MACO เปิดงบไตรมาสแรกปี 2564/65 พลิกกำไร 15.5%

MACO รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2564/65 ประสบความสำเร็จจากการเจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ผลการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 603 ล้านบาท เติบโต 17.9% และพลิกกลับมาบันทึกกำไรสุทธิที่ 94 ล้านบาท

นายพุน ฉง กิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO หนึ่งในผู้นำสื่อโฆษณากลางแจ้งที่มีความหลากหลายทั้งสื่อโฆษณาภาพนิ่งและสื่อดิจิทัลที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “ภาพรวมผลการดำเนินงานของ MACO ท่ามกลางภาวะกดดันทางเศรษฐกิจจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาดโรค COVID-19  ในไตรมาสนี้นับเป็นที่น่าพอใจสามารถสร้างผลงานในการเจรจาเงื่อนไขทางการค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศให้เป็นไปในทิศทางบวกได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้ไตรมาสแรกของปี 2564/65 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานเชิงบวกเมื่อเทียบปีต่อปี แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจโฆษณา 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.3 % YoY  คิดเป็น 33.3 % ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งมาจากรายได้ของธุรกิจโฆษณาในประเทศ 170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.5% YoY ผลมาจากการรับรู้ค่าตอบแทนขั้นต่ำรายไตรมาสจากบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) และรายได้ธุรกิจโฆษณาในต่างประเทศ 30 ล้านบาท ลดลง 35.7 % YoY จากวิกฤต COVID-19  ด้านรายได้จากงานด้านระบบครบวงจรเพิ่มขึ้น 9.5% YoY คิดเป็น 66.7% ของรายได้ทั้งหมดหรือ 402 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของการบริหารโครงการ รวมถึงในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีต้นทุนขายลดลงจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานสื่อโฆษณาของสนามบินในประเทศมาเลเซีย 437 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% YoY ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 27.6% จาก 11.4% YoY และมีรายได้อื่นอยู่ที่ 200 ล้านบาท จากการกลับรายการค่าสัมปทานสนามบินในมาเลเซียจำนวน 188 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ไม่เกิดขึ้นประจำดังกล่าวเป็นผลจากการเจรจากับทางการสนามบินมาเลเซียเพื่อขอลดค่าสัมปทานสำหรับปี 2563/64 ได้ประสบความสำเร็จ

สำหรับทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัท VGI MACO (Singapore) Private Limited และ Trans.Ad Solution Co., Ltd. สามารถเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามเพิ่มเติมได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จากความสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้ MACO สามารถเดินตามกลยุทธ์ได้อย่างเต็มกำลัง  ทั้งในส่วนของธุรกิจโฆษณาและงานด้านระบบครบวงจร ผ่านการดำเนินงานโดย VGI Vietnam Joint Stock Company และ Transad Vietnam Joint Stock Company และนอกจากนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ ได้เติบโตอย่างมีศักยภาพในอุตสาหกรรมโฆษณาของเวียดนามที่นับเป็นเส้นทางสำคัญของการก้าวไปสู่การเป็นผู้นำสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) ในประเทศเวียดนามได้ตามทิศทางที่วางไว้อีกด้วย

แม้ทั่วโลกจะเริ่มได้รับวัคซีนโควิด-19 แต่วิกฤตการแพร่ระบาดยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่แน่นอนไปทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดหลักของเรา อย่างไรก็ตาม MACO ยังคงยืนหยัดในแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ดังเช่นการเจรจาธุรกิจในต่างประเทศที่ได้บรรลุผลสำเร็จดังที่กล่าวไปในข้างต้น นอกจากนี้ข้อตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทฯ กับ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) สำหรับการชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำล่วงหน้าทั้งปีนั้น ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นข้อตกลงที่ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในประเทศของบริษัทฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้

สำหรับความมั่นคงทางการเงิน บริษัทฯ ดำเนินงานภายใต้การบริหารต้นทุนและสร้างสภาพคล่องของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านกระแสเงินสดและเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ให้พร้อมรับมือกับการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ยังคงมีความยืดเยื้อ สุดท้ายนี้เราได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าจากวิกฤตดังกล่าว ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการท่ามกลางภาวะหยุดชะงักของการดำเนินงานในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาบริษัทผ่านพ้นสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปได้ และกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติม

Viu ครองแชมป์ OTT อันดับ 1 ที่มีจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนสูงสุดในอาเซียน

Viu (วิว) ผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านวิดีโอสตรีมมิ่งแบบ OTT (Over-the-top) ยักษ์ใหญ่ระดับภูมิภาคจากกลุ่มบริษัท PCCW Media (พีซีซีดับเบิลยู มีเดีย) ประกาศความสำเร็จอีกขั้น รับปี 2021 โดยมียอดจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้น 49.4 ล้านคน (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2564) หรือเพิ่มสูงขึ้นถึง 37% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีจำนวนสมาชิกแบบชำระเงินโตขึ้น 62% พุ่งแตะ 7 ล้านคน ส่งผลให้รายได้ของ Viu เติบโตสูงขึ้นถึง 47% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกามีการเติบโตสูง แต่ตลาดหลักที่สามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมบันเทิงของ Viu ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ คือประเทศไทย และอินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ และเติบโตเร็วที่สุดของ Viu ด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Freemium ที่มีจุดแข็งด้านการรับชมฟรี ควบคู่ไปกับการสมัครสมาชิก ซึ่งสามารถกระจายรูปแบบการสร้างรายได้ให้ Viu เติบโตได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับการผนึกกำลังกับเครือข่ายพันธมิตรกว่า 80 ราย ในอุตสาหกรรมดิจิทัลระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น บริษัทโทรคมนาคม, ผู้ผลิตอุปกรณ์, ธุรกิจค้าปลีก และอีคอมเมิร์ซ รวมถึงพันธมิตรด้านการกระจายคอนเทนต์ ที่จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขวางขึ้น และช่วยสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยจากรายงานล่าสุดที่จัดทำโดยศูนย์วิจัย AMPD Research ในเครือ Media Partners Asia พบว่า Viu ยังคงครองแชมป์ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง อันดับ 1 ที่มีจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนสูงสุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกัน 7 ไตรมาส* โดยมีจำนวนผู้สมัครสมาชิกแบบชำระเงิน และจำนวนนาทีการเข้าชมสูงเป็นอันดับ 2 ท่ามกลางแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่ในภูมิภาค ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021* เห็นได้ว่าจากรายงานดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของ Viu ที่ได้รับจากผู้ชม เมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี

นางสาวเจนิส ลี กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท PCCW Media Group และประธานกรรมการบริหาร Viu กล่าวว่า เรายังมุ่งมั่นที่จะนำเสนอคอนเทนต์พรีเมียมระดับเอเชีย และมอบประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุดให้กับผู้ชมของ Viu (วิว) โดยจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรกนี้ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการคัดสรรคอนเทนต์อันยอดเยี่ยม และการสนับสนุนจากพันธมิตรรอบด้าน ประกอบกับการวิเคราะห์ฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชม และความต้องการในตลาดแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง ส่งผลให้ Viu มีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภค และความต้องการของตลาดเป็นอย่างดี

*แหล่งที่มา: รายงานล่าสุดที่จัดทำโดยศูนย์วิจัย AMPD Research ในเครือ Media Partners Asia ที่สำรวจจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่ แต่ไม่นับรวม YouTube และ Tiktok โดยสำรวจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

*รายงานไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ครอบคลุมประเทศอินโดนีเซีย, ไทย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2021 ครอบคลุมประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไทย, สิงค์โปร์ และฟิลิปปินส์

และจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยคอนเทนต์คุณภาพเยี่ยม และพันธมิตรที่แข็งแกร่งนั้น ส่งผลให้ในปีนี้ Viu ได้ประกาศเปิดตัว วิว ออริจินัล (Viu Original) หลากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ออริจินัลจากฝั่งเกาหลีอย่าง River Where The Moon Rises และ Doom At Your Service ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และล่าสุด Viu  ได้เปิดตัวซีรีส์เกาหลีที่ทุกคนต่างรอคอย Now, We Are Breaking Up นำแสดงโดย ซองเฮเคียว (Song Hye Kyo) ที่มีผลงานสร้างชื่ออย่าง Descendants of The Sun และ The Encounter ประกบคู่กับนักแสดงหนุ่มมาแรงแห่งปี จางกียง (Jang Ki Yong) ที่โด่งดังจากซีรีส์เรื่อง My Roommate is a Gumiho และ Search:WWW โดยซีรีส์เรื่อง Now, We Are Breaking Up มีกำหนดออกอากาศในเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ Viu  ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนา วิว ออริจินัล (Viu Original) ของประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกได้เปิดตัวคอนเทนต์คุณภาพเรื่อง Black ซีซั่น 2 จากประเทศมาเลเซีย, uBettina Wethu จากแอฟฟริกาใต้ และกำลังจะเปิดตัว Assalamualaikum Calon Imam ซีซั่น 2 จากประเทศอินโดนีเซีย ในเดือนกันยายนนี้

นอกจากนี้ Viu ในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งคอนเทนต์เอเชียระดับพรีเมียม (Premium asia content) ยังคงเสริมความแข็งแกร่งด้วยคอนเทนต์คุณภาพเยี่ยมร่วมกับผู้ผลิตเจ้าใหญ่ทั้งจากประเทศจีน และประเทศไทย อีกทั้งยังขยายตลาดคอนเทนต์ไปสู่เนื้อหาการ์ตูนอนิเมะ นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีแรก Viu ยังขยายขอบเขตโครงการ Viu Pitching Forum ไปยังประเทศมาเลเซีย และประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในระดับท้องถิ่น และผลักดันอุตสาหกรรมบันเทิงของประเทศต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

สามารถดาวน์โหลด Viu ฟรีทาง https://bit.ly/3dyyR49 ได้ทั้ง App Store, Google Play และสมาร์ททีวี หรือคลิกเว็บไซต์ www.viu.com ก็พร้อมฟินเต็มอิ่มความบันเทิงเอเชีย ดูไวก่อนใคร ซับไทยเป๊ะ เพลย์ต่อเนื่องกันได้เลย

MTC แกร่ง! ปรับเพิ่มเป้าสินเชื่อปีนี้โต 30-35%

MTC สัญญาณดี ประกาศปรับเพิ่มเป้าพอร์ตสินเชื่อปีนี้โต 30-35% จากเดิม 20-25% ผลจากความต้องการสินเชื่อคึกคัก จำนวนเปิดสาขาทำได้ตามเป้า รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ฐานลูกค้าใหม่เติบโตได้เป็นอย่างดี ขณะที่เปิดผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 กำไรแตะ 2,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.59% จากงวดเดียวกันปีก่อน ฟากบิ๊กบอส ระบุครึ่งปีหลังแนวโน้มดีต่อเนื่อง เข้าสู่ช่วงฤดูกาลเพาะปลูกมีความต้องการสินเชื่อมากกว่าระดับปกติ เดินหน้าขยายสาขาตามเป้าหมายสิ้นปีครบ 5,500 สาขา พร้อมคุม NPLไม่เกิน 2 % ดันผลงานปีนี้เติบโตเข้าเป้า มั่นใจฝ่าวิกฤติโควิด-19ได้อย่างแน่นอน

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ผู้นำตลาดสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 7,753 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.12% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 7,105 ล้านบาท  และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,644 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.59% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,504 ล้านบาท

ขณะที่ไตรมาส 2/2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 3,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 9.07% มีรายได้รวมเท่ากับ 3,572 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 1,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 0.24% มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,267 ล้านบาท จากปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดสินเชื่อเติบโตมากขึ้น ในช่วงครึ่งปีแรกมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 79,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,656 ล้านบาท หรือ 26.37% จากงวดเดียวกันปีก่อน

ขณะเดียวกันบริษัทมีการเปิดสาขาใหม่ ช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยครึ่งปีแรก มีสาขาใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 400 สาขา ส่งผลให้มีปัจจุบันบริษัทมีสาขารวม 5,284 สาขา กระจายอยู่ทั่วประเทศ

“ภาพรวมครึ่งปีแรกความต้องการสินเชื่อเติบโตได้ดี ทำให้บริษัทฯจึงปรับเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อปีนี้เป็น 30-35% จากเดิมที่อยู่ที่ 20-25% เนื่องจากปัจจุบันความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่สู้ดี ทำให้ลูกค้ามีความจำเป็นต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯได้วางงบลงทุนสำหรับการขยายสาขาไว้ที่ 300 ล้านบาท รองรับแผนเปิดเพิ่มอีก 600 สาขา ซึ่งคาดว่าจะครบ 5,500 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ “

นายชูชาติ กล่าวอีกว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะมีทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากความต้องการสินเชื่อของลูกค้ายังคงอยู่ในระดับสูง หลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลหน้าฝนจึงทำให้ลูกค้าในกลุ่มเกษตรกรมีความต้องการเงินทุนไปใช้ในการเพาะปลูกมีจำนวนมากกว่าช่วงปกติ ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ที่กดดันให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น เพราะภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและได้รับผลกระทบกันเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตามจากดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้บริษัทฯต้องคัดกรองคุณภาพสินเชื่อของลูกค้าด้วยความระมัดระวัง โดยตั้งเป้าหมายการคุมระดับเอ็นพีแอลไม่เกิน 2% และบริษัทฯมั่นใจว่าจะสามารถผ่านสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในรอบนี้ไปได้ ด้วยกลยุทธ์การบริหารงาน โดยเน้นการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

PROEN โตสวนโควิด โชว์รายได้ธุรกิจ ICT ไตรมาส 2 ขยายตัว 44%

PROEN ผู้นำในธุรกิจ Internet Data Center แบบครบวงจร โชว์งบ Q2/64 รายได้ธุรกิจ ICT จากการขาย และให้บริการขยายตัวเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 44% ในส่วนของธุรกิจก่อสร้างงานโทรคมนาคม และโครงสร้างสาธรณูปโภคพื้นฐานลดลง 84% เนื่องจากรับรู้รายได้ตามความสำเร็จของงานโครงการที่อยู่ในมือใกล้เสร็จแล้ว โดยมีสัดส่วนรายได้ จากธุรกิจ ICT  87% และธุรกิจก่อสร้าง 13% จากรายได้รวม  มีกำไรไตรมาส 2/64 จำนวน 11.2 ล้านบาท และกำไรครึ่งปีแรก 20.22 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  สาเหตุที่รายได้ ICT เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก มาจากกระแส New Normal ของกลุ่มลูกค้าธุรกิจบริการออนไลน์    บิ๊กบอส “กิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม”  มั่นใจรายได้ ปี 64 โตเกิน 20% ได้ตามเป้าหมาย จากการสร้างแพลตฟอร์มบริการใหม่ด้าน Cloud Service และให้บริการเทคโนโลยีใหม่ของบริษัทฯ  คาดว่าครึ่งปีหลังธุรกิจก่อสร้างโทรคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค ที่บริษัทได้รับงานจะหนุนรายได้ ปี 64 ให้เติบโตแกร่งขึ้น

นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้นำในธุรกิจ Internet Data Center แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) กลุ่มบริษัทมีรายได้ไตรมาส 2/64 รวม 249.6 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 20% จากธุรกิจก่อสร้างโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานสาธรณูปโภคเนื่องจากบริษทฯรับรู้รายตามสัดส่วน

ความสำเร็จของงานโครงการซึ่งหลายโครงการที่อยู่ในมือใกล้เสร็จแล้ว  สำหรับธุรกิจ ICT ที่มีสัดส่วนรายได้ถึง 87% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นทั้งจากการขายและบริการ จำนวน 68.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคม และให้บริการด้าน ICT เพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่ให้บริการด้าน E-Commerce และ Game Online และบริการ Cloud ใหม่ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000% จากปีก่อน ไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ บริษัทฯมีงานโครงการด้านโทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานสาธรณูปโภค และรายได้จากการบริหารงานโครงการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะหนุนรายได้ปี 64 ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 452.8 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 22.9 ล้านบาท

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลบวกกับบริษัฯ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามกระแส New Normal โดยคนหันมามาใช้ระบบออนไลน์มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้าน (Work from Home) การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ ทำธุรกรรมในรูปแบบ E-Commerce, เกมส์ Online และการชำระเงินผ่านระบบ Online เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีกับธุรกิขของเราในฐานะผู้ให้บริการ Internet Data Center แบบครบวงจร

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตจากงานธุรกิจก่อสร้างงานโครงการด้านโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่บริษัทฯเตรียมเข้าในช่วงตั้งแต่ไตรมาส 3/64 จะผลักดันให้รายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ตามแผนงานที่วางไว้ โดยบริษัทฯอยู่ในช่วงของการขยายการลงทุน เพิ่มพื้นที่ให้บริการศูนย์จัดเก็บศูนย์ข้อมูล (Internet Data Center) ให้ได้อีกไม่น้อยกว่า 3,000 ตารางเมตร ซึ่งจะสามารถเพิ่มการให้บริการลูกค้าได้อีกไม่น้อยกว่า 1,000 ตู้

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาธุรกิจใหม่แพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการบริการ และโซลูชั่นด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์ และยังศึกษาการลงทุนด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อมาเสริมบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปลายปีนี้หรือต้นปี 2565

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PROEN กล่าวอีกว่า บริษัทฯมีความสนใจด้านบล็อคเชนและคริปโตฯ ซึ่งค่อนข้างมีความมั่นใจในตลาดคริปโตฯเป็นอย่างมาก โดยขณะนี้ได้มีการเดินหน้าดำเนินงานไปบางส่วนแล้ว และกำลังศึกษาการทำแพลตฟอร์มของ PROEN  เพื่อให้บริการด้านเทคโนโลยี่ใหม่ ๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯเป็น ผู้ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนา คาดชัดเจนในไตรมาส 3/64

ทั้งนี้ PROEN เป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านระบบอินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ เต็มรูปแบบรายแรก ๆ ในประเทศไทย ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กร (Internet Service), บริการศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Internet Data Center), บริการไอซีที โซลูชั่น (ICT Solutions) และบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจร (Business Telecom) บริการอินเทอร์เน็ต ISP บริการคลาวด์ รวมทั้งรับเหมาก่อสร้างงานโทรคมนาคม และสาธารณูปโภคพื้นฐาน

YGG กำไรไตรมาส2 เติบโตกว่า 798 %

อิ๊กดราซิล กรุ๊ป โชว์ฟอร์มกำไรไตรมาส2/64 เติบโตกว่า 798  %  ชี้ธุรกิจเกมมาแรงคิดเป็น 39.3 %ของรายได้รวม  หลังปล่อยเกม Home Sweet Home Survive กระแสตอบรับดีเกินคาดจากผู้เล่นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาด จีน อเมริกา ส่วนธุรกิจโฆษณาและภาพยนตร์ รวมทั้งงานภาพยนตร์แอนิเมชัน ยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่บอร์ดไฟเขียวปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.155 บาท

นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ YGG เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/64  สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 64  บริษัทมีกำไรสุทธิ 31.04  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 798 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 3.45  ล้านบาท  ขณะที่งวดครึ่งปีแรก(ม.ค-มิ.ย 64) บริษัทมีกำไรสุทธิ 46.73  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 181% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 16.6 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมไตรมาส2/64  จำนวน  84.3 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 49.3 ล้านบาท ทั้งนี้แบ่งเป็นรายได้มาจากงานโฆษณาและภาพยนตร์จำนวน  26.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 23.4 ล้านบาท รายได้จากงานภาพยนตร์แอนิเมชัน จำนวน 24.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 20.5 ล้านบาท  ส่วนงานเกมและอินโนเวชั่นมีรายได้  33.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7%จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 5.4 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 2/64 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานโฆษณาและภาพยนตร์ เท่ากับ 31.3% มีรายได้จากส่วนงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น 29.4 % และมีรายได้จากส่วนงานเกมและอินโนเวชั่น 39.3 %

นายธนัช กล่าวอีกว่า การที่ผลการดำเนินงาน ไตรมาส2/64 มีกำไรสุทธิเติบโตสูง  เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากเกม Home Sweet Home Survive  ซึ่งเพิ่งเปิดตัวให้บริการไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564  และรับรู้รายได้เต็มในไตรมาส 2/64     ส่วนงานโฆษณาและภาพยนตร์รวมทั้งงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น   บริษัทยังได้รับความเชื่อมั่น และรับงานอย่างต่อเนื่องทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ   โดยเฉพาะงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น   ในตลาดโลกตลาดของ streaming ยังเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตตามเป้าหมาย 20%  โดยคาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจเกมมีแนวโน้มที่ดีและมีโอกาสเติบโตสูง  จากการเปิดตัว Home Sweet Home Survive เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา  ได้รับความสนใจจากผู้เล่นทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มผู้เล่น ในประเทศไทย จีน และอเมริกา  ในขณะที่บริษัทยังคงปรับปรุงพัฒนาเกมอย่างต่อเนื่อง  เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้เล่น

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท เมื่อวันที่ 10 ส.ค64 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา หุ้นละ 0.155 บาท เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 27.9 ล้านบาท โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในเดือนก.ย. 64

DOD เดินเกมรุกครึ่งปีหลัง ลุยกัญชงเต็มสูบ

บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) จ่อเดินเกมรุกครึ่งปีหลัง ดัน “สยาม เฮอเบิล เทค” ลุยกัญชงเต็มสูบ เตรียมส่งมอบเมล็ดพันธุ์กัญชงให้พาร์ทเนอร์ (บริษัททีเอชซีจี กรุ๊ป – วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลฯ – วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ)ปลูกปลายส.ค.นี้ เพื่อจำหน่ายให้ DOD นำสารสำคัญมาสกัด Hemp Seed Oil – CBD ขณะที่โรงสกัดแล้วเสร็จพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในต.ค.นี้ ตอกย้ำเป็นผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงผู้นำด้านโรงสกัดรายใหญ่ที่ผลิตสารสกัดจากกัญชงครบวงจร แบบ One Stop Service Solution ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ในระดับต้นๆของประเทศ  ระบุ DOD เปิด LAB ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์วิจัยคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยา“ฟาวิพิราเวียร์” เพื่อนำมาผลิตเป็นยาต้านเชื้อไวรัสในประเทศไทย

นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน)หรือ DOD เปิดเผยถึงทิศทางครึ่งปีหลังว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูงและเปราะบางทำให้บริษัทฯได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเห็นควรว่า ต้องมีการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจเครื่องสำอางและธุรกิจเครือข่าย เพื่อไม่ให้มีผลขาดทุนต่อเนื่องต่อไป

บริษัทฯจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับธุรกิจโรงสกัดซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ ( Core Business) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่มบริษัทได้อย่างมั่นคง ที่ผ่านมาบริษัทฯได้จัดตั้งบริษัทย่อยภายใต้ บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค จำกัด เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านโรงสกัดสำหรับรองรับการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ สารสกัดจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม (ซึ่งถือพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ) และพืชสมุนไพรอื่นๆ รวมถึงเป็นผู้นำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับเครือข่ายผู้ปลูกกัญชง

จากความคืบหน้าล่าสุด บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค ได้ทำสัญญากับกลุ่มเกษตรกร (Contract Farming) รายใหญ่ และกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชน อาทิ บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ รวมถึงวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ ที่ได้รับใบอนุญาตการปลูกกัญชง  จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯคาดว่าจะทยอยส่งมอบเมล็ดพันธุ์กัญชง ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์นำเข้าที่ได้ใบอนุญาตจากสำนักงานอย.ให้กลุ่มพันธมิตรดังกล่าวภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อดำเนินการปลูก โดยบริษัททีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับ จำนวน 1 แสนเมล็ด ไปปลูกเพื่อนำเมล็ดกัญชง มาจำหน่ายให้กับบริษัทฯ เพื่อนำไปสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil)

ในขณะที่วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับทั้งหมด 2.5 หมื่นเมล็ด ไปปลูกเพื่อเอาช่อดอก เพื่อจำหน่ายให้บริษัทฯนำสารสำคัญไปผลิต CBD หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการสกัดสารและผลิตผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าตามออเดอร์ ได้ภายในช่วงไตรมาส 4/2564 หรือ ต้นปี 2565 ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งบริษัทฯเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้เป็นรายแรกของประเทศไทย

สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งโรงสกัดนั้น ล่าสุดได้มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วกว่า 80% พร้อมทั้งได้มีการนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งภายในโรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นบริษัทฯคาดว่าโรงสกัดดังกล่าวจะแล้วเสร็จและสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนตุลาคมนี้อย่างแน่นอน โดยโรงสกัดดังกล่าวถูกก่อสร้างภายใต้การรับรองตามมาตรฐาน PIC/S ซึ่งเป็นมาตรการของโรงงานผลิตยา

หากโรงสกัดแล้วเสร็จและได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานสกัดสาร CBD ในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชงตามแผนที่วางไว้ จะเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำของกลุ่มบริษัท DOD ทั้งด้านการเป็นผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงผู้นำด้านโรงสกัดรายใหญ่ที่ผลิตสารสกัดสำคัญจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม รวมถึงพืชสมุนไพรอื่นๆที่ครบวงจรแบบ One Stop Service Solution ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ในระดับต้นๆของประเทศ

ด้านนางสาวสุวารินทร์ ก้อนทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค  กล่าวเพิ่มเติมว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) บริษัทฯได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนห้อง LAB ปฏิบัติการให้กับทางสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สถาบันการวิจัยและวิชาการชั้นสูงของประเทศไทยเพื่อใช้สำหรับงานวิจัยคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) )เพื่อนำมาผลิตเป็นยาต้านเชื้อไวรัสในประเทศไทยภายใต้การดูแลของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยมีเป้าหมายต้องการเห็นประเทศไทยพ้นจากวิกฤติการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งล่าสุดราชวิทยาลัยจุฬาฯได้มีการส่งวัตถุดิบซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ มาให้ทีมวิจัยและพัฒนา(R&D)ของ DOD ช่วยวิเคราะห์เพื่อร่วมหาสารตั้งต้นดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้บริษัทฯมองว่าการที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทั้งวิเคราะห์วิจัย และสนับสนุนห้อง LAB เพื่อปฏิบัติการครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทฯที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศ

สำหรับสาเหตุที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เข้ามาใช้ห้องปฏิบัติการ (LAB)ของ DOD เนื่องจากเล็งเห็นว่า  LAB ของเราได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 : 2017 รวมถึงยังได้การรับรองมาตรฐาน ISO 22000:2018 (ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร) และ ISO 14001 : 2015 (ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม) รวมถึงมีทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถสนับสนุนงานวิจัยในการคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยาฟาวิพิราเวียร์ ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ได้ตรงตามที่ต้องการ

พร้อมทั้งนี้ ยังได้กล่าวเพิ่มเติม แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรุนแรงจากโรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019 แต่ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ของบริษัทยังคงมีรายได้จากการขาย 247.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9.94 และมีกำไรจากการดำเนินงาน 73.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 32.63 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเห็นควรว่าต้องมีการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่งในธุรกิจเครือข่าย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยลูกหนี้และลูกหนี้อื่น ค่าเผื่อการด้อยค่าสินทรัพย์ทางการเงิน และค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือจึงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกิจการ ทำให้เกิดผลขาดทุนส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน (57.83) ล้านบาท แต่บริษัทเล็งเห็นว่าการปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง

โดยพิจารณาได้จากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก (Core Business) ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 406.04 ล้านบาท เป็น 603.44 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 48.62 และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 118.81 ล้านบาท เป็น 225.14 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 89.50 และมีกำไรที่ไม่รวมของบริษัทย่อยทั้งสองแห่งที่หยุดดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 83.23 ล้านบาท เป็น 175.92 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 111.37 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

SAPPE เปิดไตรมาส 2 เติบโตแข็งแกร่ง กำไรโต 53.3%

บมจ. เซ็ปเป้ หรือ SAPPE ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ทำรายได้รวม 960.5 ล้านบาท เติบโต 31.9% และกำไรสุทธิ 125.2 ล้านบาท เติบโต 53.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมเดินหน้าปรับแผนงานเชิงรุก ทยอยออกผลิตภัณฑ์ใหม่เจาะตลาดรักสุขภาพ สร้างโมเมนตัมในตลาดอาหารและเครื่อมดื่มมากขึ้น พร้อมรับอานิสงส์ตลาดต่างประเทศฟื้นตัว กำลังซื้อเริ่มกลับมา รวมถึงรับผลดีจากค่าเงินบาทอ่อนค่า มั่นใจรายได้ทั้งปีเติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย 

นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 (เมษายนมิถุนายน) ถือเป็นปีที่บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 960.5  ล้านบาท เติบโต 31.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 728.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตแม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยตลาดต่างประเทศกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยอัตราการเติบโต 52.0% จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนจากกำลังซื้อของผู้บริโภคหลังจากประชาชนทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยภูมิภาคที่เติบโตโดดเด่นได้แก่ ตะวันออกกลาง ยุโรป และ อเมริกา ที่ถึงแม้มีอุปสรรค์ด้านค่าระวางการขนส่งสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการเข้าไปบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด 

สำหรับตลาดในประเทศ ไตรมาสนี้ได้มีการลงนาม MOA โครงการส่งเสริมการปลูกพืชกัญชงกับ บจ.ไทย เฮมพ์ เวลเนส เพื่อเตรียมพร้อมรับเทรนด์กัญชงแล้ว SAPPE ยังได้ปรับแผนเชิงรุกเพื่อขยายตลาดในประเทศโดยเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับกระแสรักสุขภาพของผู้บริโภค อาทิ เครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ กรีน รีแล็กซิ่งคาล์มเครื่องดื่มน้ำสมุนไพร ตะขาบห้าตัว Sappe x Takaab, เครื่องดื่มสมุนไพรแบบช็อตรูบี้ เลดี้, กาแฟเพรียว คอฟฟี่ สูตรใหม่ คอลลาเจน ไทพ์ทู, แม็กซ์ทีฟ กาแฟถังเช่าสายพันธุ์ทิเบตผสมวิตามินบีรวม และในกลุ่มขนมขบเคี้ยว เช่น ลูกอมครูเพ็ญศรี โดยร่วมมือกับพันธมิตร Sappe x Workpoint ทำให้มีโมเมนตัมในตลาดอาหารและเครื่อมดื่มมากขึ้น   

ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 125.2 ล้านบาท เติบโต 53.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 81.6 ล้านบาท อันเป็นผลมาจาก ยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรเข้ามาเพิ่มมากขึ้น 

นางสาวปิยจิต กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2564 คาดว่าจะรักษาการเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มการขยายตัวของตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากแบรนด์สินค้า ช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในหลายๆประเทศ สำหรับตลาดในประเทศ บริษัทฯ มีแผนทยอยออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Functional Drink รวมถึงสร้างสีสันให้กับตลาดอาหารและเครื่องดื่มด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อกระตุ้นให้ตลาดกลับมาคึกคักไม่แพ้ช่วงครึ่งปีแรก โดยคาดว่าผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทฯ จะสามารถผลักดันรายได้ให้เติบโตได้ 10-15% ตามเป้าหมาย  

ALT ชี้ไตรมาส 2 ธุรกิจสื่อสารข้ามแดนรุ่งดันกำไรขั้นต้นฟื้น

เอแอลที เผยผลงานไตรมาส 2/64 กำไรขั้นต้น 76 ล้านบาท รับอานิสงค์ธุรกิจโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศเติบโตสูง โชว์มีงานรอรับรู้รายได้ 1,466 ล้านบาท ดี/อีเหลือแค่ 0.55 เท่า วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 64 เป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานทดแทน แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน และร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี

นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 306.83 ล้านบาทลดลง 24.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 404.11 ล้านบาท แต่หากพิจารณารายได้จากการให้บริการโครงข่ายจะเห็นว่ามีอัตราการเติบโตสูง 53.2% จากไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ 52.88 ล้านบาท เป็น 81.01 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้

“แม้รายได้รวมจะลดลง แต่กำไรขั้นต้นของบริษัทเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นมีอัตราการเติบโตถึง 569.8% คือจากขาดทุน 16.18 ล้านบาทใน ไตรมาส 2/63 เป็นกำไร 76.01 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 โดยผลกำไร ส่วนใหญ่เป็นรายการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงข่ายสื่อสารระหว่างประเทศ” นายสมบุญ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินการในไตรมาส 2/64 แม้ว่าจะมีกำไรสุทธิ 0.57 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 42.87 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 แต่หากไม่นับรวมรายการพิเศษในรายได้อื่นที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/63 จะพบว่าผลการดำเนินงานปกติก่อนภาษีดีขึ้น 39.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 110.6% จากขาดทุนก่อนภาษี 35.92 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 เป็นกำไรก่อนภาษี 3.83 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 ขณะที่สิ้นไตรมาส 2/64 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 1,466 ล้านบาท

ฐานะการเงินของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากการลดลงของหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และเจ้าหนี้การค้าจำนวน 293.76 ล้านบาท และ 45.50 ล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 0.75 ณ สิ้นปี 2563 เหลือ 0.55 ณ สิ้นไตรมาส 2/64 โดยมีเงินสดในมือ 169.51 ล้านบาท

นายสมบุญ กล่าวอีกว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2564 จะเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานทดแทน แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มคุณภาพบริการ โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ร่วมทั้งเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี

สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม โครงข่ายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสง บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐานเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์  ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย

ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ผู้คนได้ใช้อินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมาร์ สะท้อนได้จากผลประกอบการของบริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด มียอดรายได้สูงขึ้น โดยได้ตั้งเป้าที่จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Asian Digital Hub มีโครงการลงทุนก่อสร้างสถานีฐานชายฝั่งเพื่อให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายเคเบิ้ลใต้ทะเลจากต่างประเทศ เข้ากับโครงข่ายเคเบิ้ลภาคพื้นดินภายในประเทศของบริษัท ซึ่งสามารถพัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายภาคพื้นน้ำจากทะเลด้านตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน

ในส่วนธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ สืบเนื่องจากงานให้บริการวางระบบและติดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการนำร่องด้านโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของไทยและมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐจะขยายขนาดของโครงการให้ครอบคลุมหัวเมืองสำคัญทั่วทั้งประเทศ จึงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง

ส่วนธุรกิจเมืองอัจฉริยะ บริษัทได้มีการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินเพื่อให้เมืองมีความสวยงามและปลอดภัยโดยบริษัทจะมีการติดตั้งเสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole) ที่สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสังเกตการณ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่และสุขอนามัยของประชาชน ทั้งในเรื่องมลพิษ และฝุ่นละออง การจราจร รวมถึงเป็นจุดชาร์จไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาธุรกิจด้านแพลตฟอร์ม บริษัทยังได้พัฒนาซอฟท์แวร์เพื่ออ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ ใช้สำหรับการเก็บค่าบริการ ในปัจจุบัน ได้มีการนำไปปรับใช้กับการเก็บค่าบริการที่จอดรถ เป็นต้น

ทุนธนชาต (TCAP) คว้ารางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี กลุ่มธุรกิจการเงิน

บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 และผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 เติบโตจากไตรมาสก่อน(QoQ) และไตรมาสเดียวกันปีก่อน(YoY) ล่าสุดยังสามารถคว้ารางวัล บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี ในกลุ่มธุรกิจการเงิน จากวารสารการเงินธนาคารได้อีกด้วย

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ปี 2564 TCAP และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 1,437 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยกำไรสุทธิของบริษัทย่อยที่สำคัญจำนวน 866 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 488 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ มีจำนวน 1,107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มธนชาต ในขณะที่ธุรกิจของบริษัทร่วมทั้งธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) และ บมจ.เอ็ม บี เค (MBK) ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 มีจำนวน 2,185 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากในไตรมาส 1 ปีก่อน TCAP มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นอายิโนะโมะโต๊ะ จำนวนประมาณ 3,000 ล้านบาท”

 “จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง TCAP จึงมีนโยบายในการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง  ด้วยการดำรงเงินสดสภาพคล่องไว้สำหรับการลงทุนในธุรกิจเพิ่มเติมเมื่อมีจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ประกอบด้วยการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมและบริษัทย่อย การจัดตั้งบริษัท ธนชาต พลัส จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจการให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน (Asset-Based Financing) ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า นอกจากนี้ TCAP ยังได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท เอ็ม บี เค ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ที เอ็ม โบรคเกอร์ จำกัด และ บริษัท เอ็ม ที เซอร์วิส 2016 จำกัด จาก MBK   เพื่อปรับโครงสร้างการลงทุนในหุ้นของทั้ง 3 บริษัท ทำให้ TCAP ถือหุ้น 100% และสามารถบริหารจัดการทั้ง 3 บริษัทได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต อีกทั้งที่ผ่านมา TCAP ยังมีการปรับโครงสร้างทางการเงินเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทลูก ซึ่งบริษัทลูกทุกบริษัทต่างยังมีผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดีในครึ่งปีแรกของปีนี้”

นายสมเจตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อองค์กรธุรกิจจำนวนมาก ซึ่ง TCAP ในฐานะที่เป็นบริษัทประกอบธุรกิจการลงทุนก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยการบริหารงานของทีมบริหารที่เป็นมืออาชีพ มากประสบการณ์ ผ่านวิกฤตต่าง ๆ มาแล้วมากมาย ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของ TCAP ยังคงเดินหน้าไปได้ด้วยดี มีฐานะการเงินที่มั่นคง และยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ TCAP ได้รับการคัดเลือกจากวารสารการเงินธนาคาร ให้เป็น  “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2021” ในกลุ่มธุรกิจการเงิน  อีกด้วย

MFC ส่งกองทุน MTOP1 ลงทุนหุ้นไทยเป้าหมาย 5% ภายใน 5 เดือน

ตั้งแต่เริ่มปี 2564 จวบจนเข้าสู่ครึ่งปีหลัง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC จัดทัพกองทุนคุณภาพ ออกกองทุน IPO อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยในครั้งนี้นำเสนอการลงทุนแบบแอคทีฟของกองทุนรวมผสม ที่ลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ จัดตั้งเป็นกองทุนเปิด MFC Thai Opportunity Fund Series 1 (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ ซีรี่ส์ 1) หรือ MTOP1

MFC Thai Opportunity Fund Series 1 (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ ซีรี่ส์ 1) หรือ MTOP1  ลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ และ/หรือ ตราสารทุน อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุน (Efficient portfolio management) จึงมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง เนื่องจากใช้เงินลงทุนในจำนวนที่น้อยกว่า จึงมีกำไร/ขาดทุนสูงกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง ความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 5 กำหนดเป้าหมายมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10.53 บาทต่อหน่วย แต่ไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทน  MTOP1 เป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่กำหนดอายุโครงการ และในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหรือ สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออกจากกองทุนนี้

MTOP1 มีจุดเด่นคือ กองทุนคาดหวังผลตอบแทนเป้าหมาย 5% ใน 5 เดือน เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันที่ 1% ต่อปี โดยสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-100% ตามภาวะตลาด ซึ่งการลงทุนจะพิจารณาจากปัจจัยเร่งที่จะสามารถทำให้กองทุนบรรลุผลตอบแทนเป้าหมายใน 5 เดือน

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เผยว่า ที่ผ่านมาทาง MFC มีกองทุนหลากหลายที่ลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในต่างประเทศซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ในขณะเดียวกันเราเห็นว่า การลงทุนในประเทศไทยก็มีความน่าสนใจไม่น้อยแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่หนักหน่วง แต่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมยังสร้างผลประกอบการได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นการลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ กองทุน MTOP1 จึงเข้าลงทุนในตราสารแห่งทุน ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ตราสารแห่งหนี้ ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงสูง และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือตราสารอนุพันธ์ โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures เป็นต้น โดยมองภาพรวมตลาดมีปัจจัยสนับสนุนให้กองทุนนี้น่าลงทุน 3 ปัจจัย ได้แก่

1) การเร่งผลิตและแจกจ่ายวัคซีนทั่วโลกซึ่งจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และส่งผลให้แต่ละประเทศสามารถเปิดประเทศได้ส่งผลบวกโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทย

2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครั

3) การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลดีต่อภาคการส่งออกไทย

โดยทางผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน เฉพาะตัว ซึ่งแม้การแพร่ระบาดระลอกสามในประเทศจะยังควบคุมไม่ได้ในทันที แต่กำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดีและราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีผลดำเนินงานแข็งแกร่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจ New S-Curve หรือหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก mega trend เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัญชง หลังรัฐบาลไทยได้ปลดล็อกกัญชงให้เอกชนสามารถนำพืชชนิดนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมาก ปัจจัยนี้จะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสียสามารถมีกำไรเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ MTOP1 เปิดขายและให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 16 – 20 สิงหาคม 2564 มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อในแต่ละครั้ง 1,000 บาทกองทุน กองทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และมีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล ผู้สนใจลงทุนสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง หรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนในช่วงเวลา 5 เดือนได้ ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร.0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร.043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324 – 25 หรือที่ www.mfcfund.com