สนใจเช็กเบี้ยประกันรถของคุณ คลิกเลย!

ประกันรถกำลังใกล้หมด! ไม่รู้จะต่อประกันรถกับค่ายไหนดี? วันนี้ “คอข่าว” มีข้อมูลของ 2 ค่ายประกันรถ มาฝากทุกคนกัน..

ประกันรถออนไลน์ค่ายแรก Roojai.com ให้บริการด้านประกันภัยออนไลน์รูปแบบใหม่สำหรับผู้ขับขี่ในประเทศไทย โดยได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมกับ บริษัท กรุงไทยพานิชฯ ในเครือธนาคารกรุงไทย เพื่อรับประกันภัยรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ และร่วมกับบริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เพื่อรับประกันภัยรถมอเตอร์ไซค์ สำหรับชาวไบค์เกอร์อีกด้วย รางวัลบริการลูกค้ายอดเยี่ยมของเราจะช่วยการันตีว่าลูกค้าทุกคนจะได้รับบริการที่ง่าย ราคาดี และเชื่อใจได้ตามที่คาดหวัง ช่วยให้คุณสามารถสร้างพันธมิตรที่มีกำไรและเติบโตได้ในระยะยาว

สนใจเช็กเบี้ยประกันรถของคุณ คลิกเลย! Roojai.com

ประกันรถออนไลน์ค่ายที่สอง SUNDAY INS (ซันเดย์) ประกันยุคใหม่ ทำชีวิตให้ง่าย ในราคาที่ใช่ : เรามาผลิกโฉมประกันแบบเดิมๆที่ขายแบบราคาเหมาจ่าย ทำให้ลูกค้าจ่ายเกินความจำเป็น ด้วยระบบคำนวณราคาแบบใหม่ โดยอาศัย Machine Learning และ AI เข้ามาช่วยคำนวณและปรับแพคเกจราคาให้เหมาะสมกับลูกค้า ที่มีความหลากหลายทั้ง Lifestyle และ มีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน เช็คเบี้ยประกัน ผ่านทางออนไลน์ ได้ราคาภายใน 1 นาที ปรับความคุ้มครองได้ด้วยตัวเอง ซื้อออนไลน์ได้ทันที
– บริการยกรถ
– เติมน้ำมันฉุกเฉิน
– ช่วยเหลือกรณีรถเสีย
* ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด

สนใจเช็กเบี้ยประกันรถของคุณ คลิกเลย! SUNDAY INS

สนใจปรึกษาฟรี! ทุกเรื่องประกันรถ ง่ายๆ เพียงคลิก https://lin.ee/Yp309Wu

‘สมหวังเงินสั่งได้’ งัดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สู้โควิด-19

นายศุภชัย บุญสิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเวย์ จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ และสินเชื่อทะเบียนรถชื่อ ภายใต้แบรนด์สมหวัง เงินสั่งได้ ในกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า สำหรับโครงการคืนรถจบหนี้ เหมาะกับ รถยนต์ ใหม่ป้ายแดง และบริษัทได้แนะนำโครงการดังกล่าวให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ และสินเชื่อทะเบียนรถของบริษัทสามารถร่วมโครงการดังกล่าวได้

ทั้งนี้ แต่พบว่าลูกค้าเลือก ไม่คืนรถ เพราะต้องการเก็บไว้เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ต่อ แต่ขอเลื่อนวันค่างวด เช่น เลื่อนไปจ่ายคืนเดือนถัดไปแต่อาจจ่ายงวดเดิมก่อน หรือขอเลื่อนจ่าย15 วัน และชำระครึ่งนึงก่อนจากนั้นอีก15วันค่อยอีกครึ่ง

ขณะเดียวกันในส่วนของบริษัทให้ความช่วยเหลือยกเว้นค่าปรับผ่อนชำระล่าช้าและค่าทวงถามหนี้ ขณะเดียวกันสำหรับแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมหลังจากนี้ ยังต้องรอความชัดเจนจากทางธปท. ซึ่งเราพร้อมให้ความร่วมมือ

แนวทางช่วยเหลือตามแนวทางของธปท. ก่อนหน้าเราปรับให้สอดคล้องกับกับความสามารถของลูกหนี้แต่ละราย อย่างไรก็ตามในช่วงล็อกดาวน์ รอบใหม่ 14 วันนี้ ในช่วง 2 วันมานี้ สถานการณ์ลูกค้ามาขอความช่วยเหลือตอนนี้ยังทรงๆ

*สนใจสมัครสินเชื่อ สมหวังเงินสั่งได้ คลิกเลย!

นอติลุส เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ “เอ็กซ์เทน” (XTEN)

“พัทยาฟู้ดกรุ๊ป” เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ “เอ็กซ์เทน” (XTEN) ในกลุ่มนอติลุส ซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์มัลติเกรน โอ๊ตมีล ถอดแนวคิด Extend Happiness “ยืดสุขให้สุขภาพ” โดยคัดสรรอาหารซุปเปอร์ฟู้ด เป็นรูปแบบอาหารพร้อมทานภายใน 2 นาที ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตที่เร่งรีบพร้อมดูแลสุขภาพในทุกช่วงวัย และ ทุกช่วงเวลา  ด้วยตัวเลือก 4 สูตร 4 รสชาติ มุ่งมั่นเป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพเคียงข้างคนไทย วางจำหน่ายแล้ววันนี้

นางสาวสุดาทิพ เกียรติศรีชาติ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด (PFG-Pataya Food Group) เป็นผู้ผลิต และจำหน่ายอาหารทะเล มานานกว่า 40 ปี ภายใต้แบรนด์ นอติลุส, มงกุฎทะเล และ ซีคราวน์ โดยนอติลุส มีจุดเด่นเรื่องการสรรค์สร้างนวัตกรรมอาหารสุขภาพเพื่ออยู่เคียงข้างคุณ (Health Partner) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนถึงนวัตกรรมล่าสุดที่ตอบโจทย์ในยุค New Normal คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่โดยใช้ ซุปเปอร์ฟู้ด (Super Food) ซึ่งมีคุณค่าอันดีจากธรรมชาติ ที่มอบโภชนาการที่ดีให้ผู้ทาน และยังตอบโจทย์กับคนยุคใหม่ที่มีเวลาดูแลตัวเองน้อยลง ปัจจุบันผู้บริโภคจำนวนมากให้ความสนใจกับคุณประโยชน์ของ ซุปเปอร์ฟู้ด (Super Food) ซึ่งเป็นทางเลือกของอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ นำมาผสมผสานกับกลุ่มอาหารทะเลที่มีความชำนาญในการผลิตมาอย่างยาวนาน เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ในรูปแบบ อาหารพร้อมทาน (Ready to Eat) ด้วยการ สร้างเทรนด์ XTEN Healthvenient – เอ็กซ์เทน เฮลท์วีเนียน” เพื่อชีวิตที่เร่งรีบพร้อมดูแลสุขภาพในทุกช่วงเวลา สำหรับวัยต่างๆ ตั้งแต่เด็กวัยเรียน, คนวัยทำงานหรือ ผู้สูงวัยที่ต้องการอาหารสุขภาพที่สะดวกพร้อมทาน ด้วย “เอ็กซ์เทน” จากนอติลุส

“เอ็กซ์เทน” เป็น แบรนด์น้องใหม่ของ นอติลุส ที่ตั้งใจจะเป็นอาหารสุขภาพที่สะดวกพร้อมรับประทาน โดยกลุ่มสินค้าแรกที่ออกส่งตลาด คือผลิตภัณฑ์มัลติเกรนโอ๊ตมีล (Multigrain Oatmeal) ที่ถอดจากแนวคิด Extend Happiness ยืดดดดดสุขให้สุขภาพ พัฒนาขึ้น โดยใช้คอนเซปต์ 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือ “ซุปเปอร์ฟู้ด” ซึ่งเป็นเทรนด์อาหารสุขภาพที่แพร่หลายไปทั่วโลก ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และ ส่วนที่สอง คือ การนำไอเดีย HighLow มาใช้เป็นแกนในการทำวิจัย และ พัฒนาเพื่อส่งมอบสารอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายและกำจัดสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกาย อุดมไปคุณค่าสารอาหารสูงจากการนำ ข้าวโอ๊ต มัลติเกรน และ ซุปเปอร์ฟู้ดมารวมเข้าด้วยกัน มีปริมาณคอเลสเตอรอลและโซเดียมที่ต่ำ เพื่อให้เป็นทางเลือกของการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนในทุกๆ สูตร  มานำเสนอในรูปของอาหารพร้อมทานที่มีรสชาติอร่อย ปรุงสะดวกใน 2 นาที พร้อมลดโซเดียมลง 50% มีน้ำตาลน้อยกว่า ไม่ใส่ผงชูรส และไม่ใส่วัตถุกันเสีย ช่วยยืดสุขภาพและยืดช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับผู้บริโภค สอดคล้องกับรูปแบบชีวิตที่ทันสมัยและมีไลฟ์สไตล์อันเร่งรีบในชีวิตประจำวัน แบบ XTEN Healthvenient – เฮลท์วีเนียน” (Healthy Meet Convenience) ที่มีตัวเลือกถึง 4 สูตร 4 รสชาติ คือ 

  • NAUTILUS XTEN: WILD RED SALMON โอ๊ตมีลผสมมัลติเกรน เรดแซลมอน สูตรลดโซเดียม 50% ให้วิตามินบี 6 และ บี 12 สูง มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาทและสมอง มีโอเมก้า 3, 6, 9 คอเลสเตอรอลต่ำ และไม่มีไขมันอิ่มตัว อร่อยด้วยเนื้อแซลมอนจริงจากธรรมชาติ
  • NAUTILUS XTEN: TRIPLE MUSHROOM โอ๊ตมีลผสมมัลติเกรน เห็ดรวมและผักโขม สูตรลดโซเดียม 50% ให้ไฟเบอร์และวิตามินซีสูง ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและต่อต้านอนุมูลอิสระ ไขมันต่ำและไม่มีไขมันอิ่มตัว พร้อมอร่อยเต็มคำด้วยเห็ดรวมชิ้นโต 3 ชนิด
  • NAUTILUS XTEN: DARK CHOC & ALMONDS โอ๊ตมีล ดาร์กช็อกพร้อมอัลมอนด์ สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 50% ให้ธาตุเหล็กและโฟเลตสูง มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและฮีโมโกลบิน และช่วยในการทำหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน และไม่มีคอเลสเตอรอล
  • NAUTILUS XTEN: MIXED BERRIES โอ๊ตมีล มิกซ์เบอร์รี่ สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 50% ให้วิตามินเอ และซีสูง มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของการมองเห็น และมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ ไขมันต่ำและไม่มีไขมันอิ่มตัว

นางสาวสุดาทิพ ให้ความเห็นว่า ตลาดอาหารพร้อมทานเพื่อสุขภาพ เป็นเซกเมนต์หนึ่งที่ยังสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการที่ผู้คนยุคใหม่ให้ความใส่ใจในการดูแลตัวเองและครอบครัว โดยเน้นอาหารที่มีคุณค่าและดีต่อสุขภาพ เพื่อให้มีความแข็งแรงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในขณะเดียวกันปัจจัยเรื่องราคาที่สมเหตุสมผลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผลิตภัณฑ์ต้องคิดเผื่อให้ผู้บริโภคด้วย สิ่งหนึ่งที่อาหารพร้อมทานต้องทำคือใช้ความเข้าใจในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน มาปรับแผนงานเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน แต่ยังคงมุ่งนำเสนอสินค้าคุณภาพและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคต่อไป

นอติลุส มีปณิธานแน่วแน่ที่จะเป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพเคียงข้างคนไทย สรรค์สร้างนวัตกรรมอาหารสุขภาพ เพื่ออยู่เคียงข้างผู้บริโภคตลอดระยะเวลาที่มา เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อช่วย “ยืดดดดสุขให้สุขภาพ” พร้อมกับตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ในวันที่ทุกคนต้องการให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อต่อสู้กับโรคภัยต่างๆ รอบตัว” นางสาวสุดาทิพ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

หาซื้อ “เอ็กซ์เทน” จากนอติลุส มัลติเกรนโอ๊ตมีล ยืดดดดดสุขให้สุขภาพ ได้แล้ววันนี้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ Tops, Gourmet, The Mall, Foodland, Villa, Fuji, Lemon Farm, Golden place, ริมปิง และในช่องทางออนไลน์ที่ Lazada, Shopee, Line my shop และ Nautilusonlineshop.com  หรือติดตามเคลื่อนไหวได้ที่ facebook.com/XTENNAUTILUS

มาร์เก็ตบัซซ แนะนักการตลาดต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง

มาร์เก็ตบัซซ (Marketbuzzz) เผยผลสำรวจการบริโภคสื่อของคนไทยในสถานการณ์ Covid-19 ในปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ประเทศมีมาตรการล็อกดาวน์อันเนื่องมาจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ได้ส่งผลต่อการบริโภคสื่อของคนไทยเป็นอย่างมาก

ในช่วงปี 2020 เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการบริโภคสื่อของผู้คน ยกตัวอย่างความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด เช่น โรงภาพยนตร์ที่ต้องปิดชั่วคราวด้วยมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงสื่อโฆษณากลางแจ้ง ต่างได้รับผลกระทบหนักด้วยเช่นกัน เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่อยากออกนอกบ้าน

เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของการบริโภคสื่อที่ถูกขับเคลื่อนโดยการปรับตัวของคนเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยใช้สื่อเพื่อช่วยในการดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่ หลายคนไม่สามารถไปทำงานได้ตามปกติ หรือต้องทำงานที่บ้าน นอกจากนี้ การใช้เวลาพักผ่อนยังต้องอยู่แต่เพียงในบ้าน เนื่องจากธุรกิจภาคบริการและธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ใช่สินค้าจำเป็น ถูกบังคับให้ปิดชั่วคราว

ที่ผ่านมา การบริโภคสื่อก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบเดิมสู่ออนไลน์มาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่จากสถานการณ์โควิด-19 กลับยิ่งเร่งให้มีการปรับเปลี่ยนเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้งผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ สั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่ และรับชมคอนเทนท์วิดีโอแบบสตรีมมิ่งมากยิ่งขึ้น

ในช่วงกลางปี 2021 มาร์เก็ตบัซซได้ทำการศึกษาถึงพฤติกรรมการใช้สื่อของคนไทย จำนวน 700 คนทั่วประเทศ เพื่อยืนยันข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับสื่อในช่องทางต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงผลการวิจัยเพิ่มเติมที่มีการเปลี่ยนแปลงหากเทียบกับปี 2020 โดยผู้ถูกสำรวจดังกล่าวได้บันทึกข้อมูลการใช้สื่อของเขาตลอดหนึ่งสัปดาห์ในช่วงเวลาต่างๆ คือ ช่วงเช้า บ่ายและเย็น ซึ่งรวมถึงวันธรรมดาและวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยผลการสำรวจพบว่า ช่องทางการใช้สื่อที่คนไทยนิยมใช้สูงสุด ได้แก่ การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย สูงถึง 81%, การใช้อินเตอร์เนต 65%, การรับชมวีดีโอสตรีมมิ่งคอนเทนต์ 50% และทีวี 47%

มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาร์เก็ตบัซซ ให้ความเห็นในเรื่องการใช้สื่อของคนไทยว่า เมื่อไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกบ้าน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนเริ่มมองหากิจกรรมเพื่อใช้เวลาที่มีอยู่ และหันไปบริโภคสื่ออื่นๆ เพื่อความบันเทิง และสร้างความใกล้ชิดกับครอบครัวหรือเพื่อน หรือการช้อปปิ้ง เรียนรู้ทักษะใหม่ และสร้างงานอดิเรกใหม่ๆ รวมถึงติดตามข่าวสารล่าสุด

มร.แกรนท์ กล่าวเสริมว่า สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่าการบริโภคสื่อนั้นคือ เครื่องมือที่ใช้ในการเข้าถึงสื่อต่างๆ ซึ่งโทรศัพท์มือถือได้รับความนิยมสูงสุด ถึงแม้ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่หลายคนใช้เวลาอยู่ที่บ้านก็ตาม การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อกันทางสังคมมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Line ที่มีการใช้งานสูงถึง 86% ตามมาด้วย Facebook อยู่ที่ 79% เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ และขยายคนรู้จักในแพลตฟอร์มในวงกว้างได้มากขึ้น

สำหรับผู้คนที่ชอบการท่องอินเตอร์เน็ต ส่วนมากจะใช้เวลาในการค้นหาเรื่องราวที่สนใจ การหาข้อมูลต่างๆ ในเว็บไซต์และการช้อปปิ้ง ซึ่งวิดีโอสตรีมมิ่ง ยูทูป ก็ยังเป็นสื่อที่ครองใจผู้ชมตามมาด้วย ไลน์ทีวี เน็ตฟลิกซ์ และวิว ขณะที่ผู้ที่ชื่นชอบดนตรีและเสียงเพลง ยูทูปมิวสิค และจูกซ์ ยังได้รับนิยมในสองอันดับแรก ตามด้วยสปอติฟาย และแอปเปิล มิวสิค

ขณะเดียวกัน จากผลสำรวจเห็นได้ว่าอีคอมเมิร์ซเป็นอีกแพลตฟอร์มที่น่าจับตามองในช่วงเวลานี้ เนื่องจากได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเพียงการแวะเข้ามาชมสินค้าหรือเข้ามาซื้อสินค้า โดยในปีนี้ อีคอมเมิร์ซ มีอัตราการใช้งานเติบโตอยู่ที่ 36% ซึ่งสูงจากปีที่ผ่านมาถึง 22%

ในหนึ่งปีที่ผ่านมา การวิจัยพบว่าคนไทยเข้าถึงและเปิดรับสื่อใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีจำนวนที่มากขึ้นกว่าในอดีต มร.แกรนท์ กล่าวเสริมว่า เราไม่ทราบว่าตัวกำหนดการใช้งานสื่อเต็มรูปแบบในช่วงโควิด-19 คืออะไร แต่สถานการณ์ทำให้คาดการณ์ได้ว่า คนไทยมีความพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตจากเดิม พฤติกรรมการใช้งานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่จะเปลี่ยนเฉพาะจำนวนเวลาที่เข้าใช้งานเท่านั้น

จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนไทยที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการใช้สื่อดิจิทัลและสื่อบนมือถือมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่านักการตลาดจำเป็นต้องมีการปรับตัว มีวิธีคิดใหม่ๆ และเลือกใช้กลยุทธ์และสื่อการตลาดอย่างเหมาะสม เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหลักและเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกรกฎาคม 2564

การระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19  สายพันธ์เดลต้าในไทยเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มไปอยู่ที่ประมาณ  15,000  รายต่อวันในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2564 ในขณะที่ SET index ปรับตัวลดลง 4.1% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตามกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังคงประมาณการเติบโตเศรษฐกิจโลกที่ 6% ในปี 2564 โดยมีการเพิ่มประมาณการเติบโตของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ขณะเดียวกันได้ปรับลดประมาณการเติบโตของประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาลงจากตัวเลขที่ประกาศก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการเข้าถึงวัคซีนป้องกัน COVID-19  ที่ไม่เท่าเทียมกัน

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 SET Index  ปิดที่ 1,521.92 จุด ลดลง 4.1% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า เมื่อพิจาณาช่วง 7 เดือนแรกปี 2564 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 5.0% ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเทคโนโลยีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 SET Index  ปิดที่ 1,521.92 จุด ลดลง 1% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยใน 7 เดือนแรกปี 2564 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 5.0% ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค
  • ในเดือนกรกฎาคม 2564 หลายอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ได้แก่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเทคโนโลยีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ
  • ในเดือนกรกฎาคม 2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 84,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 7 เดือนแรกปี 2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 96,388 ล้านบาท
  • ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7  โดยในเดือนกรกฎาคม 2564 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ  17,741 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 7 เดือนแรกปี 2564 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 95,558 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนในประเทศมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิ 129,185 ล้านบาท นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19  ผู้ลงทุนในประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง
  • ในเดือนกรกฎาคม 2564 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 3 บริษัท และ 1 ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนของ mai 1 บริษัท โดยใน 7 เดือนแรกปี 2564 SET มีมูลค่าระดมทุน (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN
  • Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 0 เท่า และ 27.0 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า และ 19.6 เท่าตามลำดับ
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 55% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.35%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

  • ในเดือนกรกฎาคม 2564 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 423,066 สัญญา ลดลง2% จากเดือนก่อน และในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 542,283 สัญญา เพิ่มขึ้น 12.0% จากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures เป็นสำคัญ

 

ILM โชว์กำไรเติบโต 6 เท่า จ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.15 บาท

ILM ประกาศผลงานไตรมาส 2/2564 กำไรสุทธิ 101.0 ล้านบาท เติบโต 596.7% YoY ขณะที่รอบ 6 เดือน กำไรสุทธิ 246.4 ล้านบาท เติบโต 85.7% YoY ยอดขายออนไลน์พุ่งทุบสถิติสูงสุดรายไตรมาส ยอดขาย OEM เติบโตแข็งแกร่ง บริษัทฯ เดินหน้าชำระคืนเงินกู้ต่อเนื่อง พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.15 บาท
 
นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจรในประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินการไตรมาส 2/2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,048.5 ล้านบาท เติบโต 10.6% YoY และมีกำไรสุทธิ 101.0 ล้านบาท เติบโต 596.7% YoY ขณะที่ผลประกอบการรอบ 6 เดือน ปี 2564 รายได้รวม 4,195.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% YoY และกำไรสุทธิ 246.4 ล้านบาท เติบโต 85.7% YoY โดยผลการดำเนินงานฟื้นตัวโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ และการลดต้นทุนการดำเนินงานในทุกส่วนอย่างมีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นอกเหนือจากการจำหน่ายผ่านสาขาทั่วประเทศแล้ว บริษัทฯ ยังมีช่องทางการจำหน่ายหลักอื่นๆ ที่ช่วยผลักดันยอดขายของบริษัทฯ ได้แข็งแกร่ง ได้แก่ ช่องทางออนไลน์ ซึ่งสามารถเติบโตทะลุเป้าจนทำสถิติใหม่รายไตรมาสได้ และมีแนวโน้มจะทำสถิติใหม่ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต รวมถึงเฟอร์นิเจอร์สั่งตัด Younique Customized Furniture และช่องทาง OEM ต่างประเทศ ที่ยังคงเติบโตได้อย่างโดดเด่น ในขณะที่สภาพคล่องแข็งแกร่ง ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.15 บาท คิดเป็นจำนวนเงินปันผลรวม 75.8 ล้านบาท สำหรับงวดการดำเนินงาน 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2564
นางสาวกฤษชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าเรายังมีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกล่าสุดที่มีความรุนแรงมากที่สุดนับจากมีการแพร่ระบาดในประเทศไทยในปีที่แล้ว ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐออกมาตรการล็อกดาวน์พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดอีกครั้ง ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 12 กรกฏาคม 2564 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การกระจายวัคซีนสามารถทำได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ได้เริ่มมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภายใต้แนวคิด “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” และ “สมุย พลัส โมเดล” ที่ผ่านมา และมีแผนที่จะเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวในอีกหลายจังหวัดหลังจากนี้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล จะช่วยสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และจะช่วยหนุนกำลังซื้อและภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้ในครึ่งหลังของปีนี้ นางสาวกฤษชนกกล่าว

บีโอไอ จัดสัมมนาสร้างเครือข่ายปลั๊กแอนด์ชาร์จให้นักธุรกิจในภูมิภาค

กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน พร้อมด้วยบีโอไอศูนย์ภูมิภาคทั้ง 7 แห่ง ร่วมกับบีโอไอโซล จัดสัมมนาสร้างเครือข่ายทางธุรกิจด้าน EV & Charging Station และ Smart Cities ระหว่างผู้ประกอบการไทยในภูมิภาค บริษัทพัฒนาเมืองกับนักลงทุนเกาหลีใต้ คาดจะช่วยให้นักธุรกิจไทยต่อยอดการลงทุน และสร้างเครือข่ายธุรกิจใหม่ๆ รองรับแผนต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP)  เพิ่มช่องทางเพื่อแข่งขันสู่ตลาดต่างประเทศ

นายขวัญชัย วรกัลยากุล ผู้อำนวยการ (ระดับสูง) กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน บีโอไอ เปิดเผยว่า กองประสานฯ ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุน 1-7 ร่วมกับ สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ขอเชิญผู้ประกอบการร่วมงานสัมมนาออนไลน์ เรื่อง THAI-KOREA BIZ NETWORKING: EV & Charging Station for Public Transportation in the Smart Cities” เพื่อสร้างเครือข่ายต่อยอดธุรกิจรองรับธุรกิจในยุคโควิดและหลังโควิด โดยผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจะได้มีโอกาสเพิ่มพันธมิตรต่อยอดวิสัยทัศน์จากผู้แทนภาครัฐและภาคธุรกิจของทั้งไทยและเกาหลีใต้

วัตถุประสงค์สำคัญของกิจกรรมนี้เพื่อให้มีส่วนช่วยสร้างเครือข่าย ขับเคลื่อน ยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับนักธุรกิจและบริษัทพัฒนาเมืองทั่วไทย อีกทั้งยังเป็นการช่วยวางแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่องให้ดำเนินต่อไปได้ โดยการเพิ่มช่องทางและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ระหว่างประเทศในปัจจุบันและรองรับอนาคตอันใกล้ ซึ่งในทุกปีกองประสานฯ ได้ร่วมกับ บีโอไอศูนย์ภูมิภาคในการพานักลงทุนไทยไปต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายโอกาสธุรกิจนี้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดการลงทุน สำรวจการนำมาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาประยุกต์ใช้ การออกแสดงนิทรรศการ การหาผู้ร่วมทุน แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงทำให้ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ จึงได้ปรับรูปแบบเป็น Webinar แทน

สำหรับการสัมมนาแบบออนไลน์ครั้งนี้จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2564 เวลา 13.00 – 16.25 น. โดยมีวิทยากรจากภาครัฐและเอกชน สมาคม มหาวิทยาลัยของไทย และเกาหลีใต้ อาทิ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ส่วนกลางและภูเก็ต (โครงการล่าสุดในภูเก็ต Sand BOX) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) Korea Agency for Infrastructure Technology Advancement สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย มหาวิทยาลัย ULSAN ของเกาหลีใต้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และผู้บริหารจากบริษัทเอกชนชั้นนำ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนทั้งมาตรการส่งเสริมการลงทุน เปิดโอกาสสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างไทย-เกาหลีใต้ ในกลุ่ม EV & Charging Station กลุ่มพัฒนาเมือง และ Smart Cities ตลอดจนอัพเดตโครงการที่น่าสนใจ ความร่วมมือ การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน มหาวิทยาลัยของไทยและเกาหลีใต้ รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมด้าน EV & Charging Station และ Smart Cities

ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือ[email protected]  โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ทดลองออนแอร์ T Sports 7 ช่องกีฬาและท่องเที่ยว บนโครงข่าย อสมท

นายสิโรตม์ รัตนามหัทธนะ กรรมการและรักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บมจ. อสมท หนึ่งในผู้ได้รับใบอนุญาตให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิตอล ซึ่งได้ติดตั้งสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์ จํานวน 39 สถานีหลัก และ 129 สถานีเสริม ครอบคลุมจำนวนครัวเรือนกว่า 95% ของประเทศ หรือกว่า 22 ล้านครัวเรือนเดิม บมจ.อสมท มีผู้ใช้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล จำนวน 3 ช่องรายการ ซึ่งเป็น ช่องรายการโทรทัศน์ดิจิตอลแบบความคมชัดสูง (High Definition)  จำนวน 2 ช่องรายการ ได้แก่ ไทยรัฐทีวี ช่องหมายเลข 32 ดำเนินการโดย บริษัท ทริปเปิ้ลวี บรอดคาสท์ จำกัด และ MCOT HD  ช่องหมายเลข 30 ดำเนินการโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และ ช่องรายการโทรทัศน์ดิจิตอลแบบความคมชัดปกติ (Standard Definition) จำนวน 1 ช่องรายการ คือ สถานีโทรทัศน์รัฐสภา ช่องหมายเลข 10 ดำเนินการโดย สำนักงานเลขานุการสภาผู้แทนราษฎร

ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้รับอนุญาตจาก สำนักงาน กสทช. ให้ดำเนินโครงการทดลองส่งสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล เพื่อส่งเสริมยุทธศาสตร์ประเทศด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ภายใต้ชื่อช่อง T Sports 7  ช่องหมายเลข 7 โดยออกอากาศผ่านโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลของ บมจ. อสมท แบบความคมชัดปกติ (Standard Definition) เป็นระยะเวลา 6 เดือน (เริ่ม ก.ค. 2564 –  ม.ค. 2565)

สำหรับ ช่อง T Sports 7 เริ่มออกอากาศ บนโครงข่ายฯ ของ  บมจ. อสมท  เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา โดยเริ่มถ่ายทอดสดพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 32 “โตเกียว 2020” และดำเนินการถ่ายทอดสดกีฬาโอลิมปิกฯ ทุกประเภท เมื่อเข้าสู่เนื้อหารายการปกติภายหลังการถ่ายทอดกีฬาโอลิมปิก จะนำเสนอข่าวสารและรายการเกี่ยวกับกีฬาและการท่องเที่ยวที่มีสาระประโยชน์แก่ผู้ชมอย่างต่อเนื่อง ทั้งเนื้อหารายการข่าวกีฬาและการท่องเที่ยว การถ่ายทอดสดกีฬาจากสมาคมกีฬาต่างๆ ทั้งนี้เพื่อการพัฒนากีฬาโดยภาพรวม รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยว

นายสิโรตม์ กล่าวต่อไปว่า ช่อง T Sports 7  ถือเป็นช่องกีฬาคุณภาพ ที่ช่วยเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายในการรับชมกีฬาของคนไทย  มั่นใจว่าด้วยศักยภาพความพร้อมด้านเทคโนโลยีและบุคลากรของ บมจ.อสมท และวิสัยทัศน์ขององค์กรที่เป็น ผู้นำเสนอเนื้อหาที่น่าเชื่อถือ เที่ยงตรง และรวดเร็ว จะพร้อมสนับสนุนการออกอากาศของช่อง T Sports 7 อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามรับชม ช่อง T Sports 7 โดยกดหมายเลข 7 ผ่านกล่องทีวีดิจิตอลภาคพื้นดิน (DVB-T2) หรือเครื่องรับโทรทัศน์ที่สามารถรับสัญญาณทีวีดิจิตอลได้โดยตรง หากพบปัญหาในการรับชม ติดต่อ Call Center ของ บมจ.อสมท โทร 02251 7256 และ Call Center ของ สำนักงาน กสทช. โทร 1200

บล.ไทยพาณิชย์ แต่งตั้ง ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ นั่งเก้าอี้ CEO คนใหม่

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ประกาศแต่งตั้ง ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ รับภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งต่อยอดความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของบล.ไทยพาณิชย์ด้าน Securities และTrading พร้อมเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรม เพื่อเร่งการเติบโตด้านการลงทุนผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Investment) รวมถึงเตรียมความพร้อมในการสร้างนวัตกรรมการลงทุนแห่งอนาคตที่จะเข้ามาพลิกโฉมธุรกิจการเงินและธนาคารในอนาคต

ทั้งนี้ นอกจากการเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ แล้ว ดร.อารักษ์ยังคงดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ควบคู่กับการดูแลบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมพานี ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และการลงทุนที่สามารถสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารอีกด้วย

 บล.ไทยพาณิชย์ในปัจจุบันได้ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มการลงทุน อาทิ EASY INVEST ที่มีความพร้อม สามารถต่อยอดไปสู่การลงทุนในด้านอื่น ๆ ในอนาคตได้อีกมาก มีศักยภาพที่จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ได้อย่างแข็งแกร่ง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันการลงทุนในยุคดิจิทัลของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มุ่งหวังจะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงิน และกระจายโอกาสในการเข้าถึงการลงทุนให้กับคนไทยได้อย่างทั่วถึง

ด้านการศึกษา ดร. อารักษ์ จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ จาก Stanford University, California ประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาโทและปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จาก Carnegie Mellon University, Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา

ตลาด Food Delivery เดือด! เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป เปิดบริการส่งอาหารฟรี

1312 FOODHUNT DELIVERY ช่องทางการสั่งอาหารภายในเครือบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (Central Restaurants Group : CRG) หนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารเครือข่าย (Food Chain Industry) ของประเทศไทย ปัจจุบันได้มีการพัฒนาปรับโฉมใหม่ ให้การใช้งานบนแอปพลิเคชั่นและ เว็บไซต์ ง่าย สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Something Special, Something More” เพื่อมอบสิ่งพิเศษที่เหนือกว่าใคร ให้ลูกค้าคนสำคัญ ได้มาอิ่มอร่อยกับหลากหลายร้านอาหารชั้นนำในเครือ CRG พร้อมรับโปรโมชั่นที่ดีที่สุด ในราคาที่คุ้มค่าทุกการสั่งซื้อ

ดร. ฉัตรชัย อุณหโภคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสฝ่ายกลยุทธ์องค์กร เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ร้านอาหารทุกร้านต่างได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ทำให้ไม่สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเหลือเพียงช่องทางเดลิเวอรี่เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ส่งผลให้ยอดการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เราจึงตั้งใจเร่งพัฒนาแอปพลิเคชั่น 1312 FOODHUNT DELIVERY ของเราใหม่ ทั้งรูปแบบของการให้บริการกับลูกค้า โดยปรับโฉมใหม่สำหรับช่องทางออนไลน์ รวมถึงเพิ่มจุดให้บริการเดลิเวอรี่มากขึ้น พร้อมกับขยายสาขาให้บริการไปทั่วประเทศ อีกทั้งยังเพิ่มเติมในส่วนการทำโปรโมชั่น และแคมเปญร่วมกับกลุ่มคู่ค้ารายสำคัญ เพื่อมอบสิ่งพิเศษให้กับลูกค้าได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งในช่วงล็อกดาวน์นี้ 1312 FOODHUNT DELIVERY ได้จัดแคมเปญสุดคุ้มยกขบวนแบรนด์ชั้นนำทั้ง 16 แบรนด์ในเครือซีอาร์จี มาจัดแคมเปญส่งฟรีให้ลูกค้าที่อยู่ในรัศมี 10 กิโลเมตรแรก เมื่อสั่งขั้นต่ำ 200 บาท และพิเศษยิ่งขึ้นกับส่วนลดสูงสุดถึง 50%

โปรโมชั่นล็อกดาวน์ ส่งฟรีทุกๆ เมนู ในระยะ 10 กิโลเมตรแรก กับ 16 แบรนด์ชั้นนำในเครือซีอาร์จี ได้แก่ Mister Donut, Auntie Anne’s, Pepper Lunch, Chabuton, Cold Stone Creamery, Thai Terrace, Yoshinoya, Ootoya, Tenya, Katsuya, Aroidee, Salad Factory, Brown Café, Arigato และ Somtamnua เพียงมียอดซื้อขั้นต่ำ 200 บาท เท่านั้น และต่อเนื่องกับโปรโมชั่นส่วนลดค่าอาหารทุกแบรนด์ลดสูงสุดถึง 50% อาทิ จ่ายครึ่งราคา หรือ ซื้อ 1 แถม 1 รับรองว่าคุ้มค่าทุกการสั่งซื้อแน่นอน โปรเด็ดช่วยคนไทยแบบนี้ มีเต็มๆ 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2564 ไปจนถึง 31 สิงหาคม 2564

โดยสามารถสั่งเดลิเวอรี่ได้ทั้ง 4 ช่องทาง

  1. Application:
  2. Website: foodhunt.com
  3. โทรสั่งผ่านเบอร์ 1312
  4. แชทผ่านไลน์ @1312food หรือคลิก: https://lin.ee/z7YuUwe