TWPC สุดสตรอง! 6 เดือนแรก กำไรพุ่ง 190%

TWPC แกร่งท้าโควิด 6 เดือนแรกกำไรกระฉูด 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 190% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท ฟากผู้บริหาร มั่นใจโค้งหลังโตต่อเนื่อง จากดีมานด์แป้งมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น ปัญหาเรื่อง ขาดแคลนตู้ คอนเทนเนอร์คลี่คลาย และราคาส่งออกของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น หนุนรายได้โต  Double Digit ตามแผน

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง วุ้นเส้น และเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 2/64 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) มีรายได้รวม 2,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,708 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 12 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการส่งออกแป้งมันสำปะหลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง สอดคล้องกับความต้องการสินค้าที่สูง โดยเฉพาะในประเทศที่สำคัญ ปัญหาเรื่องขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เริ่มคลี่คลาย ราคาส่งออกเฉลี่ยของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้ธุรกิจอาหารยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 4,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 3,258 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 190% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท

ภาพรวมรายได้ของบริษัทและบริษัทย่อยยังคงเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วในช่วงไตรมาส 2 และ 3 จะเป็นช่วง low season เนื่องจากการผลิตที่มากขึ้นเมื่อเทียบกันช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ยังมีปริมาณสินค้าซึ่งเป็นสินค้ารอส่งในช่วงต้นของไตรมาสที่ 3 คงเหลืออยู่ นอกจากนี้ปริมาณความต้องการสินค้ายังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะประเทศส่งออกที่สำคัญ ประกอบกับคาดว่าในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวหัวมันในไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ จะมีหัวมันออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากราคาดี และสภาพอากาศเหมาะสมแก่การเพาะปลูก ไม่แล้ง ทำให้มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโต  Double Digit เมื่อเทียบกับปี 2563 อยู่ที่ 7,090 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบ 3 บริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เป็นสินค้าประเภทอาหารและส่วนประกอบในอาหารขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่สินค้าแป้งมันสำปะหลังของบริษัทส่วนใหญ่ ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน และไต้หวัน

นาย โฮ เรน ฮวา กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามยอดส่งออกแป้งมันสำปะหลังที่เติบโตขึ้น ขณะที่สัดส่วนการส่งออกในธุรกิจอาหารปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ใกล้เคียง 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 14% อีกทั้ง บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยผลิตสินค้าประเภท “ไบโอพลาสติก” ซึ่งเป็นผลผลิตต่อยอดจากสินค้าทางการเกษตร และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบประเภทสินค้าภาชนะ และของใช้ในการเกษตรทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปีนี้ และจะรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2565

SWC โชว์ผลงานครึ่งปีแรกฝ่าวิกฤต Covid-19 รายได้เติบโตก้าวกระโดด

บมจ.เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น หรือ SWC หนึ่งในบริษัทในเครือ TOA โชว์ศักยภาพการดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคในครึ่งปีแรก สวนกระแสปัจจัยลบ Covid-19 ทำกำไรสุทธิ 63 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 203% รับเครื่องดื่มสมุนไพรซุปเปอร์ไฟต์ ผลิตภัณฑ์เชนไดร้ท์และทีโพล์ โปรเฟสชั่นแนล ทำยอดขายเติบโต พร้อมบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ด้านบอร์ดฯ เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลตอบแทนผู้ถือหุ้นในในอัตรา 0.125 บาทต่อหุ้น  

นายเถกิงพล เหล่าพิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SWC ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการผลักดันผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน –  มิถุนายน 2564) แม้มีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจรวมทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง โดยมีรายได้จากการขาย 486 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% และส่งผลให้ในครึ่งปีแรก (มกราคมมิถุนายน 2564) มีรายได้จากการขาย 795 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้กลุ่ม SWC มีอัตราการเติบโตโดดเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวมาจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเปิดตัวเครื่องดื่มสมุนไพร ซุปเปอร์ไฟต์ ที่ช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอสินค้าในกลุ่ม Food และสอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในการดูแลรักษาสุขภาพ จึงได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ Non Food ทำให้สินค้ากลุ่มเคมีเคหะภัณฑ์แบรนด์ เชนไดร้ท์’ และน้ำยาล้างจาน ‘ทีโพล์ กระจายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง รวมถึงทำกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แบรนด์ ทีโพล์ โปรเฟสชั่นแนล’ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั่วไปและน้ำยาฉีดพ่นฆ่าเชื้อ Covid-19 ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าองค์กร (B2B) เช่นเดียวกับตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ 85%   

นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากปริมาณวอลุ่มการผลิตที่เพิ่มขึ้นช่วยให้ประหยัดต่อขนาดกดต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง ประกอบกับกลุ่มสินค้าเคมีเคหะภัณฑ์ในครัวเรือนทำสัดส่วนกำไรที่ดี ส่งผลให้กำไรสุทธิของไตรมาส 2/2564 (เมษายน – มิถุนายน 2564 ทำได้ 50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200%  และผลักดันให้กำไรสุทธิของครึ่งปีแรก (มกราคมมิถุนายน 2564) เท่ากับ 63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.125 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 40 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 เดือนสิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 เดือนกันยายน 2564  

นายเถกิงพล กล่าวว่า แผนงานครึ่งปีหลัง บริษัทฯ รุกขยายช่องทางจำหน่ายแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย Facebook ของบริษัทฯ รวมทั้งขายผ่านมาร์เก็ตเพลส อาทิ Shopee Lazada สอดรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์หลังจากภาครัฐออกมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกดั้งเดิมและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ต้องปิดให้บริการเร็วขึ้น ตลอดจนดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วยการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย และแผนดำเนินงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และขยายธุรกิจในกลุ่ม Food อย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ใหม่เครื่องดื่มซุปเปอร์ไฟต์ที่มีส่วนผสมของกัญชา (CBD) ผลิตภัณฑ์ถั่วแบรนด์ มารูโจ้ และผลิตภัณฑ์นมและไอศกรีมแบรนด์ ฮอกไกโด’ ช่วยผลักดันผลดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย   

“แม็คโคร” โชว์วิสัยทัศน์ครบรอบ 32 ปี เคียงข้างผู้ประกอบการไทยในทุกวิกฤต

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ฉลองครบรอบ 32 ปี ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย SME และ เกษตรกร ส่งต่อกำลังใจอย่างต่อเนื่อง ย้ำคู่คิดธุรกิจในทุกวิกฤต เน้นออกแบบกิจกรรมการตลาด  ต่อยอดผู้ประกอบรายย่อยพัฒนาและเป็นช่องทางกระจายผลผลิตจากเกษตรกรท้องถิ่น พร้อมเข้มมาตรการป้องกันขั้นสูงสุดในทุกช่องทาง ก้าวผ่านอุปสรรคใหญ่ไปด้วยกัน

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2564 ที่แม็คโคร ครบรอบ 32 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย นับว่าเป็นปีแห่งความยากลำบากที่เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของลูกค้าผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีกรายย่อย ร้านอาหาร หรือแม้แต่คู่ค้าที่เป็นเกษตรกร และเอสเอ็มอี แม็คโครจึงตั้งเป้าหมายการดำเนินงานและจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุน และส่งต่อกำลังใจ ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ โดยเน้นการออกแบบกิจกรรมการตลาดที่ช่วยให้ผู้ประกอบรายเล็กอยู่รอดได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งมั่นสรรหาสินค้าคุณภาพในราคาขายส่ง เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชน พร้อมเป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตที่เกิดขึ้นและก้าวต่อไปให้ได้

ช่วงปีที่ผ่านมา แม็คโครได้ดำเนินการโครงการต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนลูกค้าและชุมชน อาทิ

  • แม็คโคร ส่งมอบสิ่งของจำเป็นแก่การดำรงชีพ ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึง สนับสนุนอุปกรณ์และสินค้าเพื่อการดูแลผู้ป่วย ให้แก่โรงพยาบาลสนาม และโรงพยาบาล ชุมชนที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศกว่า 250 แห่ง
  •    โครงการแม็คโครมิตรแท้โชห่วย ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 14  ซึ่งได้ช่วยพัฒนาร้านค้าปลีกรายย่อยไปแล้วเกือบ 70,000 ร้านค้า ในปีนี้เรายังสร้างโมเดล Smart Shohuay  ภายใต้คอนเซ็ปต์มิตรแท้ชุมชน ชี้แนะเทคนิคการดำเนินธุรกิจค้าปลีกรายเล็กให้อยู่รอดในทุกสถานการณ์ ผ่านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และการต่อยอด เพิ่มเติม บริการเสริม ให้ร้านโชห่วยดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้มากขึ้น
  • โครงการแม็คโครเคียงข้างเกษตรกรไทย สู้ภัยโควิด รับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรรายย่อยที่ประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายรับซื้อเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า หรือประมาณ 204,000 ตัน ในปี 2564
  • โครงการเปิดพื้นที่ฟรีบริเวณหน้าสาขาให้ผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยมีสถานที่นำอาหารกล่องมาขายและเปิดบริการฟู้ดดิลิเวอรี่ให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป ที่แม็คโคร 83 สาขา โดยสามารถช่วยเหลือร้านอาหารรายย่อยได้กว่า 1,300 ร้านค้า พร้อมชูแม็คโครโฮเรก้า อคาเดมี (MHA) หน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและชี้แนะการบริหารจัดการร้านอาหาร เพื่อเพิ่มรายได้ในยามที่ธุรกิจร้านอาหารประสบปัญหาอย่างหนัก
  • เน้นย้ำการยกระดับมาตรฐานป้องกันการแพร่ระบาด โดยแม็คโครได้รับมาตรฐานสถานประกอบการปลอดภัย ป้องกันโควิด-19 ‘THAI STOP COVID Plus’ ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และออกมาตรการเสริมจากแนวปฏิบัติหลักของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
  • ในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม แม็คโครประกาศเจตนารมณ์ตั้งเป้าเป็นองค์กรสีเขียว ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จนเป็นองค์กรคาร์บอนสมดุลในปี 2573 ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว จะดำเนินการผ่านโครงการต่างๆ อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคาสาขา, ประกาศหยุดขายภาชนะโฟมบรรจุอาหารแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งทุกสาขาทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2564 และโครงการ “เปลี่ยนขวดเปล่าเป็นประโยชน์” เชิญชวนพนักงานและลูกค้าประชาชนเก็บขวดน้ำพลาสติกเปล่า เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการ upcycle และผลิตเป็นเสื้อยูนิฟอร์มของพนักงาน และชุด PPE ส่งมอบให้บุคลากรทางการแพทย์

“แม็คโครเชื่อว่า ในการดำเนินธุรกิจ เราจะมองเรื่องการสร้างผลกำไรย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องตอบโจทย์ของสังคมและช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกัน ตลอด 32 ปี ที่ผ่านมา เรายืนหยัดอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งร้านโชห่วย ร้านอาหาร คู่ค้าที่เป็นธุรกิจ SMEs เกษตรกรรายย่อย ตลอดจนเป็นแหล่งจำหน่ายอาหารปลอดภัย ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนและสังคมไทยมาตลอด 32 ปี นอกจากนี้เรายังมุ่งเน้นการปลูกจิตสำนึกในการพัฒนาสังคมให้กับพนักงานในทุกระดับ กว่า 20,000 คน เพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร สังคมและโลก ให้พร้อมก้าวไปด้วยกัน” นางศิริพร กล่าว

มาก่อนได้สิทธิ์ก่อน! เมื่อลงทะเบียนร่วมงาน Dot Property 48 Hour

มหกรรมลดราคาอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์สุดยิ่งใหญ่แห่งปีกลับมาอีกครั้งในปี 2564 พร้อมอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรายการบนทำเล ยอดนิยมและส่วนลดสุดพิเศษที่จัดหนักจัดเต็มยิ่งกว่าเดิม ขณะนี้งาน Dot Property 48 Hour Mega Sale พร้อมแล้วที่จะให้ทุกท่านลงทะเบียนเพื่อเข้าชมส่วนลดสุดพิเศษก่อนใครในวันที่ 27-28 สิงหาคม 2564 นี้ !

Dot Property 48 Hour Mega Sale มอบส่วนลดสูงสุดถึง 40% สำหรับ คอนโดมิเนียม วิลล่า บ้าน และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย หัวหิน และพัทยารับรองว่างานนี้การันตีส่วนลดสุดพิเศษจัดเต็มแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน นอกจากภายในงานนี้ที่เดียวเท่านั้น

สำหรับการลงทะเบียนล่วงหน้างาน Dot Property 48 Hour Mega Sale นั้นมาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมายโดยผู้ที่ทำการลงทะเบียนแล้วจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าชมส่วนลดต่างๆ ก่อนที่งานจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 27และ28 สิงหาคมด้วย นั่นหมายความว่าคุณจะมีสิทธิ์ในการเข้าชมเวปไซต์และได้รับโปรโมชั่นสุดพิเศษรวมถึงสามารถพูดคุยกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ก่อนใคร เพราะฉะนั้นยิ่งลงทะเบียนล่วงหน้าไว้ก่อนก็ยิ่งมีโอกาสครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในฝันได้ก่อน

ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน หรือเพื่อการลงทุน ภายในงาน Dot Property 48 Hour Mega Sale ก็มีทรัพยที่น่าสนใจมากมายให้คุณได้เลือกสรร พร้อมข้อเสนอดีลที่ถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก็หาได้ภายในงานนี้เช่นกัน

มร.เจมส์ คลาสเซน ผู้จัดการทั่วไป ดอท พร๊อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า สืบเนื่องจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมาทำให้ผู้ซื้อทั้งจากไทยและต่างประเทศได้เข้าชมและเลือกจับจองเป็นเจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำมากมายในงาน อีกทั้งยังสร้างสถิติยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ Dot Property Group สูงสุดภายในวันเดียว โดยสำหรับการจัดงานในปีนี้คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้สูงกว่าในปีที่ผ่านมา โดยจะเป็นการจับมือกันของเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้ง 5 เว็บไซต์ของ Dot Property Group ไม่ว่าจะเป็น Thailand-Property, Dot Property และ Hipflat จึงมั่นใจได้ว่าการจัดงานในปีนี้จะเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงของผู้เข้าชมเว็บไซต์และดึงดูดผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

ทั้งนี้เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าจะมีการเข้าชมหนาแน่นในระหว่างที่มีการจัดงาน Dot Property 48 Hour Mega Sale สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าร่วมงานก่อนได้ ซึ่งนอกจากจะได้สิทธิ์เข้าสู่งานโดยตรงแล้ว ยังสามารถรับสิทธิ์เข้าชมส่วนลดสุดพิเศษได้ก่อนใครด้วย

หากคุณเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และต้องการเข้าร่วมงาน Dot Property 48 Hour Mega Sale สามารถติดต่อทีมงานได้ที่  [email protected]

PJW โชว์กำไรครึ่งแรกปี 64 โต 124%

บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) เปิดผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 124% แตะ 89 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเท่ากับ 1,550 ล้านบาท  รับอานิสงส์ยอดขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นและชิ้นส่วนยานยนต์ฟื้นตัวได้ดี ฟาก”วิวรรธน์ เหมมณฑารพ “บิ๊กบอส ระบุ ปรับกลยุทธ์พร้อมรับมือสถานการณ์โควิด-19 มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุน รักษาความสามารถทำกำไร เดินหน้ารุกขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์พลาสติกการแพทย์ คาดสร้างรายได้เพิ่ม 300 ล้านบาทต่อปี หนุนอนาคตโตก้าวกระโดด

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนของปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 89 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 124% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิเท่ากับ 39.73 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมเท่ากับ 1,550 ล้านบาท

สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้บริษัทฯสามารถรักษาการทำกำไรไว้ได้ เนื่องจากยอดขายที่เริ่มฟื้นตัวของกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นทั้งส่วนของประเทศไทยและประเทศจีนและส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เริ่มมีคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์เข้ามาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งภาพรวมของยอดขาย 6 เดือนของปี 2564 นั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 10.3% เมื่อเทียบกับยอดขายของ 6 เดือนของปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19

ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนรถยนต์ในระยะเวลา 6 เดือนแรกค่อนข้างดี ทั้งยอดขายและการควบคุมต้นทุน จากการที่บริษัทฯได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากสถานการณ์โควิดโดยเลวร้ายที่สุดในช่วงไตรมาส 2/2563 ซึ่งบริษัทมีนโยบายลดต้นทุน และบริหารประสิทธิภาพกำลังการผลิตจนสามารถมีผลประกอบการเป็นบวก ขณะที่ในปีนี้ยอดขายเริ่มฟื้นตัว และบริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนต่อเนื่อง  เนื่องจากได้รับความร่วมมือจากลูกค้า คู่ค้า และโดยเฉพาะจากพนักงานที่มีการติดตามสถานการณ์ และสื่อสารข้อมูลเพื่อให้เกิดต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงบริษัทยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงคุณภาพของสินทรัพย์ โดยเฉพาะลูกหนี้การค้า และสินค้าคงคลัง จึงทำให้ผลประกอบการในปีนี้ออกมาค่อนข้างน่าพอใจ

นายวิวรรธน์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่โดยรวมในส่วนของยอดขายยังคงอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเทียบกับการ Lock Down ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว โดยเฉพาะตลาดส่งออกเริ่มกลับมาดีขึ้นในส่วนของกลุ่มตลาดน้ำมันและน้ำมันหล่อลื่นและอุตสาหกรรมรถยนต์

อย่างไรก็ตาม แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แต่บริษัทฯมีความมั่นใจว่า สถานการณ์ยอดขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกรวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับมาเป็นปกติในไตรมาส 4/2564 จึงคาดการณ์ว่าผลประกอบการโดยรวมของบริษัทในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของทั้งโลกรวมถึงประเทศไทยอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจเข้าสู่ผลิตภัณฑ์พลาสติกทางการแพทย์ (Medical Plastic Product) โดยได้มีการเซ็น MOU กับบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมมือและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงด้านการตลาด จัดจำหน่ายและการขาย โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้ โดยบริษัทจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้ส่วนหนึ่งสำหรับ medical plastic product ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทในปีหน้า และมีอัตราการเติบโตของรายได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

AGE โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก ฟันกำไรพุ่ง 136%

บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) ฟอร์มแกร่งครึ่งปีแรก 2564 กวาดยอดขายถ่านหิน 2.8 ล้านตัน ส่งผลรายได้รวมอยู่ที่ 5,807.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.4% กำไรสุทธิ 121.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.4% พร้อมประกาศครึ่งปีหลัง ขอเดินหน้าลุยธุรกิจโลจิสติกส์ ทั้งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า แบบเต็มสูบ หวังต่อจิ๊กซอว์ปั้นรายได้เพิ่มในอนาคต คาดผลงานปีนี้เข้าเป้า 11,000 ล้านบาท

นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร (ขนส่งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า) เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปี 2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการโลจิสติกส์ฯ จำนวน 5,807.5  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหินที่ 5,597.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และรายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ฯ ที่ 209.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรสุทธิแตะระดับที่ 121.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 136.4% ที่มีกำไรสุทธิ 51.3 ล้านบาท

ขณะที่ไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการโลจิสติกส์ฯ จำนวน 2,960.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.5 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหินที่ 2,853.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.9 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และรายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ฯ ที่ 106.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.5 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิที่ 0.4 ล้านบาท

สำหรับสาเหตุการปรับตัวเพิ่มขึ้นของผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2564 นั้น เนื่องจากบริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์การขายโดยเจาะตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายตลาดต่างประเทศ  ส่งผลให้ปริมาณการขายถ่านหินเพิ่มขึ้นมาแตะระดับ 2.85 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 57.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ณ ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดคำสั่งซื้อถ่านหินในมือ (Back log) ประมาณ 0.67 ล้านตัน และคาดว่าจะทยอยส่งมอบทั้งหมดภายในครึ่งปีหลัง

ประกอบกับภาพรวมอุตสาหกรรมถ่านหินโลกมีการฟื้นตัวจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลราคาถ่านหินโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 165% เมื่อเทียบราคาปัจจุบัน กับราคาค่าเฉลี่ยของถ่านหินโลกในปีที่ผ่านมา 

ส่วนรายได้จากการให้บริการโลจิสติกส์ฯ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีการให้บริการท่าเรือรองรับการขนส่ง จำนวน 6 ท่า เรือลำเลียง 36 ลำ รถบรรทุก 68 คัน และโกดังสินค้า 5 หลัง ส่งผลให้ครึ่งปีแรก 2564 มีรายได้ จำนวน 946 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากภายในส่วนงาน ที่ 736 ล้านบาท และรายได้จากกลุ่มลูกค้าภายนอกที่ 209.9 ล้านบาท

ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมธุรกิจในครึ่งหลัง  AGE ยังคงเดินหน้าปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกในธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร อย่างต่อเนื่อง ภายหลังการเข้าไปบริหารจัดการท่าเรือ เพิ่มอีก 3 ท่า ส่งผลให้มีท่าเรือที่รองรับการให้บริการขนส่งทางน้ำรวมทั้งหมด 6 ท่า บริเวณอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะช่วยหนุนให้ AGE สามารถรองรับปริมาณการขนส่งผ่านท่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 ล้านตันต่อปี

นอกจากนี้ AGE ยังเดินหน้าลงทุนขยายกองรถบรรทุกเป็นกว่า 100 คัน ในปี 2564 จากที่ปัจจุบันมีรถบรรทุกอยู่ 68 คัน และมีรถบรรทุกเป็นพันธมิตรผู้รับจ้างงานช่วง (Sub-contractor) อีก 400-500 คัน รวมถึงขยายกองเรือโดยการเช่าและการหากองเรือพันธมิตร Sub-contractor เพื่อเพิ่มปริมาณบรรทุกสินค้าเป็น 200,000 ตัน จากที่ปัจจุบัน AGE มีกองเรืออยู่ 36 ลำ ปริมาณการบรรทุกสินค้ารวมกว่า 100,000 ตัน เพื่อรองรับปริมาณการขนส่ง ทั้งถ่านหิน และสินค้าในกลุ่มทรายแก้วเพื่อผลิตขวด, กระดาษ, ไม้สับ, ขี้เลื่อย และกะลาปาล์ม เป็นต้น ซึ่งจะหนุนให้รายได้จากธุรกิจการขนส่งโลจิสติกส์ในอนาคตเติบโตเพิ่มขึ้น เพื่อการสู่การขนส่งด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจรในประเทศ

อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมการเติบโตรายได้ของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ 11,000 ล้านบาท ตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยรายได้ดังกล่าวจะมาจากธุรกิจถ่านหิน 90 % จากการตั้งเป้ายอดขายที่ 5.5 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดจำหน่ายในประเทศ 4.5 ล้านตัน และต่างประเทศ 1 ล้านตัน  และรายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์ฯ 10 % หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท

WIIK โชว์ผลงานไตรมาส 2 กำไรสุทธิกว่า 33 ล้าน

บริษัท วิค จำกัด (มหาชน) หรือ WIIK โดย นายวิบูลย์ แสงวิทยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีรายได้รวมจำนวน 375.52 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 33.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 16.55

ในไตรมาสที่ 2/2564 รายได้ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจาก ธุรกิจขายท่อในประเทศที่เพิ่มขึ้นจำนวน 18.07 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.59 รายได้จากธุรกิจติดตั้งท่อในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจำนวน 0.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 219.12 และรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2563 จำนวน 5.62 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากการผลิตน้ำให้โครงการอุตสาหกรรมชุมนุมทรัพย์ จังหวัดปทุมธานีของบริษัทย่อย

จากความเชี่ยวชาญและทักษะการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ล่าสุดบริษัทได้รับงานบริหารจัดการน้ำใหม่ 2 โครงการคือ ที่นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 และที่โครงการจ้างผลิตน้ำประปาจากอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลทร ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วเมื่อต้นเดือนสิงหาคม จะเข้ามาสร้างผลการดำเนินงานที่มากขึ้นให้กับกลุ่มบริษัทตั้งแต่ไตรมาส 3/3564 นี้ไป

ทั้งนี้ บริษัทฯ มี Backlog งานในมืออยู่อีกกว่า 853.73 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อประมาณ 622.58 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการน้ำ (ส่วนที่รับรู้รายได้ภายใน 1 ปี) 231.15 ล้านบาท

นิโคล เทริโอ แนะวิธีคุณแม่รับมือ เข้มแข็ง เติมพลังในหัวใจให้ตัวเอง

“แม่” เป็นคำที่สั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความเสียสละ ทุ่มเท และมีคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือซิงเกิลมัมจำนวนไม่น้อย ที่ต้องทุ่มเทยิ่งกว่า ทั้งแรงกายและสร้างแรงใจให้ตัวเองและครอบครัวในฐานะเสาหลัก และหากพูดถึงซิงเกิลมัมในวงการบันเทิงนั้น มีหลายคนที่เป็นต้นแบบในความสตรองที่เฝ้าเลี้ยงดูลูก ให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ แม้จะอยู่ในสถานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ตาม หลายคนนอกจากต้องทำหน้าที่ “แม่” แล้วยังต้องเป็น เสาหลักครอบครัวในคราวเดียวกัน อย่าง “นิโคล เทริโอ” เจ้าของฉายาสาวน้อยกะโปโลในยุค 90 ก็เป็นหนึ่งในคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่มอบความอบอุ่นความรักอันบริสุทธิ์และความห่วงใยที่มีเต็มเปี่ยมหัวใจของคนเป็นแม่ให้ลูกชายสุดหล่อเพียงคนเดียวอย่าง “ทิกเกอร์” มาอย่างดี

เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ปี 2564 นิโคลได้เปิดใจอย่างหมดเปลือกถึงความรู้สึกในใจที่เก็บเอาไว้มานานในฐานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเจอทั้งคำถาม สายตาจากผู้คน และการจับจ้องในทุกความเคลื่อนไหว ซึ่งเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมานำไปสู่การถูกรังแกบนโลกออนไลน์ หรือ Cyberbullying  โดยนิโคลได้ร่วมพูดคุยผ่านทางแคมเปญของ “เอไอเอส อุ่นใจไซเบอร์” ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองชีวิตของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ถูกรังแกบนโลกออนไลน์ เพื่อให้กำลังใจในการก้าวผ่านอุปสรรค และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับครอบครัว

นิโคล เผยว่า การตัดสินใจที่จะเป็นซิงเกิลมัมต้องคิดเยอะและตัดสินใจยาก เนื่องด้วยตนและคุณพ่อของลูกชายต่างเป็นคนในวงการบันเทิง การตัดสินใจเลิกกันและเปลี่ยนสถานะครอบครัวนั้นหากย้อนไปในอดีตจะเป็นข่าวใหญ่ที่คนให้ความสนใจ แม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว แต่การถูกย้อนความทรงจำผ่านทางโซเชียลด้วยข้อความต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่การถูกนำมาพูดถึงในหัวข้อคู่ดาราหย่าร้าง ทำให้มีคนแสดงความคิดเห็นถึงตนเองได้ง่าย

“คำถามจากผู้ที่ไม่ทราบว่าหวังสิ่งใดในคำตอบ ที่ตั้งขึ้นมาถามถึงลูกชายตนว่า “พร้อมจะมีพ่อใหม่หรือยัง” แต่นั่นเหมือนแทงใจให้เกิดบาดเจ็บที่ฝังลึกให้กับนิโคล โดยเธอเผยว่า “คำถามนั้นอาจจะไม่ได้แรง แต่ในความรู้สึกของเด็ก เขามีพ่อคนเดียว เขาจะตอบอย่างไร” ซึ่งการเป็นคนในวงการบันเทิงที่เหมือนชีวิตส่วนตัวต้องถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรจะถูกจับจ้องตลอด ท่ามกลางคำวิจารณ์จากสังคมที่แสดงความคิดเห็นได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว แต่ในบางครั้งอาจจะยากสำหรับผู้อ่านอย่างตน นิโคลจึงเลือกที่

จะอ่านและไม่อ่านบ้าง โดยยึดว่า “จิตใจระหว่างแม่ลูก และครอบครัว มีแค่เราที่รับรู้” ทำให้ก้าวข้ามคำถามจากโซเชียลที่เหมือนเป็นการรังแกกันบนออนไลน์มาได้”

นอกจากนี้ สาวนิโคล ยังยอมรับว่า “การเป็นซิงเกิลมัมนั้นไม่ง่าย จากที่เคยตัดสินใจร่วมกัน 2 คน แต่เมื่อมีเพียงตนคนเดียวหากเจอปัญหาอะไรต้องเอาให้อยู่ยอมรับว่ามีทั้งความรู้สึกกลัวจนเสียน้ำตา มีความนอยด์ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร การที่ตนต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินนำมาเลี้ยงลูกนั้นต้องแลกกับการไม่มีเวลาให้ลูก ตอกย้ำด้วยภาพติดตาและทำให้คนเป็นแม่เจ็บไปทั้งหัวใจเมื่อเห็นลูกนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านที่สัมผัสได้ถึงความเหงา ยิ่งทำให้ตนรู้สึกว่าทำหน้าที่แม่ได้ไม่ดี”

ทั้งนี้ แม้จะเคยมีภาพฝังใจที่แทบทำให้หัวใจของนิโคลแตกสลาย แต่เมื่อถามถึงการก้าวผ่านสิ่งนั้นมาได้อย่างไร “กี้เลือกนำจุดที่รู้สึกแย่และท้อกลับมาคิดใหม่ โดยมองว่า การที่มีเวลาให้กับลูกนั่นคือเวลาที่มีค่า เมื่อเราเศร้าลูกจะรับสิ่งนั้นได้จากตัวของเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องเติมพลังให้ตัวเอง ทำเวลาที่มีให้มีค่า ให้มีความสุขทั้งแม่และลูก ความเป็นครอบครัวไม่อยู่ที่เรื่องเพศหรือจำนวนสมาชิกในครอบครัว แต่อยู่ที่ใจ ความผูกพันและการใช้ชีวิตด้วยกัน” เพราะสำหรับนิโคลลูกคือทุกอย่างของชีวิต จึงตั้งใจจะทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกชายหัวแก้ว หัวแหวนคนนี้ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะเห็นแม่และลูกคู่นี้สนิทกันมาก

และเนื่องในวันแม่สังคมดิจิทัล ยุคโซเชียลมีเดีย สาวนิโคล ในฐานะซิงเกิลมัม ขอส่งกำลังใจให้คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคน ที่เคยโทษตัวเองและรู้สึกผิดเหมือนอย่างตนที่ไม่มีเวลาให้ลูก ให้ปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ เพื่อเติมเต็มความสุขให้กับลูก และขอให้สังคมโซเชียลคิดและตระหนักในการคอมเม้นท์ หรือพูดถึงคนอื่นอย่างมีสติ เพื่อที่จะได้ไม่บั่นทอนจิตใจคนในสังคม

7UP เปิดงบไตรมาส 2 กำไร 49.13 ล้าน โต 99.07%

7UP เปิดงบไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 49.13 ล้านบาท โตแรง 99.07% ดันงวด 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 152.73 ล้านบาท โต 160.90% แง่รายได้อาจแผ่วจากโควิดกระทบธุรกิจโทรคมนาคม แต่เชื่อมั่นความสามารถทำกำไรยังคงแกร่ง เหตุพลังงานในฐานะผู้จำหน่ายก๊าซแอลพีจีและน้ำมันยังดี ขณะที่สาธารณูปโภคเริ่มเห็นผล ไตรมาส 4 นี้ จ่อคว้างานบำบัดน้ำฟาร์มกุ้งให้CPF เฟสที่ 4 และจำหน่ายน้ำประปาในภูเก็ต

นายมนต์เทพ มะเปี่ยม รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซเว่น ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ 7UP เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯสำหรับงวดไตรมาส 2 ของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 49.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.45 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 99.07% ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ จำนวน 152.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94.19 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 58.54 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 160.90% โดยภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มบริษัทฯ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจจัดจำหน่ายก๊าซแอลพีจีและน้ำมัน มีกำไรขั้นต้นจำนวน 37.42 ล้านบาท ตามด้วยธุรกิจสาธารณูปโภค และกลุ่มธุรกิจพลังงานทางเลือก

สำหรับรายได้ในช่วง 6 เดือนแรก มีจำนวน 407.92 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าจำนวน 34.93% โดยหลักเนื่องจากกลุ่มธุรกิจวิทยุสื่อสารโทรคมนาคมและInternet of Thing(IoT) ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมาตรการล็อกดาวของรัฐบาลทำให้การดำเนินงานโครงการล่าช้ากว่ากำหนด รวมถึงการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างด้วย

“ภาพรวมผลประกอบการในปี 2564 นี้ ในแง่ของรายได้ อาจได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะไม่ได้รับรู้รายได้ในส่วนของกลุ่มโทรคมนาคมเข้ามา ภายหลังได้ขายเงินลงทุนดังกล่าวออกไป แต่ไม่ได้กระทบต่อความสามารถในการทำกำไร เนื่องจากโดยปกติแล้ว ธุรกิจดังกล่าวมีส่วนในการสร้างผลกำไรให้กลุ่มบริษัทฯในสัดส่วนที่ต่ำ ผลกำไรหลักมาจากธุรกิจจำหน่ายก๊าซแอลพีจีและน้ำมัน รวมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคเริ่มมีน้ำหนักในการสร้างรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้น”

นายมนต์เทพ กล่าวเสริมว่า ในระยะที่ผ่านมาพบว่าราคาหุ้นของบริษัทฯ เคลื่อนไหวผันผวนต่างไปจากสภาพปกติ ก่อให้เกิดความกังวลต่อพื้นฐานธุรกิจ และการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทางบริษัทฯได้ดำเนินการขอปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากข้อมูลการถือหุ้นของบริษัทฯ ล่าสุดช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564  ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอันดับการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5  อันดับแรก

“ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการบริหารธุรกิจเพื่อมุ่งหวังสร้างผลประกอบการที่ดี และไม่ทราบเหตุผลของความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองการลงทุนของผู้ถือหุ้น แต่ฝ่ายบริหารไม่ได้เพิกเฉย เมื่อเห็นราคาหุ้นของบริษัทฯเปลี่ยนแปลงผิดไปจากสภาพปกติ ได้ดำเนินการขอปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น และไม่พบการเปลี่ยนแปลงของอันดับการถือหุ้นของผู้ถือหุ้น แต่ทั้งนี้อยากจะย้ำเตือนผู้ถือหุ้นให้พิจารณาการลงทุนจากพื้นฐานธุรกิจเป็นสำคัญ” นายมนต์เทพ กล่าว

บริษัทฯยังคงดำเนินกิจการไปตามปกติ ยึดนโยบายการมุ่งเข้าสู่ธุรกิจสาธารณูปโภคทางด้านน้ำ เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นธุรกิจที่จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ในส่วนของธุรกิจบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม ผ่านบริษัท แซม วอเตอร์ซัพพลาย จำกัด ปัจจุบันรับผลิตน้ำสะอาดให้กับฟาร์มกุ้งของบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รวม 3 เฟส กำลังการผลิตรวม 124,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และอยู่ในขั้นตอนดำเนินการเฟสที่ 4 กำลังการผลิตเพิ่มอีก 100,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้และส่งมอบกลางปี 2565  จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัว และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัท 250 ล้านบาทต่อปี

ธุรกิจดังกล่าวมีโอกาสในการขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจาก CPF มีความต้องการน้ำสะอาดสูงถึง 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และยังไม่นับรวมโอกาสการขยายไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย

ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายน้ำประปา ภายหลังการซื้อหุ้นใน โกลด์ ชอร์ส จำกัด เพิ่มเป็น 81% เป็นผลสำเร็จ ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาระบบสาธารณูปโภคด้านการประปา คาดว่าจะเริ่มขายน้ำประปาในจังหวัดภูเก็ตได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เบื้องต้น 40,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

ณ สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 2,733.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 597.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.98% จากสิ้นปี 2563 และผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง ทำให้ ขาดทุนสะสมลดลงจำนวน 152.73 ล้านบาท

ช้อปอะไรดี? เสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ M2S Signature คอลเลกชั่น Scandinavian Summer

สัมผัสสไตล์การแต่งตัวที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความมั่นใจ และกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ต้องการ ไปกับแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ เอ็มทูเอส ซิกเนเจอร์ (M2S Signature) ในคอลเลกชั่นเปิดตัวที่มีชื่อว่า ‘สแกนดิเนเวียน ซัมเมอร์’ (Scandinavian Summer) นำเสนอแรงบันดาลใจจากสไตล์การแต่งตัวอันเรียบเท่ของหญิงสาวชาวสแกนดิเนเวีย ที่สอดผสานเข้ากับความโก้หรูในการออกแบบสไตล์เฟมินีน และมาสคิวลีนเอาไว้ได้อย่างลงตัว ถ่ายทอดสู่เสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์ (Ready-to-wear) ดีไซน์เรียบโก้ที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน โดยมีเหล่าเซเลบริตี้เวิร์กกิ้งวูแมน ได้แก่ อภินรา ศรีกาญจนา, อรชุมา ดุรงค์เดช, ยุวเรต ศรุตานนท์ และพิมดาว พานิชสมัย มาร่วมเผยถึงคุณสมบัติของผู้หญิงเก่งที่สามารถก้าวข้ามทุกขีดจำกัดในแบบฉบับของตนเอง ผ่านสไตล์การแต่งตัวที่ชื่นชอบ และการเลือกเสื้อผ้าสวมใส่ในช่วงเวิร์คฟอร์มโฮม

เอ็มทูเอส ซิกเนเจอร์ (M2S Signature) แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ที่ยึดมั่นในเรื่องการส่งต่อพลังให้ผู้หญิง (Empowerment) และเป็นเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ได้ในหลายโอกาส (Versatility) ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด โมเดิร์น อิลิแกนท์ (Modern Elegant) ถ่ายทอดสู่เสื้อผ้าแฟชั่นที่งดงามเหนือกาลเวลา สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส ที่ยังคงไว้ซึ่งความทันสมัยจากเอกลักษณ์การดีไซน์ที่ใส่ใจในรายละเอียด และการคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูง ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์มากฝีมือ ควบคู่ไปกับการตัดเย็บอันปราณีตบรรจงจากทีมช่างมากประสบการณ์ ที่สามารถเสริมสร้างความมั่นใจให้กับหญิงสาวผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี

สำหรับคอลเลกชั่น สแกนดิเนเวียน ซัมเมอร์ (Scandinavian Summer) ทางทีมดีไซน์ได้หยิบยกเรื่องราวการแต่งกายของหญิงสาวชาวสแกนดิเนเวียที่มีความเรียบเท่ มาเป็นแรงบันดาลใจหลักในการออกแบบ พร้อมผสมผสานความเฟมินีน ผ่านการเลือกใช้วัสดุที่น่าสนใจ อาทิ ผ้าลูกไม้ ผ้าซาติน และผ้าทวีต ลดทอนความหวานด้วยสไตล์มาสคิวลีน ด้วยการออกแบบซิลลูเอทให้มีความเท่ และการใช้สีในโทนคลาสสิก เรียบโก้ อาทิ สีขาว, สีฟ้า, สีน้ำเงิน และสีเทา ซึ่งเป็นโทนสีที่สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่าย โดยนำเสนอผ่านผลงานการออกแบบที่สามารถสวมใส่ได้ในหลายโอกาสที่ผู้หญิงทุกคนต้องมีติดตู้เสื้อผ้า โดยมีชิ้นเด่นอย่างเสื้อเบลเซอร์สีขาวตัวสั้นคัตติ้งเนี้ยบ ที่นำมาสร้างสรรค์ใหม่ด้วยการตกแต่งลูกไม้บริเวณด้านหลังเสื้อ สวมใส่คู่กับกางเกงเอวสูงเทเลอร์หรือเดรสสายเดี่ยวสไตล์มินิมอล ก็จะได้ลุคเรียบโก้ที่มีความหวานซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นลุคที่สามารถสวมใส่ได้แม้ในวันทำงาน ชิ้นต่อมาคือ ชุดเดรสคอวีดีไซน์เรียบหรู ที่ใช้เทคนิคการตัดเย็บผ้าสองชนิดเข้าด้วยกัน โดยตัวเดรสใช้ผ้าซาตินที่มีคุณสมบัติสวมใส่สบาย และเพิ่มความน่าค้นหาด้วยการใช้ผ้าลูกไม้ตัดเย็บเป็นบริเวณแขนเสื้อ และยังมีกระโปรงซาติน ปลายเฉียง และมีดีเทลจับเดรป

ทางทีมดีไซน์ยังได้หยิบแมททีเรียลสุดคลาสสิกอย่างผ้าทวีต ที่เนื้อผ้ามีความโดดเด่น มอบสไตล์ที่หรูหรา มาใช้ออกแบบในหลากหลายไอเทม อาทิ เสื้อครอป และเดรสสั้นปลายเฉียงผ้าทวีตสีน้ำเงิน ที่มาในซิลลูเอททรงหลวม เหมาะสำหรับวันพักผ่อน และสามารถเพิ่มความโดดเด่นได้ด้วยผ้าผูกเอวที่ผูกเป็นโบว์ได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อีกทั้งยังมีคอเสื้อที่สามารถเลือกสวมใส่ได้ถึงสองแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเสื้อคอปาดหรือแบบเสื้อคอวี รวมถึงเดรสยาวปลายเฉียงสไตล์เรียบหรู และเดรสสั้นผ้าทวีตสีฟ้า โดยเดรสสั้นถูกตกแต่งด้วยการใช้ผ้าทวีตออกแบบเลเยอร์ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง รวมถึงผ้าลูกไม้สัญลักษณ์แห่งความเฟมินีนที่ถูกนำมาออกแบบด้วยเทคนิคการสร้างเลเยอร์ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ และเดรสผ้าลูกไม้สีขาว และสีฟ้า รวมถึงชิ้นเบสิกอย่างเสื้อเดรสเชิ้ตสียีนส์ทรงโอเวอร์ไซส์ ปักประดับตกแต่งด้วยการเลเยอร์ผ้าลูกไม้บริเวณด้านขวา ที่สามารถปล่อยชายผ้าให้ยาวทิ้งตัวลงมา หรือจับเป็นเดรปก็จะได้ลุคที่มีความคล่องตัวขึ้น เป็นไอเทมที่สามารถผสมผสานความมาสคิวลีน และความเฟมินีนเอาไว้ด้วยกันได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ เหล่าเซเลบริตี้แฟนคลับแบรนด์ได้มาร่วมเผยถึงคุณสมบัติของผู้หญิงเก่งที่สามารถก้าวข้ามทุกขีดจำกัดในแบบฉบับของตนเอง ผ่านสไตล์การแต่งตัวที่ชื่นชอบ และการเลือกเสื้อผ้าสวมใส่ในช่วงเวิร์คฟอร์มโฮม เริ่มจากเวิร์คกิ้งวูแมน อภินรา ศรีกาญจนา เผยว่า “ผู้หญิงทุกคนควรมีความมั่นใจ และรู้จักที่จะรักตัวเองให้เป็น ไม่ว่าเราจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน ก็ไม่ควรโทษตัวเอง เราอยากให้ทุกคนค้นหาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ และมั่นใจในแบบที่ตัวเองเป็น อย่างเราเองจะเป็นคนที่ตัวเล็กมาก ถ้าวันไหนต้องใส่กระโปรงหรือเดรส ก็จะเลือกชิ้นที่ความยาวคลุมเข่า เพราะถ้าสั้นเกินไปก็จะเห็นได้ชัดว่าขาเล็ก แล้วก็จะแมทช์ด้วยเข็มขัดเพื่อช่วยขับให้สรีระมีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะสไตล์การแต่งตัวที่ชอบคือแบบคลาสสิกเลย ทั้งซิลลูเอทและโทนสี แมททีเรียลที่ชอบก็จะเป็นผ้าทวีต เพราะใส่แล้วทำให้คนรูปร่างเล็กดูมีน้ำมีนวลขึ้น รวมถึงชุดสไตล์คลาสสิกที่ใช้ผ้าลูกไม้มาเพิ่มดีเทลด้วย เพราะใส่แล้วจะทำให้ลุคในวันนั้นน่าสนใจขึ้น แต่ถ้าวันไหนต้องการความคล่องตัวในการทำงานก็จะเลือกใส่กางเกง อย่างช่วงนี้ที่เวิร์คฟอร์มโฮมก็จะแต่งตัวสบายขึ้น เป็นเสื้อแขนยาวแมทช์กับกางเกงผ้า หรือไม่ก็เดรสเรียบโก้สักตัว”

ต่อมาที่คุณแม่คนเก่ง อรชุมา ดุรงค์เดช เล่าว่า ผู้หญิงเก่งคือผู้หญิงที่รู้จักตัวเอง ต้องรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหน แล้วดึงสิ่งนั้นออกมาให้ได้ แต่ที่สำคัญเลยคือต้องมีความมั่นใจ ฉลาดเลือก และกล้าที่จะใช้ชีวิต ซึ่งหนึ่งสิ่งที่จะสามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ได้ ก็คือสไตล์การแต่งตัวที่เป็นตัวเอง อย่างเราจะชอบการแต่งตัวสไตล์มินิมอล ที่ไม่เรียบจนเกินไป อย่างถ้าใส่เสื้อเรียบๆ ก็จะต้องมีแอคเซสเซอรี่มาช่วยให้ดูน่าสนใจขึ้น แต่ก็จะเลือกชิ้นที่ใส่แล้วมั่นใจด้วย อย่างเราเป็นคนแขนเล็กก็จะชอบใส่เสื้อแขนกุดแมทช์กับกระโปรง หรือกางเกง เพราะผู้หญิงทุกคนถ้าได้ใส่ชุดที่เหมาะกับตัวเองแล้ว ความมั่นใจจากภายในก็จะสร้างได้ไม่ยาก ส่วนการแต่งตัวช่วงเวิร์คฟอร์มโฮมก็ยังคงเป็นสไตล์ที่ชอบอยู่ จะไม่ได้แต่งชิลล์มาก เพราะยังต้องประชุมออนไลน์ ต้องเจอคน แต่จะเลือกชิ้นที่ใส่แล้วคล่องตัวขึ้น ไม่รัดรูปเกินไป เพราะเราต้องทั้งทำงาน และเลี้ยงลูกไปด้วย

ต่อมาที่สาวสังคม ยุวเรต ศรุตานนท์ เผยว่า เราเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนล้วนมีความเก่ง ความสามารถ ในแบบของตนเอง แต่ผู้หญิงเก่งสำหรับเราต้องเป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี และสามารถส่งต่อพลังบวกให้ผู้อื่นได้ด้วย ส่วนสไตล์การแต่งตัวที่ชื่นชอบ จะเป็นสไตล์เรียบโก้ ผ่านการเลือกชุดที่การตัดเย็บมีดีเทลหน่อย หรือเลือกชุดที่เนื้อผ้ามีเท็กซ์เจอร์ อย่างเดรสผ้าทวีตที่มีการเล่นเลเยอร์ เพราะเราเป็นคนสูงโปร่ง เวลาใส่เดรสก็จะช่วยขับรูปร่างให้ดูชัดขึ้น แต่ถ้าเป็นช่วงเวิร์คฟอร์มโฮมช่วงนี้ ก็จะเลือกชุดที่เรียบโก้ แต่มีความสมาร์ทขึ้น อย่างเสื้อผ้าทวีตแมทช์กับกางเกงผ้าเอวสูง

ปิดท้ายที่เซเลบริตี้สาวมากความสามารถ พิมดาว พานิชสมัย เล่าว่า ผู้หญิงเก่งในความคิดของเราจะต้องเป็นผู้หญิงที่ฉลาดคิด ฉลาดเลือก มีความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นผู้หญิงที่มีแรงบันดาลใจในการลงมือทำสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ และที่สำคัญต้องสามารถส่งต่อแรงบันดาลใจเหล่านั้นให้กับคนรอบตัวได้ สำหรับสไตล์การแต่งตัวที่ชื่นชอบก็จะเป็นสมาร์ทแคชชวล เพราะส่วนตัวเราไม่ได้เป็นคนหวาน ชิ้นที่ชอบก็จะเป็นกางเกงเอวสูง แมทช์กับเสื้อเชิ้ต เพราะเราเป็นคนตัวเล็กด้วย การใส่กางเกงเอวสูงก็จะช่วยทำให้รูปร่างสูงโปร่งขึ้น หรืออาจจะเป็นเดรสสบายๆ แมทช์กับเข็มขัด แล้วเติมเต็มลุคด้วยเครื่องประดับชิ้นโปรด อย่างต่างหู กำไล นาฬิกา ส่วนการแต่งตัวเวิร์คฟอร์มโฮมช่วงนี้ เราก็แต่งตัวเหมือนวันทำงานปกติเลย เพราะก็ยังต้องประชุมออนไลน์อยู่ตลอด อีกอย่างเสื้อผ้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้ขณะทำงาน

พบกับเสื้อผ้าจากแบรนด์ เอ็มทูเอส ซิกเนเจอร์ (M2S Signature) ในคอลเลกชั่น สแกนดิเนเวียน ซัมเมอร์ (Scandinavian Summer) ได้แล้ววันนี้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดีย Instagram: @M2SSignature หรือ  Line: @M2SSignature หรือช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ที่ M2SSignature Line Shopping คลิกที่นี่เลย!