DMT โชว์ไตรมาส 2 กำไร 63.15 ล้าน จ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.07 บาท

บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง หรือ DMT เปิดแผนครึ่งปีหลัง นำความเชี่ยวชาญและฐานทุนต่อยอดสร้างโอกาสเข้าร่วมเสนองานภาครัฐตามนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุน เดินหน้าศึกษาโครงการ MFlow และโครงการร่วมพัฒนา Rest Area และ พัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง หลังรัฐกดปุ่มเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยโควิด-1โดยมีรายได้จากค่าผ่านทาง 251.44 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 63.15 ล้านบาท ด้านบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้น XD วันที่ 24 สิงหาคมนี้

นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT ผู้บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมโครงการทางยกระดับอุตราภิมุขหรือทางยกระดับดอนเมือง เปิดเผยว่า แผนดำเนินงานครึ่งปีหลัง DMT จะนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เข้าไปขยายงานและสร้างโอกาสทางธุรกิจเพื่อร่วมโครงการภาครัฐ ตามนโยบายให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการเป็นผู้รับสัมปทานดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงพิเศษและทางพิเศษ โดยคาดว่ารายละเอียดโครงการต่าง ๆ จะมีความชัดเจนในปลายปีนี้ เช่นเดียวกับโครงการระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นหรือ MFlow ของกรมทางหลวง โดยได้ศึกษาแนวทางการร่วมดำเนินงานในโครงการ MFlow เพื่อนำองค์ความรู้ด้านงานระบบ งานบริหารจัดการ การตรวจสอบการละเมิดและการติดตามทวงถามค่าผ่านทาง เพื่อเข้าไปร่วมรับงานดังกล่าว หลังจาก DMT มีแผนติดตั้ง MFlow Demo Lane Test ที่บริเวณด่านดินแดงเพื่อทดสอบระบบ 

นอกจากนี้ DMT มีแผนจะขยายโอกาสทางธุรกิจในส่วนโครงการอื่น ๆ ที่สนใจโครงการพัฒนาจุดพักรถริมทางหลวงหรือ Rest Area ที่กรมทางหลวงได้เชิญเอกชนผู้สนใจเข้าประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็น (Market Sounding) สำหรับโครงการบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข กรุงเทพ-บ้านฉาง ซึ่งกรมทางหลวงมีแผนที่จะประกาศเชิญชวนให้เอกชนร่วมลงทุนแบบ PPP จำนวน แห่ง ที่ศรีราชาและบางละมุง ช่วงไตรมาสที่ 4/2564 แผนเปิดบริการในปี 2566 และอีก โครงการ คือ โครงการจุดพักรถริมทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข บางปะอิน-นครราชสีมา และ หมายเลข 81 บางใหญ่-กาญจนบุรี ที่จะมีการเปิดประมูลในปี 2565 เปิดให้บริการ 2567 โดยกรมทางหลวงมีเป้าหมายต้องการพัฒนาจุดพักรถที่มีความทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนสำหรับผู้เดินทางที่มาใช้บริการมอเตอร์เวย์ให้เป็นจุดพักรถเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทาง ให้เกิดความสะดวก และปลอดภัย ซึ่ง DMT สามารถนำประสบการณ์การร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเข้ายื่นเสนอเป็นผู้รับสัมปทานร่วมกับพันธมิตร โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย Smart, Modern, Innovative ผนวกกับประสบการณ์การให้บริการทางด่วนกว่า 30 ปี ที่มีการบริหารจัดการต้นทุนดำเนินงานและบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมและยังคงให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง การให้บริการผู้ใช้ทางและการสร้างสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าซึ่ง DMT จะนำประสบการณ์ส่วนนี้ ที่มีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้ใช้ทาง ผ่านระบบ Customer Relationship Management หรือ CRM มาตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังสนใจเข้าร่วมพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง หลังจากเริ่มเปิดให้บริการแก่ประชาชนเมื่อวันที่ สิงหาคมที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าว DMT ได้ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยศึกษาการใช้ระบบ Smart Feeder มาให้บริการ ซึ่งในระหว่างสถานการณ์วิกฤต COVID19 ขณะนี้ DMT มีสภาพคล่องทางการเงินที่เข็มแข็ง เพื่อสนับสนุนการทำงานขับเคลื่อนของ DMT สำหรับให้บริการประชาชน และ สนับสนุนงานคมนาคมของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และ ไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และเสริมสร้างศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป 

“หลังจากที่เราเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้เรามีความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุนพร้อมสร้างโอกาสการขยายธุรกิจใหม่ ๆ โดยจะนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่มีมานานกว่า 30 ปี เข้าไปร่วมพัฒนาโครงการที่ภาครัฐเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน โดยเราศึกษาและวางแผนประมูลในโครงการที่มีศักยภาพรวมถึงได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย” นายธานินทร์ กล่าว 

ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจและการเงิน DMT กล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม  2564  DMTได้ชำระหนี้ตามสัญญาทางการเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 1,683.78 ล้านบาท จากกระแสเงินสดจากการนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ภาระหนี้ฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเงินกู้ระยะสั้น ประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 300 ล้านบาท ทำให้มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (เท่า) ปรับลดลงจาก 0.40 เป็น 0.11 อัตราส่วนสภาพคล่อง (เท่า) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.27 เป็น 0.84 เมื่อเปรียบเทียบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563  และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 รวมทั้งมีวงเงินหมุนเวียนเพื่อสำรองไว้ใช้ในกิจการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 DMT มีวงเงินสินเชื่อซึ่งยังมิได้เบิกใช้เป็นจำนวนเงินรวม 620ล้านบาท (31 ธันวาคม 2563 : 350 ล้านบาท) ซึ่งเป็นวงเงินที่ได้รับเพิ่มเติมและลงนามในสัญญา ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 จำนวน 120 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการอีกกว่า 300350 ล้านบาท จากผลสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ DMT มีระดับของหนี้สินหมุนเวียนลดลงอย่างมีนัยสำคัญอันส่งผลให้ DMT มีสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564 เพื่อสามารถรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID19 ได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน พร้อมขยายกิจการในการเข้าร่วมประมูลงาน ที่ภาครัฐเปิดประมูลเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน (Public Private Partnership) ในช่วงปลายปี 25642565 หลายโครงการ 

โดยผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) DMT ยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID19 สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ทำให้ภาครัฐเพิ่มระดับความเข้มงวดหลังจากมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประกาศมาตรการ Lockdown และเคอร์ฟิว เพื่อบริหารจัดการควบคุมผู้ติดเชื้อในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีจำนวนมาก ส่งผลต่อปริมาณการจราจรในเส้นทางยกระดับส่วนสัมปทานเดิมไตรมาสนี้ลดลงเหลือ 27,897 คันต่อวัน หรือลดลง 36.29% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 ที่มี 43,758 คันต่อวัน และส่วนต่อขยายทางด้านทิศเหนือชะลอตัวลง 31.28% หรือลดลงเหลือ 20,245 คันต่อวัน เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้านี้ที่มี 29,473 คัน เป็นผลให้รายได้จากค่าผ่านทางในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 251.44 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 63.15 ล้านบาท และจากการที่ DMT มีการดำเนินการตามแผนบริหารจัดการด้านต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพภายใต้แผน BCP หรือ Business Continuity Plan เพื่อบริหารความเสี่ยงตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคในระลอกที่ เมื่อตอนต้นปี โดยบริหารควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องสามารถลดต้นทุนได้ถึง 169 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28% เมื่อเทียบกับปี 2563 รวมถึงภาระหนี้สินตามสัญญาทางการเงินที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ DMT สามารถรับมือกับความเสี่ยงจากปัจจัยที่เกิดขึ้นได้เป็นที่น่าพอใจ ส่งผลให้กำไรสุทธิในช่วง เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิ 206.24 ล้านบาท 

ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 82,686,296 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ และจะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 กันยายน 2564 

ทั้งนี้ DMT มองว่านโยบายภาครัฐในการเร่งจัดวัคซีนเพื่อฉีดให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงเกินกว่าร้อยละ 70 ภายในปีนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และลดความรุนแรงของการติดเชื้อ จะส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้งภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ปริมาณการจราจรทยอยปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมการเดินทางของประชาชนภายหลังผ่านพ้นวิกฤต COVID19 เชื่อว่าจะนิยมใช้รถยนต์ส่วนบุคคลสูงขึ้น เนื่องจากเป็นรูปแบบการเดินทางที่ปลอดภัยมีลักษณะแบบ DoortoDoor รวมถึงปัจจัยการขยายตัวของชุมชนทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ จะเข้ามาช่วยสร้างโอกาสให้แก่ DMT เพิ่มขึ้น 

ไส้เลื่อนนักกีฬา รู้ระวังรีบรักษาก่อนไม่ฟิต

ไส้เลื่อนเป็นอีกปัญหากวนใจที่พบบ่อยในนักกีฬาหรือผู้ที่มีการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ โดยไส้เลื่อนนักกีฬาจะมีความคล้ายคลึงกับไส้เลื่อนขาหนีบ แต่มีวิธีการรักษาและอาการบาดเจ็บที่แตกต่างกัน ฉะนั้นแล้วการรู้เท่าทันเพื่อที่จะสามารถรับมือได้อย่างถูกต้องเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรละเลย

นายแพทย์ชนินทร์ ปั้นดี ศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคไส้เลื่อนนักกีฬา (Sports Hernia) หรือไส้เลื่อนฮ็อกกี้ มีอาการคล้ายไส้เลื่อนแต่ไม่มีการเลื่อนของลำไส้ออกนอกช่องท้อง สามารถพบได้มากในกลุ่มนักกีฬาที่มีการวิ่งเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว หรือมีการเคลื่อนไหวบิดหมุนบริเวณข้อต่อสะโพกอย่างรุนแรง เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล วิ่ง กระโดดสูง เบสบอล ฟันดาบ ฮ็อกกี้น้ำแข็ง มวยปล้ำ เป็นต้น ที่จะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อขาหนีบ (Adductor) ช่องท้องส่วนล่างของนักกีฬา พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สาเหตุของโรคไส้เลื่อนนักกีฬาเกิดจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้อในช่องท้องส่วนล่างบริเวณขาหนีบและข้อต่อสะโพกที่มีการใช้งานหนัก หรือความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อขาหนีบที่มีแรงตึงมากกว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องด้านล่าง ทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อและการฉีกขาดของเส้นประสาทบริเวณขาหนีบ 

ลักษณะอาการไส้เลื่อนนักกีฬา จะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มีอาการสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวโดยไม่มีการเลื่อนของลำไส้  โดยมีอาการปวดหรือเจ็บแบบเสียดๆท้องน้อยส่วนล่าง ขาหนีบ อัณฑะ ต้นขา อาจมีอาการขณะจามแรง ๆ ออกกำลังกายหรือซิทอัพ ส่วนไส้เลื่อนขาหนีบจะมีอาการปวดจุกขาหนีบที่มีความสัมพันธ์กับก้อนขาหนีบ รู้สึกมีก้อนเข้าออกได้บริเวณขาหนีบ มักมีอาการขณะลุกขึ้นหลังจากนอนหรือนั่ง ขณะไอ จาม หรือเบ่งอุจจาระ อาการจะเป็นๆ หายๆ เนื่องจากอาการที่คล้ายกันและทับซ้อนกับโรคอื่นๆเช่น Osteitis Pubis การบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังส่วนเอว ข้อต่อสะโพก ช่องท้อง และระบบทางเดินปัสสาวะ การตรวจวินิจฉัยจะต้องซักประวัติอาการของผู้ป่วยทางคลินิก การตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจ MRI เพื่อตรวจแยกรอยโรคที่ต่างกัน นอกจากนี้นักกีฬาหลายคนอาจมีกล้ามเนื้อขาหนีบอ่อนแรงหรือเกิดการฉีกขาด อาจส่งผลให้ Sports Hernia พัฒนาเป็นไส้เลื่อนในช่องท้องได้หากกล้ามเนื้อผนังหน้าท้องอ่อนแอลงอีก

ขั้นตอนการรักษาสามารถรักษาแบบประคับประคองด้วยการพักการใช้งานของกล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบหรือหยุดกิจกรรม ประคบเย็น กระตุ้นด้วยไฟฟ้า ทานยาแก้ปวดลดบวม ฉีดยา กายภาพบำบัด เสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานโดยการบริหารกล้ามเนื้อขาหนีบให้แข็งแรง การฝึก Hip Adduction หรือการนอนในท่าคว่ำโดยให้งอสะโพกด้านที่มีอาการและหมุนออกด้าน หากทำการรักษาแบบประคับประคองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นใน 6 – 8 สัปดาห์ โดยเฉพาะในนักกีฬาอาชีพ การผ่าตัดแบบเปิดหรือการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (Herniorharrphy) ด้วยการเสริมความแข็งแรงของผนังช่องท้องโดยการเสริมตาข่าย  Mesh Repair แผ่นสารสังเคราะห์เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง หรืออาจร่วมกับการซ่อมแซมกล้ามเนื้อขาหนีบที่มีปัญหาในกรณีที่มีสาเหตุจากความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อขาหนีบ หลังผ่าตัดจะมีอาการตึงแผลบริเวณขาหนีบเล็กน้อย ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 1 – 2 วัน หลังผ่าตัดต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มีแรงดันในช่องท้องสูงในช่วง 4 – 6 สัปดาห์แรก เช่น ห้ามยกของหนักหรือออกกำลังกายหักโหม หลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระหรือปัสสาวะ และหลีกเลี่ยงการบิดและหมุนลำตัวอย่างกะทันหัน

โรคไส้เลื่อนนักกีฬาเป็นอาการที่ไม่สามารถชะล่าใจได้ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้อักเสบเรื้อรังจนรุนแรง ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ถูกต้องทันที สอบถามหรือปรึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่ ศูนย์ศัลยกรรม รพ.กรุงเทพ โทร. 0 2310 3000 โทร 1719 หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

PR9 โชว์รายได้ไตรมาส2 โต 23% เตรียมบุกตลาดลูกค้าประกันสุขภาพ

บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า โชว์ผลงานไตรมาส 2/64 มีรายได้รวม 642.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.0% และมีกำไรสุทธิ 11.8 ล้านบาท เติบโต 3.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ OPD – IPD ในกลุ่มที่เกี่ยวกับโควิด-19 เพื่อรับการตรวจหาเชื้อ และเข้ารับการรักษาอาการจากการติดเชื้อจำนวนหนึ่งอีกด้วย รวมทั้งผลตอบรับที่ดีจากการเปิดศูนย์เลสิคแห่งใหม่

นายแพทย์เสถียร ภู่ประเสริฐ  รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 ผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 642.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลบวกการทำตลาดผู้ป่วยไทย และผู้ป่วยชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) อยู่ที่ 349.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักเกิดจากฐานรายได้ในไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ต่ำกว่าปกติจากผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรกในช่วงปี 2563 รวมถึงการได้รับผลตอบรับที่ดีจากการเปิดศูนย์เลสิคแห่งใหม่ ตั้งแต่ในช่วงปลายไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) อยู่ที่ 282.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ หากแบ่งรายได้ตามการชำระเงินจะพบว่า สัดส่วนรายได้จากทุกกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มของรายได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ในปีที่ผ่านมา ที่เน้นเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มประกันสุขภาพ จากความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันหลายๆ แห่ง พร้อมกับเน้นเพิ่มฐานลูกค้าบริษัทคู่สัญญาอย่างต่อเนื่อง ส่วนต้นทุนในการประกอบกิจการโรงพยาบาล (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่าย) ไตรมาส 2/64ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 500 ล้านบาท ปัจจัยหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย  จากการเปิดใช้อาคารศูนย์การแพทย์แห่งใหม่ รวมถึงต้นทุนค่าเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่ารายได้

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/64 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 130.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.3% ของรายได้รวม เมื่อเทียบกับ 116.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2/63 ซึ่งคิดเป็น 22.4% ของรายได้รวม สัดส่วนดังกล่าวที่ลดลงสะท้อนถึงการจัดการที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายบางส่วนปรับสูงขึ้น อาทิ ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดอาคารใหม่ แต่บริษัทฯ ก็สามารถบริหารจัดการ ประหยัดค่าใช้จ่ายหลายๆ รายการ โดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายทางด้านบุคลากรยังคงทำได้ดีขึ้น จากการบริหารชั่วโมงทำงานและกระจายทรัพยากรบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ เป็นต้น จากการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพดังกล่าว ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2/64 เติบโต 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“สำหรับแนวโน้มในครึ่งหลังปี 2564 คาดอุปสงค์การใช้บริการจะเริ่มดีขึ้น ในไตรมาส 4/64 จากการฉีดวัคซีนที่จะครอบคลุมประชากรมากขึ้น รายได้จากศูนย์เฉพาะทางต่างๆ น่าจะกลับมาเติบโต จากอุปสงค์คงค้าง หรือ Pent Up Demand กอปรกับเข้า High season ของธุรกิจโรงพยาบาลพอดี ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเน้นกลยุทธ์ในการเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มประกันสุขภาพจากความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันหลายๆ แห่ง พร้อมกับเน้นเพิ่มฐานลูกค้าบริษัทคู่สัญญาอย่างต่อเนื่อง จากการที่กลุ่มตลาดลูกค้าประกันที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น และยังได้เตรียมความพร้อม ในเรื่องการรองรับการรักษากลุ่มข้าราชการที่ได้รับสวัสดิการกับกรมบัญชีกลางอีกด้วย” นพ.เสถียร กล่าว

ADD โชว์งบ 6 เดือนแรก กำไรพุ่ง 62%

บมจ.แอดเทค ฮับ (ADD) เดินหน้าโชว์ศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ โชว์งบ 6 เดือนแรกของปี 64 โตตามเป้า โกยรายได้ 262.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ ขับเคลื่อนให้สังคมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็ว หนุนรายได้การให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์พุ่งแรงถึง 78.5% จากปีก่อน และการให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโตถึง 20.8% จากปีก่อน พร้อมเสิร์ฟข่าวดีผู้ถือหุ้น หลังบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลงวดครึ่งปีแรก 0.18 บาท/หุ้น จ่อ XD วันที่ 24 สิงหาคม และจ่ายเงินปันผลวันที่ 9 กันยายนนี้ 

นายชวัล บุญประกอบศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด (มหาชน) หรือ ADD ดำเนินธุรกิจผู้ให้บริการระบบสนับสนุนบริการดิจิทัลคอนเทนต์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่และให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ว่า บริษัทฯมีรายได้จากการให้บริการรวม เท่ากับ 262.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 76.1 เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้ 149.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 62.2 เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 31.5 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการให้บริการ เท่ากับ 128 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.7 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 24.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากการขยายตัวของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก 1.) การให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ผ่านช่องทางโทรคมนาคม มีรายได้รวมเท่ากับ 226 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีการเพิ่มคู่ค้าด้านการตลาดในช่องทางออนไลน์ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 61.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.5 เทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง ตามต้นทุนส่วนใหญ่ที่เป็นต้นทุนมาจากส่วนแบ่งรายได้ให้แก่คู่ค้าด้านการตลาดซึ่งจะแปรผันไปตามรายได้ และคู่ค้าด้านการตลาดรายใหม่ในช่องทางออนไลน์มีอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่สูงขึ้น

2.) การให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เท่ากับ 36.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.8 เทียบกับปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯมีการให้บริการโครงการใหม่แก่ลูกค้ากลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 เทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจากต้นทุนค่าบริการคลาวด์เซิร์ฟเวอร์และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพนักงานเพิ่มขึ้นรวม 3.7 ล้านบาท และ 3.) การให้บริการโฆษณาผ่านอินเทอร์เน็ตสำหรับสินค้าและบริการอยู่ที่ 0.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27.5 เทียบกับปีก่อน เนื่องจากลูกค้ากลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีการใช้จ่ายด้านสื่อโฆษณาลดลงตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 และมีขาดทุนขั้นต้น 1.2 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพนักงานซึ่งเป็นต้นทุนคงที่

“ภาพรวมของตลาดบริการ Digital ในปี 2564 คาดว่าจะมีการเติบโตร้อยละ 13.2 และมีมูลค่าตลาดรวมที่ 231,220 ล้านบาท จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้สังคมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลเร็วขึ้น ส่งผลให้การให้บริการออนไลน์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในทุกอุตสาหกรรม ทุกภาคบริการภายใต้การขยายการให้บริการโครงข่ายการสื่อสาร 4G  ของผู้ประกอบการโทรคมนาคม และอุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่เอื้ออำนวยให้เกิดการใช้ดิจิทัลในทุกวงกว้างมากขึ้นเพิ่มความสะดวกสบายและรวดเร็วให้กับลูกค้า รวมถึงการลงทุนเครือข่าย 5G ถือเป็นโครงข่ายความเร็วสูงที่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดการใช้งานได้จริงในอนาคต  หนุนให้มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม Digital Content ใหม่ๆ ออกมารองรับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการใช้บริการ Digital Content ในรูปแบบการสมัครสมาชิก ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวเป็นตัวสนับสนุนให้ภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรกเติบโตอย่างโดดเด่น”

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติจ่ายปันผลงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย. 2564) ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งหมด 28.8 ล้านบาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 25 สิงหาคม 2564 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 24 สิงหาคม 2564 เพื่อดำเนินการจ่ายปันผลในวันที่9 กันยายน 2564

นายชวัล ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่าภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลัง 2564 ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงได้รับอานิสงส์จากระบบชำระเงินค่าบริการหรือสินค้าผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Carrier Billing) ที่โอเปอเรเตอร์พยายามให้ลูกค้าหันมาจ่ายค่าคอนเทนต์ผ่านซิมมือถือ โดยจะทำให้ได้ส่วนแบ่งจากผู้ผลิตคอนเทนต์มากขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อบริษัทฯ ที่จะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากโอเปอเรเตอร์เช่นกัน ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวจึงถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้มีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

“ละมุนเบบี้” คว้า “ศรีริต้า เจนเซ่น” นั่งแท่น Brand Ambassador เจาะตลาดออร์แกนิค

ละมุนเบบี้ รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับแม่และเด็ก ครึ่งปีแรก 2564 โต รับกระแสสุขภาพ จากสินค้า Highlight ถุงเก็บน้ำนมลดกลิ่นหืนตัวจริง โกยส่วนแบ่งการตลาด สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจยุคโควิด ทุบสถิติมูลค่าการตลาด 230 ล้านบาท ภายในปี 2564 จากการที่ Disney เลือก ละมุนเบบี้ เป็นสินค้าออแกนิคสำหรับแม่และเด็กแบรนด์ไทยรายแรกที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำ Co-Branding ร่วมกัน จนออกมาเป็น Mom Magic Moment  Collection  โดยหยิบความน่ารักของคาแรกเตอร์ แบมบี้ ดัมโบ้ ออกมาทำสินค้าคอลเลคชั่นแรกในรูปแบบลายเส้นพิเศษสุดเอกซ์คลูซีฟสำหรับแม่ละมุนโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังได้ ศรีริต้า เจนเซ่น ณรงค์เดช คุณแม่ป้ายแดงยุคใหม่ ซึ่งเป็นแม่ละมุนตัวจริง ใช้ละมุนตั้งแต่แรกคลอดจนหลงรัก จนตอบรับการเป็น Brand Ambassador ย้ำภาพความอ่อนโยนแม่ละมุน ที่เป็นคุณแม่ทันสมัย และที่สำคัญคือเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกรักเท่านั้น  ดึงกระแสเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อส่งต่อภูมิคุ้มกันให้ลูกยุคโควิด

สำหรับปี 2564 ละมุนเบบี้ ตั้งเป้ารายได้การเติบโตไว้ประมาณ 25 % โดยหัวใจหลักจะมาจากการพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้ามากขึ้น การทำการตลาดที่เข้าถึงคุณแม่ตั้งแต่เตรียมพร้อมการตั้งครรภ์  รวมถึงการออกสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ Lamoon Vita ที่เริ่มเปิดตัวสินค้าไปแล้วเมื่อปลายปี 2563

สำหรับสินค้า Lamoon Mom Magic Moment  สามารถหาซื้อได้ทั้งร้านค้าออนไลน์และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ www.lamoonbaby.com Facebook , Instagram และ Line@ Lamoonbaby ,Lazada, Shopee, Central Robinson, Central Food Hall, Tops Market, Tops Superstore, Tops Online, Villa The Mall ร้าน Mother Care , Big C และ Home Pro ที่ร่วมรายการ

สนใจช้อป ละมุนเบบี้ ทาง Shopee คลิกที่นี่เลย! หรือ Lazada คลิกที่นี่เลย!

โอสถสภา จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น

บมจ.โอสถสภา (OSP) โชว์ศักยภาพผลการดำเนินงานไตรมาส 2Q’64 ด้วยยอดขาย 6,913 ล้านบาท และกำไรสุทธิ  820 ล้านบาท เติบโตจากยอดขายต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV และเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในประเทศ โดยผลงานครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 1,824 ล้านบาท ประกาศอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้นตอบแทนผู้ถือหุ้น พร้อมสานต่อภารกิจเป็นพลังฮึดสู้เคียงข้างคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ผ่านการมอบความช่วยเหลือสนับสนุนด้านต่างๆ แก่บุคคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล กลุ่มอาสาสมัคร และชุมชนต่างๆ

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP  ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้จากการขายในไตรมาส 2 ที่ 6,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกลุ่มประเทศ CLMV เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจหลัก ผลักดันอัตราการเติบโตในต่างประเทศโดยรวมที่ 76% นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร ส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ยังได้พัฒนารถเข็นแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นพลังให้คนไทยฮึดสู้ฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19

สำหรับตลาดในประเทศนั้น OSP ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งการตลาด 55% จากแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 แบรนด์ลิโพที่มีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ สร้างปรากฎการณ์ครั้งแรกในรอบ 22 ปี เปิดตัว ‘ลิโพ-ไฟน์’ แจ้งเกิดเซกเมนท์ใหม่ให้กับ “เครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง” และเครื่องดื่มโสมอินซัมที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากส่วนผสมสมุนไพรซึ่งตอบสนองเทรนด์ของตลาดในขณะนี้ได้อย่างตรงจุด ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์นั้น ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่ง 37% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หลังจากออกสินค้าใหม่เพื่อตอบรับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งผลิตภัณฑ์กล่องใหญ่ขนาด 1 ลิตรสำหรับการบริโภคในครอบครัวได้เป็นประจำ และ ‘ซีวิท พลัส’ เครื่องดื่มวิตามินซีผสมคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้จากการกระจายสินค้าให้แก่เครื่องดื่มวิตามินของกลุ่มยันฮี ซึ่งเป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูง

นอกจากนี้ การกลับมาเดินเครื่องจักรของโรงแก้วหลังจากปิดปรับปรุงในไตรมาสก่อน สัดส่วนช่องทางการขายที่ดีขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm อย่างต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ทำกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 1,824 ล้านบาท เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลการดำเนินงานที่เติบโตตามเป้าหมาย ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 1,352 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564

นางวรรณิภา กล่าวว่า จากสถานการณ์ความท้าทายจากโควิด-19 โอสถสภามุ่งเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพ การสร้างพลังทางด้านการตลาดผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร และเริ่มวางรากฐานการนำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งและนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าใช้ Big Data มาช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพและทรานส์ฟอร์มองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอนาคต

นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ร่วมเป็นพลังสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน ชุมชน และเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภา ฟู้ดส์ จำกัด บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด และ บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด จัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาทิ เครื่องดื่มวิตามินซีแบรนด์ซีวิทยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ลิโพ และเครื่องดื่มผสมสมุนไพร  อาทิ โสมอินซัม สูตรผสมถั่งเช่า และเอ็ม-150 สูตรผสมกระชายดำรวมกว่า 2 ล้านขวด มอบให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน ณ จุดบริการนอกโรงพยาบาล ในเครือข่ายสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทั้ง 25 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ออกแบบและพัฒนาแคปซูลแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อและลดโอกาสในการสัมผัสเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์เมื่อปี 2563 ล่าสุดทีมวิศวกรของโอสถสภาได้ออกแบบและพัฒนารถเข็นความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัยและคล่องตัวมากขึ้น โดยได้ส่งมอบแคปซูลความดันลบจำนวน 3 คัน และรถเข็นความดันลบจำนวน 18 คัน มูลค่ารวมกว่า 4.8 ล้านบาทให้แก่โรงพยาบาล 16 แห่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสระบุรี

Nokia ขึ้นชั้นท็อประดับทอง ด้านความยั่งยืนประจำปี 2564 โดย EcoVadis

เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD Global) เจ้าของลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริมแบรนด์โนเกียทั่วโลก ได้รับการจัดอันดับจาก EcoVadis ผู้ให้บริการจัดอันดับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ระดับโลก ให้เป็นองค์กรที่มีความยั่งยืน “ระดับทอง” ประจำปี 2564 ทั้งนี้ เอชเอ็มดี โกลบอล นับเป็นบริษัทหนึ่งใน 6% ของธุรกิจระดับท็อปที่ได้รับการตรวจสอบเกี่ยวกับความมุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืนในการผลิตอุปกรณ์สื่อสาร

นายภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล เปิดเผยว่า หลังจากที่ เอชเอ็มดี โกลบอล ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่มีความยั่งยืนระดับเงิน โดย EcoVadis ในปี 2563 ที่ผ่านมา ล่าสุด เอชเอ็มดี โกลบอล ได้รับการเลื่อนลำดับขึ้นเป็นบริษัทที่มีความยั่งยืน “ระดับทอง” ประจำปี 2564 จาก EcoVadis ซึ่งนับเป็นสัญญาณแสดงถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ เอชเอ็มดี โกลบอล ด้านความยั่งยืนเชิงรุกที่มีโครงสร้างขั้นสูง รวมถึงการมีส่วนร่วม มีนโยบาย และการดำเนินงานที่เป็นที่ประจักษ์เกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ พร้อมข้อมูลรายละเอียดในการดำเนินการ

นอกจากการได้รับจัดอันดับขึ้นสูงระดับทองดังกล่าวแล้ว เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา เอชเอ็มดี โกลบอล ได้ประกาศเข้าร่วมในโครงการ Eco Rating ในยุโรป ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้ทั้งผู้ประกอบการ และผู้บริโภคสามารถประเมินความยั่งยืนของโทรศัพท์มือถือที่ต้องการ นับเป็นการทำงานเพื่อความยั่งยืนที่มากขึ้นในอนาคต ซึ่งโทรศัพท์ Nokia ทุกเครื่อง ถูกผลิตเพื่อให้มีความทนทานและใช้งานได้นาน ซึ่งนับเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ โดยโทรศัพท์ Nokia ทุกรุ่นจะต้องผ่านการทดสอบที่เข้มงวดมากกว่า 50 ครั้ง ตั้งแต่การวัดแรงในการใช้งาน จนถึงการทดสอบรอยขีดข่วน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบมาตราฐานผลิตภัณฑ์ในข้อกำหนด ทั้งนี้ Nokia มีทดสอบที่เข้มงวดที่สุดในอุตสาหกรรม รวมทั้งมีการทดลองและทดสอบเป็นเวลานานหลายปี สำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Nokia ยังมีการอัปเดตซอฟต์แวร์และความปลอดภัยอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าโทรศัพท์ของผู้ใช้งานสามารถใช้ได้นานและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ด้วยซอฟต์แวร์ล่าสุดที่มอบประสบการณ์ให้ผู้ใช้รู้สึกรักโทรศัพท์ที่ใช้ได้อีกนานหลายปี

อีกด้านของความคืบหน้าเกี่ยวกับความยั่งยืน เมื่อในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เอชเอ็มดี โกลบอล ได้ขยับสู่ก้าวแรกของ e-waste หรือขยะอิเล็กทรอนิกส์และการส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนในสหภาพยุโรป ด้วย Nokia X-series ใหม่ โดยสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวจะมีการขยายระยะเวลาการรับประกัน ที่มาพร้อมกับเคสโทรศัพท์ที่ย่อยสลายได้ รวมทั้งการอัปเดตความปลอดภัยรายเดือน และการอัปเกรดระบบปฏิบัติการได้นานถึง 3 ปี

อนึ่ง EcoVadis เป็นผู้ให้บริการจัดอันดับความยั่งยืนทางธุรกิจรายใหญ่ที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในโลก ให้ผลคะแนนการจัดอันดับตามความมุ่งมั่นของแต่ละบริษัท ในด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน จริยธรรม จรรยาบรรณ หลักปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่งได้ร่วมงานกับ EcoVadis เพื่อขับเคลื่อนและสร้าง “การแข่งขันสู่ความเป็นเลิศ”  บรรเทาความเสี่ยง และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับบริษัทในทุกอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งสร้างสรรค์แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับโลกโดยมีบริษัทในเครือข่ายทั้งหมดกว่า 75,000 บริษัท ใน 200 อุตสาหกรรม จาก 160 ประเทศทั่วโลก

สนใจช้อป NOKIA ทาง Shopee ตลิกที่นี่เลย! หรือ Lazada คลิกที่นี่เลย!

PIMO โชว์งบไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 24.51 ล้าน

PIMO-ไพโม่ โชว์งบไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 24.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127.15% จากงวดเดียวกันปีก่อนทำได้ 10.79 ล้านบาท พร้อมปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.018 บาท ด้านหัวเรือใหญ่ “วสันต์ อิทธิโรจนกุล” เผยครึ่งปีหลังผลประกอบการโตต่อเนื่อง ย้ำเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน รับอานิสงส์ออเดอร์ล้นทะลัก ธุรกิจเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น

นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO-ไพโม่ ผู้ประกอบธุรกิจหลักผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioning Motor) มอเตอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป (Induction Motor)  เครื่องสูบน้ำ ปั๊มหอยโข่ง มอเตอร์สำหรับสระว่ายน้ำ มอเตอร์สำหรับปั๊มบ้าน (Submersible Pump,Pool Spa Pump and Home Pump) เปิดเผยว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/2564 มีรายได้อยู่ที่ 244.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.58 ล้านบาท หรือ 49.29% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 163.49 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 24.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.72 ล้านบาท หรือ 127.15% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 10.79 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.64) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 468.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121.05 ล้านบาท หรือ 34.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 347.80 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 44.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.95 ล้านบาท หรือ 45.72% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 30.51 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายมอเตอร์สระและสปา รวมทั้งมอเตอร์ปั๊มน้ำ (Axial-Flux pool Motor) ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าจาก Underwriter’s Laboratories Inc. (UL) โดยเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่ทั่วโลกยอมรับ จึงทำให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น

นอกจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายมอเตอร์ที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะมอเตอร์ AC มีออเดอร์เพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนลูกต่อเดือน จากเดิม 7-8 หมื่นลูกต่อเดือน และมอเตอร์ชนิดพิเศษหรือ BLDC มีออเดอร์อยู่ที่ 100 ลูกต่อวันแล้ว ปัจจุบันยังมีลูกค้าสนใจเข้ามาเจรจา เพื่อให้บริษัทฯ ผลิตมอเตอร์รถจักรยานยนต์จำนวนมาก ซึ่งบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับบริษัท จีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ แบรนด์ GPX ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์อันดับ 3 ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นลูกค้าหลักในตลาดการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV Hub Motor)

นายวสันต์ กล่าวต่อไปว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ คาดว่าการดำเนินธุรกิจจะเติบโตในทิศทางที่ดี เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ประกอบกับมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าในประเทศและต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากยังมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งทำให้ประชาชนไม่ออกไปใช้สระว่ายน้ำนอกบ้าน ดังนั้นจึงยังคงคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 20% จากปีก่อน

ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ ประกาศงบไตรมาส2 โชว์กำไรสุทธิเพิ่ม 58%

ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ หรือ SORKON ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ทำรายได้จากการขาย 692 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ผลักดันให้ผลงานครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 64) มีรายได้จากการขาย 1,347 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังเดินหน้าบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายลดลง ท่ามกลางการเผชิญต่อสถานการณ์โควิด-19 พัฒนาสินค้าใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า และปรับกลยุทธ์ขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านกลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิม และรุกช่องทางออนไลน์มากขึ้น 

นายจรัสภล รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจอาหารพร้อมรับประทาน (RTEQSR) บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์รายใหญ่ของไทย รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาส 2/2564 ทำได้ 692 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 690 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ ข้าวเหนียวหมูฝอย และหมูยอ ‘ยอบิ๊กไบท์’  

ขณะที่รายได้จากการขาย 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ ทำได้ 1,347 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ปรับตัวลดลง ส่งผลกดดันต่อรายได้ธุรกิจอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ อาทิ อาหารพื้นเมืองไทย ขนมขบเคี้ยว และกลุ่มงานร้านอาหาร Quick Service Restaurant (QSR) โดยเฉพาะร้านอาหารที่มีสาขาในห้างสรรพสินค้า อย่างไรก็ตาม ยอดขายกลุ่มอาหารทะเลแปรรูป มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังตลาดส่งออกยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการเปิดให้เช่าพื้นที่ ส. ทาวเวอร์ บางนา ซึ่งได้ใช้พื้นที่ตึกสำนักงานเปิดให้บริษัทภายนอกเข้ามาเช่า โดยได้แต่งตั้งตัวแทนขาย (Sole Agent) ที่มีประสบการณ์และความชำนาญเพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารพื้นที่เช่า ทำให้มีต้นทุนการให้เช่าและบริการเพิ่มเข้ามา 

ในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ ทำกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ได้ 49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 31 ล้านบาท แม้ในปัจจุบัน ยังต้องเผชิญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจก็ตาม ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายลดลง ส่งผลให้การทำกำไรสุทธิดีขึ้น  

ขณะที่กำไรส่วนที่เป็นของบริษัทฯ งวดครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2564) จำนวน 84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทฯ 65 ล้านบาท เนื่องจากได้ปรับประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายและจำหน่าย และมีกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายของสินทรัพย์ชีวภาพ (ฟาร์มสุกร) จากการปรับขึ้นของราคาจำหน่ายสุกร โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้ลงทุนเพิ่มในกิจการฟาร์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ควบคุมการเลี้ยงสุกร เพื่อรองรับการขยายงานในอนาคต 

นายจรัสภล กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า อาทิ กลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน เพิ่มความสะดวกและโอกาสในการรับประทาน รวมทั้งปรับกลยุทธ์เพื่อขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านกลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) และช่องทางออนไลน์ผ่านผู้ให้บริการแอปพลิเคชันชั้นนำ เช่น เว็บไซต์ ECommerce (shop.sorkon.co.th) และขายผ่านแพลตฟอร์ม Online Market Place อย่าง Shopee เพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าถึงสินค้าและโปรโมทกิจกรรมการตลาดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่สาขาร้านอาหารภายใต้แบรนด์ ส.ขอนแก่น เน้นช่องทางเดลิเวอรี่ ผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ อาทิ Grab, LINE MAN, Food panda และ Robinhood เพื่อสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในสถานการณ์ปัจจุบัน และเดินหน้าบริหารจัดการต้นทุนแต่ละสาขาอย่างใกล้ชิด

กองทรัสต์ PROSPECT เซ็นสัญญาผู้เช่าใหม่ ดันอัตราเช่าพื้นที่ไตรมาส 2 เพิ่ม

กองทรัสต์ PROSPECT ชูอัตราเช่าพื้นที่ทรัพย์สินโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ย่านบางนา-ตราด กม.23 ในไตรมาส 2/2564 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 98% หลังเซ็นสัญญาลูกค้าใหม่อีก 10 ราย หนุนผลการดำเนินงานโดดเด่น เตรียมจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินเฉลี่ยคืนทุนในอัตรารวม 0.2870 บาทต่อหน่วย พร้อมศึกษาแผนเข้าซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมภายในปีนี้และวางแผนเพิ่มทุนครั้งที่ 1 ในปีหน้า  รุดประสานงานภาครัฐช่วยเหลือผู้เช่ารับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19

นางสาวอรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ PROSPECT เปิดเผยว่า นับจากจัดตั้งและนำทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (PROSPECT) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา สามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวม 110.79 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 73.29 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 107.95 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 71.73 ล้านบาท เนื่องจากอัตราการเช่าของกองทรัสต์ฯ สูงขึ้น จากโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (BFTZ) ย่านบางนา-ตราด กม.23 ที่มีคุณภาพและความหลากหลาย โดยมีทั้งคลังสินค้าและโรงงานในพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Trade Zone) และพื้นที่ทั่วไป (General Zone) รวมถึงทำเลที่ตั้งที่ดีมีศักยภาพสูง

สำหรับสถานการณ์ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โครงการ BFTZ มีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 98% เทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมาอยู่ที่เกือบ 96% เนื่องจากได้เซ็นสัญญากับผู้เช่าใหม่ 10 ราย คิดเป็นพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 14,000 ตารางเมตร โดยมีทั้งผู้ประกอบการไทย จีน และสหรัฐอเมริกา ที่ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกสอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่กำลังเติบโต ส่วนผู้เช่าเดิมมีอัตราการต่อสัญญามากกว่า 75% และได้ผู้เช่าใหม่มาแทนผู้เช่าเดิมทั้งหมด

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินเฉลี่ยคืนทุนจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ในอัตรารวม 0.2870 บาท จะปิดสมุดทะเบียนเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ที่มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ตอบแทนและเงินเฉลี่ยคืนทุนในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินออกให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 8 กันยายน 2564

“ปัจจุบันโครงการ BFTZ มีพื้นที่ให้เช่าคงเหลือใน General Zone อีกประมาณ 4,000 ตารางเมตร ที่ผ่านมามีผู้ติดต่อแสดงความสนใจเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังทางโครงการจะสามารถรักษาอัตราการเช่าพื้นที่ให้อยู่ในระดับเดิมหรือใกล้เคียง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง” นางสาวอรอนงค์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเพิ่มทุน ทั้งทรัพย์สินจากพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ที่เป็นบริษัทแม่ และทรัพย์สินของผู้พัฒนาโครงการรายอื่นๆ เนื่องจาก PROSPECT เป็นกองทรัสต์ที่จัดตั้งโดยบริษัทแม่ที่เป็นผู้เสนอขายทรัพย์สิน แต่มีนโยบายการลงทุนได้อย่างอิสระ ส่วนการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 รวมถึงทางบริษัทแม่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ BFTZ 2 และ BFTZ 3 มีพื้นที่รวมประมาณ 120,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีการก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงสิ้นปีนี้และปี 2565 ซึ่งหากมีการเสนอขายให้แก่กองทรัสต์ ทาง PROSPECT จะได้รับสิทธิ์พิจารณาก่อน

ผู้จัดการกองทรัสต์ PROSPECT กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 โครงการ BFTZ ได้วางแผนรับมือและให้ความช่วยเหลือผู้เช่า โดยการตรวจคัดกรองผู้ผ่านเข้า-ออกอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งประสานงานกับเทศบาลตำบลบางเสาธง และสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลในกรณีที่ได้รับการร้องขอจากผู้เช่า และประสานงานในการปฏิบัติตามมาตรการ Bubble and Seal ในกรณีที่มีผู้เช่าพบพนักงานติดเชื้อ

นอกจากนี้ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทรัสต์ PROSPECT ได้ประสานงานกับศูนย์พักคอยรอการส่งต่อผู้ป่วยในพื้นที่ ภายใต้การดูแลของสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการและเทศบาลตำบลบางเสาธง และร่วมสนับสนุนงบช่วยเหลือ พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นคนกลางในการอำนวยความสะดวกจัดส่งผู้ป่วยระดับสีเขียว (ที่ไม่แสดงอาการ) ไปพักรักษาตัวยังศูนย์ฯ ดังกล่าว ระหว่างรอการส่งตัวไปที่โรงพยาบาล ตลอดจนประสานงานการจัดหาวัคซีนทางเลือกและการลงทะเบียนฉีดวัคซีนตามสิทธิ์ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้แก่พนักงานของผู้เช่า โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนขอรับวัคซีนแล้วกว่า 50% ส่วนพนักงานของผู้เช่าที่ฉีดวัคซีนและได้รับแจ้งคิวฉีดวัคซีนแล้ว มีสัดส่วนรวมกันประมาณ 15%