9 สารพัดวิธีปรุง จะปิ้ง ย่าง อบแห้ง รวมให้แล้วในเครื่องเดียว

หม้อทอดไร้น้ำมัน…ที่ทำได้มากกว่าทอด คือ นิยามของหม้อทอดรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Tefal จากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความต้องการทำอาหารที่หลากหลายของผู้บริโภค บนพื้นที่ครัวที่จำกัด Tefal จึงมุ่งมั่นที่จะขยายความหมายของคำว่าหม้อทอดไร้น้ำมันให้กว้างขึ้น ด้วยความพิเศษที่สามารถทำได้ทั้งทอด ปิ้ง ย่าง เผา อบอาหาร อบขนม อบแห้ง ปิ้งขนมปัง และอุ่นอาหาร เพราะ Tefal เชื่อว่าความหลากหลายของวิธีปรุงคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้วัตถุดิบต่าง ๆ ในครัว กลายเป็นรสชาติที่มีชีวิตชีวาขึ้นบนจานอาหาร และสร้างความสุขให้ครอบครัว

การมาถึงของ ‘หม้อทอดไร้น้ำมันอเนกประสงค์’ จาก Tefal ได้เปลี่ยนความยุ่งยากในการทำอาหารหลากหลายให้กลายเป็นเรื่องง่าย เพราะไม่ต้องหงุดหงิดกับการมีเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวหลายชิ้น แล้วไม่มีที่เก็บ และไม่ต้องทำความสะอาดเครื่องใช้มากมายในการทำอาหารแค่มื้อเดียว ทั้งยังไม่ต้องกังวลกับควันรบกวน หรือไอน้ำมันที่กระเด็นจากอุปกรณ์แบบเดิมๆ เพราะ Tefal ได้ยกระดับวงการหม้อทอดไร้น้ำมันให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น ด้วยผลิตภัณฑ์ Tefal Easy Fry Oven & Grill 9 in 1 หม้อทอดไร้น้ำมันอเนกประสงค์ ที่ทำได้มากกว่าทอด ด้วย 9 ฟังก์ชันปรุงอาหารรวมไว้ในเครื่องเดียว ทันสมัยด้วยหน้าจอระบบสัมผัส พร้อม 8 โปรแกรมทำอาหารอัตโนมัติ เต็มอิ่มด้วยความจุขนาดใหญ่พิเศษ XXL 11 ลิตร ทำอาหารพร้อมกันได้สูงสุดถึง 3 มื้อในครั้งเดียว หน้าต่างกระจก พร้อมหลอดไฟด้านใน ทำให้มองเห็นอาหารขณะปรุงได้ เลือกปรับอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 45 – 200 องศาเซลเซียส อบอาหารและอบขนมได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องอุ่นเตาก่อน พร้อมอุปกรณ์เสริมอีก 7 ชิ้น ได้แก่ ตะแกรง 2 ชิ้น ตะกร้าทอด ถาดรองน้ำมัน แกนเสียบไก่หมุน อุปกรณ์คีบไก่หมุน และตะแกรงย่างเนื้อเหล็กหล่อ

ตะแกรงย่างเนื้อเหล็กหล่อ (Die Cast Grill Grid) ที่แถมมากับหม้อทอดรุ่นนี้ ทำให้การย่างเนื้อแบบ Real Grill ทำได้แล้วในหม้อทอดไร้น้ำมัน ได้เนื้อที่สุกในระดับที่ต้องการ มีความนุ่มชุ่มฉ่ำแบบพอดี ได้รสชาติจัดเต็มไม่ต่างจากการปิ้งย่างบนเตา แต่ไร้ควันรบกวน ทำให้คุณสามารถเนรมิตเมนูโปรดไม่ว่าจะเป็นปิ้งย่างเกาหลี เนื้อริบอายย่าง หรือแม้แต่หมูกระทะก็ทำได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ซึ่งหม้อทอดรุ่นอื่นๆไม่สามารถให้คุณได้มาก่อน

ไม่ว่าจะเนื้อที่นุ่มชุ่มฉ่ำสำหรับมื้อหลัก อาหารทอดกรอบไร้ไขมันสำหรับกินเล่น ผักผลไม้อบแห้งที่คงความสดและสุกในแบบต่าง ๆ Tefal Easy Fry Oven & Grill 9in1 ก็พร้อมตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายในแต่ละมื้อของวัน

สร้างสรรค์ประสบการณ์ความอร่อยในแบบฉบับของตัวเอง ด้วยหม้อทอดไร้น้ำมันอเนกประสงค์ ที่ทำได้มากกว่าทอด Tefal Easy Fry Oven & Grill 9in1 ราคาปกติ 12,900 บาท โปรโมชั่นพิเศษ แถมฟรีทันทีหม้อหุงข้าว Tefal รุ่น RK6011 มูลค่า 2,390 บาท ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2564 – 31 ธันวาคม 2564 สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ก่อนใครที่เซ็นทรัลและโรบินสัน หรือซื้อออนไลน์ผ่านทาง Central Online, Central App, Central Chat & Shop และ Call & Shop

กินอยู่อย่างสร้างสรรค์จากปัจจัยสี่ สร้างความสุขและสุขภาพดีในวิถีใหม่

‘บ้าน’ นับเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่เป็นพื้นฐานหลักในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน บ้านเป็นมากกว่าสถานที่พักอาศัย ความสำคัญของบ้านทวีคูณยิ่งขึ้นเมื่อสมาชิกอยู่พร้อมหน้ากันนานขึ้น ต้องบริหารจัดการพื้นที่เพื่อประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกัน อาทิเช่น เป็นห้องเรียนออนไลน์ เป็นออฟฟิศ รวมถึงเป็นแหล่งผลิตอาหารเพื่อลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกบ้าน

โครงการเนสท์เล่เพื่อเด็กสุขภาพดี (Nestlé for Healthier Kids) ใส่ใจในสุขภาวะทั้งทางกายและทางอารมณ์ของทุกคนในครอบครัว เล็งเห็นโอกาสในการส่งเสริมกิจกรรมที่สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้เวลาคุณภาพร่วมกันได้อย่างง่าย ๆ ภายในบ้าน ผนวกกับความเข้าใจในธรรมชาติของเด็กที่ต้องสนุกซุกซน และมีความสุขจึงจะก่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการที่ดี จึงเดินหน้าสานต่อแคมเปญออนไลน์ #เมนูหนูช่วยทำ ตอน สนุกสุขโซน นำเสนอกิจกรรมสร้างความสนุก ความสุข และสุขภาพดีในครอบครัว ผ่าน 3 โซนกิจกรรมสุดหรรษา ได้แก่ โซนนักสำรวจ โซนครัวหรรษา และโซนคิดส์สร้างสรรค์ ที่เปิดโอกาสให้ทุกครอบครัวได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกันภายในบ้าน ในการเตรียมมื้ออาหารให้สนุกและมีสีสัน ให้เด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมลงมือทำจนสำเร็จ ซึ่งจะเป็นการช่วยฝึกทักษะการคิดจากสมองส่วนหน้า (EF: Executive Function) สร้างความมั่นใจ และ สร้างพฤติกรรมสุขภาพหมู่ร่วมกันในครอบครัว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 – 11 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ผ่านทางเฟสบุ๊คเพจ https://www.facebook.com/N4HKThailand

ล่าสุด นางกนกทิพย์ ปริญญานุสสรณ์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาและสื่อสารโภชนาการเพื่อสุขภาพ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด รายงานผลความสำเร็จของแคมเปญและเสียงตอบรับจากพ่อแม่ และผู้ปกครองที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า “ในปีนี้ กิจกรรมภาคต่อของ #เมนูหนูช่วยทำ ตอน สนุกสุขโซน ได้รับการตอบรับที่ดี และเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจากปีที่แล้ว รวมทั้ง 3 โซนกิจกรรมแล้ว เราได้รับ 400 ไอเดียจาก เกือบ 300 ครอบครัวไทย โดยเมนูอาหารที่ทุกครอบครัวส่งเข้ามามีความหลากหลายทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน และตั้งชื่อได้สร้างสรรค์ดึงดูดใจ อาทิเช่น ผัดดาวตกหน่อไม้ฝรั่ง แซนวิชปาร์ตี้สวนสัตว์ พัฟไข่ข้นปูอัด บัวลอย 3 สี พุดดิ้งไมโลผลไม้รวม Our Heart Tart Fruity เป็นต้น เราได้เห็นเมนูพิชิตใจแต่ละบ้านที่เติมคุณค่าทางโภชนาการด้วยผักผลไม้หลากสี และมีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ที่ได้รับสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ ที่สำคัญคือ ทีมงานได้เห็นภาพความน่ารักที่น่าประทับใจของพ่อแม่ ผู้ปกครองและเด็ก ๆ ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ รับรู้ได้ถึงความตั้งใจจริงผ่านแววตาที่มุ่งมั่นของเด็ก ๆ ขณะลงมือทำ และได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นศิลปะบนจานอาหารจนสำเร็จ อีกทั้งยังได้รับคอมเม้นท์เชิงบวกอีกมายมายจากผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของช่วงเวลาแห่งความสุขที่สร้างขึ้นได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน การค้นพบพื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่ในห้องครัวที่ช่วยให้ลูกมีสมาธิกับการตัด หั่น ผัก ผลไม้ หรือตวงส่วนผสม ฝึกความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมไปถึงช่วยให้ลูกเจริญอาหาร กินอาหารได้หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่เลือกกินเฉพาะแต่สิ่งที่ชอบหรือคุ้นเคยแต่อย่างเดียว”

ทั้งนี้ จากผลสำเร็จของกิจกรรม #เมนูหนูช่วยทำ ตอนสนุกสุขโซน ทางโครงการเนสท์เล่เพื่อเด็กสุขภาพดีได้สรุปเป็นแนวทางการใช้พื้นที่บ้านเชิงสร้างสรรค์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สร้างความสุขและสุขภาพดีในครอบครัว นำโดยผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ รณสิงห์ รือเรือง นักจิตวิทยาคลินิก ระดับชำนาญการพิเศษ และ นางทัศนีย์ สิทธิรัตน์ ณ นครพนม ผู้จัดการฝ่ายชำนาญการพิเศษด้านอาหาร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด นำเสนอมุมมองใหม่ในการใช้ปัจจัยสี่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพและการเรียนรู้ของเด็กเมื่อต้องอยู่ที่บ้านเป็นเวลานาน โดยยึดหลักการกินอยู่อย่างสร้างสรรค์ ได้แก่ 1.อาหาร – การทำอาหารช่วยให้เด็กได้ฝึกทักษะและพัฒนาการรอบด้าน ทั้งการพึ่งพาตนเอง (Self – Reliance) การควบคุมตนเอง (Self – Control) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) อีกทั้งยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบ ทั้งการเลือก การใช้คุ้มค่า และประโยชน์ต่อร่างกายด้วย 2. ที่อยู่อาศัย – การจัดโซนกิจกรรมภายในบ้านและแบ่งแยกให้ชัดเจน ช่วยฝึกให้เด็กรู้จักตัวตนของตัวเอง (Self- Identity) รู้จักหน้าที่ มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและส่วนรวม และสามารถพัฒนาศักยภาพในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยตัวเอง 3. เครื่องนุ่งห่ม – เครื่องแต่งกายช่วยสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง (Self – Image) ในเด็ก พ่อแม่สามารถช่วยสอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องกาลเทศะได้ง่าย ๆ จากการแต่งกายในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมกับสถานที่และกิจกรรม รวมไปถึงการดูแลเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัย เช่นเมื่อเข้าครัวทำอาหาร ให้สวมผ้ากันเปื้อนเพื่อป้องกันคราบสกปรก สวมหมวกคลุมผมเพื่อสุขอนามัย และใส่ถุงมือกันความร้อนเพื่อความปลอดภัย 4. ยา – การกินอาหารให้ถูกต้องหลักตามโภชนาการ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนับเป็นยาชั้นดี เป็นวัคซีนธรรมชาติที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและจิตใจแจ่มใส สำหรับการใช้ชีวิตในบ้าน แนะนำให้กินอาหารหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน อาทิเช่น กลุ่มวิตามิน A ที่ช่วยในการบำรุงสายตา สามารถพบได้ใน แครอท ผักกาดหอม แคนตาลูป ฯลฯ วิตามิน C ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคหวัด พบได้ใน ส้ม ฝรั่ง บรอคโคลี่ ฯลฯ รวมถึงวิตามิน D ช่วยส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียม ช่วยให้กระดูกแข็งแรง พบได้ใน เนื้อปลาที่มีมัน ไข่แดง นมวัว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดที่ให้ทุกครอบครัวสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และโภชนาการที่ดีสำหรับเด็ก

นอกจากนี้ อาจารย์รณสิงห์ รือเรือง ยังได้แบ่งปันเคล็ดไม่ลับให้กับพ่อแม่ และผู้ปกครองทุกคนนำไปปรับใช้เพื่อสร้างเวลาคุณภาพร่วมกับลูกที่บ้านได้อย่างมีความสุข โดยให้ข้อคิดทางจิตวิทยาว่า “อยากให้พ่อแม่ และผู้ปกครอง ปรับทัศนคติที่มองว่าการเรียนออนไลน์ของเด็ก ๆ เป็นการเพิ่มภาระให้ต้องดูแลบุตรหลานมากขึ้น แต่ให้มองในเชิงบวกว่าเป็นโอกาสทองสำหรับการเรียนรู้ของเด็ก เนื่องจากการเรียนที่บ้านทำให้เด็กมีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ พ่อแม่สามารถปรับวิธีการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตัวเด็กได้เอง โดยไม่ต้องยึดติดกับแบบแผนเหมือนเรียนที่โรงเรียน และการจัดตารางเวลาให้ชัดเจน แบ่งแยกเวลาส่วนตัวเพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ เช่น เวลาเรียน เวลาทำงาน และแบ่งเวลาส่วนร่วมเป็นเวลาของความสุข (Recreation) ที่สมาชิกได้ผ่อนคลายร่วมกัน และที่สำคัญพ่อแม่ไม่ควรนำบทบาทของพ่อแม่และครูมาปนกัน เพราะอาจจะทำให้ลูกปฏิเสธการสอนของพ่อแม่ บทบาทของพ่อแม่ คือ การมอบความสุขให้กับลูก มีหน้าที่คอยสนับสนุนให้เด็กมีความสุข สนุกสนาน และได้เรียนรู้ในแบบของตัวเองได้อย่างเต็มที่”

สุดท้ายนี้ นางกนกทิพย์ ปริญญานุสสรณ์ กล่าวปิดท้ายถึงแผนการดำเนินงานของโครงการเนสท์เล่เพื่อเด็กสุขภาพดีว่า “เนสท์เล่ขอขอบคุณทุกการตอบรับที่ดีจากทุกครอบครัวที่ร่วมกิจกรรม #เมนูหนูช่วยทำ ตอนสนุกสุขโซน และในอนาคตยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านต่างๆ เพื่อนำเสนอกิจกรรมสนุกๆ และสร้างสรรค์ที่จะช่วยปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้เด็กไทย สร้างเวลาคุณภาพในครอบครัว เพื่อให้เด็กๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจที่จะเป็นพลังและอนาคตของสังคมไทยต่อไป”

โหมแคมเปญ AROIDEE CAMPAIGN@TIKTOK CHALLNGE

นายธนพล ธรรพสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่ม Thai & Chinese Cuisine บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ ซีอาร์จี (Mr. Tanapoln Tunpasit – Head of Thai & Chinese Cuisine) เปิดเผยว่า ปี 2564 ยังคงเป็นปีแห่งความท้าทายสำหรับธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากผู้ประกอบการยังต้องทำตลาดภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างข้อจำกัดให้กับผู้ประกอบการหลายด้าน ส่วนผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้บริษัทต้องปรับตัว พลิกกลยุทธ์การตลาดอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบทิศทาง

ทั้งนี้ ในฐานะผู้นำธุรกิจร้านอาหารมีแบรนด์ชั้นนำมากมายภายใต้กลุ่มธุรกิจ Thai & Chinese Cuisine อาทิแบรนด์ ไทยเทอเรส  อร่อยดี  เกาลูน และ ส้มตำนัว บริษัทฯ ยังเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อเจาะผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในยุควิถีปกติใหม่(New Normal) ต้องอยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน แต่ยังคงมองหาเมนูอาหารจานโปรดตอบสนองการบริโภคในแต่ละมื้อ ซึ่งเมื่อผู้บริโภคอยู่บ้านเป็นเวลานาน หนึ่งในปัญหาใหญ่หรือ Pain point ของการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือ การคัดสรรเมนู เพราะบางเมนูทานซ้ำจนเกิดอาการเบื่อ จึงวิเคราะห์ความต้องการเชิงลึกผู้บริโภค (Insight) พบว่าแต่ละสัปดาห์จะมี 1 มื้อพิเศษที่รับประทานทั้งครอบครัว ที่เหลือจะเป็นมื้อเรียบง่าย แต่ต้องเป็นอาหารจานเด็ดและอร่อย

บริษัทฯ จึงหยิบแบรนด์ “อร่อยดี” มาเป็นพระเอกลุยตลาด พร้อมนำเสนอเมนูเด็ด “หฤโหดโคตรกะเพรา” ที่เป็นเอกลักษณ์หรือ Signature ของร้านอร่อยดี ที่สร้างสรรค์เมนูโดน ราคาดี และอร่อยดีตามสโลแกน รสชาติคุ้น อิ่มครบ จบทุกมื้อ  มาจัดแคมเปญ  AROIDEE CAMPAIGN@TIKTOK CHALLNGE เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม(Engagement)กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่มากขึ้น

สำหรับแคมเปญ  AROIDEE CAMPAIGN@TIKTOK CHALLNGE ได้แบ่งกิจกรรมเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. แบ่งกันทาน(Duet Challenge Idea) เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมาจับคู่หรือ Duet กับบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ ประลองความเผ็ดของกะเพราหฤโหดสูตรลับของร้านอร่อยดี 2.แข่งกันกิน(Duet Challenge) โดยให้ผู้บริโภคมาแข่งกินกะเพราหฤโหด ร้านอร่อยดี ทดสอบความเร็ว จนเกิดคอนเทนท์ฮาๆ เติมความสนุกให้กับกลุ่มเป้าหมาย และสร้างเอนเกจเมนต์กับแบรนด์และเมนูของร้านอร่อยดี และ 3.หฤโหด Challenge ให้ผู้บริโภคสร้างสรรค์วิดีโอโชว์ความโหด หลังจากที่ได้ทานกะเพราหฤโหดแล้ว ทำให้เกิดคอนเทนท์ครีเอทีพจำนวนมาก เช่น กินแล้วทำเสียงโหด กินแล้วมีไฟออกมา กินแล้วแต่งตัวจัดจ้าน กินแล้วมีหนวดน่าเกรงขาม เป็นต้น

ทั้งนี้ การเลือกแพลตฟอร์ม TikTok เป็นอาวุธในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากเป็นสื่อออนไลน์ที่มีการเติบโตสูง เป็นเทรนด์ที่มาแรงในช่วงที่เกิดโรคโควิด-19 ระบาด โดยจากสถิติของปี 2020 หนึ่งใน 10 วิดีโอที่ได้รับยอดวิวสูงสุดนั้นมีวิดีโอที่เกี่ยวกับอาหารติดอันดับ และได้รับยอดวิวมากถึง 1.ล้าน ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาดาวน์โหลด และใช้ TikTok มากขึ้น ส่วนรูปแบบของการนำเสนอยังเป็นวิดีโอสั้น 15 วินาที มีฟิลเตอร์ เอ็ฟเฟ็กต์ ลูกเล่นมากมายดึงดูดผู้ใช้งาน ที่สำคัญคอนเทนท์ที่ถูกสร้างสรรค์ออกมามีความสนุก ดูแล้วเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้อย่างยิ่ง จนเกิดปรากฎการณ์แชร์ต่อบนสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ

TikTok เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มาแรงมากในหมู่ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ จากเจนซี(Z) ขยายวงกว้างมากขึ้นสู่เจนวาย(Y) รวมถึงเจนเอ็กซ์(X) แบรนด์อร่อยดียังดึงอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามหรือ Follower 1 ล้านรายขึ้นไป เช่น Turk_tk, Bowkanyaratp, Meturr ฯ  มาร่วมสร้างปรากฏการณ์ต่างๆสนั่นโซเชียลมีเดีย ปลุกกิจกรรมตลาดให้ทรงพลังและมีสีสัน ผ่านการชาเลนจ์รับประทานกะเพราหฤโหด เมนูเรียบง่ายแต่มีความเด็ดในตัว ทุกครั้งที่ผู้บริโภคคิดอะไรไม่ออก ผัดกะเพรามักเป็นคำตอบที่ดีเสมอ แต่ร้านอร่อยดีได้ทำเมนูเรียบง่ายให้มีความพิเศษและรสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใคร ปรุงสูตรเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา อย่างเมนูยอดฮิต “หฤโหดโคตรกะเพรา

ทั้งนี้ แคมเปญการตลาด AROIDEE CAMPAIGN@TIKTOK CHALLNGE มีผลตอบรับจากผู้บริโภคดีมาก โดยมีผู้ชมกว่า 1.2 ล้านครั้ง และสร้างเอนเกจเมนต์จำนวนมาก เช่น  Turk_tk กว่า 1.47 แสนครั้ง Bowkanyaratp กว่า 2.82 แสนครั้ง และ Meturr กว่า 1.7 แสนครั้ง รวมทั้งแคมเปญ สูงถึง 700 แสนครั้ง  เป็นต้น

สำหรับร้านอร่อยดี เปิดให้บริการกว่า 2 ปี จุดแข็งของร้านคือ “รสชาติคุ้น อิ่มครบ จบทุกมื้อ” เราตอบโจทย์ในเรื่องรสชาติที่คุ้นลิ้นและเมนูอาหารที่หลากหลาย สามารถทานได้ทุก Day Part ตั้งเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ค่ำ โดยการรับรู้แบรนด์ต่อผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เมนูเด็ดที่ผู้บริโภคนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ(Top of Mind) คือ “หฤโหดโคตรกะเพรา” ซิกเนเจอร์ของร้าน เพราะเป็นกะเพราสูตรดั้งเดิมแต่เพิ่มเติมเรื่องความจัดจ้านจากพริกขี้หนูจินดาแดง ผัดผสมกับกระเทียม เพิ่มความเผ็ดเพิ่มด้วยพริกขี้หนูแห้ง(จินดา) ผัดด้วยซอสสูตรลับจากร้าน และตบท้ายด้วยการโรยพริกทอดทำให้รสชาติกลมกล่อมมีเอกลักษณ์ รวมถึงกลยุทธ์ “ราคา” ที่จับต้องได้เริ่มต้นเพียง 79 บาท (สั่งกลับบ้าน+10 บาท)

กลยุทธ์การทำตลาดธุรกิจร้านอาหารในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการปรับตัวอย่างรวดเร็วหรือ Agile ค่อนข้างมาก หน้าร้านปิด เรามุ่งเดลิเวอรี่ เสิร์ฟอาหารและความอร่อยตอบโจทย์ผู้บริโภค การทำตลาดในยุคที่ผู้บริโภคไม่สามารถมาเห็นบรรยากาศร้านหรือเปิดดูเมนูต่างๆ เราจึงลุยแคมเปญการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสัมผัสประสบการณ์กับแบรนด์อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ร้านอร่อยดียังอยู่ในใจกลุ่มเป้าหมาย เมื่อจะสั่งอาหารต้องนึกถึงอร่อยดี และหฤโหดโคตรกะเพรา

ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต รุกขยายตลาดอาหารสด

ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต เดินหน้ารุกตลาดอาหารสดเต็มที่ นำเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ผลไม้ตัดแต่งพร้อมทาน เข้ามาวางขายในร้าน ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคโควิด ชูความสด สะอาด ปลอดภัย ใกล้บ้าน จบครบในที่เดียว เอาใจลูกค้า นำร่องแล้ว 5 สาขา

ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้แบรนด์ ซีเจ มอร์ โดยการบริหารงานของ บริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด จับมือพันธมิตรทางธุรกิจในกลุ่ม “อาหารสด” ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละประเภทสินค้า เดินหน้าขยายเข้าสู่ตลาด “อาหารสด” อย่างเต็มที่ โดยนำเนื้อสัตว์ และผัก ผลไม้ คุณภาพดี มีความสด สะอาด ปลอดภัย เข้ามาวางจำหน่ายในร้าน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าจำเป็นเปลี่ยนไป โดยเน้นร้านค้าใกล้บ้าน ที่มีสินค้าให้เลือกซื้อได้อย่างครบครันในที่เดียว เพื่อความสะดวก และลดการเดินทางในสถานการณ์การแพร่ระบาด

ทั้งนี้ การนำอาหารสดเข้ามาจำหน่ายในครั้งนี้ บริษัทเน้นย้ำในเรื่องความสะดวก สะอาด และปลอดภัย ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้น เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า จะได้สินค้าที่มีความสด สะอาด ปลอดภัย และมีคุณภาพดี

ปัจจุบันนำร่องเปิดตัวแบบครบวงจรแล้ว 5 สาขา คือ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาไทยรามัญ จ.กรุงเทพฯ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาพฤกษา 74 จ.สมุทรปราการ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาหมู่บ้านคณาทรัพย์ จ.กรุงเทพฯ  ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาจอมทอง 13 จ.กรุงเทพฯ และซีเจ มอร์ สาขาในคลองบางปลากด สุขสวัสดิ์ 76 จ.สมุทรปราการ นอกเหนือจาก 5 สาขาที่มีการเปิดตัวแบบครบวงจรแล้ว ปัจจุบันได้มีการนำเนื้อสัตว์ ผักสด และ ผลไม้สด พร้อมสำหรับประกอบอาหาร เข้าไปวางจำหน่ายในร้านซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต อีก 25 สาขา และเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างครบครัน ซีเจยังมีสินค้าอาหารพร้อมทานปรุงสำเร็จวางจำหน่ายแล้วอีกกว่า 340 สาขา อีกทั้งยังมีอาหารแช่แข็งวางจำหน่ายทุกสาขาเพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้ออย่างสะดวก สะอาด ปลอดภัย ใกล้บ้าน

ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต ยังตอบโจทย์ในเรื่องคุณภาพสินค้า ในราคาที่คุ้มค่า เพื่อช่วยผู้บริโภคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด1-19 ล่าสุดได้ท้าชนคู่แข่งรายใหญ่ เปิดตัวสินค้า “กล้วยหอมทอง” ที่การันตีทั้งขนาดที่ใหญ่กว่า อิ่มกว่า คุ้มกว่า ในราคาเพียง 9 บาท มีจำหน่ายแล้วในร้านซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต 160 สาขา และวางแผนจะขยายครอบคลุมทุกสาขาภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2564 โดยสามารถดูรายชื่อสาขาที่มีกล้วยหอมทองวางจำหน่ายได้ที่ https://web.facebook.com/CJsupermarket/posts/4180718392021826

สำหรับ ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นค้าปลีกในรูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ ซีเจ มอร์ จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด ครบกว่า ถูกกว่า คุ้มกว่า โดยการบริหารงานของ บริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการแล้วกว่า 700 สาขา ใน 29 จังหวัด นอกจากซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ยังมีร้านค้าแบรนด์อื่นๆ ภายในเครือ ได้แก่ ร้านนายน์ บิวตี้ (Nine Beauty) เครื่องสำอางค์ และความงามมัลติแบรนด์, ร้านบาว คาเฟ่ (Bao Cafe) ร้านกาแฟสดใกล้บ้าน, ร้านอูโนะ (UNO) สินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น, ร้านเอ-โฮม (A-Home) สินค้าสำหรับคนรักบ้าน และร้านเพ็ทฮับ (PET HUB) ร้านขายอาหารและอุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงครบวงจร

ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ กวาดยอดจองกว่า 3,500 คัน หลังเปิดตัวเพียง 1 เดือน

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เผยข้อมูลยอดจอง ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม กวาดยอดจองทั่วประเทศกว่า 3,500 คัน หลังจากการเปิดตัวเพียง 1 เดือน ตอกย้ำความเป็นสปอร์ตพรีเมียมซีดานไอคอนที่ทุกคนรอคอย ที่มาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์คอมแพคท์ซีดานไทยอีกครั้ง ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมัน โดยทุกรุ่นย่อยมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ใหม่ ที่รองรับพลังงานทางเลือก E85 และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) คาดครองอันดับหนึ่งเซกเมนต์คอมแพคท์ซีดานต่อเนื่องอีกปี

ความสำเร็จข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฮอนด้าในการถ่ายทอดดีเอ็นเอความสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นในทุกด้านทั้งด้านดีไซน์และสมรรถนะการขับขี่ ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ และยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของฮอนด้าอีกด้วย

ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ยกระดับประสบการณ์ความสมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกสปอร์ตพรีเมียมในทุกมุมมอง ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย ให้ความแรงทรงพลังเร้าใจเกินใครในทุกรุ่นย่อย ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ใหม่ พร้อมระบบเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม 17.2 กม./ลิตร และรองรับพลังงานทางเลือก E85 และมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ยกระดับไปอีกขั้นกับระบบใหม่ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย และสะดวกสบายแบบเหนือกว่ากับครั้งแรกของระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card (เฉพาะรุ่น RS)

ลูกค้าที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ กับข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ย 2.99% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 – 30 กันยายน 2564

สัมผัส ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ หรือสอบถามข้อมูลและข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/civic ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถทดสอบสมรรถนะได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

TKN รุกธุรกิจร้านสตรีทฟู้ดเกาหลี เปิดขายแฟรนไชส์ Bomber Dog

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ส่งบริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด (TKNRF) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ TKN ปั้นแบรนด์สตรีทฟู้ดเกาหลี เตรียมเปิดขายแฟรนไชส์ ‘บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) อาหารทานเล่นสไตล์เกาหลี ชี้เป็นโอกาสของคนที่อยากมีร้านค้าเป็นของตัวเอง ด้วยงบลงทุนเริ่มต้น 123,000 บาท คืนทุนใน 6-8 เดือน รุกขยายเข้าสู่ปั้มน้ำมัน เน้นเข้าถึงง่ายสำหรับกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตั้งเป้าเดินหน้าขยาย 45 สาขาภายในปีนี้ หนุนยอดขายจากธุรกิจร้านอาหารเพิ่ม 100%

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ TKN เตรียมผลักดัน บริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด หรือ TKNRF ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ TKN ที่ดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้า และร้านอาหารประเภท Quick Service Restaurant  ตั้งเป้าเดินหน้าขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ร้านอาหาร ซึ่งที่ผ่านมา TKNRF ได้มีการศึกษาและทดลองวางกลยุทธ์ รูปแบบร้านอาหารและเมนูต่างๆเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย จึงเป็นที่มาของแฟรนไชส์อาหารสตรีทฟู้ดเกาหลี ซึ่งรูปแบบการทานอาหาร ‘สตรีทฟู้ด (Street Food)’ หรือ ‘ร้านอาหารริมทาง เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการทานอาหารที่สามารถพบเจอได้ในหลายๆประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชีย ถือเป็นจุดเด่นที่ผู้บริโภคท้องถิ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวให้ความนิยมเป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดโควิด-19 มีผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ทำให้บริษัทฯมีการปรับกลยุทธ์ มองหาช่องทางการขายสินค้าสอดรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทฯ ได้มุ่งขยายสาขาที่ตั้งอยู่นอกห้างสรรพสินค้า เป็นจุดจำหน่ายและทำ Cloud Kitchen มุ่งเน้นทำเลพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน (ปั้มน้ำมัน) ซึ่งเป็นทำเลยุทธศาสาตร์ในการขยายธุรกิจนอกห้าง และลดความเสี่ยงจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ  

ทั้งนี้ TKNRF ได้ตั้งเป้าขยายแฟรนไชส์ บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) ร้านสตรีทฟู้ดเกาหลีในช่วงที่เหลือของปี 2564 จำนวน 45 สาขา หรือเฉลี่ยเปิด 8-10 สาขาต่อเดือน และคาดว่าจะเปิดอีก 100 สาขาในปี 2565 ปัจจุบันมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ปั้มน้ำมัน และ Cloud Kitchen แล้วทั้งสิ้น 18 สาขา และเตรียมเปิดในเดือนกันยายนนี้ อีก 8 สาขา โดยเน้นขยายสาขาในพื้นที่ปั้มน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายที่เติบโตจากธุรกิจนี้มากกว่า 100% ภายในปีนี้ขณะเดียวกัน ยังได้เพิ่มช่องทางสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันสั่งอาหารชั้นนำ เช่น LINE MAN, Grab, Food panda เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ที่ต้องการความสะดวกสบายและรวดเร็วในการสั่งอาหารมารับประทานอีกด้วย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวเพิ่มเติมว่า บอมเบอร์ด๊อก’ (Bomber Dog) เป็นร้านสตรีทฟู้ดเกาหลีในรูปแบบเมนูทานเล่น เช่น คอร์นดอกฮอทดอก ต็อกโบกี เฟรนช์ฟรายส์ ไก่ป๊อบ ไก่ทอดเกาหลี ที่ชูจุดเด่นด้านรสชาติที่อร่อยเหมือนต้นตำรับ ถือเป็นอาหารที่เข้าถึงง่ายสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มและตอบโจทย์คนเมืองที่เร่งรีบระหว่างเดินทาง เน้นทานง่าย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งการลงทุนแฟรนไชส์ Bomber Dog จะเปิดสิทธิแก่ผู้ที่สนใจลงทุนด้านธุรกิจอาหารโดยไม่จำเป็นต้องทำอาหารเป็นมาก่อน เน้นเปิดในพื้นที่ขนาดเล็ก ในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งโมเดลรถเข็น ปั้มน้ำมัน และคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น 

ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนในแฟรนไชส์ของบอมเบอร์ด๊อก มี รูปแบบ คือ แบบรถเข็น ซึ่งจะมีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 123,000 บาท และแบบตั้งบนพื้นที่ ซึ่งจะมีขนาดพื้นที่ 2.5×2.5 เมตร มีค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 260,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับผู้ที่สนใจลงทุนประกอบการธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็ก ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจเพื่อหารายได้เสริมหรือต้องการขยายธุรกิจใหม่ๆ โดยมีทีมงานมืออาชีพพร้อมให้คำแนะนำในการเริ่มต้นทำธุรกิจ คาดใช้เวลาคืนทุนภายในระยะเวลา 6-8  เดือน และสำหรับผู้ที่สนใจแต่ไม่มีเงินทุน บริษัทฯ ยังจับมือกับสถาบันการเงินชั้นนำ สนับสนุนสินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพ โดยผู้ที่สนใจลงทุนสามารถติดต่อได้ที่ บริษัทเถ้าแก่น้อย เรสเตอรงท์แอนด์เฟรนไชส์ จำกัด หมายเลข 02-960-1477 ต่อ 302

“TKNRF ได้ทดลองเปิดตัวแบรนด์ดังกล่าวมากว่า ปี เพื่อศึกษาและทดลองทำตลาด ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จึงได้ต่อยอดการขยายสาขาผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนเปิดร้านสาขา รวมถึงบริษัทฯ จะลงทุนขยายสาขาเอง ที่มุ่งเน้นทำเลสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. และแบรนด์อื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าและยังใช้เป็นจุดกระจายสินค้าผ่านแฟลตฟอร์ม Home Delivery อีกด้วย” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว

 

DRT รุกทำโครงการ Diamond Warehouse

บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT’ ส่องแนวโน้มตลาดวัสดุโค้งสุดท้ายปลายปีบรรยากาศการซื้อสินค้าคึกคัก รับภาครัฐคลายล็อกดาวน์ เดินหน้าเศรษฐกิจ หนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค จับตาความเสี่ยงด้านแรงงานก่อสร้างและต้นทุนการขนส่งสินค้า เดินหน้าโครงการ Diamond Warehouse ดันสินค้าเข้าสู่ช่องทางขายให้แก่คู่ค้าเพิ่ม และจัดทำกิจกรรมการตลาดต่อเนื่องตอกย้ำแบรนด์ ตราเพชร มั่นใจปีนี้เติบโต 5% ตามแผน         

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูปและบริการหลังการขายภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราเพชร’ เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดวัสดุก่อสร้างในไตรมาส จะฟื้นตัวได้ดี หลังภาครัฐทยอยคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง ทั้งการเปิดห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ใน 29 จังหวัดสีแดงเข้มและกิจกรรมการก่อสร้างดำเนินการได้ตามปกติ เป็นปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและบรรยากาศการซื้อสินค้ามีความคึกคักมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่กดดันตลาดซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานก่อสร้างและด้านโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าที่มีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างและร้านค้าจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ต้องวางแผนบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 

“ตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน แม้ในต้นไตรมาส 3/2564 จะได้รับผลกระทบไปบ้างจากการล็อกดาวน์และปิดไซต์งานก่อสร้าง แต่เมื่อรัฐเริ่มผ่อนปรนมาตรการ แนวโน้มก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับและทำให้ในปลายปีนี้บรรยากาศการซื้อสินค้าจะคึกคักขึ้น แต่เราก็ไม่ประมาทเพราะยังมีความเสี่ยงที่ต้องจัดการ เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถเอาชนะความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นได้” นายสาธิต กล่าว  

ส่วนแผนงาน DRT ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ จะนำข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันทั้งแบรนด์สินค้า ตราเพชร’ ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง และช่องทางการจำหน่ายทั้ง ช่องทาง ได้แก่ ร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการและตลาดต่างประเทศ ผลักดันยอดขายในปีนี้ให้เติบโต 5% ตามแผนที่วางไว้ โดยประเมินว่ากลุ่มลูกค้าโครงการจะเติบโตโดดเด่น เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์กลับมาพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม  

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DRT กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการ Diamond Warehouse ผลักดันสินค้าสู่ช่องทางการขายและกระตุ้นให้ร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายย่อย เพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังให้เพียงพอต่อการขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ต่อเนื่องถึงต้นปี 2565 ซึ่งจะช่วยบริหารความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ จากความไม่แน่นอนของโควิด-19 นอกจากนี้ DRT ยังเดินหน้าตอกย้ำแบรนด์ ตราเพชร’ ภายใต้แนวคิด สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง’ อย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดกิจกรรม ‘DIAMOND Interior Design Contest 2021’ ซึ่งจัดมาต่อเนื่องเป็นปีที่ โดยเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป แข่งขันออกแบบลายบอร์ดตกแต่งผนังพิมพ์ลาย ภายใต้แนวคิด ‘Digital Printing Board, Create an Inspiring Space’ เพื่อเป็นไอเดียและทางเลือกสำหรับผู้ใช้วัสดุ นักออกแบบตกแต่งภายในและประชาชนทั่วไปที่กำลังมองหาวัสดุตกแต่งห้องต่างๆ ได้แก่ ร้านกาแฟ (Cafe) สำนักงานสาธารณะ (Co-Working Space) บูติคโฮเต็ล (Boutique Hotel) โรงเรียนอนุบาลหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก (Nursery) เพื่อชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังต่อยอดงานออกแบบจากการประกวดในปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาเป็นร้านกาแฟ Diamond Cafe เพื่อเป็นโชว์เคสที่โรงงานจังหวัดสระบุรีให้แก่ผู้บริโภคที่จะเข้ามามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์สินค้า และเป็นไอเดียแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนร้านกาแฟ ซึ่งมีพื้นที่ 5 ขนาด ตั้งแต่ 12 ถึง 63 ตร.ม. โดยใช้งบลงทุน 18,000 บาทต่อ ตร.ม.   

บลูบิค ดีเดย์นำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 16 ก.ย.นี้

บมจ.บลูบิค กรุ๊ป พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันที่ 16 กันยายนนี้ ใช้ชื่อย่อ ‘BBIK’ ในการซื้อหลักทรัพย์ หลังนักลงทุนตอบรับจองซื้อหุ้น IPO อย่างล้นหลามในช่วงที่ผ่านมา ชูความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน พร้อมวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเพิ่มบุคลากร พัฒนาเทคโนโลยี ยกระดับซอฟต์แวร์ เพื่อรองรับการเติบโต รวมถึงเตรียมรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุนกับ OR ปลายปีนี้  

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 กันยายนนี้ บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยใช้ชื่อย่อ ‘BBIK’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เพื่อเข้าไปช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจและปลดล็อกศักยภาพการเติบโตให้แก่ลูกค้าองค์กร โดยรับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย จะทำให้บริษัทฯ เป็นหุ้น IPO น้องใหม่ที่นักลงทุนให้ความสนใจ

ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 25 ล้านหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ที่ราคาหุ้นละ 18 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่ดีเกินกว่าความคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ รวมถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นบริษัทคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำแบบครบวงจร ได้แก่ 1. การเพิ่มบุคลากรและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ตลอดจนวางแผนพัฒนาศูนย์การพัฒนาทักษะ (Learning Academy Center) 2. พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Software as a Service หรือ SaaS) รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research and Development Center) 3. เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภายใน ผ่านการยกระดับระบบซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร 4. ขยายพื้นที่สำนักงานรองรับการเพิ่มบุคลากร 5. ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตและรับมือความผันผวนของตลาด และ 6. เสริมศักยภาพด้านเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

บริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศ โดยผนึกความร่วมมือกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท บริษัทฯ ถือหุ้น 60% และ OR ซึ่งถือหุ้นผ่าน Modulus ที่เป็นบริษัทย่อย ถือหุ้น 40% เพื่อร่วมมือกันดำเนินธุรกิจและสร้างสรรค์โอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ให้กับ OR เพื่อเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมค้าปลีกต่อไป ซึ่งบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จาก ORBIT ปลายปีนี้ และรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 2565

ด้าน นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.บลูบิค หรือ BBIK เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ปรึกษา เคยผ่านงานกับบริษัทคอนซัลต์ชั้นนำระดับโลก และได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าองค์กรที่เป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่ม SET 50 และ SET 100 รวมถึงบริษัทจดทะเบียนระดับแนวหน้าของประเทศหลายราย ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่ดี นอกจากนี้ BBIK ได้วางแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มบุคลากรและฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนการขยายบริการด้านการจัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอทีเพื่อไปปฏิบัติงานยังไซต์งานของลูกค้า รวมถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ OR จะส่งผลดีต่อศักยภาพการเติบโตในอนาคต จึงเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในหุ้น IPO น้องใหม่ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บมจ.บลูบิค กรุ๊ป หรือ BBIK ถือเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันของประเทศไทย ที่มีศักยภาพการเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของภาพรวมธุรกิจในด้านนี้ เนื่องจากปัจจุบันองค์กรชั้นนำต่างๆ ล้วนมีความต้องการพัฒนาขีดความสามารถและรูปแบบการทำงานให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล จึงมีความต้องการบริษัทที่ปรึกษาเพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกำหนดกลยุทธ์และปลดล็อกศักยภาพการเติบโต จึงทำให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ BBIK เติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพสามารถแข่งขันได้กับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก

แกะรอย.. หนังโฆษณา อลิอันซ์ อยุธยา มุ่งให้กำลังใจคนไทย

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ผู้นำผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวแคมเปญหนังโฆษณา “นึกถึงวันนั้น” มุ่งให้กำลังใจคนไทย เดินหน้าสู้ต่อ เพื่อวันที่จะกลับมาใช้ชีวิตที่มีความสุข พร้อมชู “ประกันสุขภาพ ปลดล็อค สบายกระเป๋า” เหมาจ่ายราคาเบาๆ รับความคุ้มครองสูงถึง 1 ล้านบาท

นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารงานลูกค้า บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในวันนี้ ที่สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย มีการคลายล็อคให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้มากขึ้น ถือเป็นสัญญาณดีที่ทำให้เรามองเห็น “วันนั้น” วันที่เราจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อลิอันซ์ อยุธยา จึงเปิดตัวแคมเปญหนังโฆษณา “นึกถึงวันนั้น” เพื่อมุ่งสร้างความหวัง ให้กำลังใจคนไทย อย่าเพิ่งท้อ ให้เดินหน้าสู้ต่อ และดูแลตัวเองให้ผ่านพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ โดยมี อลิอันซ์ อยุธยา พร้อมที่จะอยู่ให้ความคุ้มครอง “เคียงข้างคุณทุกเงื่อนไขชีวิต”

หนังโฆษณา “นึกถึงวันนั้น” เล่าเรื่องผ่านภาพบรรยากาศจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยมีเสียงและภาพจูงใจให้ผู้ชมคิดตาม สะท้อนให้เห็นสถานที่ที่เคยเป็นที่รวมตัว หรือ ทำกิจกรรมร่วมกันก็ปิดตัวลง เสียงที่เคยดังกึกก้อง กลับกลายเป็นเงียบสนิท ความสนุกสนานที่เคยมีกลายเป็นความหงอยเหงา แต่เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่อีกไม่นาน และเราจะได้พบกัน ดังนั้น เราจะต้องดูแลตัวเองให้ดี เพื่ออยู่ให้ถึงวันนั้น และหากกำลังมองหาความคุ้มครองสุขภาพ เพื่อช่วยให้สามารถผ่านช่วงสถานการณ์นี้ได้ เรามี “ประกันสุขภาพ ปลดล็อค สบายกระเป๋า” เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะคุ้มครองการเจ็บป่วยเมื่อต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ครอบคลุมกรณีติดเชื้อโควิด เหมาจ่ายตามจริงในวงเงิน 1 ล้านบาท โดยเบี้ยราคาไม่ถึงหมื่นบาทต่อปี* หนังโฆษณาชุดนี้มี 2 เวอร์ชั่น สั้นและยาว รวมทั้งเวอร์ชั่นที่ออกอากาศเฉพาะทางโซเชี่ยลมีเดีย ทั้งนี้ เพื่อสามารถตอบโจทย์ทั้งการให้กำลังใจและสอดแทรกการแนะนำผลิตภัณฑ์ “ประกันสุขภาพ ปลดล็อค สบายกระเป๋า” จัดทำโดย บริษัท ชูใจ และกัลยาณมิตร

“ประกันสุขภาพ ปลดล็อค สบายกระเป๋า” แบบประกันสุขภาพที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด ด้วยค่าเบี้ยแบบสบายกระเป๋า จ่ายเริ่มต้นในราคาไม่ถึงหมื่น* รับความคุ้มครองสูงถึง 1 ล้านบาทต่อรอบปีกรมธรรม์ โดยคุ้มครองค่ารักษากรณีรักษาตัวในรพ. รวมทั้ง ค่าเอกซเรย์ ค่าแล็บ ค่ารักษาพยาบาลในการผ่าตัด ค่าล้างไต ค่าเคมีบำบัด และค่ารังสีรักษาโรคมะเร็ง ค่ารักษาพยาบาลในห้อง ICU และครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลกรณีอุบัติเหตุฉุกเฉิน ภายใน 24 ชม. โดยจ่ายให้ตามจริงภายใต้วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11 ปี ถึง 69 ปี (ต่อสัญญาได้ถึงอายุ 89 ปี คุ้มครองถึงอายุ 90 ปี)

นอกจากหนังโฆษณา ภายใต้แคมเปญนี้ บริษัทฯ ยังมีการเปิดตัวโครงการ “ตัวแทนเดอร์” บนโลกออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจความคุ้มครองสามารถรับคำปรึกษาพูดคุยกับตัวแทน ผ่านการ “แมทช์” กับตัวแทน โดยใช้ไลฟสไตล์ ความสนใจ หรือ ความเชี่ยวชาญของตัวแทนมาเป็นตัวกรองหาตัวแทน “ที่ใช่” เพราะเราเชื่อว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ตัวแทนที่เคยมีประสบการณ์ร่วม หรือมีจุดร่วมใดๆที่เป็นเงื่อนไขชีวิตที่คล้ายกันกับลูกค้า จะเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของลูกค้า จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างเหมาะสมโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ นอกจากนั้น เรายังเดินหน้าจัดกิจกรรม Care Day ที่ให้ตัวแทนได้โทรศัพท์หาลูกค้าเพื่อถามสารทุกข์ มอบกำลังใจ ให้ความช่วยเหลือ พร้อมแจ้งสิทธิประโยชน์จากกรมธรรม์ ซึ่งจากการทำกิจกรรมนี้มาหลายครั้ง พิสูจน์แล้วว่าช่วยสร้างความพึงพอใจและความรู้สึกดีต่อแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

“ในแคมเปญนี้ เราจัดสรรงบประมาณทั้งสิ้นกว่า 70 ล้านบาท เพื่อออกอากาศหนังโฆษณา “นึกถึงวันนั้น” ทั้งช่องทางโทรทัศน์ และออนไลน์  โดยหวังว่าจะสามารถเข้าถึงประชาชนคนไทย เพื่อเป็นกำลังให้ต่อสู้เพื่อรอให้ถึงวันนั้น โดยมีความคุ้มครองที่คุ้มค่าในราคาสบายกระเป๋าจาก อลิอันซ์ อยุธยา คอยดูแลและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณในทุกเงื่อนไขชีวิต” นางสาวพัชรา กล่าวทิ้งท้าย

*เบี้ยสำหรับเพศชาย อายุ 35 ปี ซื้อประกันสุขภาพปลดล็อคสบายกระเป๋าแบบมีความรับผิดส่วนแรก 30,000 บาทต่อรอบปีกรมธรรม์

OCEAN แตกไลน์รุกธุรกิจอินเทรนด์กัญชง-กัญชา

OCEAN โชว์ผลงานทะยานฟ้า Q2/64 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1,386% จากปีก่อน อานิสงส์ยอดขายคอนโดฯ IKON SUKHUMVIT 77 โตสวนกระแสโควิด! เหตุตกแต่งห้องสวย โลเคชั่นเยี่ยม สภาพแวดล้อมดี ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างลงตัวในราคาที่จับต้องได้  พร้อมกันนี้สยายปีกรุกสู่ธุรกิจอินเทรนด์ โดยลงทุนผ่านบริษัทย่อย “เค ที ดี เอ็ม” ลุยรอบด้านทั้งจัดจำหน่าย ร่วมผลิตสินค้า และว่าจ้างผลิตสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบ ประเภทรวมพืชกัญชง-กัญชา เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริมและยา คาดว่าจะสามารถเริ่มเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 4/64  ด้านผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “ธีร ชุติวราภรณ์” มั่นใจปี 64 ผลงานดีต่อเนื่องและจะพยายามล้างขาดทุนสะสม ส่วนปี 65 มั่นใจเติบโตแบบก้าวกระโดด

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 19.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.16 ล้านบาท หรือ 1,386.26% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1.31 ล้านบาท โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 120.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 122% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 54.09 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 94.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากโครงการ IKON77 ที่เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกของกลุ่มบริษัทได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์พร้อมทั้งรับรู้รายได้มาตั้งแต่ไตรมาส 4/2563

โครงการ IKON77 เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร 442 ยูนิต พร้อมอยู่  ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะช่วยอัพเกรดชีวิตด้วยการใช้พื้นที่ส่วนกลางอย่างคุ้มค่า เปิดบริการตลอด 24 ชม. ตั้งอยู่บนทำเลดี ติดคอมมูนิตี้มอลล์ People Park เดินทางสะดวกเพียง 3 นาที จาก BTS สถานีอ่อนนุช (มีบริการรถรับ-ส่ง) สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างลงตัวในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้

ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนปีนี้ มีกำไรสุทธิ 42.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.40 ล้านบาท หรือ 364.82%  เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 9.15 ล้านบาท

“ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทีมผู้บริหารชุดใหม่ ที่มีความตั้งใจจะทำธุรกิจให้ดีจริงๆ และฟื้นฟูผลประกอบการของ OCEAN ให้ได้  ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ เป็นฐานรายได้หลักในขณะนี้มีการเติบโตที่แข็งแกร่งและเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะอสังหาฯคือปัจจัย 4 ที่ขาดไม่ได้ ขณะเดียวกัน ได้พยายามมองหาธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจและพร้อมจะเข้าลงทุนหากสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสที่จะเติบโตในอนาคตได้ดีควบคู่ไปด้วย เพื่อให้บริษัทฯมีช่องทางในการสร้างรายได้อื่นเพิ่มขึ้นและถือเป็นการบริหารความเสี่ยงอีกทางหนึ่ง โดยมีเป้าหมายหลักที่ OCEAN ปักธงไว้คือการเป็นบริษัทจดทะเบียนปัจจัยพื้นฐานดี คือมีฐานทุนและฐานะทางการเงินมั่นคงแข็งแรง มีธุรกิจที่สร้างกำไรที่ดีต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปี”

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติเพิ่มทุน “บริษัท เค ที ดี เอ็ม จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกจำนวน 290,000 หุ้น คิดเป็น 29,000,000 บาท เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้น โดยแหล่งที่มาของเงินที่ใช้มาจากเงินทุนหมุนเวียน โดยการเพิ่มทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจลงทุนเพื่อจัดจำหน่าย ร่วมผลิตสินค้า และว่าจ้างผลิตสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบ ประเภทรวมพืชกัญชง หรือกัญชา เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริม และยา รวมถึงสั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับการผลิต

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มเดินเครื่องผลิตในช่วงไตรมาส 4/64 และจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาทันที  โดยก่อนหน้าบริษัทฯได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) ด้านการลงทุนการค้าในรูปแบบสัญญาร่วมผลิตสินค้า จัดจำหน่ายและส่งออก ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาหารและยา ด้วยนวัตกรรมจากพืชกัญชาและพืชกัญชง

“มั่นใจว่าการแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจกัญชงและกัญชา โดยการเป็นผู้ผลิตสารสกัด จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง และความต้องการของลูกค้ามีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ในปีนี้จะเริ่มมีรายได้เข้ามาบางส่วน และคาดว่าปี 2565 ธุรกิจสารสกัดกัญชงและกัญชา มีโอกาสที่จะสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทกว่า 100 ล้านบาท สนับสนุนผลงานในปี 2565 ให้โตแบบก้าวกระโดดได้”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OCEAN กล่าวต่อในช่วงท้ายว่าปี 2564 นี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของบริษัทฯ ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องของผลประกอบการที่ทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้ และในปี 2565 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้นสำหรับ OCEAN โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตที่โดดเด่นยิ่งขึ้น ผ่านการรุกธุรกิจทั้งจากด้านอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจกัญชงและกัญชา