มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ชวนส่งมอบ เพดดิกรี ให้น้องหมา

มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ร่วมสร้างวัฒธรรมการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงถูกทอดทิ้งในระยะยาว ล่าสุดจัดแคมเปญ PEDIGREE อิ่มนี้เพื่อเพื่อน ภายใต้แนวคิด รักคือการให้ เชิญชวนเจ้าของสัตว์เลี้ยงซื้อเพดดิกรีที่ร่วมรายการ 1 ถุง เลี้ยงน้องหมาไร้บ้านได้ 1 อิ่ม ตั้งเป้าทั้งหมด 200,000 มื้อ ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม – 10 กันยายน 2564 เผยหลังจบกิจกรรมพร้อมส่งมอบเพดดิกรีให้น้องหมาถูกทอดทิ้งในสถานสงเคราะห์ฯ 6 จังหวัดทั่วประเทศ

นายรัชกร เจนพัฒนพงศ์ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและอินโดจีน มาร์สไทยแลนด์อิงค์ เปิดเผยว่า เครือ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด ยังคงเดินหน้าธุรกิจเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพและโภชนาการของสัตว์เลี้ยง ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒธรรมการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงถูกทอดทิ้งในระยะยาว โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทจะจัดกิจกรรมใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ด้วยแคมเปญ “PEDIGREE Feed a friend. Fill the bowl” เพื่อส่งมอบอาหารสุนัขเพดดิกรีให้กับสุนัขที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ต่างๆ โดยมีเป้าหมายรวมกัน 500,000 มื้อ ตลอดช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม ปี 2564

สำหรับในประเทศไทย มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ผู้ดำเนินธุรกิจแบรนด์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ PEDIGREE®, WHISKAS®, IAMS® ROYAL CANIN®, CESAR®, SHEBA®, TEMPTATIONS® รวมทั้งทรายอนามัยสำหรับแมวแบรนด์ CATSAN®  ได้สานต่อนโยบายบริษัทแม่ด้วยการจัดแคมเปญภายใต้ชื่อ “PEDIGREE อิ่มนี้เพื่อเพื่อน” ภายใต้แนวคิด “รักคือการให้” โดยเปิดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงและผู้ที่สนใจได้ร่วมกิจกรรมโดยการซื้อผลิตภัณฑ์ Pedigree 1 ถุง (ขนาด 2.7 กก. ขึ้นไป ชนิดใดก็ได้) ผ่านช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ รวมถึงห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายอาหารสัตว์ชั้นนำทั่วไป ก็จะมีส่วนร่วมสมทบทุนเลี้ยงน้องหมาไร้บ้านได้ 1 อิ่ม โดยตั้งเป้าทั้งหมด 200,000 มื้อ

“เพดดิกรี เชื่อว่าน้องหมาทุกตัวควรได้รับความรักจากเจ้าของ และอยู่ในบ้านที่อบอุ่น จึงได้จัดแคมเปญที่เปิดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงและผู้ที่สนใจได้ร่วมบริจาคอาหาร และสามารถมีส่วนร่วมได้ง่ายๆ ด้วยวิธีที่สะดวกมากขึ้น  โดยดำเนินการร่วมกับสถานสงเคราะห์สัตว์เลี้ยง ซึ่งหวังว่าแคมเปญนี้จะมีส่วนสนับสนุนให้ผู้คนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อน้องหมาในสถานสงเคราะห์ ซึ่งเขาเหล่านี้ก็ต้องการมีสุขภาพที่ดี เป็นน้องหมาที่สามารถสร้างความสุข เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อเจ้าของได้เช่นกัน” นายรัชกร กล่าว

หลังจากจบกิจกรรมแล้ว ทางมูลนิธิเสียงจากเรา (เดอะวอยซ์) The Voice Foundation จะเป็นตัวกลางในการช่วยส่งต่ออาหารสุนัขเพดดิกรีไปให้กับสถานสงเคราะห์ฯ ใน 6 จังหวัด  ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สระบุรี นครปฐม กาญจนบุรี และ นครราชสีมา ทั้งนี้แคมเปญดังกล่าวเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม – 10 กันยายน 2564 เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง FB: Pedigree Thailand

FSMART โกยกำไรไตรมาส 2 แตะ 113 ล้านบาท โต 8%

บมจ. ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส (FSMART) โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/64 กำไร 112.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว และ 1.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน บอร์ดมีมติให้จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.26 บาทต่อหุ้น เปิดแผนธุรกิจนำ Big data จับมือบิ๊กพาร์ทเนอร์ต่อยอดธุรกิจพร้อมออกบริการใหม่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ดันธุรกิจการเงินและสินเชื่อโต 30% ลุยสินเชื่อเพื่อรายย่อยควบคู่ไปกับเพิ่มจุดบริการเคาท์เตอร์กว่า 1,800 จุด และ Mini ATM 10,000 จุด ดึงแชร์ตลาดถอนเงินที่มีปริมาณมากกว่า 180 ล้านรายการต่อเดือน ทั้งร่วมบริหารคาเฟ่อัตโนมัติเต่าบินผ่านบริษัทร่วมทุนที่บริษัทถือหุ้น 19.34% เป้าสิ้นปี 1,000 จุด และ 3 ปี 20,000 จุด ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 1 ล้านแก้วต่อเดือน

นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บมจ. ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส (FSMART) ผู้นำเครือข่ายช่องทางบริการอัตโนมัติและการเงินครบวงจร ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ภายใต้ชื่อ “บุญเติม” เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 /2564 ว่า บริษัทยังคงทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องแม้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 โดยมีรายได้รวม 773.69  ล้านบาท กำไรสุทธิ 112.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.29 % และ 8.71 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.26  บาท จากกำไรสุทธิของงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 23 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 กันยายน 2564

“จากยอดเติมเงิน E-Wallet เติบโตสูงขึ้น 58.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว และยอดรายการโอนเงินกว่า 1.9 ล้านรายการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 16.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว คิดเป็นมูลค่าโอนเงิน 3,384 ล้านบาทมูลค่าเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนว่าตู้บุญเติมเป็นที่ต้องการของลูกค้า เนื่องจากลูกค้าเข้าถึงได้สะดวก ใช้งานง่าย บริการตลอด 24 ชั่วโมง และมีบริการหลากหลาย สำหรับคาเฟ่อัตโนมัติ “เต่าบิน” ที่ปัจจุบันมีจุดบริการกว่า 70 จุด และมียอดขายมากกว่า 52,000 บาทต่อจุดต่อเดือน จะเร่งจุดบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

แนวโน้มธุรกิจช่วงครึ่งหลัง ปี 2564 บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาบุญเติมให้เป็นธนาคารชุมชนที่สะดวกเข้าถึงง่าย มีบริการครบครัน ฝาก-โอน-ถอน และเปิดบัญชี พร้อมบริการอื่น ๆ ผ่านตู้บุญเติมที่มากกว่า 130,000 ล้านตู้ทั่วประเทศ ตอบโจทย์ลูกค้าในช่วงโควิด-19  สะท้อนความเป็นผู้นำช่องทางให้บริการอัตโนมัติการเงินครบวงจร โดยปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดใช้บริการรวม 1-5% ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ในส่วนธุรกิจการเติมเงิน-รับชำระเงินอัตโนมัติ บริษัทเน้นให้บริการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่หันมาใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการซื้อของออนไลน์ทำให้ดันยอดบริการ E-wallet มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทจะเพิ่มบริการชำระเงินอื่นๆ เช่นกรมธรรม์ พ.ร.บ. และสาธารธูปโภคต่างๆ และจับมือกับพันธมิตรรายใหญ่เพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่านเคาท์เตอร์ที่เข้าถึงและสะดวกสบาย รองรับการชำระบิลทั่วประเทศ คาดดันยอดใช้บริการพุ่งพร้อมขยายฐานลูกค้าใหม่

ขณะที่กลุ่มธุรกิจทางการเงินและสินเชื่อครบวงจร บุญเติมเป็นตัวแทนธนาคารที่ให้บริการอย่างครบวงจร ทั้งการฝาก โอน ถอน และการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีธนาคารและสินเชื่อ ซึ่งทำให้ตู้บุญเติญเป็นธนาคารชุมชนอย่างแท้จริงที่มีลูกค้าทั้งคนไทยและคนต่างชาติมาใช้บริการ คาดจำนวนธุรกรรมทางการเงินเติบโต 30 % จากการเป็นตัวแทนธนาคารเพิ่มอีก 1 แห่ง ไตรมาสนี้ และบริการถอนเงินสดผ่านตู้ Mini ATM บุญเติม ที่สามารถถอนเงินสดขั้นต่ำ 20 บาท ตั้งเป้าผลักดันให้มีจุดบริการ 200 แห่ง และขยายเป็น 10,000 แห่งทั่วประเทศต่อไป โดยคาดหวังว่าจะสามารถดึงมาร์เก็ตแชร์ในตลาดนี้ได้ จากภาพรวมของตลาดมีปริมาณการถอนเงินมากกว่า 180 ล้านรายการต่อเดือน ทั้งนำ Big Data จากฐานข้อมูลลูกค้ามากกว่า 20 ล้านหมายเลข และกว่า 1.4 ล้านรายการต่อวัน และมีจำนวนบริการมากกว่า 80 รายการ ทำให้บริษัทมีข้อมูลเชิงลึก และเข้าใจถึงพฤติกรรม นำมาวิเคราะห์ พัฒนาร่วมกับพันธมิตรใหม่ในการขยายธุรกิจและการให้บริการใหม่ ๆ ในธุรกิจสินเชื่อ ซึ่งจะเพิ่มฐานลูกค้าใหม่สู่กลุ่มลูกค้าบุญเติมที่มีประวัติดีจากฐานข้อมูล และจะผลักดันสินเชื่อทุกรูปแบบไปยังกลุ่มรายย่อยอื่น ๆ ในอนาคต

สุดท้ายกลุ่มธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและกระจายสินค้า เน้นการขยายการให้บริการของ “ตู้เต่าบิน” คาเฟ่อัตโนมัติ ที่ให้บริการเครื่องดื่มร้อนและเย็นมากกว่า 100 เมนู และให้บริการในจุดที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย โดยตั้งเป้าขยายตู้เต่าบินให้ได้ 20,000 ตู้ภายใน 3 ปี และมียอดขาย 1 ล้านแก้วต่อวัน สร้างยอดขายต่อปีมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท  โดยจะพัฒนาสูตรเครื่องดื่มใหม่ ๆ อย่างเครื่องดื่มที่ผสมกัญชงหรือเครื่องดื่มน้ำขิงที่เริ่มจำหน่ายแล้ว  ในส่วนของเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charger)  ภายใต้แบรนด์ EV NET ที่มาพร้อมด้วยระบบการจัดการและชำระเงินผ่าน Application “Be-Charger” โดยที่เน้นจุดให้บริการในทำเลแบบพื้นที่ปิดที่จอดรถเป็นเวลานาน ซึ่งบริษัทสามารถตั้งราคาขายเครื่องที่สามารถแข่งขันกับตลาดได้ เนื่องจากต้นทุนต่ำ พร้อมบริการหลังการขายและระบบจัดการที่แข็งแกร่ง ด้วยข้อได้เปรียบและจุดขายที่โดดเด่น จะทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างมาก

สุขสันต์วันแม่! กับ ซิงเกิ้ลมัมไรเดอร์ พ่วงตัวน้อยวิ่งงานเสริมทุ่มชีวิตเพื่อลูก

ขอต้อนรับเข้าสู่เดือนแห่งวันแม่ด้วยการหยิบเรื่องราวน่ารักๆ ของ ไลน์แมน ไรเดอร์แม่เลี้ยงเดี่ยวสุดเปรี้ยว แนต-วราพร นะนิ่มนวล ที่ไม่ว่าจะขับรถส่งอาหารที่ไหนก็จะหิ้ว น้องอ๊อฟ ลูกชายวัย 5 ขวบ ไปด้วยทุกครั้ง ที่สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นชุดคู่หูปฏิบัติหน้าที่ส่งอาหารที่ทุกคนต้องหันมอง เรามาลองทำความรู้จักกับแม่-ลูกสุดแกร่งคู่นี้กัน

แนต ซิงเกิ้ลมัมสุดสตรองคนนี้หาเลี้ยงตัวเองและลูกชายด้วยการเป็นพนักงานจ้างเหมาที่บริษัทฯ แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสามโมง หลังจากเลิกงานจึงมาขับไลน์แมนส่งอาหารซึ่งตลอดทั้งวันน้องอ๊อฟจะติดสอยห้อยตามแม่ไปในทุกที่ สำหรับทั้งคู่แล้ว การขี่จักรยานยนต์ส่งอาหารเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่รอคอยเพราะมันทำให้ทั้งคู่ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ และได้เที่ยวไปในที่ใหม่ๆ

ถ้าพูดถึงความเป็นตัวเองคงบอกได้จากสีสันสุดจี๊ดสะดุดตาจากการแต่งตัวและหมวกกันน็อคคู่ใจที่ชวนให้คนที่เห็น ถึงกับต้องมองตามกันเป็นแถว แนตเล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจที่ต้องการให้คนรอบข้างยิ้มได้ “ถ้ามันอยู่ในจุดที่อยากจะทำ ก็ทำเลย” ทุกการเดินทางไม่ว่าจะไปรับอาหารจากร้านอาหาร หรือส่งอาหารให้กับลูกค้าก็ช่วยสร้างรอยยิ้มทุกครั้ง บางคนถึงกับขอถ่ายรูปด้วยเลยทีเดียว

สำหรับ น้องอ๊อฟ ลูกชายที่คอยซ้อนท้ายแม่ไปทุกที่ และจะตื่นเต้นทุกครั้งเวลาที่ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ แถมยังเป็นนักชิมตัวจิ๋วเวลาที่ไปถึงร้านขนมอีกด้วย แนตเล่าให้เราฟังว่าด้วยความจำเป็นของสถานการณ์ช่วงนี้ทำให้ต้องพาน้องอ๊อฟไปทำงานด้วยตลอดจนกว่าโรงเรียนจะกลับมาเปิดอีกครั้ง

แนต เล่าว่า การมาทำอาชีพขับรถส่งอาหารเป็นงานเสริมทำให้มีรายได้ 2 ทาง มีความอิสระในการแบ่งเวลาทำงาน ระหว่างงานประจำกับงานนี้ แล้วยังได้ประสบการณ์สนุกๆ ใหม่ๆ ร่วมกับลูกชายในทุกวัน เช่น เปลี่ยนพื้นที่รับงาน ได้เจอที่ใหม่ๆ คนใหม่ เพราะมีงานให้กดและรับ-ส่งอาหารทุกจุด และการมีระบบที่เอื้ออำนวยทำให้การทำงานง่ายขึ้นมาก “บางทีลูกค้าปักหมุดมาไม่ตรง เราก็พิมพ์แชทหรือส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ถามลูกค้าได้ สะดวกดี”

เมื่อถามว่าแนตคาดหวังอนาคตของน้องอ๊อฟไว้อย่างไร แนตบอกว่าขอให้ลูกชายคนนี้สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และเป็นคนที่แข็งแกร่ง “อย่างน้อยเราจะได้หมดห่วง ให้เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้โดยไม่ยอมแพ้ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ไม่ต้องมาเลี้ยงเรา แต่ให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง” ส่วนน้องอ๊อฟเองก็เคยพูดกับแม่ว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะเลี้ยงดูแม่ของเขาด้วยตัวเอง รวมถึงคอยมอบกอดให้กำลังใจเสมอทุกวัน นี่คือเรื่องราวที่น่ารักและอบอุ่นของคู่หูแม่-ลูกไรเดอร์ที่ทำให้ทุกวันเป็นทั้งวันแม่ และวันลูกสำหรับทั้งสองคนเสมอ

ช้อปอะไรดี? ไลอ้อน แนะนำผลิตภัณฑ์ MAMA KARA สำหรับเด็ก  

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย ขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก แบรนด์ มามา คาระ MAMA KARA ที่มีความหมายจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “จากแม่” ภายใต้แนวความคิด “ของขวัญที่ดีที่สุดจากแม่” เพื่อผิวของทารกที่บอบบาง มีแนวโน้มระคายเคืองได้ง่าย ด้วยผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมออร์แกนิค “ORGANOVATION” ที่นำสารสกัดออร์แกนิค (Organic Ingredients) ผ่านการรับรองมาตรฐาน ECOCERT COSMOS มาผสานนวัตกรรม (Innovation) เอกสิทธิ์เฉพาะ มามา คาระ ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพจากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ปราศจากสารเติมแต่งที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวทารก พร้อมผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคือง (Hypoallergenic Tested) เหมาะสมกับการเป็นของขวัญที่ดีที่สุดจากแม่ให้แก่ลูก

โดยผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย 1. แชมพูสบู่เหลวสำหรับผิวแห้ง Mama Kara Head To Toe Wash Daily Nourishingนำสารสกัดออร์แกนิค โจโจบา ออยล์ และสารสกัดออร์แกนิคอาร์แกน ออยล์ ผสานกับนวัตกรรม Triple Nano Drive1 ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนด้วยสารทำความสะอาดจากธรรมชาติ พร้อมคงความชุ่มชื่น ให้ผิวเนียนนุ่มและเส้นผมเงางาม ด้วยค่า pH Balance (pH5.5) ผ่านการทดสอบว่าไม่ระคายเคืองดวงตา (Non Eye Irritation) 2. โลชั่นบำรุงผิวแห้ง  Mama Kara Moisturizing Baby Lotion Daily Nourishing นำสารสกัดออร์แกนิค โจโจบา ออยล์ ผสานกับนวัตกรรม Lamella Liquid Crystal (LLC) Structure ช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว3 ให้ชุ่มชื่นยาวนาน 24 ชั่วโมง4 ลดโอกาสผิวกลับมาแห้งซ้ำเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง ให้ลูกน้อยไม่มีผิวแห้งคัน อารมณ์ดีตลอดวัน

สนใจช้อป MAMA KARA ทาง Lazada คลิกที่นี่เลย! หรือ Shopee คลิกที่นี่เลย!

OPPO Enco Air ผนึก JOOX ชวนสนุกกับ Live Virtual Concert พรุ่งนี้ (13 ส.ค.)

OPPO แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำในไทย เตรียมมอบความสนุกแบบจัดเต็มผ่านคอนเสิร์ตออนไลน์ Live Virtual Concert ที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง OPPO Enco Air หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุดจาก OPPO และ JOOX มิวสิคสตรีมมิ่งแอปพลิเคชั่น โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ เวลา 17.30-19.00 น. ที่ JOOX และ OPPO Facebook เท่านั้น

OPPO Enco Air และ JOOX ขนทัพนักร้องสุดฮอตมากมาย ที่จะมามอบความสนุก พร้อมส่งต่อกำลังใจให้คนไทยก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปพร้อมกัน นำโดย ศิลปินเจ้าของเพลงฮิตวง Tilly Birds และ ศิลปินเดี่ยวมากความสามารถ Mon Monik ผ่านโชว์พิเศษด้วยบทเพลงฮิตที่ไม่ว่าใครก็ร้องตามได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีวงวัยรุ่นหน้าใหม่ Xmas จากมหาวิทยาลัยมหิดล มาร่วมแสดงพลังสานฝันด้านดนตรีของวัยรุ่นไทยภายในคอนเสิร์ตนี้อีกด้วย

เท่านั้นยังไม่พอ เพียงกดไลก์และแชร์ ‘Live Virtual Concert’ จาก OPPO Facebook ก็สามารถร่วมลุ้นรับของรางวัลมากมายไม่ว่าจะเป็น OPPO Enco Air หูฟังไร้สายใหม่ล่าสุด จำนวน 3 รางวัล และ JOOX VIP 1 เดือน จำนวน 10 รางวัล

เรียกได้ว่าห้ามพลาด! กับคอนเสิร์ตออนไลน์ ‘Live Virtual Concert’ สนุก มันส์ ครบรส แบบไม่มีสะดุด ไปกับ OPPO Enco Air และ JOOX ได้ในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ เวลา 17.30-19.00 น. ที่แอปพลิเคชั่น JOOX และ OPPO Facebook เท่านั้น หรือคลิกเลยที่ OPPO Facebook: www.facebook.com/oppothai หรือสนใจช้อป OPPO คลิกที่นี่เลย!

ช้อปอะไรดี? เมนูใหม่ล่าสุด A&W WAFFZA

วาฟเฟิล ถือเป็นเมนูครองใจของแฟนๆ A&W มาตลอดในทุกยุคทุกสมัย และเป็นเมนูที่พูดได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จัก ถ้าได้ลองซักคำ จะหลงรักจริงๆ ล่าสุด A&W Thailand ออกเมนูใหม่ล่าสุด A&W WAFFZA (เอ แอนด์ ดับบลิว วาฟซ่า) เมนูลูกผสมระหว่าง แป้งวาฟเฟิลที่กรอบนอกนุ่มใน แค่ได้กลิ่นก็ชวนหิว มาอยู่ในรูปแบบของ พิซซ่า พร้อมดึง มาดามแห่งวงการออนไลน์ ที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับทุกวงการในขณะนี้ อย่าง “ป้าตือ – สมบัษร ถิระสาโรช” มาร่วมในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของเมนูพิเศษนี้ เสิร์ฟ วาฟซ่า ในแบบว้าวซ่า! ไม่ว่าจะไป A&W สาขาไหน ก็จะเจอ ป้าตือ ในทุกๆ โลเคชั่น

ถือเป็นการฉลอง 102 ปี ที่มาแบบจัดเต็มจริงๆ สำหรับ A&W Thailand เพราะมีเมนูใหม่มาเซอร์ไพรส์กันในทุกๆ เดือน และเดือนสิงหาคมนี้ เรียกว่าเป็นเมนูปลุกความอร่อยให้ทุกคนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ไม่ว่าจะสั่งและมารับหน้าร้าน หรือสั่งกลับบ้านผ่านเดลิเวอรี่ ก็จะได้ทาน “A&W WAFFZA” ที่มาใน 2 รสชาติ คือ ฮาวายเอี้ยน และเบคอนชีส ที่เสิร์ฟมาอย่างจัดเต็ม อร่อยแบบชิ้นในราคา 29 บาท หรือจะรับแบบถาด เพียง 109 บาท ที่เชื่อว่าแฟนๆ ที่ชื่นชอบวาฟเฟิลเป็นทุนเดิม ต้องสั่งมาลองซักครั้ง เพราะไม่งั้น พลาดอย่างแรง

แถมในครั้งนี้ “ป้าตือ” ยังมาร่วมงานกับทาง A&W ในฐานะพรีเซ็นเตอร์เมนูพิเศษนี้ที่ครีเอทขึ้นมาเพื่อฉลอง 102 ปี ของ A&W โดยเฉพาะ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิด VIBE ใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ แทนภาพจำเดิมๆ ที่จะเห็นเมนูและพี่หมีรูทตี้ สัญลักษณ์ของ A&W แต่ครั้งนี้มี “ป้าตือ” มาร่วมการันตีความอร่อยในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์ แพลตฟอร์มของ A&W และช่องทางหน้าร้านกว่า 24 สาขา และฟู้ดทรัค 4 แห่ง ที่กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

A&W WAFFZA มีวางจำหน่ายแบบลิมิเต็ดไอเท็ม เท่านั้น เพราะวางจำหน่ายตั้งแต่วันนี้ – 10 กันยายน 2564  ที่หน้าร้านหรือสั่งผ่านเดลิเวอรี่ แพลตฟอร์ม อาทิ GRAB FOOD, ROBINHOOD, FOOD PANDA, LINEMAN และ  TRUEFOOD

ผ่ากลยุทธ์ เกษรวิลเลจ ปรับแผนรับมือช่วงล็อคดาวน์

เกษรวิลเลจ (GAYSORN VILLAGE) เดินหน้าปรับกลยุทธ์ใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ล็อคดาวน์ในปัจจุบันด้วย 4 บริการพิเศษที่จะช่วยเติมเต็มบริการ Gaysorn To You “Bring The Gaysorn Expereince to Your Place” ที่เหนือระดับกว่าเดิม พร้อมเนรมิตทุกประสบการณ์ช้อปปิ้งให้พิเศษ และอุ่นใจขึ้นอีกขั้น เพื่อสอดรับกับมาตรการคุมเข้มด้านการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้

  1. Gaysorn Concierge – Customer Relations พบกับผู้ช่วยช้อปปิ้ง จากเกษรวิลเลจพร้อมอำนวยความสะดวก และให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ ทั้งการแนะนำสินค้าและบริการให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเช่น หาของขวัญที่เหมาะกับคนรู้ใจ เช็คโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ต่างๆ หรือให้คำปรึกษาในเรื่องของสินค้าและบริการได้อย่างครบครัน ด้วยขั้นตอนง่ายๆเพียงแอด Gaysorn’s LINE Official Account ใหม่ล่าสุด @GaysornVillage
  2. Gaysorn Luxury Delivery ยกระดับการซื้อสินค้าออนไลน์และส่งถึงมือลูกค้าท่ามกลางความปลอดภัยกว่าที่เคย กับบริการจัดส่งสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยร่วมมือกับ The Black Tie Service ผู้ให้บริการด้าน Lifestyle Experience เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันเหนือระดับให้ลูกค้าเกษรวิลเลจถึงบ้าน ด้วยรถตู้ VAN VIP พร้อมมาตรการดูแลด้านความสะอาดปลอดภัยอย่างเข้มงวด เริ่มจากรถทุกคันที่นำมาให้บริการมีการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อทุกครั้ง ด้วยแอลกอฮอล์ก่อนและหลังการให้บริการ การใช้เครื่องฟอกอากาศแบบตัวกรองพิเศษอบโอโซนฆ่าเชื้อในรถ ไปจนถึงพนักงานขับรถที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งตลอดการปฏิบัติงาน และบริการ Same Day Delivery by Gaysorn ที่จัดส่งอาหาร และสินค้าที่สั่งซื้อออนไลน์โดยรถมอเตอร์ไซค์เกษรวิลเลจ จัดส่งทั่วกรุงเทพฯ การันตีความมั่นใจให้ลูกค้าเลือกช้อปปิ้งอย่างไร้กังวล *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด
  3. Free Delivery by Kerry Express ในช่วงสถานการณ์ล็อคดาวน์ เกษรวิลเลจอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้า เพิ่มช่องทางในการส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างปลอดภัยและสะดวกกว่าเดิม โดยร่วมกับเคอรี่ เอ็กซ์เพรส สาขาเกษรวิลเลจเพื่อจัดส่งสินค้าทั่วประเทศไทยถึงหน้าบ้าน ให้ลูกค้ารอรับสินค้าที่บ้านได้อย่างอุ่นใจ *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด
  4. Gaysorn Experience to Your Place เอาใจลูกค้าแบบจัดเต็ม กับบริการที่จะช่วยสร้างประสบการณ์สุดพิเศษแบบเหนือระดับ เพียงแจ้งความต้องการซื้อสินค้าผ่าน Gaysorn Concierge – Customer Relations ทางช่องทาง LINE OA ใหม่จากเกษรวิลเลจ นัดวันที่สะดวก ผู้ช่วยช้อปฯ ก็จะเนรมิตสินค้าจากหลากหลายแบรนด์ดัง ไปให้ทุกท่านเลือกสรรถึงบ้าน พร้อมพนักงานให้ข้อมูลสินค้าอย่างละเอียดด้วยขั้นตอนง่ายๆแค่ปลายนิ้วคลิกก็สามารถเลือกซื้อสินค้าได้เสมือนมาช้อปปิ้งเองที่เกษรวิลเลจ

เพิ่มอรรถรสให้การช้อปปิ้งในช่วง Work From Home ไม่น่าเบื่ออีกต่อไปกับบริการ Gaysorn To You “Bring The Gaysorn Expereince to Your Place” ยกระดับการซื้อสินค้าออนไลน์อย่างมั่นใจ ไร้กังวลเหมือนมาช้อปฯเองที่เกษรวิลเลจ ด้วยขั้นตอนง่ายๆเพียงสั่งซื้อสินค้าหรืออาหารจากร้านในเกษรวิลเลจผ่าน Gaysorn Concierge – Customer Relations ทางช่องทางใหม่ Gaysorn’s LINE Official Account @GaysornVillage เปิดให้บริการตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายนนี้ โดยสามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าร่วมรายการเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/GaysornVillage

TTA โชว์ไตรมาส 2 กำไร 530.3 ล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่2/2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564

TTA มีรายได้รวมเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จำนวน 5,125.8 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 74 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มการลงทุนอื่น มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นร้อยละ 52 ร้อยละ 15 ร้อยละ 17 ร้อยละ 11 และร้อยละ 5 ของรายได้รวมทั้งหมด ตามลำดับ โดยกำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 191 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1,417.3 ล้านบาท ส่วน EBITDA เติบโตร้อยละ 105 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 1,179 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1,013.0 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 TTA มีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 32,401.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 หรือ 1,371.7 ล้านบาท จากสิ้นปี 2563 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ จากการรับมอบเรือมือสอง จำนวน 1 ลำ ในเดือนมกราคม 2564 เงินสดภายใต้การบริหาร ซึ่งประกอบด้วยเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด และสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 7,539.3 ล้านบาท ส่วนโครงสร้างเงินทุนยังคงแข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net IBD/E) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.06 เท่า ณ สิ้นไตรมาส

ผลประกอบการในรอบครึ่งปีแรกเติบโตอย่างแข็งแรงจากผลการดำเนินงานของทุกกลุ่มธุรกิจหลักที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ

ในไตรมาสที่ 2/2564 ค่าเฉลี่ยดัชนีซุปราแมกซ์ (BSI) ขึ้นไปแตะระดับที่ 2,322 จุด จากค่าเฉลี่ย 1,512 จุด ในไตรมาสที่ 1/2564 อัตราค่าระวางเรือซุปราแมกซ์ขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยขึ้นไปอยู่เหนือ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ส่งผลให้อัตราค่าระวางเรือเรือซุปราแมกซ์เฉลี่ยในไตรมาสที่ 2/2564 เท่ากับ 25,538 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โทรีเซน ชิปปิ้ง มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นด้วยอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่า (TCE) เฉลี่ยอยู่ที่ 18,330 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โดยมีกำไรทั้งจากเรือที่โทรีเซน ชิปปิ้ง เป็นเจ้าของและเรือเช่า ส่วนกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง โดยเมอร์เมด มาริไทม์ มีผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างมาก และมีแนวโน้มธุรกิจในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งมีมูลค่างานให้บริการที่รอส่งมอบ (orderbook) ทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 286 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส และมี EBITDA กลับมาเป็นบวก ขณะที่กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรยังคงสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องจากการเติบโตของปริมาณขายปุ๋ยในประเทศเวียดนามและจากราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้น

หากไม่รวมรายการขาดทุนพิเศษจำนวน 122.6 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าก็ตาม กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติส่วนที่เป็นของ TTA ในไตรมาสที่ 2/2464 ยังมีจำนวนถึง 652.8 ล้านบาท และกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA เท่ากับ 530.3 ล้านบาท นับว่าปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 180 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 320 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA กล่าวว่า “ตลาดบริการขนส่งสินค้าแห้งเทกองฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปี 2564 และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสต่อไป นอกจากนี้ยังคาดการณ์กันว่า ปริมาณการค้าสินค้าแห้งเทกองจะเติบโตร้อยละ 4.6 ในหน่วยตัน-ไมล์ ในขณะที่การขยายตัวของกองเรือยังมีจำกัดและอาจจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 3.3 ในหน่วยเดทเวทตัน ทั้งนี้ ความต้องการสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถ่านหิน และแร่เหล็ก จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนให้ตลาดสินค้าแห้งเทกองเติบโตได้ดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3/2564 และระดับค่าระวางเรือและรายได้จากอัตราค่าระวางเรือก็จะสร้างสถิติใหม่ อีกทั้งปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจเรือเทกองยังคงมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 โดยคาดการณ์การเติบโตของปริมาณการค้าสินค้าแห้งเทกองอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 เทียบกับการขยายตัวของกองเรือที่ร้อยละ 1.4 ซึ่งทางโทรีเซน ชิปปิ้ง ยังครองตำแหน่งในผู้ให้บริการเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองชั้นนำระดับโลก ที่มีผลการบริหารต้นทุนดีเยี่ยมต่อเนื่องตลอดมา สำหรับธุรกิจบริการนอกชายฝั่งนั้น คาดว่างานติดตั้งและรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมและท่อขนส่งปิโตรเลียมในแถบอ่าวไทยจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นในช่วง 10 ปีต่อจากนี้ และทางเมอร์เมดฯ มีทีมงานบุคลากรชาวไทยที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ที่พร้อมจะให้บริการงานวิศวกรรมก่อสร้างและงานปฏิบัติการนอกชายฝั่งแก่บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยและในภูมิภาค อย่างไรตาม สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รวมถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจในประเทศไทยและระดับโลกยังคงมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนเช่นกัน”

ผลการดำเนินงานของรายกลุ่มธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ : รายได้ค่าระวางของกลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง ในไตรมาสที่ 2/2564 อยู่ที่ 2,689.5 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 141 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่2/2564 อัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ย ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 61 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 144 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 18,330 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โดยอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าประกอบไปด้วย อัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าสำหรับเรือที่กลุ่มธุรกิจฯ เป็นเจ้าของที่ 16,713 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และกำไรจากเรือเช่า (chartered-in vessel) ที่ 1,617 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน อัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าสำหรับเรือที่กลุ่มธุรกิจฯ เป็นเจ้าของ ซึ่งส่วนใหญ่จะให้บริการให้เช่าเรือตามราคาปัจจุบัน (spot rate) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีอัตราการใช้ประโยชน์สูงถึงร้อยละ 100 โดยมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าสูงสุดอยู่ที่ 37,748 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินเรือ (OPEX) ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 4,168 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 4,503 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน อยู่ร้อยละ 7 ด้วยเหตุนี้ กำไรขั้นต้นจึงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 875.6 ล้านบาท ส่วน EBITDA ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 132 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 361 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 823.0 ล้านบาท

ในไตรมาสที่ 2/2564 โทรีเซน ชิปปิ้ง รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 671.6 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 227 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 1,358 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นเจ้าของเรือจำนวน 24 ลำ (เรือซุปราแมกซ์ จำนวน 22 ลำ และเรืออัลตราแมกซ์ จำนวน 2 ลำ) มีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่ากับ 55,913 เดทเวทตัน (DWT) และมีอายุเฉลี่ย 13.2 ปี ณ สิ้นไตรมาส

กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง : รายได้ของบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จากัด (มหาชน) หรือ เมอร์เมด มาริไทม์ ในไตรมาสที่ 2/2564 อยู่ที่ 760.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนมีสาเหตุมาจากอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือที่สูงขึ้นและรายได้จากงานที่ไม่ใช้เรือที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีสาเหตุมาจากอัตราค่าเช่าต่อวันของเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นและรายได้จากงานที่ไม่ใช้เรือที่เพิ่มขึ้นทั้งที่มีอัตราการใช้ประโยชน์เรือลดลง ทั้งนี้ อัตราการใช้ประโยชน์เรือ (performing vessel utilization) ในไตรมาสที่ 2/2564 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 67 และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากร้อยละ 71 โดยมีกำไรขั้นต้นเป็นบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 4 นับจากไตรมาสที่ 3/2563 และปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ร้อยละ 130 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 232 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 122.6 ล้านบาท ส่วนงานวางสายเคเบิ้ลใต้ทะเลมีความคืบหน้าต่อเนื่องและมีอัตรากำไรที่ดี ขณะที่ EBITDA กลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 13.3 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2564 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2563 จำนวน (194.0) ล้านบาท

โดยสรุป เมอร์เมด มาริไทม์ รายงานผลขาดทุนสุทธิสำหรับงวดไตรมาสที่ 2/2564 จำนวน 98.7 ล้านบาท และผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 58.6 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 66 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบแตะระดับ 286 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติสูงสุดใหม่ ณ สิ้นไตรมาส 2/2564

 กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร รายได้ของบริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA ในไตรมาสที่ 2/2564 อยู่ที่ 896.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 72 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 41 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุมาจากปริมาณขายปุ๋ยภายในประเทศเวียดนามและราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ปริมาณขายปุ๋ยรวมในไตรมาสที่ 2/2564 เพิ่มขึ้นเป็น 56.4 พันตัน โดยปริมาณขายปุ๋ยภายในประเทศเวียดนามทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 49.9 พันตัน เนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและการบริหารสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงปัจจัยตามฤดูกาล ส่วนการส่งออกปุ๋ยไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทย และประเทศกัมพูชา ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศแอฟริกาถูกจำกัดด้วยภาวะการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เริ่มดีขึ้นในไตรมาสนี้ จึงส่งผลให้ปริมาณการส่งออกปุ๋ยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 336 จากไตรมาสก่อน เป็น 6.6 พันตัน

ในไตรมาสที่ 2/2564 รายได้จากการให้บริการจัดการพื้นที่โรงงานเพิ่มขึ้นเป็น  12.9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นภายในไตรมาสนี้

โดยสรุป PMTA รายงานผลกำไรสุทธิสำหรับงวดในไตรมาส ที่ 2/2564 จำนวน 31.0 ล้านบาท และผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 21.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 106 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 249 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) พิซซ่า ฮัท ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 พิซซ่า ฮัท มีสาขาทั้งหมด 172 สาขา ทั่วประเทศ

ทาโก้ เบลล์ เป็นแฟรนไชส์อาหารเม็กซิกันสไตล์ที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ทาโก้ เบลล์ มีสาขาทั้งหมด 10 สาขา ทั่วประเทศ

กลุ่มการลงทุนอื่น (Investment) มุ่งเน้นธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำ และโลจิสติกส์

บริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AIM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 83.75 เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และให้บริการครบวงจรทางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ AIM ยังได้รับสัมปทานในการจำหน่ายน้ำประปาในหลวงพระบาง ประเทศลาว ผ่านบริษัทย่อยที่ AIM ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 66.7

มิวเซียมสยาม ชวนเรียนรู้ นิทรรศการเปิดตำนานพ้อต่อเมืองภูเก็ต

มิวเซียมสยาม ร่วมกับ เทศบาลนครภูเก็ต ชวนเรียนรู้เรื่องราวของประเพณีพ้อต่อที่ชาวภูเก็ตยึดถือปฏิบัติมานับ 100 ปี ผ่านนิทรรศการ เปิดตำนานพ้อต่อเมืองภูเก็ต The Legend of Ghost Festival Phuket ทั้งนี้ จากตำนานดังกล่าว ในช่วงเดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติจีนซึ่งตรงกับเดือนสิงหาคม – กันยายน ของทุกปี ชาวภูเก็ตเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ประตูนรกจะเปิดออก เพื่อปลดปล่อยเหล่าผีให้กลับมาเยี่ยมโลกมนุษย์เป็นเวลาหนึ่งเดือน ชาวไทยเชื้อสายจีนภูเก็ต จึงมีการจัดพิธีกรรมเซ่นไหว้อุทิศบุญกุศลให้กับบรรพบุรุษ และ ผีไร้ญาติ ที่เรียกว่า โฮ่เฮียตี่ หรือ เพื่อนที่แสนดี ในศูนย์กลางของชุมชน โดยมีการส่งเสริมการเรียนรู้ความเป็นมาของประเพณีพ้อต่อผ่านตำนานและเรื่องเล่าใน 6 โซนด้วยกัน เรื่องราวความสำคัญในนิทรรศการ มีดังนี้

โซนที่ 1 กำเนิดประเพณีพ้อต่อเมืองภูเก็ต: เรื่องราวความเป็นมาของประเพณีพ้อต่อ ประเพณีที่ชาวจีนปฏิบัติมาแต่โบราณและกลายเป็นประเพณีที่ชาวจีนโพ้นทะเลยึดถือปฏิบัติกันอย่างเข้มแข็ง

โซนที่ 2 ตำนานผ้อต่อก้ง : เปิดตำนานความเชื่อของชาวภูเก็ตเกี่ยวกับ “ผ้อต่อก้ง” ผู้ควบคุมเหล่าผีให้อยู่ในความเรียบร้อย

โซนที่ 3 เซ่นไหว้อะไร ดี ? : สำรับอาหารคือเครื่องมือสื่อสารกับโลกวิญญาณและเป็นส่วนสำคัญในพิธีกรรมการเซ่นไหว้ในประเพณีพ้อต่อ เซ่นไหว้อะไร ดี ? คำตอบอยู่ในแผ่นถอดรหัส

โซนที่ 4 ถอดรหัสเต่าแดง : เรียนรู้ที่มาและความหมายที่ซ่อนอยู่ใน “เต่าแดง” ของไหว้ที่ขาดไม่ได้ในประเพณีพ้อต่อผ่านตำนานโบราณ 5 เรื่อง

โซนที่ 5 พ้อต่อเมืองภูเก็ต: นำเสนอเรื่องราวตลอดหนึ่งเดือนของเทศกาลพ้อต่อเมืองภูเก็ต ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร หาคำตอบผ่านปฏิทินแผ่นยักษ์

โซนที่ 6 เกมเขาวงกตเปิดตำนานประเพณีพ้อต่อ: ในช่วงประเพณีพ้อต่อชาวจีนเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ประตูนรกเปิดออกเพื่อปลดปล่อยบรรดาผีให้กลับมาเยี่ยมโลกมนุษย์เป็นเวลา 1 เดือน เดือนนี้มีความเชื่อข้อห้ามข้อควรปฏิบัติมากมายเรียนรู้ผ่านเกมเขาวงกต

นอกจากนี้ มิวเซียมสยาม มุ่งหวังให้พื้นที่เมืองภูเก็ตแห่งนี้เป็น City Museum ที่มีชีวิตและยกระดับไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และด้วยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทางนิทรรศการเปิดตำนานพ้อต่อเมืองภูเก็ต ได้กำหนดมาตรการ การป้องกัน เพื่อดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ อุทยานการเรียนรู้นครภูเก็ต (PK Park) 090 523 3997 โดยนิทรรศการเปิดตำนานพ้อต่อเมืองภูเก็ต เริ่มเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันนี้ถึง 6 กันยายน 2564 ณ อุทยานการเรียนรู้นครภูเก็ต (PK Park) หรือ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อเรียนรู้ด้านอื่นๆ ของพิพิธภัณฑ์ นิทรรศการ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ได้จาก บัตรไทยแลนด์มิวเซียมพาส บัตรเดียวเที่ยวพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ทั่วไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ 02 225 2777 ต่อ 529

บราเดอร์ ยืนราคาขาย แม้ต้นทุนชิ้นส่วนและค่าขนส่งพุ่งสูงขึ้น

นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลพวงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อ COVID-19 ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้ธุรกิจไอทีทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบ จนทำให้ต้องปรับราคาขายเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ บราเดอร์ เลือกที่จะคงราคาขายไว้เพื่อให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าของบริษัทฯ ในราคาเดิม เพราะเล็งเห็นว่าผู้บริโภคต่างได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ด้วยเช่นกัน เห็นได้จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุว่ายอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาสแรกของปี 2564 ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 14.13 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90.5% ต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 18 ปี  และจะเพิ่มขึ้นตลอดปีนี้

“ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้หลายค่ายไอทีต้องปรับเพิ่มราคาคือ ต้นทุนชิ้นส่วนที่ปรับราคาสูงขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนบางชิ้นส่วนเช่น เซมิคอนดักเตอร์ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด, ปัญหาด้านการขนส่งเพราะปัจจุบันตู้คอนเทนเนอร์ไม่เพียงพอต่อความต้องการทั้งยังมีการปรับเพิ่มค่าระวางที่สูงขึ้น และที่สำคัญคือผลกระทบจากภาวะค่าเงินบาทอ่อนตัวทำให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5-6% โดยอัตโนมัติ” นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ อธิบายถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนของธุรกิจไอที

ตลอดระยะเวลาที่ผ่าน บราเดอร์ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ มาโดยตลอด ทำให้ ณ ปัจจุบันแม้เกิดปัจจัยที่กระทบต่อโครงสร้างต้นทุน แต่บราเดอร์ก็ยังรับมือกับสถานการณ์ได้เพื่อไม่ให้เป็นการผลักภาระสู่ผู้บริโภค “brother at your side เป็นปรัชญาที่บราเดอร์ทั่วโลกยึดถือในการดำเนินธุรกิจ เราให้ความใส่ใจและพร้อมจะอยู่เคียงข้างผู้บริโภคในทุกช่วงเวลา เพื่อให้สินค้าคุณภาพทุกชิ้นและบริการหลังการขายของเรา ได้เข้าไปมีส่วนช่วยให้ลูกค้าสามารถดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจได้อย่างดีที่สุดแม้ท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 และบราเดอร์ขอส่งกำลังใจให้กับทุกท่านให้ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุด” นายธีรวุธ กล่าวสรุป