JR โตสนั่น กำไรไตรมาส 2 พุ่ง 258.02% ทำนิวไฮ

บมจ.เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ (JR) รายงานกำไรไตรมาส 2/64 แตะ 69.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 258.02% จากงวดเดียวกันปีก่อน ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ผลจากรับรู้รายได้จากงานในมือที่ตุนไว้ในมือ ฟากซีอีโอ “จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ” ระบุ แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง ยังเติบโตต่อเนื่อง เดินหน้ายื่นประมูลงานใหม่ประเภทวางระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม มูลค่า 400 ล้านบาท จากปัจจุบันมีแบ็กล็อคอยู่ที่ 5,320.8 ลบ. ลุ้นเปิดประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท  เน้นกลยุทธ์คุมต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาการทำกำไรได้ดี มั่นใจผลงานปีนี้โตก้าวกระโดด ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปได้อย่างแน่นอน

นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 69.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 258.02% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 19.43 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 650.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143.82% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 266.74 ล้านบาท

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 124.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315.52 % จากงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 29.93 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,167.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150.50% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 466.03 ล้านบาท

สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทฯมีงานรอรับรู้รายได้ (Backlog) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ที่ 5,320.8 ล้านบาท ทยอยรับรู้ในระยะยาว 3 ปี โดยจะเป็นการรับรู้รายได้จากธุรกิจรับเหมาวางระบบ เช่น งานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยี  ธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงรักษา และธุรกิจการจำหน่ายอุปกรณ์

“ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งโครงการต่างๆ ยังคงเดินหน้าแม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 เมื่อมีการปิดแคมป์คนงานในบางโครงการเกิดขึ้น บริษัทฯยังมีความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนรูปแบบมา เน้นการทำงานในส่วนอื่นๆเพิ่มเติม ขณะเดียวกันบริษัทฯมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ดี และทำธุรกิจด้วยกระแสเงินสด ทำให้ยังสามารถรักษาการเติบโตรายได้และกำไรในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งมั่นใจว่าผลงานในปีนี้จะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ และฝ่าวิกฤติโควิด-19ในรอบนี้ไปได้แน่นอน “

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ที่จะออกมาทั้งงานวางระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสาร โดยคาดว่าจะมีการยื่นประมูลประมาณ 400 ล้านบาท ขณะที่การประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6  พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีการประมูลเกิดขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า ก็จะส่งผลให้ปริมาณงานในมือของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น และสร้างรายได้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัทฯได้มีการขยายงานด้านวิศวกรรมไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อสร้างฐานรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น การเข้าไปในกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยเป็นงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยให้กับโครงการของบริษัทไทยออยล์ ซึ่งบริษัทฯรับงานจากกิจการร่วมค้า Petrofac South East Asia, Saipem Singapore และ Samsung Engineering โดยมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมั่นคงในอนาคต

ช้อปอะไรดี? MBK CENTER AT LAZADA จัดหนักตลอดเดือน ส.ค. นี้

ช้อปออนไลน์ได้ไม่มีวันหยุด ส่งความสุขได้ตลอดทั้งเดือนสิงหาคมที่ MBK CENTER AT LAZADA คลิกที่นี่เลย! ซึ่งศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ขนทัพสินค้าจากร้านค้าชั้นนำภายในศูนย์ฯขึ้นมาไว้บนเว็บไซต์ลาซาด้าให้ได้ช้อปกันจุใจตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมโปรโมชันจุกๆ  อาทิ โมเดลดาบพิฆาตอสูร “สึยูริ คานาโอะ” เอาใจเหล่านักสะสมในราคาเพียง 1,487 บาท ของเล่นคุณหนู ๆ เฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กเพียง 280 บาทเท่านั้น รองเท้าหนังวัวแท้ 100 % สินค้าคุณภาพในราคาเพียง 1,840 บาท กระเป๋าคาดอกหนังแท้ในราคาเพียง 2,482 บาท นาฬิกา Minimal BKK รุ่น Wood series สวมใส่คูลๆ เพียง 390 บาท  ปลั๊กไฟปลั๊กพ่วงสีขาวยาว 2 เมตรให้ชีวิตสะดวกได้ง่ายๆ ในราคาเพียง 399 บาท โลชั่นทาป้องกันยุงขนาด 120 มล.ในราคา 223 บาท ฟินสุดๆ กับ ผลิตภัณฑ์อโรม่า ออยล์ จากร้านรายามณี ในราคา 280 บาท ก้านไม้หอมปรับอากาศ Aroma Diffuser จากร้าน Siwaporn ในราคา 160 บาท Aroma Foot Balm ครีมทาเท้าบำรุงให้เนียนนุ่มในราคา 85 บาท พิเศษสุด ๆ เพียงกดติดตามร้านค้าบน LAZADA รับส่วนลดทันที 30 บาท ถึง 31 สิงหาคม 2564 เท่านั้น สมาชิก MBK Application สามารถนำใบเสร็จการสั่งซื้อมาสะสมคะแนน MBK POINTS ได้อีกด้วย

ห้ามพลาด ช้อปสินค้าคุณภาพในราคาสุดคุ้มได้ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่ MBK CENTER AT LAZADA คลิกที่นี่เลย! และ ช้อปสุดคุ้มกับโปรจุกๆ ไม่ต้องจ่ายเต็ม MBK จ่ายให้ในไลฟ์สดสินค้าที่น่าสนใจมากมายทุกวันพุธที่เพจ MBK LIVE Market พร้อมเตรียมพบกับประสบการณ์ใหม่ที่ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK CENTER) แหล่งรวมความพิเศษเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง รายละเอียดร้านค้าเปิดใหม่ กิจกรรมต่างๆ และโปรโมชั่นที่น่าสนใจของศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK CENTER) ได้ที่ www.mbk-center.co.th และ www.facebook.com/mbkcenterth

เอพี ไทยแลนด์ สร้างนิวเรคคอร์ดครั้งใหม่ โชว์ครึ่งปีแรกกำไรกว่า 2,518 ล้าน

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า “ถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะผันผวนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น แต่บริษัทฯ ก็ยังคงดำเนินธุรกิจและสร้างผลงานได้เกินเป้าหมายที่คาดไว้ โดยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ด้านรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ นับเป็นนิวเรคคอร์ดครั้งใหม่ โดยบริษัทฯ สามารถทำรายได้รวมที่สูงถึง 20,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านๆ มา ด้านกำไรสุทธิมากกว่า 2,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,832 ล้านบาท ด้านสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 0.61 เท่า ซึ่งทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการภายในองค์กร ควบคู่ไปกับการบริหารพอร์ตสินค้า และการบริหารกระแสเงินสดที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพท่ามกลางสภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินการสรรหาที่ดินในทำเลใหม่ๆ เพื่อทดแทนโครงการแนวราบที่จะทยอยปิดตัวลงในปีนี้ เนื่องจากจบการขาย โดยทั้งปีบริษัทฯ ได้จัดเตรียมงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้รวมทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วประมาณ 5,200 ล้านบาท และคงเหลืออีกจำนวน 6,800 ล้านบาท ซึ่งจะใช้จัดสรรซื้อที่ดินสำหรับรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ภายใต้การบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน โดยวันนี้เรามีวงเงินสดพร้อมใช้มากกว่า 14,000 ล้านบาท และการประเมินสถานการณ์รายวันอย่างระมัดระวังสูงสุด

“แผนการดำเนินธุรกิจของเอพี ไทยแลนด์ ยังคงก้าวเดินอย่างต่อเนื่อง ด้วยทีมงานภายในที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์การกระจายสินค้าที่ครอบคลุมกว่า 100 ทำเลทั่วประเทศไทย และที่สำคัญการบริหารจัดการกระแสเงินสด โดยบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 33,729 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้เรายังพร้อมเดินหน้าตามแผนขยายการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยไปยังเซกเมนต์ใหม่ ด้วยการเตรียมเปิดตัวบ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 บ้านเดี่ยวหรู หนึ่งเดียวบนทำเลใจกลางเมือง เริ่ม 35-60 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจัดงาน Pre-Sale ในเดือนกันยายนนี้ และการปรับโฉมแบรนด์ ASPIRE (แอสปาย) เพื่อขยายฐานคอนโดในตลาด mass product มากยิ่งขึ้น ซึ่งพร้อมเปิดตัว ASPIRE รัตนาธิเบศร์-เวสต์ตัน ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท ในเดือนกันยายนนี้”

สำหรับแผนครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมรุกเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบจำนวน 22 โครงการ มูลค่าประมาณ 20,440 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ และ LIFE อโศก ไฮป์ มูลค่าโครงการรวม 12,300 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 64 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายรวม (Net Pre-Sale) ได้มากถึง 20,662 ล้านบาท คิดเป็น 58% จากเป้ายอดขายที่ 35,500 ล้านบาท

ช้อปอะไรดี? สเก็ตเชอร์ส จัดแคมเปญ Mother’s Day ลดสูงสุด 70%

SKECHERS (สเก็ตเชอร์ส) แบรด์กีฬาและไลฟ์สไตล์ชันนำสัญชาติอเมริกัฉลองเทศกาลวันแม่ ส่งแคมเปญ Mother’s Day มอบส่วนลดรองเท้าสูงสุด 70% มอบเป็นของขวัญสุดพิเศษให้กับคุณแม่ โดยรวมรองเท้าสุภาพสตรีและเด็กจากคอลเลคชันสุดฮิต, สนีกเกอร์รุ่นดัง และรองเท้าเพื่อการเคลื่อนไหว เพื่อสอดรับกิจกรรมระหว่างแม่ลูก มาให้ช้อปแบบจุใจ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษกับส่วนลดเพิ่ม 20% เมื่อซื้อสินค้า 2 ชิ้นขึ้นไป ช้อปกันได้ตั้งแต่วันนี้  – 12 สิงหาคม 2564 ทาง https://www.skechers.co.th/collections/mothers-day

สนใขช้อปสินค้า SKECHERS ทาง Shopee คลิกที่นี่เลย! หรือ Lazada คลิกที่นี่เลย!

WHA Group โชว์ไตรมาส 2 กำไร 282 ล้าน โต 54%

บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,873.1 ล้านบาท และ 260.2 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 1,892.5 ล้านบาท และกำไรปกติ 282.4 ล้านบาท ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” มั่นใจผลการดำเนินงาน 4 กลุ่มธุรกิจแข็งแกร่งท่ามกลางโควิด-19 ระลอกใหม่ โลจิสติกส์ผู้เช่าล้น กลุ่มนิคมเติบโตดี รับอานิสงค์ย้ายฐานการผลิตมาไทยและเวียดนาม เร่งขาย/ ขยายต่อเนื่อง ธุรกิจสาธารณูปโภคโดดเด่น ลูกค้าใช้บริการน้ำ-โซลาร์เพิ่มขึ้น ชูดิจิทัลโซลูชันหนุนองค์กร พร้อมขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ไตรมาส 4

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,873.1 ล้านบาท และ 260.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.3% และ 93.2% จากไตรมาส 1/2564 โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,892.5 ล้านบาท และ 282.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% และ 53.6% จากไตรมาสที่แล้ว สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 3,278.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 394.9 ล้านบาท โดยหากพิจารณาผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 3,346.8 ล้านบาท และกำไรปกติ 466.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% และ ลดลง 31.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2563

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจในครึ่งปีแรกว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ เติบโตตามความต้องการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าคุณภาพสูงของธุรกิจ E-Commerce และผู้ประกอบการในกลุ่ม Consumer ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา สำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 279.9 ล้านบาท และ 556.9 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงจำนวนกว่า 56,000 ตารางเมตร สูงกว่าเป้าหมายสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่วางไว้ 50,000 ตารางเมตรสำหรับปีนี้ ซึ่งความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องก็ส่งผลทำให้อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ทของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 90%

นอกจากนั้น บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง แห่งที่ 2 ซึ่งนับเป็นโครงการแห่งที่ 38 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บนพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 50,000 ตารางเมตร โดยมีผู้เช่าหลักเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มโลจิสติกส์เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนากระบวนการทำงาน และการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนในบริษัทและธุรกิจ Startups กลุ่มโลจิสติกส์หลายราย โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทราบผลของการเจรจาภายในสิ้นปีนี้

สำหรับแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ ในปี 2564 ล่าสุดผู้ถือหน่วยทรัสต์ได้มีมติอนุมัติให้ทำการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักครั้งที่ 7 จำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,549.7 ล้านบาท ทรัพย์สินประกอบด้วยโครงการ WHA Mega Logistics Center (วังน้อย 62) โครงการ WHA Mega Logistics Center (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) และ โครงการ WHA E-Commerce Park อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คิดเป็นพื้นที่รวม 184,329 ตารางเมตร โดยสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ของบริษัททั้งหมดและคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2564 ตามแผนงานที่วางไว้ รวมถึง บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) และสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Asset-backed Token) เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ อีกด้วย

นอกจากนั้นเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัว “WHA Office Solutions” พื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับเวิร์ลคลาส บน 6 ทำเลที่มีศักยภาพสูงในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ รวมพื้นที่สำนักงานให้เช่ากว่า 100,000 ตร.ม. ได้แก่ โครงการ WHA Tower, โครงการ SJ Infinite I, อาคารสำนักงาน @Premium, โครงการ WHA Bangna Business Complex, ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม TusPark WHA และโครงการ WHA KW S25 ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม  6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 274 ไร่ (ไทย 241 ไร่/ เวียดนาม 33 ไร่) และยอดเซ็นต์ MOU รวม 83 ไร่ (เวียดนาม) โดยบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีแรกรวม 691.8 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรายได้ในไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 154.1 ล้านบาทแล้วรายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในไตรมาส 2 ของบริษัทฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 537.7 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะการลงทุนและการส่งออกของประเทศไทยในไตรมาสที่ผ่านมาที่เริ่มกลับมาส่งสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่น ยุโรป จีนและไต้หวัน รวมถึงนักลงทุนอินเดียที่แสดงความสนใจย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น ภายหลังจากประเทศอินเดียต้องประสบกับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนักในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินทั้งสิ้น 33 ไร่ และยอด MOU 83 ไร่ เนื่องจากเขตนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 เหงะอานของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงเร่งสานต่องานก่อสร้างในพื้นที่เฟส 1B ส่วนที่เหลือจำนวน 2,100 ไร่ พร้อมขยายการก่อสร้างในเฟส 2 และเฟส 3 คิดเป็นพื้นที่เพิ่มเติมอีก 4,700 ไร่ รวมถึงการดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตและการอนุมัติโครงการเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่งในจังหวัดถั่งหัว (Thanh Hoa) บนพื้นที่รวมกว่า 7,500 ไร่ ที่ยังคงดำเนินไปตามแผน โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเริ่มเข้าไปพัฒนาพื้นที่ในเขตอุตสาหกรรม WHA Northern Industrial Zone และ WHA Smart Technology Industrial Zone ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มเปิดให้บริการพื้นที่แก่นักลงทุนที่สนใจภายในปีหน้า ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์การผลิตและการกระจายวัคซีนของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด ซึ่งในช่วงผ่านมาบริษัทฯ ก็ยังคงได้รับการติดต่อจากนักลงทุนที่แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจจำนวนมากกว่า 30 ราย คิดเป็นพื้นที่ขายรวมกว่า 2,000 ไร่ทั้งไทยและเวียดนาม ซึ่งหากการดำเนินการด้านวัคซีนของประเทศต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านการค้าและการลงทุนของภูมิภาคต่อไป

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ หรือ Smart ECO Industrial Estate ที่มีความทันสมัยทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต ขนส่ง สื่อสาร ฯลฯ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้บริการ Digital Healthcare อย่างครบวงจรแก่ผู้ประกอบการ พนักงาน/ แรงงาน และผู้อยู่อาศัยทั้งภายในและบริเวณโดยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ร่วมสนับสนุน บริษัท เพอเซ็ปทรา (Perceptra) สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสนามในการวินิจฉัยและตรวจรักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย

นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมส่วนกลาง (Unified Control Center, “UOC”) ณ อาคาร WHA Tower สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทฯ พร้อมเปิดดำเนินการแบบเต็มรูปแบบแล้ว โดยศูนย์ UOC ดังกล่าวสามารถนำเสนอข้อมูล และติดตามผลการทำงาน รวมถึงได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในการปฏิบัติงานประจำวันหรือในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยระบบดังกล่าวจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้รับผิดชอบที่ศูนย์ UOC รวมถึงแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคว่า ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในไตรมาสที่ผ่านมามีความโดดเด่น โดยบริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 รวมเท่ากับ 35.2 ลูกบาศก์เมตร และ 67.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 595.8 และ 1,182.1 ล้านบาท ตามลำดับ

ปริมาณยอดขายน้ำในประเทศมีการเติบโตดีขึ้นสำหรับทุกประเภทผลิตภัณฑ์ โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวนเท่ากับ 29.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 56.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 27.3% และ 16.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมในทุกอุตสาหกรรม และกลุ่มลูกค้าใหม่ในกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ GC Oxirane ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงปลายปีและมีปริมาณการใช้น้ำประมาณ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือลูกค้าโรงไฟฟ้า อาทิ Gulf SRC ที่ขยายกำลังการผลิตทำให้มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 12,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมถึงยังสะท้อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) ที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย

ทั้งนี้ปริมาณจำหน่ายน้ำในประเทศเวียดนามในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวนเท่ากับ 5.8 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 10.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 28.9% และ 25.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัท ดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant) หนึ่งในผู้ให้บริการน้ำประปาชั้นนำของเมืองฮานอย ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 34% ก็ได้รับอานิสงค์จากการขยายตัวของเขตอุตสาหกรรมทั้งในบริเวณจังหวัดฮานอย และจังหวัดใกล้เคียงอย่าง จังหวัดบั๊กนิญ (Bac Ninh) และจังหวัดฮึงเอียน (Hung Yen) ซึ่งบริษัท ดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ ได้ขยายท่อประปาไปยังจังหวัดบั๊กนิญ (Bac Ninh) ในปี 2563 และจะขยายไปยังจังหวัดฮึงเอียน (Hung Yen) เพื่อให้บริการน้ำประปาแก่ลูกค้าทั้งสามจังหวัด

ปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น น้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) และการนำน้ำเสียมาใช้ใหม่ (Wastewater Reclamation) ที่ได้รับการพัฒนาตามแนวคิดของ Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของทรัพยากรที่สามารถหมุนเวียนอยู่ในกระบวนการผลิตและบริโภคผ่านการนำมาผลิตใหม่หรือนำมาใช้ซ้ำจนเกิดเป็นนวัตกรรมบนห่วงโซ่คุณค่าที่นอกจากจะช่วยตอบโจทย์ของบริษัทฯ ทั้งด้านการสร้างรายได้จากการให้บริการบำบัดน้ำเสียและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำคุณภาพพรีเมียมแล้ว นวัตกรรมดังกล่าวยังสร้างความยั่งยืนด้านการบริหารจัดการแหล่งน้ำวัตถุดิบ ช่วยลดการพึ่งพาผู้จัดจำหน่ายน้ำดิบรายใหญ่ รวมถึงบรรเทาความไม่แน่นอนและผลกระทบทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของแหล่งน้ำต้นทางเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง มลภาวะ การปนเปื้อน ฯลฯ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของผู้ให้บริการด้านสาธารณูปโภค

ในส่วนของ ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 271.5 ล้านบาท และ 437.1 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก กลุ่มธุรกิจ IPP ได้รับผลกระทบจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทางบัญชีจากโรงไฟฟ้า Gheco-One เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนในช่วงไตรมาส 1 จำนวน 37 วัน และมีการปิดซ่อมบำรุงนอกแผนงานในไตรมาส 2 จำนวน 20 วัน ทำให้ได้รับค่าความพร้อมจ่ายลดลง อย่างไรก็ตาม ภายหลังการซ่อมบำรุงแล้วเสร็จและกลับมาดำเนินการตามปกติ ค่าความพร้อมจ่ายที่ลดลงบางส่วนจะได้รับการชดเชยในช่วงครึ่งหลังของปีและทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Gheco-One ฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะที่โรงไฟฟ้าอื่นๆ อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 โรง ยังมีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง

สำหรับไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ เซ็นสัญญาโครงการโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเติมอีก 1 สัญญา จำนวน 1.8 เมกะวัตต์ รวมเป็นจำนวนเซ็นสัญญาสะสมทั้งสิ้น 63 เมกะวัตต์ และเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าเพิ่มเติมอีกราว 2.5 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตโครงการโซลาร์ที่เปิดดำเนินเชิงพาณิชย์แล้วทั้งหมด 46 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์รวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 596 เมกะวัตต์ รวมถึงบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมลงนามสัญญากับผู้ผลิตรายใหญ่ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นสัญญาเพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาขนาดประมาณ 20 เมกะวัตต์ และนับเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่บริษัทฯ เคยดำเนินการมา

ทั้งนี้บริษัทฯ เป็นผู้นำการให้บริการครบวงจรในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Private PPA โดยมีผลิตภัณฑ์นำเสนอแก่ผู้ประกอบการครบทุกรูปแบบ อาทิ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งแบบติดตั้งบนหลังคาโรงงาน (Solar Rooftop) บนหลังคาที่จอดรถ (Solar Carpark) แบบลอยน้ำ (Floating Solar) และบนพื้นดิน (Solar Farm) โดยบริษัทฯ มีแผนการขยายธุรกิจโดยการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจำหน่ายทั้งภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม อาคารศูนย์กระจายสินค้า/ คลังสินค้า รวมถึงการใช้พื้นที่ของลูกค้าที่อยู่ทั้งในและนอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ พร้อมๆ กับการศึกษาโอกาสการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ (Solar Farm) และพลังงานลม (Wind Farm) ในประเทศเวียดนามอีกด้วย

ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม บริษัทฯ มุ่งให้การสนับสนุนกลุ่มลูกค้าและนักลงทุนที่ต้องการนำเทคโนโลยี 5G เข้ามาพัฒนาธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยแผนการลงทุน 5G Tower ร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำเพื่อวางแผนการติดตั้งเครือข่ายเพื่อกระจายสัญญาณ 5G และทดสอบการใช้งานจริงควบคู่ไปกับการเร่งดำเนินการติดตั้งโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) ภายในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการเข้าถึงระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพ และส่งผลทำให้มีผู้ประกอบการและนักลงทุนแสดงความสนใจเข้าลงทุนในศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) ของบริษัทฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจหลายรายโดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นภายในปีนี้

สืบเนื่องจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัส ในจังหวัดสมุทรปราการมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลทำให้โรงพยาบาลที่ดำเนินการอยู่ทั้ง 2 แห่ง ไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ป่วย บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) จึงสนับสนุนพื้นที่ให้ทางจังหวัดสมุทรปราการใช้อาคารคลังสินค้า พื้นที่ใช้สอยประมาณ 10,000 ตารางเมตร ภายในโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร กม. 4 เป็นพื้นที่จัดตั้งโรงพยาบาล (Field Hospital) ขนาด 1,300 เตียง ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2564 โดยมีโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 (WHA) เป็นสถานพยาบาลหลักสำหรับการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด

สศท. ชวนลุ้น 5 ทีมสุดท้ายกับ SACICT WAR CRAFT สงครามทำมือ ในวันศุกร์นี้ (14 ส.ค.)

สศท. หรือ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือชื่อเดิมคือ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) (ศ.ศ.ป.) ชวนผู้ที่สนใจร่วมลุ้น 5 ทีมสุดท้ายที่ได้ไปต่อในรายการ “SACICT WAR CRAFT สงครามทำมือ” 14 สิงหาคมนี้ ทางอมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34

นายพรพล เอกอรรถพร รักษาการผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย เปิดเผยว่า รายการ SACICT WAR CRAFT สงครามทำมือ เปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะส่งเสริมและให้ความสำคัญต่อการสืบสานงานหัตถกรรมไทย โดยใช้การมีส่วนร่วมของนิสิต นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ เพื่อนำมุมมองใหม่ๆ เข้ามาพัฒนางานศิลปหัตถกรรมไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้การแข่งขันย่อมมีการแพ้ – ชนะ เราจึงอยากชวนคนไทยที่มีใจรักในงานฝีมือ การออกแบบ และชื่นชอบในนวัตกรรมใหม่ๆ ร่วมลุ้นและให้กำลังใจน้องๆ ที่เข้าแข่งขัน ว่าทีมไหนจะเป็น 5 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบไปนำเสนอผลงานกับเมนเทอร์ทั้ง 3 ท่าน อย่าง หมู ASAVA – พลพัฒน์ อัศวะประภา, นุ้ย – สุจิรา อรุณพิพัฒน์ และกรกต อารมย์ดี

สศท. มุ่งมั่นในการพัฒนาผู้สร้างสรรค์งานหัตถกรรมไทย ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และพัฒนาด้านการตลาดอย่างบูรณาการ เพื่อจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจในคุณค่าความเป็นไทย ทำให้คนไทยและประชาชนทั่วโลกได้สัมผัสและซาบซึ้งในคุณค่าความเป็นไทยนี้ ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ และต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลักดันให้ไปถึงจุดที่นานาชาติยอมรับและสร้างตลาดในต่างประเทศได้

ติดตามชมรายการ “SACICT WAR CRAFT สงครามทำมือ” ได้ทุกวันเสาร์ เวลา 16.30 – 17.00 น. ทางอมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34 หรือติดตามและรับชมย้อนหลังได้ทาง www.sacict.or.th หรือ Facebook: www.facebook.com/sacict และ YouTube: JSLGlobalMedia

WHAUP กำไรไตรมาส2 โต 44% ดันกำไรครึ่งปีแรกแตะ 454 ล้าน

บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 789 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานปกติ 265 ล้านบาท  ส่งผลให้ครึ่งปีแรกของปี 2564  บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,571 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานปกติ 454 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภค-ไฟฟ้าทั้งในไทย-เวียดนามเติบโตแข็งแกร่ง ด้าน CEO “นิพนธ์ บุญเดชานันทน์” แย้มครึ่งปีหลังเดินหน้าสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจสาธารณูปโภค-พลังงานทั้งในในไทยและเวียดนามเพิ่มต่อเนื่อง เร่งปูทางสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP  รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ และกำไรจากการดำเนินงานปกติ ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่สะท้อนผลการดำเนินงานจำนวน 789 ล้านบาท และ 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และ 44% จากไตรมาส 2 ปี 2563 ในขณะที่มีกำไรสุทธิจำนวน 246 ล้านบาท ลดลง 23% จากไตรมาส 2 ปี 2563 เนื่องจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ และกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 1,571 ล้านบาท และ 454 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และ 12% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 ในขณะที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนการเติบโตของปริมาณยอดขายและบริหารจัดการน้ำ และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์

ดร.นิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ หรือ WHAUP เปิดเผยถึงการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 ปี 2564 ว่า สาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจสาธารณูปโภค โดยบริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมกันเท่ากับ 35 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 28% จาก    ไตรมาส 2 ปี 2563 และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 1 ปี 2564  สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2564 ปริมาณการจำหน่ายน้ำและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เท่ากับ 67 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีการขยายกำลังการผลิต และลูกค้ารายใหม่เริ่มทยอยเปิดดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GSRC ของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ขนาด 2,650 เมกะวัตต์ ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในส่วนของหน่วยผลิตที่ 1 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา อีกทั้งในไตรมาสที่ 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ ไม่ได้ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งเหมือนกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังรับรู้รายได้จากการนำน้ำเสียที่ได้จากกระบวนการบำบัด และใช้ใหม่(Wastewater Reclamation) ไปผลิตเป็นน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) และน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) ดังกล่าวในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 จำนวน 1 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 139% และ 170% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2563

ในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคในต่างประเทศก็มีการเติบโตเช่นเดียวกัน เนื่องจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดจำหน่ายน้ำในโครงการดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant: SDWTP) ที่ประเทศเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2564 เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564  ในขณะที่ยอดจำหน่ายน้ำ 6 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้านั้น ในไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 62% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีปัจจัยหลักมาจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 แห่งที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ก็มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากการที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน Gheco-One ได้กลับมาดำเนินงานหลังจากที่ได้หยุดซ่อมบำรุงตามแผนเป็นเวลา 37 วันในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าของ 6 เดือนแรกของปี 2564 จำนวน 445 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 โดยมีสาเหตุหลักจากการหยุดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้า Gheco-One แม้ว่ากลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 แห่ง มีส่วนแบ่งกำไรปกติเพิ่มขึ้น 43% จากยอดจำหน่ายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนการดำเนินการโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) นั้น ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยในไตรมาส 2 ปี 2564 มีรายได้ 53 ล้านบาท จากโครงการ Solar Rooftop ที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 46 เมกะวัตต์  โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ Solar Rooftop รวมแล้วทั้งสิ้น 62 เมกะวัตต์ จากเป้าปี 2564 ที่วางไว้ 90 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าในปี 2566 จะขยายธุรกิจ Solar Rooftop ได้ครบ 300 เมกะวัตต์ตามแผนที่วางไว้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHAUP  ยังได้กล่าวถึงความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2564 มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ว่าการเสนอขายหุ้นกู้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เป็นอย่างดี แม้ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยหุ้นกู้ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ชุด อายุ 2-5 ปี และมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.91-2.75 ต่อปี ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางการเงิน ตลอดจนศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจสาธารณูปโภค และธุรกิจพลังงานอย่างครบวงจร

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHAUP  ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ว่าในปัจจุบันจะมีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและไฟฟ้าให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง  และคาดว่าภาพรวมในครึ่งปีหลังจะมีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยหนุนจากทั้งธุรกิจสาธารณูปโภคที่มีแนวโน้มความต้องการใช้น้ำจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้า GSRC เพิ่มเติมในหน่วยผลิตที่ 2 ในไตรมาส 4 ในขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าก็ยังได้รับแรงหนุนจากทั้งธรุกิจ IPP และ SPP ที่คาดว่าจะดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนดังเช่นในครึ่งปีแรก รวมถึงธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จะยังคงมีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นกำลังการผลิตไฟฟ้า

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P Energy Trading โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain รวมถึงการนำระบบกักเก็บพลังงาน Battery Energy Storage System (BESS) มาใช้ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้นรวมทั้งยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A opportunity) ต่างๆ เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโต

ดังนั้นจากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าว เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นทั้งด้านพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภครูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง  เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค

“เอ็นไอเอ” เปิดตัว 10 สตาร์ทอัพสายอวกาศ รุกสานต่อโนว์ฮาว – โมเดลธุรกิจ

เทคโนโลยีอวกาศ จากโครงการ Space Economy: Lifting Off 2021 ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนและส่งเสริมให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการทำเทคโนโลยี ระบบ หรือบริการด้านกิจการอวกาศสามารถต่อยอดสู่ธุรกิจจริง และสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจอวกาศโลกที่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยเตรียมผลักดันสตาร์ทอัพทั้ง 10 ราย ผ่านแนวทางการส่งเสริมอย่างหลากหลาย อาทิ การสนับสนุนงานด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้บริษัทสตาร์ทอัพสามารถนำงานวิจัยไปต่อยอดในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ การเตรียมพร้อมรองรับเศรษฐกิจอวกาศด้วยการพัฒนาให้สตาร์ทอัพสามารถผลิตดาวเทียมได้เองและสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอวกาศ เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า NIA มีนโยบายในการสนับสนุนและส่งเสริมสตาร์ทอัพที่สนใจทำธุรกิจนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจการอวกาศ หรือ Spacetech ผ่านโครงการ Space Economy: Lifting Off 2021 เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับเศรษฐกิจอวกาศซึ่งปัจจุบันมูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ และในอนาคตอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าสูงขึ้นจากปัจจุบันกว่า 1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์หรือประมาณ 33 ล้านล้านบาท (ที่มา: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA) โดยโครงการดังกล่าวเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทย และพัฒนาบุคลากรของประเทศให้เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศ รวมถึงผลักดันให้เกิดการนำประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศไปพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ NIA ยังเห็นว่าเศรษฐกิจอวกาศจะกลายเป็นอีกหนึ่งกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นเครื่องยนต์ในการกระตุ้น GDP ของไทยให้สูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นเพื่อให้เกิดการการส่งเสริมอย่างเป็นรูปธรรม NIA จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้เชี่ยวชาญ ในการส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจอวกาศผ่านกลไกต่าง ๆ ดังนี้

  • สนับสนุนงานด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้สตาร์ทอัพสามารถนำไปต่อยอดในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ
  • ส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการใช้โครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศ เช่น สถานีภาคพื้นดิน
  • เตรียมพร้อมรองรับการส่งจรวดและดาวเทียมด้วยการพัฒนาให้สตาร์ทอัพสามารถผลิตดาวเทียมได้เองเพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ
  • สนับสนุนการใช้งานด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบนำทาง โทรศัพท์สัญญาณดาวเทียม และบริการด้านอุตุนิยมวิทยา
  • การสร้างองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์จากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอวกาศให้แก่สตาร์ทอัพของไทยที่สนใจเปลี่ยนมาทำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีอวกาศ

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินโครงการ Space Economy: Lifting Off 2021 ได้คัดเลือกสตาร์ทอัพ 10 ทีมซึ่งล้วนแต่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพที่จะต่อยอดไปสู่การสร้างมูลค่าเศรษฐกิจอวกาศในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย “Space Composites” ผู้พัฒนาเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ชั้นสูงที่ใช้ออกแบบและผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เพื่อการสำรวจอวกาศ “iEMTEK” สายอากาศและอุปกรณ์เชื่อมต่อสั่งงานสำหรับระบบสื่อสารบนดาวเทียมขนาดเล็ก NBSPACE” ดาวเทียมขนาดเล็กเพื่อการศึกษาสภาพทางอวกาศ “Irissar” เรดาร์ อุปกรณ์ และระบบที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ Halogen” บอลลูนเพื่อสำรวจชั้นบรรยากาศ Plus IT Solution” ระบบวิเคราะห์พื้นที่จากภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ และการใช้ประโยชน์อื่น ๆ Krypton” นวัตกรรมโปรเจกต์คริปโตไนท์ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการดาวเทียมในรูปแบบใหม่ “Spacedox” ระบบวิเคราะห์และแจ้งคุณภาพอากาศโดยใช้บอลลูนลอยสูงผ่านเครือข่าย Lora และข้อมูลการตรวจวัดจากดาวเทียมEmone” เทคโนโลยีควบคุมความเร็วการโคจรวัตถุในอวกาศเพื่อลดปริมาณขยะจากอวกาศ และ “Tripler Adhesive” สูตรกาวและสารยึดเกาะเพื่อใช้สำหรับอุปกรณ์หรือเครื่องมือทางอวกาศ

สตาร์ทอัพทั้ง 10 ทีมได้รับการอบรมบ่มเพาะจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมด้านอวกาศ เพื่อให้แต่ละทีมสามารถพัฒนาโครงการของตน และตอบโจทย์ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมอวกาศได้อย่างตรงจุด รวมทั้งสามารถสร้างโมเดลธุรกิจที่เป็นรูปธรรมและต่อยอดได้จริงผ่านการทำงานกับหน่วยงานพันธมิตรที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรมอวกาศในรูปแบบ co-creation โดยตั้งเป้าหมายว่าปลายปีนี้จะช่วยให้สตาร์ทอัพเกิดความเข้าใจในธุรกิจด้านเศรษฐกิจอวกาศ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตรงตามความต้องการของตลาด รวมถึงนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าเศรษฐกิจอวกาศของโลกในอนาคต

ด้าน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่า โครงการ Space Economy: Lifting Off 2021 เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ดำเนินการร่วมกับ Thai Space Consortium เพื่อผลักดันเศรษฐกิจอวกาศให้เกิดขึ้น ด้วยการพัฒนาผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีอวกาศให้มีบทบาทและสามารถเติบโตได้ในอุตสาหกรรมอวกาศ โดยได้ดำเนินโครงการมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ซึ่ง NIA ได้เฟ้นหาบริษัทสตาร์ทอัพที่มีความสนใจหรืออยู่ในธุรกิจอวกาศของประเทศไทย เพื่อเข้ามาร่วมโครงการบ่มเพาะและพัฒนาในรูปแบบของการร่วมรังสรรค์ (co-creation) เพื่อปูทางไปสู่การสร้างเศรษฐกิจอวกาศให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยบริษัทสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมอวกาศ จำนวนทั้งสิ้น 10 ทีม ซึ่งมีทั้งสตาร์ทอัพที่อยู่ในอุตสาหกรรมอวกาศอยู่แล้ว และที่มีเทคโนโลยีเชิงลึก และพร้อมที่จะต่อยอดธุรกิจในอุตสาหกรรมอวกาศ อย่างไรก็ตามการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ NIA และหน่วยร่วมเห็นว่าบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และที่สำคัญสร้างสรรค์โดยคนไทย โดยบริษัทเหล่านี้มีโอกาสจะเติบโตในอุตสาหกรรมอวกาศได้ชัดเจน และสามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศ รวมถึงการเติบโตและพัฒนาไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ในอนาคต สำหรับผู้ชนะการนำเสนอ (pitching) ได้รับ รางวัล The Best Startup in Space Economy: Lifting Off 2021 (ตัดสินจากคณะกรรมการ) ซึ่งมีถึง 3 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1 คือ ทีม NBSPACE อันดับ 2 คือ ทีม Irissar และอันดับ 3 คือ ทีม Plus IT Solution และ รางวัล The Popular Startup in Space Economy: Lifting Off 2021 (ตัดสินจากผลโหวตของผู้เข้าร่วมงาน) ได้แก่ ทีม Halogen แต่หลังจากนี้ สตาร์ทอัพที่ร่วมโครงการจะยังคงได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรต่อไปทั้งในรูปแบบของพันธมิตร ลูกค้า รวมถึงการต่อยอดธุรกิจในภาคเศรษฐกิจอวกาศต่อไป

ต้อนรับบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ช้อปออนไลน์ได้ที่ ICONSIAM Ultimate Chat & Shop

ICONACTIVE (ไอคอนแอคทีฟ) มัลติสปอร์ตแบรนด์บนชั้น 3 ไอคอนสยาม ต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษฤดูกาล 2021/22 ในเดือนนี้ พร้อมเอาใจแฟนบอลชาวไทยสาวกทีมหงส์แดงลิเวอร์พูล ด้วยเสื้อแข่งใหม่ล่าสุด Nike Liverpool FC Away 2021/22 Jersey (เกรด Player) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเสื้อแข่งในสมัยปี 1966 – 1967 สีหินออฟไวท์ (Off-white Stone) ของสถาปัตยกรรมในเมืองลิเวอร์พูล เมืองที่สรรค์สร้างจากความแข็งแกร่งของหิน ประกอบไปด้วยตึกที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอยู่ 3 แห่ง ซึ่งเรียกว่า ‘The Three Graces’ อันเป็นเครื่องหมายของความงดงามในแบบท้องถิ่น ความสำคัญของวัฒนธรรม และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรลิเวอร์พูลอีกด้วย โดยไนกี้เลือกนำผ้าสีหินออฟไวท์มาเพิ่มลูกเล่นโดดเด่นด้วยสีเขียวเข้มของแถบเส้นด้านข้างลำตัวและขอบแขนเสื้อ ส่วนปกคอใช้สีเขียวตัดด้วยแถบลายสีขาวสลับส้ม โลโก้ต่างๆ เป็นแบบสกรีน สวมใส่สบายด้วยผ้าโพลีเอสเตอร์ที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล 100% ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Dri-Fit ADV ให้ความยืดหยุ่นสูง รองรับการเคลื่อนไหวอย่างอิสระของนักเตะ มีรูระบายอากาศช่วยลดกลิ่นอับได้ดี

พิเศษ! เฉพาะลูกค้าไอคอนสยาม สั่งซื้อเสื้อฤดูกาลใหม่ของหงส์แดงได้ในราคาสุดพิเศษเพียง 4,200 บาท (จากปกติ 4,600 บาท) ผ่านบริการช้อปออนไลน์ ICONSIAM Ultimate Chat & Shop และใช้โค้ด ICONSFH40 รับส่วนลด 400 บาท ได้แล้ววันนี้ทาง https://shopping.one-viz.com/search?keyword=NIKE%20LFC ด่วนสินค้ามีจำนวนจำกัด The Kop ตัวจริง ห้ามพลาด!! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่LINE Official Acccount @ICONSIAM หรือโทร. 1338

บมจ. โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KISS โชว์ผลงานไตรมาส 2/64 ทำรายได้จากการขายและบริการ 206.8 ล้านบาท เติบโต 2.3% ชูศักยภาพนวัตกรรมแข็งแกร่งตอบโจทย์ผู้บริโภค ดันยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทำสัดส่วนรายได้ 85% นำโดยแบรนด์หลัก Rojukiss เติบโต 22.8% ส่วนเครื่องสำอาง Sis2Sis เติบโต 25.4% สวนกระแสการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ด้านบอร์ดอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.055  บาทต่อหุ้น มั่นใจไตรมาส 4 ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพค่อยๆ ฟื้นตัว เตรียมความพร้อมผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตตามแผน

นางวรวรรณ ไชยกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS ผู้พัฒนานวัตกรรมและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพภายใต้แบรนด์ Rojukiss, Best Korea, และ Sis2Sisเปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน – มิถุนายน) แม้ว่าตลาดจะต้องเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่ด้วยจุดแข็งของ KISS ที่มีแบรนด์พอร์ตโฟลิโอแข็งแกร่ง ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 206.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากแผนการดำเนินงานที่มุ่งนำเสนอนวัตกรรมที่เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ออกใหม่ ได้แก่ แป้งผสมรองพื้น Sis2Sis Hya Matte Foundation Powder และผลิตภัณฑ์เขียนคิ้ว Sis2Sis Eyebrow Pencil สามารถเติบโตได้ 25.4% ถึงแม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องสวมหน้ากากอนามัยก็ตาม ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้หลักถึง 85% นำโดยแบรนด์หลักอย่าง Rojukiss ยังคงเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องตั้งแต่การระบาดระลอกแรก แสดงให้เห็นฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและนวัตกรรมสินค้าใหม่ที่เพิ่มฐานลูกค้าให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ที่ไม่เฉพาะในประเทศไทย โดยยอดขายของแบรนด์ Rojukiss ในประเทศอินโดนีเซียที่เติบโตมีการสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ในปัจจุบัน บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับแผนบริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีกำไรสุทธิ 32.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 31.3 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.055 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 33,000,000 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 31 สิงหาคม  2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 กันยายน 2564 นี้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KISS กล่าวว่า แผนดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ได้มุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่าน บริษัท โอทู คิส จำกัด (O2 KISS) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท โอช้อปปิ้ง จำกัด ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GMM เน้นนำเสนอนวัตกรรมผ่านผลิตภัณฑ์หลากหลายภายใต้แบรนด์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว รุกขยายตลาด Media Commerce อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมขยายในทุกช่องทางการขายทั่วประเทศทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพที่บริษัทฯ คาดการณ์ว่าน่าจะค่อยๆ สดใสขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2564 และ ด้วยศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ KISS ที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและการขยายตลาดในต่างประเทศ จะสามารถผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตได้ตามที่ตั้งใจไว้