LINE SHOPPING x แจกแหลก เปิดซีซั่นใหม่ ทั้งแจก ทั้งแหลก สุดปัง!

ไอไม่ได้จะมาขยี้ยูให้แหลก! แต่ซีซั่นนี้ LINE SHOPPING x “แจกแหลก” มาแจกแหลกแน่นอน! เพราะแค่ได้ยินชื่อเหล่า 6 พิธีกรไฟท์เตอร์ นำทีมโดย ตุลย์-ภากร, ท็อปแท็ป-ณภัทร, โม-จิรัชยา, จีน่า-วิรายา, หลิน- มชณต และ ป๊อปปี้-รัชพงศ์ ที่เตรียมมาสร้างความสนุกในแต่ละสัปดาห์แล้ว ยังการันตีความ “แหลก” โดย “ป้าตือ-สมบัษร” คนเดิม พร้อมกับจะมา “แจก” โดยเหล่าผู้สนับสนุนแบรนด์ดัง มาเซอร์ไพรส์กันอีกด้วย! งานนี้แม้จะประเดิม EP.แรกก็จริง แต่ความสู้ของเหล่าพิธีกร บอกได้เลยว่า “สนุก มันส์ สนั่นจอ” แน่นอน!! ไลฟ์ฟรอมโฮม พร้อมกันวันพุธที่ 11 สิงหาคมนี้ เวลา 17.00 น.

แต่ว่า การกลับมาของ LINE SHOPPING x “แจกแหลก” ในซีซั่นนี้ ไม่ธรรมดาเพราะพิธีกรไฟท์เตอร์แต่ละคน จะต้องปฏิบัติการภารกิจรีวิวโชว์สกิลแข่งขันกันแบบดราม่าดุเดือดขั้นสุด เพื่อให้ได้เลือกเป็นผู้ถูก “แจกดาว” โดยในแต่ละเบรกจะมีผู้ชนะ Jax Star ได้รับดาวจากเหล่าแบรนด์ดัง แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะป้าตือ ก็มีหน้าที่มา “แหลก” ได้เช่นกัน ฉะนั้น ต้องมารอติดตามว่าภารกิจในการเป็นไฟท์เตอร์ของแต่ละคน จะวาดลวดลายเพื่อให้ตนเองคว้าดาวมาครองได้แบบเบอร์ไหน

ทั้งนี้ การไฟท์ของเหล่า 6 พิธีกรในครั้งนี้ จะช่วยต่อชีวิตคนได้ เพราะท้ายที่สุด “ดาว 1 ดวง” จะมี “มูลค่า 1 บาท” และท้ายสุดดาวทั้งหมด จะถูกแปลงเป็นเงินเพื่อนำไปต่อลมหายใจให้กับผู้กับผู้ป่วยโควิด-19 โดยรายได้ทั้งหมด ไม่หักค่าใช้จ่าย จะนำไปสบทบทุนจัดการเครื่องออกซิเจนต่อลมหายใจให้แก่ผู้ป่วยโควิด-19 ต่อไป

โดยเตรียมพบกับผู้สนับสนุนใจดี อาทิ EVEANDBOY (อีฟแอนด์บอย) ที่ยกสินค้าในร้านมาแบบปังๆ พร้อมยกทัพ “ไอคอนสยาม”ศูนย์การค้าชื่อดังระดับโลก ขนสินค้ามาให้เหล่าไฟท์เตอร์ได้รีวิวกันแบบไม่มีใครยอมใคร หรือจะเป็นอุปกรณ์การไฟท์ทุกอย่างที่เหล่าไฟท์เตอร์หยิบมาสู้กันแบบไม่ยั้งจาก Supersports (ซูเปอร์สปอร์ต) พร้อมทั้งคุณผู้ชมก็สามารถช้อปปิ้งได้ในราคาสุดพิเศษส่งตรงให้ถึงหน้าบ้านเลยอีกด้วย

มาเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วม “แจกดาว” ให้พิธีกรที่คุณชื่นชอบได้ โดยเข้าไปที่ Myshop ของ LINE SHOPPING x “แจกแหลก” หรือ LINE OA:  @JaxLax แล้วเลือกกดดาวให้ทีมพิธีกรที่คุณเชียร์อยู่ ในราคา 10 บาท / 100 บาท / 500 บาท / 1,000 บาท เท่านี้ก็สามารถร่วมทำบุญได้แล้ว ย้ำว่า! อย่าลืมติดตาม LINE SHOPPING x “แจกแหลก” ทุกวันพุธ 17.00 น. ทาง LINE OA @LINEShoppingTH และ add friend @JaxLax เพื่อรับข้อมูล Insider และ โปรพิเศษที่ไม่มีที่ไหนอื่น

บทสรุป “จีนกวาดบ้านกระทบตลาดหุ้น” โอกาส หรือ เสี่ยง?

จากภาวะที่บรรดาบริษัทต่างๆ ถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลจีน สร้างแรงกระเพื่อมส่งผลต่อตลาดทุนอย่างชัดเจน จะเห็นชัดว่าตลาดหุ้นฮ่องกงและตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงหนักต่อเนื่องเมื่อช่วงปลายเดือนก.ค. ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นการศึกษา รวมไปถึงหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน จึงเกิดความวิตกกังวลในหมู่นักลงทุนว่าหน่วยงานกำกับอาจจะเพิ่มกฎเกณฑ์การควบคุม หรืออาจจะขยายขอบเขตการควบคุมไปยังอุตสาหกรรมอื่นหรือไม่ และนักลงทุนควรวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร เลยเป็นที่มาของประเด็นพูดคุย เมื่อจีนกวาดบ้านกระทบตลาดหุ้น นี่คือโอกาส หรือ ความเสี่ยง ในหุ้นจีน” ในห้องสนทนาสุดฮิต Clubhouse โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากกรุงศรี และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีนร่วมวิเคราะห์แง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความกระจ่างพร้อมชี้แนวทางให้กับนักลงทุน

หากวิเคราะห์สถานการณ์ของจีนจากภาวะที่ถูกแทรกแซงจากรัฐบาลจีน ผู้ลงทุนต้องรู้อะไรบ้างนั้น รองศาสตราจารย์ ดร. อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน เปิดเผยว่า ด้วยเหตุผลด้านการปกครองเพื่อรักษาเสถียรภาพและการจัดระเบียบสังคมของจีนที่เป็นประเทศใหญ่และมีความหลากหลายมาก ทำให้ระบบแบบจีน (Socialism Chinese Characteristics) จะเป็นรัฐกำกับทุน หรือทุนนิยมโดยรัฐ เป็นกลไกหลักที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการที่จีนเข้ามาแทรกแซงธุรกิจต่างๆ เสมือนเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม

ยกตัวอย่างกรณีเข้มงวดกับโรงเรียนกวดวิชา เพราะมองว่าไม่มีความจำเป็นและซ้ำซ้อนกับการเรียนภาคปกติ แต่กลับเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง รวมทั้งยังต้องการลดอิทธิพลของหลักสูตรการเรียนการสอนของต่างชาติ หรือกรณี Tencent ทำธุรกิจเกมที่จีนเข้ามาแทรกแซงเพื่อปกป้องอนาคตของชาติ แม้กระทั่งเรื่อง Ant Group ของ Alibaba ที่ใช้ DATA มาสร้างประโยชน์มหาศาลก็จริง แต่ก็ทำให้ประชาชนอาจมีหนี้สินเพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมเงินที่ง่ายจนเกินไป ซึ่งจะกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม เกิดหนี้ครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำ และกระทบกับความมีเสถียรภาพ

ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าจีนยังเน้นกวาดบ้านต่อ หรือรัฐบาลน่าจะเข้ามาดูแลจัดการผ่านสำนักงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์สเปซของจีน (Cyberspace Administration of China: CAC) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพทางสังคม ธุรกิจที่มีโอกาสเอาเปรียบหรือผูกขาด และในมุมของนักธุรกิจจีนก็พร้อมยินยอมปฏิบัติตาม คนจีนเองก็ยอมรับในการจัดระเบียบสังคมที่จะทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าข้อดีของระบบเศรษฐกิจจีนนั้น คือความมีเอกภาพระบบของจีนที่ชัดเจน ไม่เปลี่ยนไปมา ไม่สร้างความสับสนให้กับประชาชน อีกทั้งเศรษฐกิจจีนกำลังขับเคลื่อนด้วย DATA ซึ่งคุณวิน พรหมแพทย์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจจีนมีการเติบโตเป็นบวก เศรษฐกิจจีนไตรมาส 1/2564 โต 18.3% ขณะที่โลกยังไม่ฟื้นจากโรคระบาด แต่ในไตรมาส 3-4/2564 อาจจะชะลอตัวลงบ้าง มีการเติบโตของภาคค้าปลีกถึง 33% ยอดการส่งออกพุ่ง 38.7% มีการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยบวกในตลาดหุ้นอย่างมาก

ขณะเดียวกันก็มีการบริโภคในประเทศมากขึ้น เม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้ามาอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีนโยบายเกี่ยวกับการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ประชากรมีการขยับมาเป็น Middle Class ซึ่งจะเป็นกำลังซื้อสำคัญในอนาคต อีกทั้งพรรคการเมืองแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพอย่างมาก นั่นทำให้มองเห็นโอกาสของการลงทุนในจีนอยู่ แต่ในส่วนการลงทุนภาคตลาดทุนนั้น คุณวินมองว่าการที่ตัวเลขดิ่งลงในช่วงเวลาที่รัฐประกาศมาตรการใดๆ ออกมาและนักลงทุนไม่มั่นใจนั้น อาจสะท้อนว่ายังมีโอกาสที่จะกลับมาทะยานขึ้นได้หากสถานการณ์คลี่คลาย

ดังนั้น ช่วงเวลาที่หลายคนกำลังตระหนกตกใจและมีความลังเล อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่จะมองข้ามเรื่องที่ตกใจเพื่อคว้าโอกาสการลงทุนนี้ให้ได้และยังชี้ช่องโอกาสเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนผ่านกองทุนรวม ซึ่งได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยง อีกทั้งจากสถิติยังพบว่าหลายครั้งที่หุ้นตกแรงก็สามารถดีดตัวขึ้นแรงเช่นกัน จึงควรแบ่งน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะสม และเช็คความเสี่ยงให้พอดี ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ ธุรกิจพลังงานสะอาด หรือที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก และอยากให้นักลงทุนเล็งเห็นโอกาสที่จีนเร่งพัฒนาด้านเทคโนโลยีของตัวเอง ทั้งพัฒนาระบบนำทาง ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้จีนไปได้อีกไกล นักลงทุนควรใช้ประโยชน์จากตรงนี้และรู้จักแปลงจีนเป็นโอกาส

ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นทุกวินาที รองศาสตราจารย์ ดร. อักษรศรี กล่าวว่า จีนก็ยังมีเรื่องน่ากังวล เช่น หนี้จีน หนี้ภาคครัวเรือนสูง และรัฐวิสาหกิจจีนที่ขาดทุน ภาระเชิงนโยบายต่างๆ ซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้องระวังด้วยเช่นกัน จึงแนะนำวิธีติดตามข่าวจีน รับรู้กฎระเบียบจากสื่อจีน ทิศทางการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ซึ่งสื่อจีนตอนนี้มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ในขณะที่ตัวแปรที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือสถานการณ์จีน-สหรัฐฯ ที่มีการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ อีกทั้งยังกล่าวเสริมเพิ่มเติมว่า ต้องระวัง บริษัทซอมบี้จีน” หรือบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรต่ำและหนี้สินที่สูงในระยะยาวพร้อมแนะนำหรือมีคำเตือนสำหรับนักลงทุนว่าควรระแวดระวังการลงทุนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยละเอียดอ่อนที่จีนจะไม่ยอมอ่อนข้ออย่างเด็ดขาด นั่นคือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับซินเจียง ฮ่องกง ไต้หวัน ทิเบต และทะเลจีนใต้

นอกจากการเน้นให้ความรู้อย่างรอบด้านแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้ฟังเกือบ 700 คน ร่วมสอบถามปัญหาในเรื่องที่ยังมีความสงสัย เช่น ตลาดจีนยังเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีไทยหรือไม่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนให้ความเห็นว่า แม้เศรษฐกิจจีนจะใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่ง่ายที่เอสเอ็มอีไทยจะเจาะตลาดได้ จึงต้องดูที่รสนิยมต้องออกแบบและเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสม ส่วนสินค้าที่น่าจับตา ได้แก่ กลุ่มของขวัญของชำร่วยและอัญมณี อีกทั้งยังมีข้อเสนอแนะจากผู้ฟังว่าอุตสาหกรรมที่ต้องระวัง นอกจากสถาบันกวดวิชา มาตรการแก้ความเหลื่อมล้ำแล้ว ยังมีด้านสาธารณูปโภค ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต ระบบรางของเอกชน และมองว่าการที่หุ้นจีนดิ่งลงอาจจะเป็นการลดพอร์ตเพื่อไปตั้งหลักมากกว่า

นับเป็นการพูดคุยที่สร้างกำลังใจให้กับนักลงทุนด้วยข้อมูลแน่นปึกและมีเหตุผลรองรับที่น่าเชื่อถือ จึงน่าจะเป็นปัจจัยและพื้นฐานให้นักลงทุนนำไปวิเคราะห์ปรับใช้กับการพิจารณาลงทุนหุ้นจีนและปรับพอร์ตของตัวเองได้เป็นอย่างดี

ติดตามฟังข้อมูล ความรู้ และน่าสาระบันเทิงที่น่าสนใจ ได้ที่ Clubhouse: Krungsri Simple หรือ Krungsri Plearn เพลิน Podcast เรื่องเงิน เรื่องง่าย ฟังได้เพลินเพลิน

อุทยานฯ ป่าหินงาม เปิดให้ชมทุ่งดอกกระเจียวได้แล้ว

นายชม มาแดง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เปิดเผยว่า อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ประกาศเปิดการท่องเที่ยวและพักค้างแรมในพื้นที่อุทยานเห่งชาติป่าหินงาม ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากสานการณ์การแพร่รบาดของโรคโควิด-19 และขอยกเลิกประกาศอุทยานเห่งชาติปาหินงาม ฉบับลงวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2564 สำหรับการพักค้างแรมอุทยานเห่งราติป่าหินงาม เพื่อลดการสัมผัสหรือใกล้ชิดกันระหว่างนักท่องเที่ยว จึงอนุญาตให้พักค้างแรมได้เฉพาะในบ้านพักนักท่องเที่ยวเท่านั้น

สำหรับในบริเวณลานกางเต็นท์ทุกจุด ยังไม่อนุญาตให้พักค้าแรมทุกกรณี จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยให้นักท่องเที่ยวหรือผู้มาติดต่อราชการให้ยึดแนวทางปฏิบัติตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คำสั่งและประกาศจังหวัดชัยภูมิ ข้อสนอแนะศูนย์ปฏิบัติการอำเภอเทพสถิต (ศปก.อำเภอเทพสถิต) ที่เกี่ยวต้องอย่างเคร่งครัดและให้ถือปฏิบัติตามาตรการการท่องเที่ยววิถีใหม่แบบ New Normal ของอุทยานเห่งชาติป่าหินงาม

สามารถติตต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มติมที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ได้ตามเบอร์โทรศัพท์ 0-4405-6141 หรือทางเพจ Facebook อุทยานเห่งชาติป่าหินงาม

โลตัส คว้า น้องเทนนิส นั่งแท่น Brand Endorser

โลตัส เปิดตัว น้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ในฐานะ Brand Endorser เผยเบื้องหลังการจับมือร่วมกันเพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดมุ่งหมายและความเชื่อเหมือนกัน ในด้านความมุ่งมั่นและทุ่มเทในทุกสิ่งที่ทำเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือความสุขของคนไทย

นางวรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า โลตัส ขอแสดงความยินดีกับน้องเทนนิส ที่สามารถคว้าเหรียญทองเหรียญแรกในการแข่งขันโอลิมปิก 2020 มาให้คนไทยทั้งประเทศได้ภาคภูมิใจ ความมุ่งมั่นและทุ่มเทของน้องเทนนิสในการฝึกซ้อม จนนำมาสู่ความสำเร็จดังกล่าว เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง และมีความตรงกับจุดมุ่งหมายของแบรนด์โลตัส ในฐานะที่เราก็มีความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการช้อปปิ้ง ผ่านสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึงได้ การบริการที่ยอดเยี่ยมผ่านช่องทางต่างๆ ของเรา นอกจากนั้น น้องเทนนิส ยังเป็นตัวแทนของเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีพลัง มีความสดใส ซึ่งสอดคล้องกับแบรนด์ใหม่ของโลตัส จึงเป็นที่มาของการเชิญน้องเทนนิสให้เป็น Brand Endorser ของโลตัส ในกิจกรรมและสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ตลอดระยะเวลา 1 ปี การร่วมมือกันในครั้งนี้คาดว่าจะสร้างความตื่นเต้นและสีสันให้กับลูกค้าของโลตัส เพราะเชื่อมั่นว่าลูกค้าของเราก็มีความภาคภูมิใจและชื่นชมในความทุ่มเทและมุ่งมั่นของน้องเทนนิสไม่แพ้กัน

BM ชี้โปรเจค ตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้า จ่อเปิดตัว รับออเดอร์แรก ต.ค.64

บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) หรือ BM รุกคืบโปรเจค ตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้า เตรียมเปิดตัว-รับคำสั่งซื้อแรก เดือนต.ค.64 พร้อมเปิดรับพันธมิตร ลุยต่อยอดธุรกิจใหม่ หวังลดต้นทุนผลิต เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และกำลังการผลิตในเบื้องต้นรองรับยอดขายได้ถึง 400 คัน

นายธีรวัต อมรธาตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) หรือ BM ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก ใน 6 กลุ่มสินค้า เปิดเผยความคืบหน้าธุรกิจตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้า ที่ใช้บรรทุกส่วนบุคคล และใช้บรรทุกสิ่งของไม่เกิน 1 ตัน ว่า ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาต่อยอดการผลิตรถตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้าที่หลากหลายโมเดล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด อย่างกลุ่มโรงแรม, รีสอร์ท, ฟาร์ม และโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีความต้องการจำนวนมาก เนื่องจากทำให้เกิดความคล่องตัว, ประหยัด ดูแลรักษาง่าย ไม่มีมลพิษ มีต้นทุนต่ำ ราคาจับต้องได้ ขณะที่การขอป้ายทะเบียนปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากกองวิศวกรรมแล้ว และคาดว่าได้รับการอนุมัติป้ายทะเบียนรถสาธารณะส่วนบุคคล ภายในเดือนกันยายน 2564  นี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะเปิดตัวและรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2564 นี้ พร้อมจะนำโมเดลต้นแบบไปโชว์ให้ลูกค้าได้สัมผัส เช่น ตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้าที่เป็นรถนั่ง, รถบรรทุก และฟู้ดทรัค โมเดลละ 2-3 ไซส์ โดยราคาขาย รถตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้าเฉลี่ยจะเริ่มต้นที่ 60,000-300,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดการใช้งานของลูกค้า  ซึ่งกำลังการผลิตรถตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้า ในช่วงแรกบริษัทฯคาดว่าจะผลิตได้อยู่ที่ 1 คันต่อวัน และมีขีดความสามารถในการผลิตอยู่ที่ 5 คันต่อวัน หากมีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก อย่างไรก็ตามหลังเปิดรับคำสั่งซื้อแรก บริษัทฯมีความพร้อมที่จะส่งมอบสินค้าได้เลยภายในสิ้นปี 2564

นอกจากการวางแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว บริษัทฯยังมีแผนที่จะสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ด้วยการหาพันธมิตรธุรกิจเพื่อพัฒนาการผลิตแบตเตอรี่ร่วมกัน ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ  เนื่องจากแบตเตอรี่เป็นองค์ประกอบหลัก และเป็นหัวใจของต้นทุนอย่างหนึ่งในการผลิตรถตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้า  ซึ่งหากสามารถผลิตแบตเตอรี่ได้เอง เชื่อว่าจะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าแบตเตอรี่จากต่างประเทศ ที่มีราคาสูง ทำให้บริษัทฯสามารถผลิตรถตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง หรือเท่ากับผู้ผลิตรายอื่นๆ

สำหรับเป้าหมายหลังจากเปิดตลาดอย่างเป็นทางการคาดว่าปีแรกจะมียอดขายอยู่ที่ 400 คันต่อปี โดยมีช่องทางการจำหน่ายหลักคือ ผ่านโชว์รูม และตัวแทนขาย เป็นต้น เบื้องต้นจะเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก  แต่หากในประเทศประสบความสำเร็จ คาดจะขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศด้วย ซึ่งจะเน้นรับจ้างผลิต (OEM) มากกว่า และส่งออกไปยังลูกค้าต่างประเทศเอง

“ด้วยจุดแข็งที่เรามีได้แก่ 1.กระบวนการผลิต ที่ครอบคลุมทั้งการออกแบบ การผลิต การทดสอบความแข็งแรงของรถ การเปลี่ยนการนำเข้าแบตเตอรี่ใหม่จากเดิมเน้นนำเข้าทั้งแพ็ค เป็นการนำเข้าแค่เซลล์ แล้วนำมาประกอบเองที่ไทย ทำให้เราสามารถผลิตรถตุ๊ก ตุ๊ก ไฟฟ้าได้ราคาถูก, 2.ความสามารถผลิตได้ตามแบบที่ลูกค้าต้องการ และมีขนาดรถให้เลือกตามการใช้งาน, 3.สามารถจดทะเบียนได้ในรุ่นที่ใหญ่ที่มีผู้โดยสารนั่งได้ และ 4.การมีบริการหลังการขายให้กับลูกค้า เมื่อเกิดกรณีที่รถมีปัญหา ลูกค้าสามารถส่งรถไปซ่อมกับที่ตัวแทนศูนย์ซ่อมบำรุงที่เราเป็นพันธมิตรได้เลย นั่นจะเป็นปัจจัยบวกที่จะทำให้ธุรกิจ รถตุ๊ก ตุ๊กไฟฟ้าของเราประสบความสำเร็จ และมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องแน่นอน” นายธีรวัต กล่าว

NER ปันผลระหว่างกาล 0.07 บาท จากงวด 6 เดือนปี 64

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เผยมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวด 6 เดือนปี 2564 ในอัตรา 0.07 บาท/หุ้น XD 23 ส.ค. โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด กำหนดจ่าย 6 ก.ย. 64 ด้านงบ 6 เดือนรายได้จากการขายรวม 11,252.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.28% ขณะที่กำไรสุทธิ 805.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182.79% จากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 และปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ด้านปี 2564  บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยคาดรายได้จะอยู่ที่ 2.45 หมื่นล้านบาทตามเป้าที่วางไว้

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 อนุมัติการจ่ายเงินปันระหว่างกาลผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน  2564 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.07 บาทต่อหุ้น วันที่จ่ายปันผล 6 กันยายน 2564 รวมเป็นเงิน 115.17 ล้านบาท คิดเป็น 15.05% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตามกฎหมายตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ สำหรับวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 23 สิงหาคม 2564 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 24 สิงหาคม 2564

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 11,252.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,605.88 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 5,646.76 ล้านบาท หรือคิดเป็น 99.28% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 805. 34 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 520.55 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 284.79 หรือคิดเป็น 182.79%

ด้านปริมาณการขายยางพาราสำหรับงวด 6 เดือนอยู่ที่ 205,954 ตัน เพิ่มขึ้น 78,622 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ หรือคิดเป็น 61.75 % แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 7,568.88 ล้านบาท หรือคิดเป็น 67.26% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 4,457.92 ล้านบาท หรือ 143.30%  รายได้จากการขายต่างประเทศ 3,683.76 ล้านบาท หรือคิดเป็น 32.74% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 1,147.96 ล้านบาท หรือ 45.27%

โดยสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายเป็นผลมาจากปริมาณคำสั่งซื้อลูกค้าในประเทศและการส่งมอบจากกลุ่มลูกค้าโรงงานผลิตยางรถยนต์จีนที่ยังคงสูงอยู่ โดยจะเห็นจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ยางแท่ง STR ที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่ง  แห่งที่ 2 ส่งผลให้มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 2/2564 สูงกว่าไตรมาส 2/2563 ซึ่งเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.45 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายที่ 4.4 แสนตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย ประกอบกับราคายางปรับขึ้นต่อเนื่อง และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มหลายราย

นอกจากนี้ ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น ด้านเครื่องจักรผลิตแผ่นยางปูรองนอนสัตว์ บริษัทคาดว่าจะนำเข้ามาติดตั้งในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งบริษัทคาดจะรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ในปี 2565 ที่ 2.8% ของประมาณการณ์ ซึ่งบริษัทจะสามารถขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ของขวัญสำหรับคุณแม่ รับฟรี! ชุดนอนวาโก้ เพียงซื้อครบ 3,500 บาท

วาโก้ ชวนบอกรักคุณแม่แบบพิเศษกว่าทุกวัน กับโปรโมชันต้อนรับวันแม่ Mother’s Day Gift มอบชุดนอนวาโก้เป็นของขวัญสำหรับคุณแม่ เพียงซื้อสินค้าวาโก้ครบ 3,500 บาทต่อใบเสร็จ รับฟรีชุดนอนวาโก้ รุ่น Teebazar มูลค่า 990 บาท จำนวน 1 ชุด โดยเป็นชุดนอนรุ่นขายดี เนื้อผ้า Cotton Polyester ให้สัมผัสที่นุ่ม สวมใส่สบาย ระบายอากาศและความชื้นได้ดี ของขวัญสุดพิเศษนี้มีจำนวนจำกัด จัดให้เพียง 4 วันเท่านั้น เริ่มวันที่ 12  – 15 สิงหาคม 2564 เฉพาะเคาน์เตอร์วาโก้, วาโก้ช็อปและร้านค้าที่ร่วมรายการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Center 02-296- 9979 *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

สนใจช้อป วาโก้ ทาง Lazada คลิกที่นี่เลย หรือ Shopee คลิกที่นี่เลย หรือ true shopping คลิกที่นี่เลย หรือ central online คลิกที่นี่เลย

UAC โชว์ครึ่งปีแรก 64 EBITDA มาเกินคาด 219.88 ล้าน

บมจ. ยูเอซี โกลบอล (UAC) โชว์ผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก 2564 มี EBITDA รวม 219.88 ล้านบาท นับเป็น 62.82% ของแผนปี 64 และกำไรส่วนที่เป็นของบริษัท 133.85 ล้านบาท ชี้ธุรกิจเทรดดิ้งฟื้นตัว และบุ๊คกำไรเงินปันผลบริษัทร่วมทุน BBF อีก119.92 ล้านบาท ด้าน CEO “ ชัชพล ประสพโชค” ใส่เกียร์เดินหน้าลงทุนธุรกิจพลังงานทั้งโรงไฟฟ้าชุมชน และ โรงไฟฟ้าขยะในสปป.ลาว ควบคู่กับการให้บริการ Consulting Service และเร่งพิจารณาการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ  ตอกย้ำรายได้รวมปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ EBITDA ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 20%

นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ว่า บริษัทฯมีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัท 133.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.93% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัท 131.32 ล้านบาท โดย Gross Margin อยู่ที่ระดับ 18.61% ขณะที่ EBITDA งวด 6 เดือนแรกปี 2564 อยู่ที่  219.88 ล้านบาท คิดเป็น 62.82% จากเป้าหมายปี 2564 ที่ 350 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 374.92 ล้านบาท โดยกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 68.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.56% มากกว่างวดเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรักษาความคงที่ของ Gross Margin ไว้ได้ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 18.23% ทั้งนี้เป็นผลจากการฟื้นตัวของธุรกิจเทรดดิ้ง ตามภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงต้นปีที่ยังคงเป็นปัจจัยเชิงบวก ส่งผลให้มีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น จาก Backlog ของธุรกิจเทรดดิ้งที่มีเข้ามาในช่วงครึ่งปีแรกกว่า 250 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกราว 230 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังนี้

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรสุทธิ และการเงินปันผลปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2563 จากบริษัทร่วมทุน บจ.บางจากไบโอฟูเอล (BBF) จำนวน 119.92 ล้านบาท ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจำหน่ายและราคาขายเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการใช้นำมันดีเซลในภาคการขนส่งภาคการเกษตร ประกอบกับความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบในช่วงที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับสูงขึ้น

นอกจากนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ UAC ยังได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลัง 2564 ว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยการนำ Business model ใหม่ อาทิ การทำ Consulting Service พร้อมทั้งพยายามรักษาการให้บริการและฐานะลูกค้าให้ดีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งพิจารณาการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ภายใต้นโยบายการลงทุนด้าน Energy Efficiency และ Bio Circular Economy ทั้งในประเทศ และกลุ่มประเทศ CLMV

ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนของบริษัทฯ ขณะนี้ได้ผ่านคุณสมบัติและข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิคของการไฟฟ้าภูมิภาคแล้ว จำนวน 2 โครงการ ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมราว 6 เมกะวัตต์ และยังรอการพิจารณาอีก 4 โครงการประมาณ 12 เมกะวัตต์ หลังจากที่บริษัทฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ไปก่อนนี้  ซึ่งคาดว่าจะทราบผลชัดเจนภายในเดือนกันยายนนี้

สำหรับแผนความคืบหน้าโครงการจัดการขยะ เพื่อผลิตพลังงานทดแทนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ที่นำกลับมาใช้ใหม่ที่นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว นั้น การลงทุนในเฟสแรกในโครงการบริหารจัดการขยะได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วกว่า 98% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ตามแผนที่วางไว้ในปี 2564 นี้ และหลังจากนั้นบริษัทฯ จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าขยะ ขนาด 6 เมกะวัตต์ในเฟสที่ 2 เป็นลำดับต่อไป ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯเชื่อมั่นใจว่าจะรักษาระดับอัตราการเติบโตรายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ EBITDA คาดว่าไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้อย่างแน่นอน

เจาะกลยุทธ์ 10 ปี จีเอ็มเอ็ม แซท ผู้นำเทคโนโลยีใหม่แห่งการรับชม

ตั้งแต่ปี 2554 ที่ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม และเริ่มมีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง ในนาม จีเอ็มเอ็ม แซท จากวันนั้น ถึงวันนี้บริษัทฯ ผลิตกล่องรับสัญญาณฯ มาแล้วกว่า 10 รุ่น มีการพัฒนาคุณภาพความคมชัดจากกล่องรับสัญญาณระดับ SD (Standard definition) สู่ ระดับ HD (High definition) จนกระทั่งปัจจุบันมีกล่องดาวเทียมที่จำหน่ายไปแล้วด้วยแพลตฟอร์มจีเอ็มเอ็ม แซท มากกว่า 7 ล้านกล่อง ซึ่งมีสัดส่วนของกล่องประเภท SD 45% และกล่องประเภท HD 55% ทั้งในระบบ C Band และ KU Band พร้อมช่องรายการในกล่องกว่า 180 ช่อง โดยสินค้าของ จีเอ็มเอ็ม แซท มีจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพความคงทนในการใช้งาน ประกอบจากวัสดุคุณภาพดี และใช้งานง่าย ด้วยการออกแบบรีโมทให้มีปุ่มกดที่เรียกว่า Smart button ให้เข้าถึงช่องรายการหรือเมนูการตั้งค่าได้ง่าย นับเป็นจุดต่างจากสินค้าอื่นในตลาด

ปัจจุบัน จีเอ็มเอ็ม แซท เล็งเห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยหันมารับชม VOD (Video on demand) มากขึ้น ยอดขายของกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมจึงถูกเข้ามาแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ของผู้ผลิตคอนเทนต์ (Content provider) ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มนำคอนเทนต์ตัวเองขึ้น Streaming platforms รวมไปถึงต่างประเทศที่รุกเข้ามาเปิดธุรกิจในไทย และการแข่งขันของคอนเทนต์ไทยเองที่ต้องแย่งชิงพื้นที่ในตลาด เพื่อเปลี่ยนรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาไปเป็นรายได้แบบระบบสมาชิก

นายฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์ สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และธุรกิจ ในเครือ กำลังก้าวเข้าสู่ดิจิทัลสตรีมมิงอย่างเต็มตัว การรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ของจีเอ็มเอ็ม ประสบความสำเร็จอย่างมากในแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้น การรับชมที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคจึงต้องเปลี่ยนไป จากการรับชมด้วยเสาอากาศ หรือผ่านจานรับสัญญาณ จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเป็นกล่องรับสัญญาณหรืออุปกรณ์รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวี ซึ่งทางเรากำลังเร่งเพิ่มสัดส่วนของการจำหน่ายกล่องรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวีให้ได้ตามเป้าหมาย 20 – 30 % ของกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมในปีหน้า เพื่อรองรับคอนเทนต์ทั้งหมดของจีเอ็มเอ็มในอนาคต

สำหรับกลยุทธ์การตลาดในครั้งนี้ จีเอ็มเอ็ม แซท ได้เลือก เต – ตะวัน วิหครัตน์ นักแสดงจาก จีเอ็มเอ็ม ทีวี เป็น Brand Ambassador สินค้าตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายของคนรุ่นใหม่ GEN Y และ GEN Z ที่มีพฤติกรรมการรับชมแบบ VOD Streaming เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสินค้าใหม่ “GMM Z TV STICK” เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวี ที่มีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ขนาดเล็ก พกพาสะดวก ที่จะทำให้ทีวีธรรมดาหรือทีวีรุ่นเก่ากลายเป็น Smart TV รวมไปถึงยังตอบโจทย์ผู้ที่ใช้ทีวีรุ่นใหม่ ได้มากขึ้น ด้วย Play Store ที่สามารถโหลดแอปพลิเคชันได้เหมือนโทรศัพท์มือถือ และยังให้ภาพคมชัดระดับ 4K สามารถใช้งานได้ทั้งบนรถยนต์ รถโดยสาร รวมไปถึงสามารถพกพาไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่าย “GMM Z TV STICK” สามารถหาซื้อได้ที่ Advice, Banana IT, IT City และ JIB

สนใจช้อป กล่องรับสัญญาณ GMM Z ทาง shopee คลิกที่นี่เลย หรือ lazada คลิกที่นี่เลย

เปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ กาแฟพรีเมียมใส่ขวด เจาะคนรุ่นใหม่

เนสกาแฟ แบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งในประเทศไทย เดินหน้าเปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ กาแฟขวดพร้อมดื่มระดับพรีเมียม มอบประสบการณ์กาแฟสไตล์คาเฟ่ชั้นเลิศ ที่ไหนเวลาใดก็ได้ตามต้องการ ใน 2 รสชาติ ‘คาราเมล เอสเปรสโซ’ และ ‘อเมริกาโน’ พร้อมราคาที่หาซื้อได้เพียง 29 บาท เอาใจคนรุ่นใหม่สายคาเฟ่ฮอปเปอร์ที่ชื่นชอบการดื่มด่ำกาแฟในร้านคาเฟ่

ปัจจุบัน เนสกาแฟ เป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดกาแฟพร้อมดื่มระดับพรีเมียมที่มีมูลค่ากว่า 600 ล้านบาทและเติบโตประมาณ 16% ในปีที่ผ่านมา เนสกาแฟมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูง พกพาสะดวก และดื่มได้ทุกที่ให้กับคอกาแฟ อาทิ เนสกาแฟ โคลด์ บริว เนสกาแฟ ทริปเปิ้ล เอสเปรสโซ และเนสกาแฟ อเมริกาโน เฮาส์เบลนด์ ขวดใหญ่ ล่าสุดจึงได้เปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ เสริมพอร์ตโฟลิโอกาแฟพร้อมดื่มระดับพรีเมียมให้แข็งแกร่ง

พร้อมกันนี้ เนสกาแฟ ยังได้เปิดตัว ‘วี วิโอเลต วอเทียร์’ นักร้องสาวเสียงละมุน ขวัญใจวัยรุ่น ในฐานะพรีเซนเตอร์ ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ คนแรก ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการจิบกาแฟสไตล์คาเฟ่ เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่มีชื่อว่า “น่ากิ๊นน่ากิน… บาริสต้าสไตล์ เข้มข้น หอมคาราเมล” ซึ่งเริ่มออกอากาศทางสื่อดิจิทัลทั่วประเทศแล้ววันนี้

นายธนธร พันพานิชย์กุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความสำเร็จของการครองความเป็นผู้นำในตลาดกาแฟพร้อมดื่มระดับพรีเมียมของเนสกาแฟ ว่า เกิดจากปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ รสชาติของผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยม คุณภาพสูง มีความหลากหลาย ที่ตรงใจผู้บริโภค อีกทั้งราคาที่เหมาะสม ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายและให้ความสะดวกในการบริโภค และบรรจุภัณฑ์มีความสะอาดปลอดภัย

ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่อยู่บ้านและทำงานที่บ้านมากขึ้น ตลอดจนกระแสความคิดถึงการจิบกาแฟในคาเฟ่ในกลุ่มนักศึกษาและวัยทำงาน เราจึงมีความยินดีในการเปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ เพื่อนำประสบการณ์กาแฟระดับพรีเมียมสไตล์คาเฟ่ในรูปแบบขวดพร้อมดื่มมาให้ผู้บริโภคดื่มด่ำได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่โดนใจคาเฟ่ฮอปเปอร์ และตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดของเนสกาแฟอย่างแน่นอน

เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์ ให้คุณลิ้มลองกาแฟชั้นเลิศ ดื่มได้ทุกวัน ที่บาริสต้าทุกสไตล์แนะนำทั้ง 2 รสชาติ ได้แก่ ‘คาราเมล เอสเปรสโซ’ กาแฟสไตล์คาเฟ่ หอมนุ่ม กลมกล่อม หวานเบา ๆ จากการเบลนด์กาแฟชั้นดีสองสายพันธุ์ อาราบิก้าและโรบัสต้าอย่างลงตัว ผสานนมแท้ ๆ และอบอวลด้วยกลิ่นหอมที่หลายคนชื่นชอบอย่างคาราเมล เหมาะสำหรับคอกาแฟสายนุ่ม

และ ‘อเมริกาโน’ กาแฟอเมริกาโนสไตล์คาเฟ่ จากกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้าผสานกันอย่างลงตัว รสชาติเข้มข้น หอม หวานน้อยเหมาะสำหรับคอกาแฟสายเข้ม ซึ่งทั้งสองรสชาติมาในรูปขวดพร้อมดื่มดีไซน์สวย คอกว้าง เพื่อรสชาติกาแฟเต็ม ๆ และยังได้รับสัญลักษณ์เครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพอีกด้วย

ดื่มด่ำเนสกาแฟบาริสต้าสไตล์ ใน 2 รสชาติ ได้แก่ ‘คาราเมลเอสเปรสโซ’ และ ‘อเมริกาโน่’ ขนาด 220 มิลลิลิตร ในราคาเพียง 29 บาท วางจำหน่ายแล้วที่เซเว่น-อีเลฟเว่น ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน และ Nestlé Official Store ในช่องทาง Lazada คลิกที่นี่เลย and Shopee คลิกที่นี่เลย