TRUBB งบไตรมาส 2 โตสนั่น พลิกกำไร 315.52%

บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป หรือ TRUBB ปิดงบไตรมาส 2/64 พลิกมีกำไร 119.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315.52% เทียบงวดเดียวกันปีก่อนขาดทุนสุทธิ 55.49 ล้านบาท อานิงส์ยอดขายน้ำยางข้น-ถุงมือยางและ ยางยืด บาทอ่อนหนุน ฟาก “ภัทรพล วงศาสุทธิกุล”มั่นใจผลงานปี 64 โตก้าวกระโดด หลังลุยขยายกำลังการผลิต รองรับออเดอร์ลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น

นายภัทรพล วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2/64 มีรายได้รวม 2,246.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.74% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 1,308.26 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 119.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315.52% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 55.49 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนยอดขายน้ำยางข้น และธุรกิจเส้นด้ายยางยืด รวมถึงการรับรู้รายได้จากธุรกิจถุงมือยาง ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญตามดีมานด์ที่สูงขึ้น ท่ามกลางการระบาดไวรัสโควิด-19 และสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังไม่สิ้นสุด

ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากเมื่อเปรียบเทียบราคายางพารา โดยราคายางปรับตัวขึ้น จาก 40.56 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2563 เป็น 58.33 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2564

ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 4,496.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.56% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 2,947.51 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 252.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,243.09% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 18.80 ล้านบาท

ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/64 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17.1% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.4% จากแนวโน้มราคายางที่อยู่ในระดับสูง

นายภัทรพล มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ของกลุ่มบริษัทในปีนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการขยายกำลังการผลิตใหม่ในธุรกิจน้ำยางข้น-น้ำยางแปรรูป และธุรกิจเส้นด้ายยางยืด รวมถึงการรับรู้รายได้จากธุรกิจถุงมือยาง เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยสนับธุรกิจธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

BGC โชว์ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 122 ล้าน พุ่งแรง 53%

บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ BGC เติบโตโดดเด่นสวนกระแสไตรมาส 2/2564 ทำกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท พุ่งแรง 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับดีมานด์บรรจุภัณฑ์ที่แข็งแกร่งและเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนใน BVP และ BGP ผู้ถือหุ้นเตรียมเฮรับบอร์ดอนุมัติปันผลระหว่างกาล 0.12 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ พร้อมไฟเขียวบริษัทย่อย ‘BGP’ ขยายการลงทุนบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน กำลังการผลิตสูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี คาดแล้วเสร็จในไตรมาสแรกปี 2566 รับแผนเติบโตและยกระดับสู่ Total Packaging Solutions ประเมินดีมานด์บรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลังยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น และฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมาที่มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศและห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาส 2/2564 มีรายได้จากการขาย 3,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจและศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น

ปัจจัยที่บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี มาจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการด้านการผลิตภายในโรงงาน โดยประสิทธิภาพในการผลิต (Efficiency Rate) ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 86.5% และในขณะเดียวกันบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ และบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ตามกลยุทธ์ยกระดับธุรกิจสู่ Total Packaging Solutions ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ที่มีรายได้จากการขาย 6,531 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มี Product Mixed ที่หลากหลายยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีเฉพาะบรรจุภัณฑ์แก้ว และยังทำให้บริษัทฯ มีอำนาจต่อรองที่ดีและสามารถเพิ่มยอดขายจากลูกค้าแต่ละราย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุนด้านต่าง ๆ โดยคาดว่าในปีนี้ทั้ง 2 บริษัทฯ (BVP และ BGP) จะมียอดขายรวมกันประมาณ 2,000 ล้านบาท” นายศิลปรัตน์ กล่าว

จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.12 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 83.33 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ และจะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 176 ล้านบาท สำหรับ BGP เพื่อเดินหน้าขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) กำลังการผลิตสูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มพอร์ตสินค้าและความหลากหลายด้านบรรจุภัณฑ์ ตอบสนองความต้องการกลุ่มถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนภายในประเทศที่มีอัตราเติบโตสูง ขยายผลิตภัณฑ์เข้าสู่ธุรกิจกลางน้ำ และรองรับเป้าหมายการเติบโตของกลุ่มบรรจุภัณฑ์ในอนาคต คาดว่าจะเริ่มการลงทุนขยายกำลังการผลิตในไตรมาส 1/2565 และแล้วเสร็จเริ่มผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายได้ภายในไตรมาส 1/2566 ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแผนการลงทุนที่จะขับเคลื่อนการเติบโตเพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2025

นายศิลปรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังยังมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามแผนงานที่วางไว้ และผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั้งปีเติบโตใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19 เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศและห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงวางเป้าหมายสร้างยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง แม้มีปัจจัยลบและความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ โดยเชื่อว่าหากกระจายวัคซีนแก่ประชาชนได้มากขึ้นและสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย จะส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ ทยอยเปิดกิจการ ทำให้ดีมานด์บรรจุภัณฑ์มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปีถือเป็นไฮซีซั่นหรือฤดูการขายสินค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ

ขณะที่กลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเร่งเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น และเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 10% ของรายได้รวม พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์ดีมานด์ในตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนปรับระดับสต๊อกสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านต้นทุน ทั้งการเพิ่มประเภทพลังงานที่ใช้เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนการใช้เศษแก้วในเตาหลอมเพื่อลดการใช้พลังงาน รวมถึงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิในเตาหลอมแก้ว ช่วยลดความสูญเสียของพลังงาน อย่างไรก็ตามสำหรับราคาโซดาแอช (Soda ash) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแก้วมีราคาลดลงอย่างต่อเนื่องและเศษแก้วยังคงมีราคาทรงตัว

PRM โชว์ผลงานครึ่งปีแรก กำไร 863.33 ล้าน เติบโต 9.7%

บมจ. พริมา มารีน หรือ PRM โชว์ผลงานครึ่งปีแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 863.3 ล้านบาท เติบโต 9.7% แม้มีปัจจัยลบจากโควิด-19 หลังรับรู้รายได้จากการให้บริการเรือ VLCC แก่กลุ่มไทยออยล์ และมีกำไรพิเศษจากแผนการปรับพอร์ตกองเรือให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรม ส่วนแผนครึ่งปีหลัง มองธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศและกลุ่มธุรกิจ Offshore ช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายปีนี้ให้เติบโตตามแผน

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2564 (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,879.81 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 863.33 ล้านบาท เติบโต 9.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจ PRM ที่แข็งแกร่งในฐานะที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ รวมทั้งจุดแข็งด้านโครงสร้างธุรกิจและพอร์ตกองเรือที่หลากหลายภายใต้หลักการบริหารงานด้วยความยืดหยุ่น โดยสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมทันต่อสถานการณ์และเอื้อให้เกิดประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงสุด จึงทำให้รับมือกับปัจจัยลบและความไม่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,455.96 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 429.22 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้ว่า COVID-19 ยังคงมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง โดยมีปัจจัยมาจากการให้บริการเรือขนส่ง VLCC ขนาด 300,000 DWT แก่กลุ่มไทยออยล์ ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และการรับรู้รายได้จากธุรกิจต่อเนื่องจากการซื้อไทยออยล์ มารีน (ปัจจุบันคือ ทรูธ มาริไทม์) รวมถึงมีกำไรพิเศษจากการจำหน่ายเรือในช่วงที่ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทฯ นำมาใช้บริหารพอร์ตกองเรือให้เหมาะสมกับภาวะของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป

“การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกมีความท้าทายเชิงการบริหารจัดการ ซึ่งเรายังทำผลงานเพื่อผลักดันการเติบโตได้ดี โดยเราปรับพอร์ตกองเรือให้สมดุลกับสถานการณ์ตลาดเพื่อบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น PRM ก็พร้อมปรับกลยุทธ์เป็นเชิงรุกได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันที” นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่า กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศจะเข้ามาช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง จากแผนมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้าไทยออยล์ รวมถึงกลุ่มธุรกิจเรือ Offshore ที่ปรับตัวดีขึ้นตามธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่มีกิจกรรมทางทะเลเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้ความต้องการใช้เรือ Crew Boat เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจดังกล่าวและช่วยผลักดันการดำเนินงานให้เติบโตตามแผน

NOBLE โชว์ผลงานครึ่งปีแรก กำไรโต 10%

บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ประกาศผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปี 2564 กวาดรายได้รวม 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY และกำไรสุทธิโต 10% YoY อยู่ที่ 786 ล้านบาท หลังยอดขายพุ่งแตะ 4,265 ล้านบาท พร้อมแจกข่าวดีจ่อปันผลระหว่างกาล 0.35 บาทต่อหุ้น เตรียม XD 24 สิงหาคม 2564 นี้ เดินเกมรุกบุกพัฒนาโครงการแนวราบต่อเนื่อง หวังกระจายพอร์ตสินค้า-สร้างการรับรู้ที่เร็วขึ้น ย้ำสภาพคล่องล้นเหลือจากเงินสดในมือและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกกว่า 6,100 ล้านบาท หนุนแผนลงทุนในและต่างประเทศฉลุย

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY และกำไรสุทธิเท่ากับ 786 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% YoY จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศ รวมถึงเป็นผลจากการโอนยอดขายรอโอน (Backlog) และจากยอดขาย (Pre-sales) โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) เช่น โครงการนิว โนเบิล แจ้งวัฒนะ โครงการโนเบิล บี33 สุขุมวิท โครงการโนเบิล เพลินจิต โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 โครงการโนเบิล แอมเบียนส์ สุขุมวิท 42 และโครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล เป็นต้น

ด้านยอดขาย (Pre-sales) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,265 ล้านบาท โดยกว่า 2,500 ล้านบาทเป็นยอดขายมาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอีกกว่า 1,700 ล้านบาทหลักๆมาจากยอดการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการคือโครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ และโครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา ประกอบบริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการออกแคมเปญ LAST PIECE, LAST PRICE สำหรับ 5 โครงการพร้อมอยู่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในช่วงครึ่งปีแรกยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 40% ของยอดขายรวมจากทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติในครึ่งปีแรกของปี 2564 สะท้อนถึงเครือข่ายกลุ่มลูกค้าที่แข็งแกร่งของบริษัทฯโดยเฉพาะประเทศจีน เป็นต้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวม 2,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% YoYจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 302 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากแรงกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2564 มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2564 จำนวน 0.35 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 479 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ย้อนหลัง 12 เดือนกว่า 10% สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในต้นกันยายนนี้

นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น) เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเป็นประมาณ  30% จากปัจจุบันที่มี 10% ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการพร้อมเปิดตัวทั้งแนบราบและคอนโดมิเนียมกว่า 10 โครงการ โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบหลากหลายทำเล อาทิ ถนนดอนเมือง, ถนนเอกมัย รามอินทรา, ถนนราชพฤกษ์, ถนนศรีนครินทร์  เป็นต้น

บริษัทฯ เห็นโอกาสในการเข้าซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เจ้าของที่ดินต่างนำที่ดินออกมาขายทอดตลาดในราคาที่เหมาะสมขึ้น ขณะที่ NOBLE มีความพร้อมทางด้านฐานะทางการเงินที่ดี ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 /2564 บริษัทฯมีกระแสเงินสดในมือรวมมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกกว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับอัตราการเติบโต และการขยายตัวในภาวะปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ

ส่วนกรณีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา NOBLE ยังไม่เห็นผลกระทบในแง่การโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถส่งมอบโครงการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ดียอดขาย (Pre-sales) ที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปีอาจเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเลื่อนการเปิดโครงการจากสถานการณ์โควิท-19 แต่บริษัทฯยังคงดำเนินการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการเช่น การขอใบอนุญาติที่เกี่ยวข้องในระหว่างที่รอให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 11,800 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.19 เท่า

นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในสหราชอาณาจักร ล่าสุดบริษัทฯได้ปิดดีลการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้ว 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 300 ล้านบาท ในเมืองแมนเชสเตอร์ และในชานเมืองลอนดอน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลกิจการ (Due Diligence) สุดท้าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยใช้จุดแข็งของ NOBLE ที่มีเครือข่ายในต่างประเทศรวมถึงการมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทฯยังมีดีลลงทุนซื้อโครงการในต่างประเทศอีก 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรในช่วง 3 ปีจากนี้ จะใช้งบลงทุนรวมประมาณ  250 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนตามสัดส่วน 45% ต่อโครงการ) โดยในปีแรกคาดจะใช้งบลงทุน 25 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ตามสัดส่วน 45%) และคาดว่าภายใน 3 ปี NOBLE จะมีส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในสัดส่วน 15%-20% ของกำไรสุทธิรวม

GPI ผลงานครึ่งปีแรกแข็งแกร่ง ทำกำไรสุทธิ 115.16 ล้าน

บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ GPI ชูผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกแข็งแกร่ง ทำกำไรสุทธิ 115.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2021 ธุรกิจรับจ้างพิมพ์และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.03 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้น XD วันที่ 25 สิงหาคมนี้ คาดรักษาผลการดำเนินงานทั้งปีไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา หลังไตรมาส 3/2564 เตรียมรับรู้รายได้เพิ่มจากธุรกิจรับจ้างพิมพ์ รุกปรับกลยุทธ์ธุรกิจจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดสู่รูปแบบออนไลน์ และพัฒนาแอปพลิเคชัน Car Buddy by GPI เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ มุ่งควบคุมค่าใช้จ่ายรับมือเศรษฐกิจผันผวน

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI ผู้นำสร้างสรรค์การจัดกิจกรรมให้บริการข่าวสาร ข้อมูล สาระ เพื่อสร้างประสบการณ์ และความบันเทิง ที่น่าประทับใจตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ยานยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถรักษาผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 เติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 123.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 748% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 16.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจัยที่บริษัทฯ สามารถรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาจากการรับรู้รายได้จากการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2021 ส่วนที่เหลืออีก 4 วัน รายได้จากธุรกิจรับจ้างพิมพ์ที่เพิ่มขึ้นและการมุ่งเน้นควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลดีต่อรายได้และผลกำไรที่เป็นไปตามเป้าหมาย

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก มีรายได้จากการขายและบริการ 448.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 976% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 115.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% โดยการเติบโตมาจากการรับรู้รายได้จากการจัดงานบางกอก อินเตอร์ มอเตอร์โชว์ 2021 ธุรกิจรับจ้างพิมพ์ และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564

ดร.ปราจิน กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในปี 2564 คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถรักษาผลการดำเนินงานไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาที่มีรายได้จากการขายและบริการกว่า 509.4 ล้านบาท แม้สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีความผันผวน และมีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบกระทบต่อการจัดกิจกรรมและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยจะมุ่งเพิ่มรายได้จากธุรกิจเดิมและมองโอกาสขยายการลงทุนธุรกิจใหม่ รวมถึงมุ่งเน้นการบริหารงานอย่างรัดกุมและควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทฯ มีงานรับจ้างพิมพ์ที่อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/2564 รวมมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท และได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการยานยนต์ มุ่งเน้นการนำเสนอกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ล่าสุดได้รับงานจากค่ายรถ Mini เป็นผู้จัดทำวิดีโอ พรีเซนเทชั่น เพื่อใช้โปรโมตภายในงานแนะนำรถกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และอยู่ระหว่างเสนองานกับผู้ประกอบการยานยนต์ชั้นนำจากยุโรปอีก 2 แบรนด์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกัน บริษัท ออโตเมทริกซ์ โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPI และ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านดิจิทัลมีเดียและการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) หลังจากได้ร่วมมือกันพัฒนาแอปพลิเคชัน Car Buddy by GPI เพื่อให้บริการค้นหาอู่ซ่อมรถใกล้บ้านและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการบำรุงรักษารถ ล่าสุดได้พัฒนาฟังก์ชันใหม่ให้บริการค้นหาศูนย์บริการทำความสะอาดรถ (Car Care) แก่ลูกค้าที่สนใจ  เพื่อโอกาสสร้างรายได้จากการใช้แอปพลิเคชันโปรโมตศูนย์บริการหรือกิจกรรมโปรโมชั่นต่างๆ ให้แก่ลูกค้า รวมถึงมีแผนนำฐานข้อมูลผู้เข้าชมแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ของบริษัทฯ ที่มีความต้องการซื้อรถรุ่นต่างๆ ในช่วงนี้ เพื่อเป็นคนกลางในการแมตชิ่งกับผู้ประกอบการยานยนต์แบรนด์ต่างๆ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจที่จะสร้างรายได้แก่บริษัทฯ ในอนาคต

นอกจากนี้ หลังจากบริษัทฯ เข้าถือหุ้น 25.45% ในบริษัท ทรูเอ็นเนอร์จี จำกัด เพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) จังหวัดนครสวรรค์ กำลังการผลิตติดตั้ง 9 เมกะวัตต์ (MW) ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนขอใบอนุญาตประกอบกิจการจากภาครัฐ หากสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ จะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจดังกล่าว

ส่งแรงใจเชียร์ “ต้นกล้า-นิปุณ” คว้ามงฯ Mister & Miss Supranational ในวันที่ 22 ส.ค. นี้

วสวัตติ์ วัฒนาศิริสมบัติ ผู้บริหาร Possible Dream Thailand พร้อมด้วย กรณ์ สรธัญธรณ์ ตัวแทนคณะผู้จัดการประกวด Mister & Miss Supranational Thailand 2021-2024 ได้นำ นิปุณ แก้วเรือน หรือ ต้นกล้า Mister Supranational Thailand 2021 เข้าเยี่ยมคารวะ นายเชษฐพันธ์ มากสัมพันธ์ เอกอัครราชทูต ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศโปแลนด์ ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ก่อนเข้าประกวดเวที Mister
Supranational 2021 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2564

ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้ให้กำลังใจ โดยกล่าวอวยพรให้ นิปุณ แก้วเรือน หรือ ต้นกล้า และ เบญจรัตน์ อัครวณิชศิลป์ เอบิ หรือ ควีนนี่ (ตัวแทนประเทศไทยที่จะเข้าร่วมการประกวด Miss Supranational 2021 ซึ่งอยู่ระหว่างการเก็บตัว) ประสบความสำเร็จในการประกวด พร้อมทั้งมอบเข็มกลัดสัญลักษณ์ธงชาติไทย-โปแลนด์ ในฐานะทูตสันถวไมตรี (Goodwill Ambassador)
ผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยสู่ชาวโลก ให้แก่ผู้เข้าประกวดทั้งสอง โดยมี อลิสา มากสัมพันธ์ ภริยาทูตไทย ประจำกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ และ ต่อพงศ์ สมิติ เลขานุการเอก ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมถ่ายทอดตำนานนกฟีนิกซ์ สัญลักษณ์ของ การสู้ไม่ถอย และ เกิดใหม่ได้เสมอ เปรียบเสมือนกับชนชาติโปแลนด์ ซึ่งตั้งแต่ประวัติศาสตร์ในอดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเจอกับความยากลำบากมาแค่ไหน ประชาชนโปแลนด์ก็มีจิตใจที่สู้ไม่ถอย พร้อมสร้างเมืองใหม่ ภายใต้สถาปัตยกรรมที่งดงามและมีเอกลักษณ์ดังเดิมได้เสมอ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็น UNESCO World Heritage Sites โดย

ฯพณฯ เอกอัครราชทูต พร้อมภริยาและเลขานุการเอกจะให้เกียรติเดินทางไปร่วมให้กำลังใจแก่ตัวแทนประเทศไทย ในวันประกวดจริงอีกด้วย ร่วมส่งกำลังใจให้ผู้เข้าประกวดทั้งสอง ผ่านการโหวตบนแอพพลิเคชั่น Supranational ใน หมวด Fan Vote เพื่อให้เป็นผู้มีคะแนนสูงสุดที่จะได้รับ “ฟาสต์แทร็ก” ในการเข้ารอบ 12
คนสุดท้าย เพื่อนำโครงการ From The Ground Up ที่สร้างสรรค์มุ่งหมายในการพัฒนาสังคมไทยให้ขยายใหญ่ไปเป็นระดับโลก หรือ ส่งคะแนนโหวตใน หมวด Talent Entry และชมคลิปผ่านแฟนเพจ และ ยูทูป ของกองประกวด Mister
Supranational และ Miss Supranational เพื่อส่งต้นกล้าและควีนนี่ให้มีโอกาสไปแสดงความสามารถบนเวทีใหญ่ให้โลกได้ประจักษ์ ได้ทาง  https://youtu.be/2upTlSTXlek และ https://youtu.be/Bt4qh84hS04

พร้อมร่วมส่งแรงเชียร์ให้แก่ ควีนนี่ ผ่านการถ่ายทอดสดบนแฟนเพจ Miss Supranational ในวันที่ 22 สิงหาคม 2564 เวลา 1:00 น. เป็นต้นไป และ ต้นกล้า ผ่านการถ่ายทอดสดบนแฟนเพจ Mister Supranational ในวันที่ 22
สิงหาคม 2564 เวลา 21:00 น. เป็นต้นไป

มิส แอนด์ มิสเตอร์ ซูปราเนชันแนล ไทยแลนด์ 2021 (Miss & Mister Supranational Thailand 2021) อีกหนึ่งเวทีคุณภาพที่จัดขึ้นเพื่อการคัดเลือกหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ บุคลิกภาพและความพร้อมที่จะขับเคลื่อนสังคม และร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ภายใต้แนวคิด
Aspirational & Inspirational โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง มิส แอนด์ มิสเตอร์ ซูปราเนชันแนล ไทยแลนด์ 2021 จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วมการประกวดบนเวทีระดับโลก มิส แอนด์ มิสเตอร์ ซูปราเนชันแนล 2021 (Miss & Mister Supranational 2021) 1 ใน 5 เวทีการประกวดระดับแกรนด์สแลม (Grand Slam) ที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดเวทีหนึ่งของโลก ในวันที่ 21-22 สิงหาคม 2564 ณ ประเทศโปแลนด์

LEO ไตรมาส2 กำไรพุ่ง 42.7 ล้าน ทุบสถิติใหม่ เติบโต 125%

LEO โชว์ผลงานสะท้านวงการโลจิสติกส์! ไตรมาส 2/64 กำไรเดือด 42.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125% YoY ส่วน 6 เดือนแรกกำไรสุทธิ 69.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% YoY สร้างสถิติสูงสุดใหม่ กำไรครึ่งปี 2564 มากกว่ากำไรของปี 2563 ทั้งปี รับอานิสงส์ค่าระวางเรือพุ่งกระฉูด ออเดอร์ทะลัก บิ๊กบอส “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์”ฉายภาพครึ่งปีหลังโตเด่น เข้าสู่ช่วง High Season ของการส่งออก แถมยังเริ่มเปิดฉากบุ๊กรายได้ขนส่งพัสดุและไปรษณีย์ภัณฑ์ ให้กับ China Post Group ในไตรมาส 3 หนุนผลงานปี 64 ออลไทม์ไฮ ตามนัด บอร์ดใจป้ำ ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.07 บาท / หุ้น

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 2/64 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ) มีรายได้รวม 559.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 310.0 ล้านบาท  มีกำไรสุทธิ 42.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 19.0 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรก มีรายได้รวม 1,033.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 538.1 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 69.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 28.3 ล้านบาท  และยังทำให้กำไรสุทธิของผลประกอบการครึ่ง ปี 2564 ที่ 69.8 ล้านบาทนี้ มากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2563 ที่ทำได้ 57.8 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 และครึ่งปีแรกที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังทำ New High อีกทั้งปริมาณความต้องการขนส่งทางเรือและอากาศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งระหว่างประเทศทางเรือของบริษัทฯ ในระยะเวลา 6 เดือนของปี 2564  เติบโตเพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 และมีรายได้เพิ่มขึ้น 144% เมื่อเทียบกับปีก่อน   และมีแนวโน้มโตต่อเนื่องถึงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ ด้วยการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์และการบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้ทางบริษัทฯ สามารถจัดหาพื้นที่และตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งสินค้าได้ตามความต้องการของผู้ส่งออก    จึงทำให้บริษัทฯ มีลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2563 ถึง 40% และปริมาณตู้เพิ่มขึ้นถึง 52% (YoY)

นายเกตติวิทย์ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในความเชื่อมั่นของนักลงทุน  ที่มีต่อหุ้นของ LEO และรักษาคำมั่นสัญญาของบริษัทฯ ที่ตั้งใจจะทำให้หุ้น LEO เป็น BLUE CHIP STOCK  ของธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในไทย ทางคณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาท และสำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้  คาดว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วง High Season ของการส่งออก อีกทั้งในไตรมาส 3/64 บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากการร่วมเป็นพันธมิตร China Post Group ในการขนส่งพัสดุและไปรษณีย์ภัณฑ์ โดยเฉพาะ  E-Commerce ระหว่างประเทศ ผลักดันรายได้และกำไร  All Time High ตามแผนงานที่วางไว้ และจะมีการประกาศปรับเป้าหมายในการเติบโตของรายได้ใหม่ในเร็วๆ นี้

SONIC โชว์ครึ่งปีแรกของ 64กำไรพุ่ง 312.91%

โซนิค อินเตอร์เฟรทฯ  ปลื้ม 6 เดือนแรก ของปี  64 รายได้เพิ่มขึ้น 114.41 % และกำไรพุ่งกว่า 312.91%  เดินหน้าปรับเป้ารายได้ปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 60% ลั่นสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ไม่กระทบการให้บริการขนส่ง  เหตุมีการเตรียมความพร้อมการบริหารงานจัดการตั้งแต่ระลอกแรก  เดินหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงรักษาฐานลูกค้าเดิมอย่างเหนียวแน่น

ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC ผู้นำธุรกิจให้บริการการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรระดับภูมิภาค เปิดเผยว่า จากการประเมินภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทตั้งแต่ต้นปี2564จนถึงปัจจุบัน พบว่า SONIC  มีรายได้รวมเติบโตเกินเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทได้ปรับเป้าหมายรายได้ปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็นเติบโต 60%จากเดิมที่ตั้งเป้าว่าจะเติบโต 20%

โดยผลประกอบการของบริษัทใน 6 เดือนแรก สิ้นสุด 30 มิ.ย. 2564  บริษัทมีกำไรสุทธิ  82.54 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 312.91% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.99 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 525.60 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 ที่มีกำไรสุทธิ  6.68 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 2.55% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ที่มีกำไรสุทธิ 40.75 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 1,279.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114.41 %  เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2563 โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ 136.19 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 / 64  เท่ากับ 11.59%

ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการให้บริการขนส่งทางเรือ 997.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน  161.55%  โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 เท่ากับ  189.97 %  และเพิ่มจากไตรมาส 1 ปี 64 เท่ากับ  14.11%   รายได้จากบริการขนส่งทางบก 218.17 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 24.11% โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ  32.78 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 /64  เท่ากับ  3.63%  รายได้จากบริการขนส่งทางอากาศ 57.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 68.03% โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 เท่ากับ  69.07 % และลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 1 ปี 64  เท่ากับ 3.83% รายได้จากการให้บริการอื่นๆ 6.32 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 19.25 % โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ 96.06 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 64  เท่ากับ 70.09%

ดร.สันติสุข กล่าวต่อว่า ผลประกอบการของบริษัท 6 เดือนแรก ของปี 64 เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้  มีเติบโตอย่างก้าวกระโดดและโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้   แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ที่รุนแรงขึ้น แต่การให้บริการด้านขนส่งของบริษัทไม่ได้มีปัญหา  เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการให้บริการขนส่งสินค้าของลูกค้า  ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด 19 ในระลอกแรก  และได้เตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าของลูกค้า  จึงทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าเดิมและจากกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่มีเพิ่มมากขึ้น

“SONIC ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การบริการขนส่งของเราไม่มีปัญหา  ลูกค้ายังให้ความเชื่อมั่นคุณภาพการให้บริการของ SONIC ลูกค้าเก่ายังเหนียวแน่น ขณะที่ลูกค้าใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เราลุยขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ” ดร.สันติสุข กล่าว

โดยกลุ่มลูกค้าหลัก ยังมาจากการให้บริการขนส่งทางทะเล ที่มีสัดส่วนรายได้ถึง  78 %  การบริการขนส่งทางบก  17 % การบริการทางอากาศ 4.5 % และสัดส่วนรายได้อื่น ๆ อีก 0.5%  นอกจากนี้ในไตรมาส 2/64 บริษัท ยังมีรายได้ดอกเบี้ยจากการให้เช่าซื้อรถหัวลาก 1.52  ล้านบาท จากไตรมาส 1 ปี 64 มีรายได้  0.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 94.87%

นอกจากนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64  ได้มีมติอนุมัติการลงทุนเพื่อขยายพื้นที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์ โดยลงทุนในที่ดินเพิ่มจำนวน  33 ไร่  ซึ่งเป็นที่ดินที่ติดกับแปลงเดิมใน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

SAK ดันพอร์ตสินเชื่อครึ่งปีแรก 2564 ทำได้ 7,649 ล้าน

บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง’ หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย โชว์ผลดำเนินงานไตรมาส 2/2564 พอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 7,649 ล้านบาท เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ จากการขยายสาขาใหม่ได้เร็วกว่าแผน และบริหารควบคุมหนี้ NPLs อยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงวิกฤต Covid- 19   ด้านผู้บริหาร SAK ประกาศยืนเคียงข้างประชาชน ปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการสร้างอาชีพ มั่นใจทั้งปีพอร์ตสินเชื่อแตะ 8,400 ล้านบาท 

นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้แบรนด์ ศักดิ์สยามลิสซิ่ง เปิดเผยว่า จากปัจจัยการแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลง และกระทบต่อประชาชนที่ขาดแคลนเงินทุนในการประกอบอาชีพ SAK ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนและเข้าใจในความต้องการของประชาชนที่ต้องการสินเชื่อ เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในชีวิตประจำวันหรือนำไปลงทุนประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว บริษัทฯ ได้ยึดมั่นการปล่อยสินเชื่อที่เป็นธรรม เข้าใจ เข้าถึงประชาชน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าเข้าถึงแหล่งเงินทุนในไตรมาส 2/2564 (เมษายนมิถุนายน) พอร์ตสินเชื่อรวม 7,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2564 (มกราคม – มิถุนายน) SAK ได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนไปแล้วกว่า 1,243.4 ล้านบาท คิดเป็น 91.1% จากเป้าหมายการขยายพอร์ตสินเชื่อทั้งปี 8,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ การดำเนินงานที่เข้มแข็งมาจากขีดความสามารถการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการสินเชื่อ จากแผนขยายสาขาครบ 200 แห่ง ได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ รวมถึงบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ แม้ที่ผ่านมา บริษัทฯ จะมีมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนจากการแพร่ระบาดโควิด19 ก็ตาม โดยยังคงบริหารควบคุมหนี้ NPLs อยู่ในระดับ 2-2.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 ทำได้ 137.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 18.5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.5% เมื่อเทียบไตรมาส 1/2564 ที่ทำกำไรสุทธิ 118.6 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคมมิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 255.7 ล้านบาท 

ส่วนภาพรวมการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ที่ปัจจัยลบ Covid-19 บริษัทฯ มีความห่วงใยและเข้าใจประชาชนที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก โดย SAK พร้อมนำศักยภาพการดำเนินงานในทุกมิติและฐานทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพและหมุนเวียนในด้านต่างๆ ซึ่งการขยายได้เร็วกว่าแผนทำให้มีโอกาสในการเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเร็วขึ้น ขณะที่มีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการเปิดที่ทำการใหม่แล้วในครึ่งปีแรก ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง ที่บริษัทฯ จะนำประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมานานกว่า 25 ปี ที่มีความเชี่ยวชาญการจัดเก็บหนี้ ด้วยหลักปฏิบัติที่เป็นธรรม เป็นมิตรและเข้าใจลูกค้า โดยไม่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมค่าทวงถามหนี้จากการผิดนัดชำระมาอย่างยาวนาน ดังนั้น การเข้ามากำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่อง การลดค่าติดตามทวงถามจึงไม่ผลกระทบต่อการดำเนินการของบริษัทฯ แต่อย่างใด  

เรามีความเข้าใจในความเดือดร้อนของประชาชนที่รับผลกระทบ Covid -19 และพร้อมยืนเคียงข้างในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อนำไปประกอบอาชีพให้แก่ลูกค้า ด้วยความเป็นธรรม เข้าใจและเข้าถึง โดยที่ผ่านมาเราได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเร่งด่วน ทั้งการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้นานขึ้น การลดค่างวด คิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมไม่เกินร้อยละ 22 ต่อปี เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดโดยให้การช่วยเหลือประมาณ 1.9% ของพอร์ตสินเชื่อ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ที่ต้องการนำไปประกอบอาชีพ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้พอร์ตสินเชื่อของเราจะอยู่ที่ 8,400ล้านบาท”  นายศิวพงศ์ กล่าว 

BEAUTY เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ขาดทุนลดลง 42.7%

BEAUTY เผยผลประกอบการ Q2/64 รายได้รวม 81.74 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 42.7% แนวโน้มครึ่งปีหลังยังคงได้รับผลกระทบโควิด-19 เดินหน้าตามแผน ลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย รักษาสภาพคล่องกระแสเงินสดในเกณฑ์ดี เตรียมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่พร้อมลุยหลังโควิด-19 คลี่คลาย

นพ.สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้นำธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม สุขภาพและบำรุงผิวด้วยแนวคิด Live a beautiful life เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้รวม 81.74 ล้านบาท ลดลง 36.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 128.93 และลดลง 40.5% จากไตรมาส 1/64 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 137.41 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 35.18 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 42.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 61.36 ล้านบาทโดยสัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศ 21% ตลาดในประเทศ 79%

ทั้งนี้ ผลขาดทุนทางบัญชี 35.18 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) จำนวน 21.51 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยการตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ (Stock Provision) 14.45 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายจากการปิดสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไร 5.69 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานจากการปรับฐานกำลังคน 1.37 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ขาดทุนอยู่ที่ 13.67 ล้านบาท

สาเหตุที่ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากทุกช่องทางการจำหน่ายของบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ระบาดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยตลาดในประเทศ ช่องทางร้านค้าปลีกยอดขายลดลงเนื่อง ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยลดลง จำนวนลูกค้าในห้างน้อยลงอย่างมาก นักท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าวบริษัทดำเนินการปิดสาขาร้านค้าปลีกที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ลง จำนวน 62 สาขา จากต้นปี 64 มีสาขา 113 สาขาซึ่งทำให้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 51 สาขา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ลดลง เช่น ค่าเช่าร้านค้า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขายลดลง

สำหรับช่องทางสินค้าอุปโภค (consumer product ) ไม่ว่าจะเป็น โมเดิร์นเทรด เจอร์เนอร์รัลเทรด ได้รับผลกระทบทั้ง supply chain ความคล่องตัวในการติดต่อประสานงาน การเจรจาทางการค้าลดลง ส่งผลให้การกระจายสินค้าไปถึงผู้บริโภคล่าช้าอย่างมาก ประกอบกับผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน สำหรับตลาดต่างประเทศทั้ง 11 ประเทศ ได้รับผลกระทบทั้งหมดโดยเฉพาะตลาดจีน กลุ่มลูกค้าในประเทศจีนเปลี่ยนพฤติกรรมซื้อสินค้าออนไลน์ที่เป็นสินค้าจีนมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมให้คนในประเทศใช้สินค้าแบรนด์จีน และเข้มงวดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบการท่องเที่ยวต่างประเทศ ทำให้ความนิยมในสินค้าในต่างประเทศลดลง ซึ่งทำให้ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทต้องกลับมาทำการตลาดใหม่อีกครั้ง

ขณะที่ ผลประกอบการครึ่งปีแรก 64 บริษัทมีรายได้รวม 219.15 ล้านบาท ลดลง 45.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 399.25 ล้านบาท และมีขาดทุนทางบัญชีสุทธิ  50.31 ล้านบาท ขาดทุนลดลง  50.2 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 101.04 ล้านบาทสำหรับผลขาดทุนที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครึ่งปีแรกมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 164.59 ล้านบาท ลดลง 49.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 325.15 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย

ภาพรวมของอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 31.9% ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 51.3% เนื่องจากมีการตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ (Stock Provision) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (onetime expense) จำนวน 14.45 ล้านบาท แต่ถ้าหากไม่นับ Stock Provision อัตรากำไรขั้นต้น จะอยู่ในระดับปกติที่ 52%  สาเหตุที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง มาจากการชะลอตัวของยอดขายช่วงภาวะโรคระบาดรุนแรงต่อเนื่องเกือบ 2 ปี ที่ผ่านมาทำให้สินค้าระบายออกช้าทุกช่องทางทั้งในประเทศและต่างประเทศและสินค้าบางส่วนหมดอายุ บริษัทต้องตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพเพื่อเน้นนโยบายที่จะรักษาคุณภาพของสินค้าทุกๆด้าน ให้สินค้าทุกชิ้นมีคุณภาพสูงก่อนที่จะถูกส่งออกไปจำหน่ายให้กับลูกค้าทุกช่องทาง

นายแพทย์สุวิน กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง คาดว่าระบบการค้าทั้งประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังไม่มีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นเมื่อใด ดังนั้นบริษัทจะต้องปรับตัวทั้งรูปแบบธุรกิจและกำหนดกลยุทธ์ใน 3 ด้านหลักเพื่อรับมือวิกฤตดังกล่าว ประกอบด้วย 1. ปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Re-structure) 2. พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re-model) 3. ขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีการขยายตัวสูง (Re-new) มุ่งเน้นขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีโอกาสขยายตัว สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะการเปิดสาขาร้านค้าปลีก เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากฐานลูกค้าในประเทศ และสามารถสร้างตลาดที่ครอบคลุมในระยะยาว ประกอบด้วย

ช่องทางสินค้าอุปโภค (Consumer Product) กลุ่มสินค้า Fast Moving Consumer Goods ( FMCG ) ผ่านผู้ค้าส่งเครื่องสำอางรายใหญ่ในแต่ละ ภูมิภาค (Local Distributor) โดยมีแผนแต่งตั้ง Distributor รายใหญ่ 8 รายที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบันแต่งตั้งเรียบร้อยแล้วจำนวน 5 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 5 เขต 49 จังหวัด โดยตั้งเป้าวางจำหน่าย 16,696 ร้านค้าให้แล้วเสร็จในปีนี้ วางเป้าหมายยอดขาย เป็นสัดส่วน 9.2 % ของรายได้รวม ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วน 4.2% จากเดิมที่  1.1 %

ช่องทางอีคอมเมิร์ซ( E-Commerce) เพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้า โดยสามารถซื้อขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัทและระบบแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ ( Market Place Platform ) ชั้นนำต่างๆ อาทิ Lazada, Shopee, Konvy รวมทั้งพัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างระบบอีคอมเมิร์ซให้มีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้วางเป้าหมายผลักดันยอดขายเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 12.5 % ของรายได้รวม จากเดิมอยู่ที่ 4.5 % โดยปัจจุบันสร้างสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 14.5%

นอกจากนี้ บริษัทได้เริ่มนำกลยุทธ์สร้างพันธมิตร Alliance Strategy มาปรับใช้เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ แม้ในช่วงสถานการณ์โควิดจะได้รับผลกระทบ แต่ก็เป็นช่วงที่บริษัทมีการเตรียมการประกาศหาพันธมิตรสร้างความร่วมมือทางธุรกิจแบบเปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไป อาทิ แม่ค้าออนไลน์ Influencer blogger you-tuber ห้าง ร้าน บริษัท เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าและช่องทางการจำหน่าย สำหรับสินค้าหมวด Health & Beauty เช่น อาหารเสริม สมุนไพร อาหารเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และสินค้าหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ กลุ่ม Health & Beauty โดยบริษัทมีนโยบายเปิดรับความคิดใหม่ๆ แบบไม่จำกัดรูปแบบและวิธีการ เพื่อสร้างความร่วมมือทั้งผลิตร่วม จำหน่ายร่วม ตัวแทนจำหน่าย

สำหรับสินค้าใหม่ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2564 บริษัทได้ออกสินค้าใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 14 Items 14 SKUs เพื่อช่วยผลักดันยอดขาย และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนออกสินค้าใหม่ต่อเนื่องเพิ่มอีก 16 Items 16 SKUs  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าขนาดเล็ก (sachet) เพื่อจำหน่ายในช่องทางสินค้าอุปโภค (consumer product)

แนวโน้มตลาดต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ในประเทศจีนคาดว่าคำสั่งซื้อมีแนวโน้มการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เข้าสู่ช่วงเทศกาลโปรโมชั่น 11 เดือน 11 รวมทั้งยังมีการพัฒนาโมเดลการขายในต่างประเทศใหม่ “Product License” เพื่อความสะดวกในการพัฒนาสินค้าใหม่ และการบริหารจัดการในประเทศจีน โดยมีแผนแต่งตั้งตัวแทน License Product อีก 1 ราย  สำหรับสินค้าทั้งหมด 10 SKUs คาดว่าจะแต่งตั้งแล้วเสร็จภายใน   ไตรมาส 3 อีกทั้งบริษัทมีแผนแต่งตั้ง บริษัท เวิร์คสมาร์ท เพลย์ฮาร์ดเดอร์ จำกัด (WSPD) เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้า BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE ในรูปเเบบ Shop License แต่เพียงผู้เดียวในประเทศกัมพูชา

“ในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย รักษาสภาพคล่องกระแสเงินสดในเกณฑ์ดี เพื่อรองรับสถานการณ์และสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และเตรียมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ คาดว่าหากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มปรับตัวดีขึ้น โครงสร้างธุรกิจใหม่และแผนงานที่เตรียมไว้จะส่งผลดีกับผลประกอบการของบริษัทในอนาคต” นายแพทย์สุวิน กล่าว