ ลงนามความร่วมมือ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์มา (IP) ลุยธุรกิจ Medical ผลิตภัณฑ์กลุ่มวัสดุทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง ระบุ ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดธุรกิจของ 2 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้การเป็น Strategic Partner ที่ร่วมวิจัยและพัฒนา รวมถึงวางกลยุทธ์การตลาด มั่นใจจะช่วยผลักดันให้มูลค่าการตลาดทั้ง 2 บริษัทเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ 

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทขวดและฝาและชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ เปิดเผยว่า จากแนวนโยบายการส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศในภูมิภาค (Medical Hub)ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ในปี 2565 นั้น แสดงให้เห็นว่าดีมานด์การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Medical สำหรับตลาดวัสดุเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ที่ทำจากพลาสติก ที่มีอัตราการเติบโตสูง อาทิ เข็มฉีดยา (syringe) หลอดเก็บเลือด (Blood tube) รวมถึงเครื่องมือแพทย์อื่นๆ ซึ่งเพียงแค่สินค้า 2 ชนิดดังกล่าวก็มีมูลค่าตลาดรวมเฉพาะในประเทศไทยกว่า 5,000 ล้านบาท และยังมีอัตราการเติบโตรวมถึงความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯเล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์กลุ่ม Medical เครื่องมือทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง

ล่าสุดบริษัท พีเจ เมดิคอล จำกัด (PJM ) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ PJW ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 100% ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)ในการวิจัยและพัฒนา และการทำการขายและการตลาด อุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากพลาสติก ร่วมกับ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงร่วมกันศึกษาตลาดและการขายวัสดุและอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ที่ทำจากพลาสติก และศึกษาโอกาสในด้านความร่วมมือทางธุรกิจต่อเนื่องในอนาคต

ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจภายใต้การเป็น Strategic Partner ร่วมกัน โดยนำจุดแข็งความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัทช่วยผลักดันให้มูลค่าการตลาดทั้งในส่วนของ ผู้ผลิต และผู้จำหน่าย เติบโตไปพร้อมๆกัน โดย IP มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการแพทย์และเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับผู้ประกอบการหลายราย ส่งผลให้มีความเชี่ยวชาญด้านความต้องการและการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์และบุคคลโดยทั่วไป ซึ่งมองว่าการที่ IP เข้ามาร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแท้จริง

“PJM ให้ IP เป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากพลาสติก โดย IP มีความเชี่ยวชาญด้านการขายและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในหลากหลายช่องทาง ที่จะเข้ามาช่วยการเจาะตลาดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น”

ขณะที่ PJW มีความเชี่ยวชาญและมีเทคโนโลยีในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกทางการแพทย์ (Medical Plastic Product) ที่ได้มาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด ด้วยกระบวนการผลิตคุณภาพสูง ดังนั้นการนำจุดแข็งและข้อได้เปรียบของทั้ง PJW และ IP มาต่อยอดศักยภาพทางธุรกิจร่วมกัน จะช่วยผลักดันให้ยอดขายธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ในปี 2567 ตามเป้าที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน

WIIK ส่งบริษัทย่อยรับงานนิคมอุตสาหกรรม TFD 2

บริษัท วิค จำกัด (มหาชน) หรือ WIIK โดยนาย วิบูลย์ แสงวิทยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประกาศข่าวดีต่อเนื่องจากบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการน้ำ บริษัท วิค วอเตอร์ จำกัด ที่ล่าสุดได้รับความไว้วางใจจาก นิคมอุตสาหกรรม TFD ในการเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถของระบบบำบัดน้ำเสียกลางของ นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 ซึ่งเป็นการเพิ่มจากระบบเดิมที่ออกแบบไว้ 1,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จำนวน 2 ระบบ รวม 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็น 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จำนวน 2 ระบบ รวม 6,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทั้งนี้ เพื่อรองรับลูกค้าของนิคมซึ่ง มีการปรับเปลี่ยนแผนการใช้น้ำ

สัญญาดำเนินการแบ่งเป็น 2 เฟส โดยมีมูลค่าสัญญาในเฟสแรก 38 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถ จำนวน 1 ระบบ จาก 1,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็น 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อรองรับลูกค้าที่เริ่มส่งน้ำมายังระบบบำบัดกลาง ในปี 2564 นี้ โดยระบบหรือเทคโนโลยีที่เลือกใช้ เรียกว่า MBR (Membrane BIO Reactor) หรือ การบำบัดน้ำเสียที่ผสานกันระหว่าง ระบบบำบัดแบบชีวภาพและการกรองด้วยเมมเบรนแบบจุ่ม (Submersed UF Membrane)

นายกรรณ ศิริภัทสร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิค วอเตอร์ จำกัด เผยว่า เทคโนโลยี MBR (Membrane BIO Reactor) หรือ การบำบัดน้ำเสียที่ผสานกันระหว่าง ระบบบำบัดแบบชีวภาพและการกรองด้วยเมมเบรนแบบจุ่ม (Submersed UF Membrane) ในโครงการนี้ ทางบริษัทฯ เลือกใช้เมมเบรนที่มีคุณภาพสูงจาก SUEZ ซึ่งเป็นหนึ่งใน Partner ของเรา โดยได้ถูกติดตั้งอยู่ภายใต้โครงสร้างหรือบ่อของระบบเดิม (SBR) ซึ่งเรียกว่า เป็นการ Retrofitting โดยโครงการนี้ถือเป็นโครงการแรก ของนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่ดำเนินการในลักษณะเช่นนี้ โดยสามารถเพิ่มความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย ได้ประมาณ 3 เท่า โดยใช้ Footprint เดิม และน้ำที่บำบัดได้มีคุณภาพดีและคงที่ สามารถน้ำไปใช้ใหม่ได้ รองรับนโยบายการใช้น้ำอย่างยั่งยืน โดยระบบดังกล่าว เหมาะสมกับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ทั้งบำบัดน้ำเสีย หรือ การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ทั้งจาก บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม จนถึง ชุมชน จังหวัด ภูมิภาค สวนอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม และยังสามารถ ควบคุมดูแลระยะไกลได้แม้ในระบบขนาดเล็ก รองรับรูปแบบธุรกิจ ทั้ง ขาย เช่า เช่าซื้อ BOO BOOT และลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่า จะได้รับเทคโนโลยีที่ถูกต้องมาตรฐานและเชื่อถือได้ จากบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญตรง มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ (Proven Technology)