สามย่านมิตรทาวน์ คว้ารางวัล Thailand Energy Awards 2021

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) ประกาศความสำเร็จล่าสุดหลังโครงการสามย่านมิตรทาวน์ คว้ารางวัลดีเด่น Thailand Energy Awards 2021 และได้รับเลือกเป็นมิกซ์ยูสตัวแทนประเทศไทย เข้าชิง ASEAN Energy Awards 2021 สานต่อการเป็นผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอาคารอนุรักษ์พลังงาน หลังจากอาคารสำนักงานให้เช่า 4 อาคาร ภายใต้การบริหารงาน ได้รับรางวัลและการรับรองมาตรฐานอาคารอนุรักษ์พลังงานระดับเวิร์ลคลาสมาก่อนหน้านี้

นายวิทวัส คุตตะเทพ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) ผู้บริหารโครงการสามย่านมิตรทาวน์ เปิดเผยว่า เป็นความภาคภูมิใจของคณะทำงานอย่างมากที่สามย่านมิตรทาวน์ได้รับรางวัลดีเด่นจากการประกวด Thailand Energy Awards 2021  ซึ่งจัดขึ้นโดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน โดยได้รับการคัดเลือกประเภทอาคารสร้างสรรค์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ประเภทอาคารใหม่ (New and Existing Building) พร้อมได้รับคัดเลือกเป็นผู้แทนประเทศไทยไปร่วมแข่งขันในระดับอาเซียน ASEAN Energy Awards 2021 ประเภท New and Existing Building ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์พลังงานอาเซียน หลังผ่านมาตรฐาน ลีด (Leadership in Energy and Environmental Design : LEED) ระดับโกลด์ จากสภาอาคารเขียวสหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่ผ่านมา

โครงการสามย่านมิตรทาวน์ พัฒนาในรูปแบบผสมผสาน หรือมิกซ์ยูสแบบครบวงจร เราพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้’ (Urban Life Library) ภายในโครงการแบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนพลาซ่า ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ (Samyan Mitrtown) โซนอาคารสำนักงาน มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ (Mitrtown Office Tower) และสุดท้ายโซนที่อยู่อาศัยประกอบด้วย ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์ (Triple Y Residence) และ โรงแรม  ทริปเปิ้ลวาย โฮเทล (Triple Y Hotel) เนื่องจากเป็นโครงการที่มีรูปแบบการใช้พื้นที่หลากหลายจากโซนที่แตกต่างกัน เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในการออกแบบและบริหารจัดการพื้นที่ควบคู่กัน โดยสะท้อนผ่านรางวัลด้านพลังงานจากสถาบันชั้นนำที่เป็นที่ยอมรับจากทั้งไทยและต่างประเทศ

โดยคุณสมบัติของสามย่านมิตรทาวน์ที่ทำให้โครงการมีความแตกต่างจากอาคารทั่วไป จนสามารถคว้ารางวัล Thailand Energy Awards 2021 ได้แก่

  1. พื้นที่สีเขียวของโครงการออกแบบภายใต้แนวคิด(Friendly & Space Sharing Landscape) เน้นการเข้าใช้พื้นที่ได้ง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน โดยเลือกปลูกพรรณไม้ที่สูงโปร่งและใบมีลักษณะเป็นพุ่มหนาอย่างต้นยางนาเพื่อสร้างร่มเงา เสริมด้วยไม้พุ่มและพืชคลุมดินเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากที่สุด นอกจากนี้ ดาดฟ้าบนชั้น 5 ยังทำเป็นพื้นที่สีเขียว ที่เป็นจุดชมวิวและทำกิจกรรมที่หลากหลาย เลือกชนิดของต้นไม้ลำต้นตรงสูงแตกพุ่มด้านบน รวมถึงพืชพรรณที่หลากหลายเพื่อทำหน้าที่กรองแสงและฝุ่นให้กับอาคาร
  1. พื้นที่ส่วนกลางโซน 24 ชั่วโมง ใช้การระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติ(Outdoor in Indoor Space) ชั้น G ถึงชั้น 2 ใช้รูปแบบพื้นที่แบบเปิด (Open Air) แทนการใช้ระบบปรับอากาศช่วยลดการใช้ไฟฟ้า โดยมีการศึกษาทิศทางลม และการกำหนดช่องเปิดที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดความสบายและอากาศถ่ายเท เสริมด้วยการใช้พัดลม (Ceiling Fan) ซึ่งการนำเสนอความคิด Outdoor in Indoor Space ที่สมบูรณ์แบบในย่าน CBD ของกรุงเทพมหานคร

3.ส่งเสริมการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ (Public Transportation Accessibility) โดยมีอุโมงค์คอนกรีตเปลือยโครงสร้างที่ช่วยลดการใช้เคมีภัณฑ์ในการก่อสร้าง อุโมงค์นี้จะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT สถานีสามย่าน นอกจากนี้ยังจัดให้มีสถานีชาร์จแบตเตอรี่ (EV Charger) สำหรับลูกค้าที่ใช้รถไฟฟ้า เพื่อร่วมสนับสนุนการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนน้ำมัน

  1. ออกแบบโดยให้ความสำคัญกับการวางทิศทางของตัวอาคารที่เหมาะสม(Building Orientation Optimization) เพื่อการรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด นอกจากช่วยลดการใช้ไฟฟ้าสำหรับแสงสว่างภายในอาคาร ยังช่วยสร้างความรู้สึกสบายไม่อึดอัดให้กับผู้ใช้งาน และใช้การออกแบบกรอบอาคารที่สามารถลดความร้อนที่เข้าสู่ตัวอาคารได้ดี เช่น การใช้ผนังฉลุช่วยในการบังเงา และกระจก Insulated Low-E ซึ่งช่วยลดความร้อน แต่ยังคงได้รับแสงธรรมชาติเต็มที่ เป็นต้น
  1. ส่วนสำนักงานเลือกใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ(Water Efficiency Toilets) สามารถประหยัดการใช้น้ำประปาลงได้ 45.37% เมื่อเทียบกับสุขภัณฑ์ทั่วไป
  1. ระบบปรับอากาศในส่วนศูนย์การค้าและสำนักงานใช้ระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ (Central Water-Cooled Chiller System)

ออกแบบเพื่อการประหยัดพลังงานด้วยเทคโนโลยีล่าสุดและระบบจัดการอัจฉริยะ ตัวอย่างเช่น

– เครื่องชิลเลอร์ และเครื่องสูบน้ำประสิทธิภาพสูง (High Efficiency VFD Chiller) ประหยัดพลังงานมากกว่าอาคารประหยัดพลังงานทั่วไป 15%

– สารทำความเย็นของเครื่องชิลเลอร์ (Chiller) ไม่ทำลายโอโซน และมีค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming Potential) ต่ำ

– ระบบจัดการชิลเลอร์ (Chiller plant management) ควบคุมการทำงานอุปกรณ์อัตโนมัติ ให้เกิดประสิทธิภาพ และประหยัดพลังงานสูงสุด

– เครื่องปรับอากาศ AHU ควบคุมการทำงานทั้งน้ำเย็นและปริมาณลมให้สอดคล้องกับโหลดความร้อน และติดตั้งแผ่นกรอกอากาศ 2 ชั้น สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้

นอกเหนือจากการเลือกใช้วัสดุและการตกแต่งอาคารแล้ว การบริหารจัดการพลังงานภายในอาคาร ยังเป็นสิ่งที่โครงการให้ความสำคัญ อาทิ การตั้งค่าอุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งการตรวจสอบซ่อมบำรุงอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องปรับตัว เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการ และพื้นที่เปิดให้บริการ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

เพื่อลดการใช้พลังงาน และลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมแบบครอบคลุมทั้งวงจร บริษัทฯ ยังส่งเสริมการคัดแยกขยะ โดยจัดสรรถังแยกขยะสำหรับเศษอาหาร ขยะทั่วไป ขวดพลาสติก ขวดแก้ว และกระป๋องอลูมิเนียม เพื่อรองรับการทิ้งขยะอย่างถูกประเภท และนำขยะไปจัดการต่อได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมให้ผู้เช่าและผู้ใช้บริการร่วมคัดแยกขยะส่งเข้ากระบวนการรีไซเคิลได้มากกว่า 4 ตัน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 จนถึงปัจจุบัน

“สามย่านมิตรทาวน์ จะเป็นต้นแบบอาคารมิกซ์ยูสอนุรักษ์พลังงานที่รักษาสมดุลระหว่างการดูแลธรรมชาติและการรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้บริการ โดยเราให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบอาคาร การควบคุมการก่อสร้าง รวมถึงการบริหารจัดการ เพื่อการส่งต่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้บริการ เราได้มีการดำเนินการด้านการอนุรักษ์พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยอาคารที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทฯ ล้วนผ่านเกณฑ์มาตรฐานการอนุรักษ์พลังงานระดับเวิร์ลคลาส เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) มุ่งมั่นที่จะยกระดับอสังหาริมทรัพย์ของไทยให้เทียบเท่านานาประเทศ โดยมองว่าการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาต้องร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและโลกใบนี้” นายวิทวัส กล่าวทิ้งท้าย

GQ เปิดตัวคอนเซปต์สโตร์รูปแบบใหม่ครั้งแรกที่ MBK

เปิดให้บริการแล้ววันนี้กับเสื้อผ้าแฟชั่นคุณภาพจากแบรนด์แห่งนวัตกรรม GQ  พร้อมอวดโฉมคอนเซปต์สโตร์รูปแบบใหม่เป็นครั้งแรกที่ชั้น 3 โซน  B ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ งานนี้สายแฟสายช้อปห้ามพลาดมาสัมผัสประสบการณ์ความตื่นตาตื่นใจในการช้อปปิ้งสุดพิเศษที่ทาง GQ ตั้งใจออกแบบสร้างสรรค์ร้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น อัดแน่นด้วยสินค้าคุณภาพมาให้เลือกช้อปมากมาย รวมถึงนวัตกรรมล่าสุดอย่าง GQ Perfect Pants™ ที่สุดแห่งกางเกงด้วยคุณสมบัติหลักรวม 10 ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาการสวมกางเกงของชายไทยโดยเฉพาะ และเพื่อร่วมฉลองเปิดร้านใหม่ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2564 ทาง GQ ขอมอบของขวัญสุดเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะสาขาเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์เท่านั้นกับ Exclusive Promotion คุ้ม 2 ต่อ ต่อที่ 1 เมื่อซื้อครบทุก 1,990 บาท แถมฟรี GQ Smart Clean ผ้าไมโครไฟเบอร์ เช็ดสะอาดทุกพื้นผิว และยังยับยั้งแบคทีเรียได้ 99% มูลค่า 99 บาท ต่อที่ 2 เมื่อซื้อครบทุก 2,990 บาท แถมฟรี! ชุดกรรไกรตัดเล็บมูลค่า 1,590 บาท พร้อมมอบส่วนลดของแถมสุดคุ้ม อาทิ 1 แถม 1 เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ GQ White™️ Mask และ GQ White™️ Kids Mask (เฉพาะสีที่ร่วมรายการ : สีฟ้า สีชมพูนู้ด สีเทา และสีขาว) GQ Perfect Pants™ ลดสูงสุด 40 และเมื่อซื้อ GQ Perfect Pants™ 1 ตัว แถมฟรี GQ White™️ Mask 1 ชิ้น งานนี้ขาช้อปห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

นำ “เชลล์ดอน” ร่วมพัฒนาสื่อการสอนออนไลน์ด้านสิ่งแวดล้อมผ่าน Chula MOOC

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท เชลล์ฮัท เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ จำกัด เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนด้านสิ่งแวดล้อมแบบออนไลน์ (E-learning) และตอบโจทย์ระบบการศึกษาในยุคนิวนอร์มอล (New Normal) โดยใช้เรื่องราวของ “เชลล์ดอน” การ์ตูนแอนิเมชั่นทีวีซีรีย์รักษ์โลกฝีมือคนไทย ที่ได้ออกอากาศทางช่อง NBC ประเทศสหรัฐอเมริกา และในประเทศต่างๆ ไปแล้วกว่า 180 ประเทศทั่วโลก และมีการแปลไปแล้วกว่า 30 ภาษา มาพัฒนาเป็นสื่อการเรียนการสอนออนไลน์

ความร่วมมือระหว่างสองพันธมิตรในครั้งนี้ มีเป้าหมายที่จะช่วยกันผลักดันและส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ผ่านโครงการเพื่อสังคม (CSR) ที่มีชื่อว่า Shelldon 3 E (Environmental Education E-Learning) โดยนำตัวละครจาก “เชลล์ดอน” การ์ตูนแอนิเมชั่นทีวีซีรีย์รักษ์โลกชื่อดังจะมาช่วยสร้างความตระหนักรู้ และสร้างแรงบันดาลใจในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านการเรียนรู้จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเชลล์แลนด์ ให้คนทุกเพศ ทุกวัย ได้เรียนกันฟรี! ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ Chula MOOC (Massive Open Online Course) หรือแพลตฟอร์มด้านการศึกษาออนไลน์อื่นๆ (Online Education Platform) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับทุกคน โดยช่องทางหนึ่งที่ได้พัฒนาขึ้นและนับว่ามีความสำเร็จในการส่งต่อความรู้สู่สังคมคือ แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ Chula MOOC ที่มีเนื้อหาที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการสำหรับผู้ที่มีความสนใจในการเสริมสร้างองค์ความรู้ในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา สุขภาพ สังคม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งหมายรวมถึงการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมในคอร์ส “เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องของเรา” ที่ประกอบไปด้วย 5 วิชาทั้งด้านสิ่งแวดล้อมในภาพรวม น้ำ อากาศ ขยะ และล่าสุดก็คือเรื่องขยะพลาสติก อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของวิชาเหล่านี้อาจมีความเหมาะสมกับผู้ที่สนใจในกลุ่มนักเรียนในระดับมัธยม นิสิตนักศึกษา และบุคคลทั่วไป แต่การปลูกฝังการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดควรจะเริ่มตั้งแต่ในกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งความร่วมมือกับบริษัท เชลล์ฮัท เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ จำกัด ในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการเรียนการสอนด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาไปสู่ผู้ที่มีความสนใจทุกกลุ่มผ่านนวัตกรรมด้านการศึกษาที่บูรณาการความเชี่ยวชาญของทางบริษัทฯ กับองค์ความรู้ของสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อส่งต่อองค์ความรู้สู่สังคม และร่วมสร้างความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศได้อย่างแท้จริง

ดร. ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท เชลล์ฮัท เอ็นเทอร์เทนเม้นท์  จำกัด และ บริษัท ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการทำโครงการ Shelldon 3E มาจากโครงการ Shelldon School Tour ซึ่งเป็นงาน CSR ของบริษัทฯ ที่มีจุดประสงค์เพื่อปลูกฝัง และสร้างความตระหนักรู้ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  ลดการทำให้เกิดมลพิษทางทะเลกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยกิจกรรมที่จัดในโรงเรียนจะมีการนำเรื่องราวของการ์ตูน “เชลล์ดอน” ในตอนที่แสดงให้เห็นถึงมลภาวะต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อตัวละครในเชลล์แลนด์มาใช้ประกอบกิจกรรม CSR นี้ ซึ่งค่อนข้างได้รับผลตอบรับที่ดี โดยเฉพาะการเรียนรู้ผ่านสถานการณ์ (Event-based learning) ที่เป็นการกระตุ้นให้เด็กๆ เกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม รวมถึงพยายามหาวิธีการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง และจากผลตอบรับที่ดีเราจึงมีความคิดที่อยากจะขยายโครงการกิจกรรมนี้ออกไปสู่โรงเรียนทั่วประเทศ โดยจะพัฒนาการ์ตูนแอนิเมชั่น “เชลล์ดอน” ให้เป็นสื่อการเรียนการสอนด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาแล้วส่งมอบให้โรงเรียนได้ใช้ประโยชน์ และเป็นเสมือนผู้ช่วยของครูที่จะทำให้การเรียนด้านนี้เป็นเรื่องที่สนุกและได้ความรู้ไปด้วยแบบ Edu-tainment ซึ่งจะเน้นให้เด็กๆ สนุกและสามารถจดจำเรื่องราวสถานการณ์ต่างๆ ได้ เพื่อที่จะเกิดการตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทฯ เจ้าของลิขสิทธิ์การ์ตูนแอนิเมชั่น “เชลล์ดอน” และ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาเครื่องมือ Environmental Education Tool นี้ร่วมกัน โดยใช้เนื้อหาของ “เชลล์ดอน” ในการพัฒนาชุดความรู้ต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม พัฒนาทักษะเพื่อให้สามารถใช้ความรู้ต่างๆ ในการแก้ปัญหา รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Lifestyle) ยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เด็กๆ หลายคนต้องนั่งเรียนออนไลน์กัน ทางบริษัทฯ หวังว่าเนื้อหาและเครื่องมือต่างๆ ที่กำลังจะพัฒนาร่วมกันกับทางจุฬาฯ จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ผู้ปกครอง รวมถึงบุคคลทั่วไปที่กำลังศึกษาหรือสนใจวิชาด้านสิ่งแวดล้อมศึกษา

นอกจากนี้ เชลล์ดอน ยังเป็นทูตทางทรัพยากรใต้ท้องทะเลให้กับ United Nations Development Programme (UNDP) ใน Sustainable Development Goals (SDGs) เป้าหมายที่ 14: สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอีกด้วย จึงทำให้เรื่องราวของ  “เชลล์ดอน” เหมาะสมกับคอร์สออนไลน์นี้ และด้วยสถานการณ์ตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเริ่มเรียนรู้ผ่าน Chula MOOC ได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งบนระบบ Windows และ MacOS และระบบมือถือทั้งระบบ Android และระบบ iOS

ถอดรหัส Mobile Wallet จาก ShopeePay

จากการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจออนไลน์และอีคอมเมิร์ซในปี 2021 ส่งผลให้มีผู้บริโภคมากมาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชำระเงินและหันมาใช้ Mobile Wallet เพิ่มขึ้น ShopeePay (ช้อปปี้เพย์) ถือเป็นหนึ่งใน Mobile Wallet ชั้นนำของไทยที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในตัวการเร่งการเติบโตของ ShopeePay คือการเข้ามาเป็นส่วนช่วยส่งเสริมอีโคซิสเต็มแบบบูรณาการเข้ากับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง ‘ช้อปปี้’ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางหลักของการชำระเงินดิจิทัล พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายของผู้ใช้งานช้อปปี้ให้คุ้มค่า ปลอดภัย และสะดวกสบายกว่าที่เคย

ด้วยความมุ่งมั่นของ ShopeePay ที่ต้องการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อส่งมอบนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์รับเทรนด์อีคอมเมิร์ซปี 2021 หัวใจหลักของการบริการจาก ShopeePay จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการและอำนวยความสะดวกในการชำระเงินด้านการช้อปปิ้งออนไลน์และชำระค่าใช้จ่ายออนไลน์ต่าง ๆ โดยยึดมั่นตามหลัก 4 ประการดังนี้

1. ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน: เพราะผู้ใช้งานต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งและการใช้จ่ายที่ดีที่สุด ซึ่งนอกจากจะหมายถึงความรู้สึกสะดวกสบายไร้สะดุดแล้ว ยังรวมถึงการนำเสนอบริการอื่น ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ใช้งานให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ShopeePay จึงมุ่งมอบประสบการณ์การใช้จ่ายรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านเทคโนโลยีการชำระเงินจากการนำเสนอการบริการ และสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทุกมิติของไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นจ่ายบิล, จองตั๋วหนัง, เติมเกม, เติมเงินเติมเน็ตมือถือ หรือ จ่ายค่าอินเตอร์เน็ต

2. ความปลอดภัยในการชำระเงิน: ความปลอดภัย ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการชำระเงินที่ต้องตระหนัก ShopeePay ให้ความสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ของผู้ใช้งานเป็นอย่างยิ่ง โดยใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีมาตรฐานระดับสากล อย่างการยืนยันตัวตนผู้ใช้งานผ่านระบบ Biometrics นอกจากนี้ ShopeePay ยังมีอัลกอริทึมที่มีการวางระบบการตั้งค่า และการแจ้งเตือนเพื่อคัดกรองธุรกรรมที่น่าสงสัย หรือเข้าข่ายการทุจริตแบบเรียลไทม์อีกด้วย

3. สิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า: จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มหันมาซื้อสินค้าออนไลน์และเริ่มค้นหาวิธีการชำระเงินที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ShopeePay จึงต้องการคืนกำไรให้แก่นักช้อป ผ่านการมอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และส่วนลดให้แก่นักช้อป เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพภายในครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็น โค้ดส่งฟรีบน Shopee, ฟรีค่าธรรมเนียมในการชำระบิลค่าน้ำค่าไฟ ตลอดเดือนกันยายนนี้ รวมถึงส่วนลดสุดคุ้มอีกมากมายในแคมเปญ ‘ShopeePay Day’ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันที่ 25 ของเดือน ให้นักช้อปสามารถช้อปความคุ้มค่าได้อย่างไม่มีสะดุด

4. เชื่อมต่อโลกออฟไลน์และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ (Omnichannel): แม้ธุรกิจออนไลน์จะเป็นที่นิยมในบรรดาเหล่าผู้ขายและผู้บริโภค ShopeePay เชื่อว่าการทำธุรกิจที่ดีและเข้าถึงผู้บริโภคอย่างครอบคลุมมากที่สุด คือ การสร้างเครือข่ายธุรกิจผสมผสานทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ที่ครอบคลุมในทุกการใช้จ่าย โดยหนึ่งในเครื่องมือการดำเนินธุรกิจของ ShopeePay ที่สอดคล้องกับการเชื่อมต่อโลกออฟไลน์และออนไลน์ คือ ‘ShopeePay Vouchers’ คูปองส่วนลดบน Shopee ที่ผู้ใช้งานสามารถซื้อคูปอง แล้วนำมาสแกนจ่ายแบบไร้สัมผัส เพื่อเป็นส่วนลดค่าสินค้าในร้านค้าพันธมิตร ที่ร่วมรายการจากหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร, ร้านค้าปลีก และปั๊มน้ำมัน เป็นต้น

นายศุภวิทย์ หงส์อมรสิน ผู้อำนวยการ ช้อปปี้เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ShopeePay เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกยุคดิจิทัล เทรนด์ของอีคอมเมิร์ซและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อยู่เสมอตามสถานการณ์ต่าง ๆ ในฐานะที่ ShopeePay เป็น Mobile Wallet ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานชาวไทย และยังเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยให้เติบโต เราพร้อมเปิดใจเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงและนำมาพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อให้การบริการ Mobile Wallet สอดรับไปกับกระแสธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และขอเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสร้างโอกาสให้ทุกธุรกิจและร้านค้าต่าง ๆ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้จ่ายที่ดีที่สุดผ่าน Mobile Wallet ในมิติของผู้ใช้งานที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่ง”

บล็อคฟินท์ จับมือ Convergence.Tech สร้าง Digital Credential ครั้งแรกในไทย

บล็อคฟินท์ (Blockfint) จับมือกับ Convergence.Tech ยักษ์ใหญ่แห่งวงการประกาศนียบัตรดิจิทัลชื่อดังของโลก สร้างแพลตฟอร์ม Digital Credential หรือ ประกาศนียบัตรดิจิทัล เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

นายสุทธิพงศ์ กนกากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บล็อคฟินท์ จำกัด กล่าวว่า เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลอย่าง Convergence.Tech ในการทำแพลตฟอร์ม Digital Credential ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อรับรองข้อมูลในด้านการศึกษาตามมาตรฐานระดับโลก เพราะจะช่วยในเรื่องความสะดวกรวดเร็ว ความปลอดภัยของข้อมูลที่ไม่สามารถปลอมแปลงเอกสารได้ ใช้งานง่าย สามารถแชร์ข้อมูลประกาศนียบัตรดิจิทัลนี้ไปใช้ตามแพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn ได้เลย อีกทั้งยังประหยัดเวลาในการยื่นคำร้องเพื่อออกเอกสารและรับรองสำเนา เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติด้านการออกเอกสารของแวดวงการศึกษาไทย

Digital Credential หรือ ประกาศนียบัตรดิจิทัล คือประกาศนียบัตรที่มีการใช้ตราสัญลักษณ์และหนังสือรับรองที่ตรวจสอบได้ (Verifiable Credential) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในโลกดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าการรับรองเอกสารแบบดิจิทัลที่ไม่เคยมีมาก่อน และป้องกันการใช้เอกสารโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ออกเอกสาร โดยปัจจุบันมีการใช้งาน Digital Credential อย่างแพร่หลายในแวดวงการศึกษาชื่อดังหลายแห่งทั้งระดับมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน และหน่วยงานด้านการศึกษาอื่น ๆ ใน 12 ประเทศ รวมถึงออสเตรเลีย แคนาดา อังกฤษ อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา

Chami Akmeemana ประธานกรรมการบริษัท Convergence.Tech ผู้นำเทคโนโลยีด้านประกาศนียบัตรดิจิทัล กล่าวว่า การเข้ามาเปิดตลาด Digital Credential ในประเทศไทยร่วมกับบล็อคฟินท์ในครั้งนี้ ทาง คอนเวอร์เจนซ์ เทค รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะบล็อคฟินท์เป็นผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มการยืนยันตัวตนแบบดิจิทัล หรือ National Digital ID (NDID) ในโครงการใหญ่ ๆ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินและหน่วยงานภาครัฐชั้นนำของประเทศไทยมาก่อน และจะเป็นโอกาสสำคัญในการเติบโต และสร้างการยอมรับ Digital Credential ในวงกว้างยิ่งขึ้น

ในการออก Digital Credential ของสถานศึกษาสามารถออกประกาศนียบัตรได้ทันที ตรวจสอบได้ทั้งแบบ real time และ offline โดยตัวประกาศนียบัตรจะแนบข้อมูลรายละเอียดครบถ้วน ทั้งวิชาและผลการเรียน และเชื่อมต่อกับระบบที่ให้ความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการเข้ารหัส ด้วยเทคโนโลยี blockchain ทำให้ไม่สามารถปลอมแปลงข้อมูลได้ ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสถาบันด้วยตราสถาบันที่อยู่ในประกาศนียบัตรดิจิทัล

ส่วนผู้เรียน หรือนักศึกษาจะได้สิทธิ์ในการควบคุมข้อมูล โดยสามารถใช้งานคู่กับกระเป๋าเงินดิจิทัลส่วนตัว ไม่ต้องดาวน์โหลดแอป หรือลงทะเบียนใช้งานให้ยุ่งยาก แต่สามารถแชร์ไปยังแพลตฟอร์มที่ยื่นสมัครงานได้เลย เช่น LinkedIn ของนายจ้างหรือสมัครเรียนต่อต่างประเทศได้ทันที ทำให้ประหยัดเวลาในการขอคำร้องออกเอกสารและรับรองสำเนา และยังเปิดกว้างให้สามารถเพิ่มตราและประกาศนียบัตรอื่น ๆ ลงในกระเป๋าเงินดิจิทัลใบเดียวกันได้

ปัจจุบัน Digital Credential ของ Convergence.Tech ได้มาตรฐานที่รับรองโดย The Digital Credentials Consortium (DCC) ซึ่งมีมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Harvard, Berkeley, MIT และอื่น ๆ อีกจำนวนมากเป็นสมาชิก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนมาตรฐานจากกลุ่มเครือข่าย T3 Innovation ที่สนับสนุนโดยบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึง Google, Walmart และ Microsoft ทำให้ประกาศนียบัตรดิจิทัลนี้เป็นที่ยอมรับไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอีกด้วย

ส่อง CEA งัดแผนกู้วิกฤตโควิด-19

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เปิด 3 มาตรการช่วยเหลือกลุ่มฟรีแลนซ์ และผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 15 สาขา ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ผ่านโครงการ “CEA – COVID-19 Relief Programs” เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของคนทำงานและภาคธุรกิจ พร้อมเดินหน้าโครงการ CEA Creative Industries ชูศักยภาพอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ผลักดันให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยเติบโตไกล

นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ CEA กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อ 15 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ต้องสะดุดลง โดยข้อมูลผลประกอบการธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ CEA รวบรวมพบว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการสร้างสรรค์มีรายได้ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 26% อยู่ที่ 1.49 ล้านล้านบาท ทำให้อุตสาหกรรมต้องเผชิญการขาดทุนสุทธิรวม 1.74 หมื่นล้านบาท

สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ CEA ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy จึงได้เร่งปรับการทำงานของทั้งองค์กร ออกมาเป็นแผนช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ภายใต้โครงการ “CEA – COVID-19 Relief Programs” ซึ่งเป็นการดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่การจ้างงานนักสร้างสรรค์โดยตรง การช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ได้ ไปจนถึงการปรับกระบวนการทำงานขององค์กรทั้งระบบ ตั้งแต่การวางนโยบาย การจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนการให้บริการที่มุ่งสู่ออนไลน์ เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ โครงการ “CEA – COVID-19 Relief Programs” ประกอบด้วยมาตรการ 3 หลัก คือ

  1.  การปรับบริการและกิจกรรมมุ่งสู่ออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง (Capacities Building) ให้ธุรกิจและนักสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการดำเนินการกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์ รวม 4 กิจกรรมด้วยกัน ได้แก่

– ปรับรูปแบบบริการห้องสมุดเพื่อการออกแบบ (TCDC Resource Center) สู่แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เข้าถึงได้สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งนอกจากการให้บริการข้อมูล และค้นคว้าข้อมูลแล้ว ยังสามารถเข้าชมข้อมูลนิทรรศการและกิจกรรมประกอบย้อนหลังในรูปแบบดิจิทัลได้โดยไม่จำกัดเวลา (Archive)

– พัฒนาคอร์สออนไลน์เพื่อเสริมทักษะผู้ประกอบการสร้างสรรค์ “CEA Online Academy”  หลักสูตรออนไลน์เรียนฟรีเพื่อผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะเดิมให้ทันกับยุคสมัย (Upskill) หรือเพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็น (Reskill) ปัจจุบัน มีผู้เข้าชมหลักสูตรแล้วมากกว่า 35,000 คน ในกว่า 35 หลักสูตรการเรียนการสอนออนไลน์ที่บรรจุอยู่ใน https://academy.cea.or.th

– จัดกิจกรรมให้คำปรึกษาธุรกิจสร้างสรรค์“Creative Business Consultation Program” ซึ่งเป็นบริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาหรือขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่จะหมุนเวียนกันมาให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจ ทั้งด้านกลยุทธ์ธุรกิจ การเงิน การสร้างแบรนด์ กฎหมาย การออกแบบ กระบวนการคิดเพื่อสร้างนวัตกรรม และการปรับตัวท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคระบาด ซึ่งเป็นการให้บริการฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวเดินหน้าต่อไปได้

– สร้างแพลตฟอร์มแสดงผลงาน CONNECT by CEA: Creator’s Marketplace แคมเปญ “ตลาดนัด” ของเหล่านักสร้างสรรค์ ฟรีแลนซ์ และสตูดิโอ ที่สามารถนำผลงานมาจัดแสดง ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเลือกชมผลงานและเลือกจ้างงานได้มากกว่า 5 สาขา แคมเปญนี้ ได้สร้างงานให้กับเหล่านักสร้างสรรค์ ไปแล้วกว่า 25 ราย

  1. โครงการพิเศษเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์โดยเฉพาะ ได้แก่ โครงการ “CEA VACCINE ร่วมสร้างสรรค์ …ภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจไทย”

CEA ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 15 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการกระตุ้นตลาดการจ้างงานตรงให้กับกลุ่มฟรีแลนซ์-เอสเอ็มอี รวมกว่า 1,200 ราย ในช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมาใน 3 ด้านหลัก คือ

– กิจกรรม “สู้โควิดด้วยวิตามิน” เกิดการจ้างงานตรง 6 สาขาอาชีพ เช่น นักดนตรี นักเขียน นักแปล ช่างภาพ ฯลฯ รวม 373 คน

– กิจกรรม “เสริมภูมิคุ้มกัน” ร่วมมือกับมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Lazada, JD Central, PINKOI และ SIFT & PICK เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีราว 890 ราย

– กิจกรรม“สร้างเกราะต้านทานโรค” โดยเป็นการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สนับสนุนกลุ่มศิลปิน นักร้อง นักดนตรี นักแสดง เช่น โครงการ CEA Live House (ปีที่ 1) ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่างบริษัท ProPlugin, Live4 Viva, Rock Planet และ JOOX สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงและเผยแพร่ผลงานของศิลปิน นักร้อง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือโครงการ CEA Live House (ปีที่ 2) ซึ่งสนับสนุนพื้นที่บันทึกการแสดงสดและการถ่ายทำเพื่อเผยแพร่ในช่องทางสื่อสารของศิลปิน นักแสดง และช่องยูทูบของ CEA

  1.  การใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เข้ามาแก้ปัญหาและความท้าทายรูปแบบใหม่ที่ต้องเผชิญ (Endorsing Innovation, Technology & Design Thinking for Better Solutions)  เพื่อให้ผู้จัดงานและผู้เข้าชมงาน เกิดความปลอดภัยในการใช้พื้นที่สาธารณะในรูปแบบต่างๆ ในรูปแบบของอุปกรณ์ เครื่องมือ แพลตฟอร์ม 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

–  CROWD CHECK เครื่องมือคำนวณหาความหนาแน่นของการใช้พื้นที่ เพื่อให้ผู้ชมงานใช้วางแผนการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลาแออัดได้ โดยแสดงผลผ่านเว็บไซต์ https://crowdcheck.info/ และhttps://www.bangkokdesignweek.com/guide/101286

Virtual Design Festival แพลตฟอร์มการชมงานในรูปแบบ 360° Exhibition Tour ที่มอบประสบการณ์การรับชมได้อย่างเต็มอิ่ม เสมือนได้เดินชมงานจริงกว่า 15 งาน และยังสามารถรักษาระยะห่างและความปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด

HackVax 2021 ทีมนักนวัตกรรม นักออกเเบบ นักสื่อสาร และทีมเเพทย์ พร้อมด้วยนักวิจัยจาก MIT สหรัฐเมริกา ร่วมกันออกเเบบ “กระบวนการฉีดวัคซีน” เพื่อลดขั้นตอนให้สั้นและกระชับรวดเร็ว โดย CEA ร่วมกับทีมงาน HackVax.org และจังหวัดขอนแก่น จัดโครงการนำร่องการฉีดวัคซีนที่จังหวัดขอนแก่นในชื่อโครงการ “ขอนแก่น ฉีดละเด้อ” และพร้อมต่อยอดสู่การใช้งานทั่วประเทศเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการก้าวข้ามวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้

–  Covid-19 Innovation Showcase CEA ร่วมกับ FabCafe Bangkok เมกเกอร์ที่มีบทบาทสำคัญในการดัดแปลง พัฒนา ผลิตและสร้างอุปกรณ์ต้นแบบ ได้แก่ SWAB SHIELD, AEROSOL BOX, UVC-decontamination, HEPA H-14, PAPR HEADSUIT และ COVID BED ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดไฟล์ CAD (Open source) ผลงานต้นแบบเพื่อนำไปออกแบบ พัฒนา และผลิตด้วยเครื่องจักรได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากการมุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการและนักสร้างสรรค์จากผลกระทบของโควิด-19 แล้ว CEA ยังเร่งเครื่องสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยจัดงาน“CEA Creative Industries 2021” ในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564 นี้ ซึ่งทาง CEA เป็นหน่วยงานหลักที่เชื่อมต่อความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 15 สาขา อาทิ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกไทยฯลฯ

ทั้งนี้ งาน“CEA Creative Industries 2021”เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยผ่านการจัดกิจกรรมหลายรูปแบบ อาทิ การประกวดและมอบรางวัลให้แก่บุคลากรสร้างสรรค์ในสาขาต่าง ๆ การเสวนา การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การรวบรวมและพัฒนาฐานข้อมูลอุตสาหกรรมสร้างสรรค์รายสาขา และการผลิตวิดีโอคอนเทนต์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ โดยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจพัฒนาผลงานสร้างสรรค์สู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะภาคีเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.cea.or.th FB: Creative Economy Agency

เคอรี่ โลจิสติคส์ คว้ารางวัลรับรองมาตรฐาน GMP Codex

นายสมคิด บุณยสรณ์สิริ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคอรี่ โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้รับใบรับรองมาตรฐานหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Manufacturing Practice : GMP Codex) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก สำหรับการจัดเก็บและขนส่งอาหาร สินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์  แบบห้องเย็นและอุณหภูมิห้อง จากบริษัท Lloyd’s Register หน่วยงานที่ให้การตรวจประเมินและให้การรับรอง

GMP เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร จัดทำขึ้นโดยหน่วยงานมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศหรือ โคเด็กซ์ (Codex) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

การได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP ในครั้งนี้ถือว่าสำคัญมาก ซึ่งช่วยยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้เป็นมาตรฐานสากล ตามนโยบายของเคอรี่ฯ (GMP Policy) มุ่งมั่นที่จะให้บริการด้านโลจิสติกส์ ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ถูกต้องตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการจัดเก็บและขนส่งผลิตภัณฑ์ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอน ส่งมอบอาหารสะอาด คุณภาพปลอดภัยสู่ผู้บริโภค

ความสำเร็จเกิดขึ้นจากความร่วมมือที่ดีจากทุกฝ่าย ที่ร่วมแรงร่วมใจจัดทำและสร้างระบบจนผ่านการรับรอง โดยเริ่มจากระบบมาตรฐาน ISO9001 เมื่อปี 2005 ตามมาด้วย ISO45001, ISO14001, Halal และได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเพื่อเป็นการยืนยันเรื่องคุณภาพ จึงได้ดำเนินการขอการรับรองระบบ GMP ข้างต้น ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

รางวัลดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า การให้บริการของเคอรี่ฯ มีคุณภาพและมาตรฐานการจัดเก็บและการปฏิบัติงานที่ดี เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการคลังสินค้าและขนส่งสินค้า และเพื่อสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และอื่นๆ ตลอดห่วงโซ่

โดยปัจจุบัน เคอรี่ โลจิสติคส์ กำลังขยายธุรกิจคลังสินค้า เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจด้านอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค ยา และเวชภัณฑ์ ยังคงมุ่งมั่นในการนำมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องมาปฏิบัติ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจ และคงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นสูงสุดแก่ลูกค้า ตามกลยุทธ์ขององค์กรต่อไป

 

 

 

SA ลุยขยายธุรกิจ Food & Beverage

บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA)  มุ่งสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ครบวงจร ลุยขยายธุรกิจอาหาร  และเครื่องดื่ม เตรียมจับมือร้านอาหารดัง  พร้อมเปิด Cloud Kitchen  รองรับกระแส Food Delivery คึกคัก ฟากบิ๊กบอส “ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ” ระบุตั้งเป้าเปิดสาขา 200 แห่ง ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า หวังสร้างรายได้ประจำเพิ่มอีกปีละ 400-500 ล้านบาท พร้อมทยอยเปิดโครงการอสังหาฯใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวในทำเลพรานนก และพุทธมณฑล และ Blossom Condo @ทุ่งสองห้อง มูลค่าโครงการกว่า 8 พันลบ. มั่นใจสนับสนุนอนาคตเติบโตแข็งแกร่ง 

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด ‘Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต’ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564 บริษัทฯ วางกลยุทธ์มุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โดยประกอบด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม  ธุรกิจงานบริการที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจด้านเทคโนโลยี รวมถึงธุรกิจด้านสุขภาพ ซึ่งดำเนินการสอดคล้องไปกับแผนการขยายฐานรายได้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และผลักดันการเติบโตได้อย่างมั่นคง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีแผนจะขยายสาขาร้าน Cloud Kitchen เพิ่มอีกจำนวน 16 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 4 สาขา รวมเป็น 20 สาขาภายในปีนี้  และตั้งเป้าครบ 200 สาขา ภายในปีนี้ 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีพื้นให้บริการครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อตอบโจทย์กระแสธุรกิจส่งอาหารหรือ  Food Delivery มาแรงในปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากร้านอาหารในเครือแล้วบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาร้านอาหารชื่อดังจำนวนมาก เข้าร่วมโครงการด้วยเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าหากเปิดได้ครบ 200 สาขาตามเป้าหมายที่วางไว้ จะสามารถสร้างรายได้ประจำเพิ่มเติมปีละ 400-500 ล้านบาทอีกด้วย

ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก บริษัทฯ มีแผนจะทยอยเปิดโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการหมู่บ้านแนวราบจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวในทำเลพรานนก และโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลพุทธมณฑล มูลค่าโครงการรวม 6,000 ล้านบาท และ โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 1 โครงการ คือ Blossom Condo ทุ่งสองห้อง ติดทางลงสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีทุ่งสองห้อง มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการจะอยู่ในทำเลที่ดี ใกล้รถไฟฟ้า โรงพยาบาล หรือแหล่งห้างสรรพสินค้าต่างๆ และหากต้องการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองสามารถทำได้อย่างสะดวกสบาย โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดขายรอโอน กว่า 4,800 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้า

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA กล่าวอีกว่า ขณะที่ธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานด้วยกลยุทธ์ Long Stay ที่มาพร้อมกับการบริหารจากแบรนด์โรงแรมชั้นนำ พร้อมอำนวยความสะดวกแก่ผู้พักอาศัยด้วยการบริการชั้นเลิศตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการพักอาศัยเสมือนบ้านตนเองแต่ได้รับการบริการเทียบเท่าโรงแรม 5 ดาว

นอกจากนี้ ธุรกิจเทคโนโลยี อยู่ระหว่างเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Air of Life เติมอากาศบริสุทธิ์สู่บ้าน  ด้วยนวัตกรรมกักเก็บความเย็นช่วยให้บ้านเย็นสบาย และมาพร้อมกับระบบหมุนเวียนอากาศภายใน รวมถึงสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 99% โดยจะเปิดขายผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ แอพพลิเคชั่น LINE My Shop ที่เชื่อมกับ LINE@ ของ Siamese Technology และอีกช่องทางผ่านแอพพลิเคชั่น Shopee และ Lazada เพื่อการเข้าถึงได้ง่ายและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อได้อย่างดี ในเร็วๆนี้

อนึ่ง ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯ ได้มีมาตราการจัดหาวัคซีนสำหรับพนักงาน โดยเฉพาะพนักงานขายตามโครงการต่างๆ ให้ได้รับวัคซีนทั้งหมดแล้วทั้งสิ้น 100% เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และมั่นใจให้กับลูกค้า หากต้องการนัดหมายเข้าเยี่ยมชมโครงการของ SIAMESE ASSET สามารถติดต่อนัดหมายล่วงหน้าได้ตามปกติ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1306

ทำความรู้จัก ขนมปังสไตล์ฮ่องกง Pineapple Bun อันโด่งดัง

ขนมปังสับปะรด หรือ Pineapple Bun ถือเป็นขนมอบรสชาติโอชะแบบฮ่องกงแท้ๆ ที่ทั้งขึ้นชื่อและมีจำหน่ายตามร้านกาแฟและเบเกอรีสไตล์ท้องถิ่นทั่วเมือง เรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ที่นักท่องเที่ยวยอมต่อคิวเพื่อลิ้มลองเมื่อได้มาเยือน “เมืองระดับโลกแห่งเอเชีย” แห่งนี้เลยทีเดียว

หลายคนอาจสงสัย เมนูยอดนิยมนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 1940 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของคาเฟ่สไตล์ฮ่องกง อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องยากที่เหล่าคาเฟ่จะทำกำไรได้มากพอจากการขายแค่ชานมฮ่องกงเพียงอย่างเดียว เจ้าของร้านคาเฟ่จำนวนมากจึงตัดสินใจทำร้านเบเกอรีควบคู่กันไปเพื่อรังสรรค์เมนูเค้กและขนมปังสุดพิเศษออกวางขายด้วย แต่ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์ยังมีความคล้ายคลึงกัน การหันมาพึ่งเบเกอรีจึงยังไม่ได้ช่วยมากมายนัก นักอบทั้งหลายจึงพยายามลองคิดค้นขนมปังสูตรพิเศษเพื่อให้โดดเด่นกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ

เจ้าของร้านคาเฟ่เหล่านี้ต่างทราบดีว่าชาวฮ่องกงส่วนใหญ่ชื่นชอบขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเค้กสัญชาติจีนรสชาติหวานหอมทั้งหลายจึงขายดี เมื่อนึกได้ถึงประเด็นนี้ พวกเขาจึงเริ่มรังสรรค์ขนมปังรสชาติหวานละมุน ที่มีเปลือกนอกทำมาจากน้ำมันหมู ผสมแอมโมเนียคาร์บอเนตและเนยเป็นหลัก โดยหลังจากนำไปอบในเตาแล้ว เปลือกตรงหน้าขนมปังจะแตกออกจนดูเหมือนเปลือกของสับปะรด จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘ขนมปังสับปะรด’ หรือ Pineapple Bun นั่นเอง

เมื่อได้เริ่มวางขาย ขนมปังสับปะรดก็กลายมาเป็นเมนูสุดพิเศษที่ทุกคนนิยมรับประทานกันเป็นมื้อเช้าหรือจิบพร้อมน้ำชายามบ่าย ถ้าจะให้อร่อยที่สุดก็ต้องรับประทานตอนออกจากเตาใหม่ๆ ขนมปังสับปะรดที่ดีจะต้องมีความกรอบร่วน แต่อย่าเผลอวางตากลมทิ้งไว้ เพราะรสชาติจะเปลี่ยนไปแน่นอน

ต่อมาขนมปังสับปะรดสูตรต้นตำรับได้มี ‘วิวัฒนาการ’ กลายเป็น ขนมปังสับปะรดสอดไส้เนย โดยเสิร์ฟพร้อมเนยฝานชิ้น สอดแทรกอยู่ในก้อนขนมปัง รสชาติใหม่อันเกิดจากการผสมผสานระหว่างความร้อนของขนมปังอบใหม่กับเนยเย็นๆ อย่างลงตัว ทำให้ผู้คนต่างพากันลิ้มลองขนมปังสับปะรดอย่างไม่รู้จักเบื่อ

ถ้าคุณสงสัยว่าจะหาซื้อขนมปังสับปะรดที่ดีที่สุดในฮ่องกงได้ที่ไหนแล้วล่ะก็ ด้านล่างนี้คือพิกัดร้านดังที่จะพาคุณดื่มด่ำไปกับรสชาติที่คอของหวานรอคอย

1. Kam Wah Café

Kam Wah Café ตั้งอยู่บนถนนปรินซ์เอ็ดเวิร์ด (Prince Edward) เกาลูน (Kowloon) โดยเป็นผู้ผลิตขนมปังสับปะรดเจ้าดังที่สุดของฮ่องกง คาเฟ่เจ้านี้เสิร์ฟ Bo Lo Yau (ภาษากวางตุ้งที่ใช้เรียกขนมปังสับปะรด) สอดไส้เนยชิ้นหนาให้กับลูกค้ามากหน้าหลายตามาตั้งแต่ปี 1973 การันตีความอร่อยด้วยจำนวนลูกค้าที่รอคิวกันตลอดทั้งวัน

2. Mrs. Tang Café

Mrs. Tang Café ตั้งอยู่บนเส้นทางมรดกผิงซาน (Ping Shan Heritage Trail) นอกเขตหยวนหลง (Yuen Long) จึงนับเป็นจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่าแก่การเดินทางอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าคุณจะเพิ่มความพิเศษให้กับการเดินทางด้วยการสั่งขนมปังสับปะรดสอดไส้ไข่และมะเขือเทศ (แน่นอนว่าจะต้องมาพร้อมกับเนยชิ้นโตด้วย!) และล้างปากด้วยเมนูเครื่องดื่ม อย่าง ชานม “แชมเปญ” ที่จะเสิร์ฟแบบแช่เย็นจัด ไม่ใส่น้ำแข็ง หมดกังวลว่าน้ำแข็งจะละลายจนทำให้ชาเสียรสชาติ

3. Sai Kung Café & Bakery

 

 

Sai Kung Café & Bakery ถือเป็นหนึ่งในคาเฟ่เบเกอรีที่เปิดให้บริการมาอย่างยาวนานในฮ่องกง และเสิร์ฟขนมหวานสไตล์ฮ่องกงสุดคลาสสิกมากมายที่อบสดใหม่จากเตา รวมถึงขนมปังสับปะรดนี้ด้วย คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงไซกุงตามชื่อของร้าน และการแวะพักนั่งชิวที่ร้านคาเฟ่เบเกอรีแห่งนี้หลังการเดินเล่นริมทะเลนั้นเรียกได้ว่าคุ้มค่าอย่างมาก

เปิดมิติใหม่ในการช้อปยานยนต์ ครั้งแรกกับการจอง Audi Q2 ทางลาซาด้า

ลาซาด้า ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จับมือ อาวดี้ ประเทศไทย เปิดตัว Audi Q2 จำนวนจำกัด ที่มีเพียง 4 คันในประเทศไทยบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่แรกและที่เดียว ให้นักช้อปจองผ่าน Audi Flagship Store บน LazMall พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเพียง 1.999 ล้านบาทที่ลาซาด้าเท่านั้น

นางสาวธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า  “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับอาวดี้ ประเทศไทยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของ LazMall อย่างเป็นทางการ โดยอาวดี้ถือเป็นแบรนด์จากกลุ่มรถยนต์พรีเมียมรายแรกของประเทศไทย ที่เปิดออนไลน์ช้อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างลาซาด้า โดยเรามีเป้าหมายในการช่วยแบรนด์ขยายฐานลูกค้าและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วประเทศ อีกทั้งยังมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์การช้อปของลูกค้าไปอีกขั้น เราเชื่อว่าการเปิดตัวยนตรกรรม Audi Q2 พร้อมแคมเปญสุดพิเศษจากอาวดี้ ที่จะเกิดขึ้นแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่Audi Flagship Store บน LazMall นั้นจะสร้างสีสันความพิเศษ ความคุ้มค่า และประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าของลาซาด้าและอาวดี้ได้อย่างแน่นอน”

LazMall นับเป็นห้างสรรพสินค้าออนไลน์เสมือนจริงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนแพลตฟอร์มลาซาด้า โดยการันตีแบรนด์แท้ราคาดี ส่งฟรีถึงบ้านคุณ พร้อมรับประกันคืนสินค้าภายใน 15 วัน LazMall ยังเป็นแหล่งรวมแบรนด์ดังชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี มีทั้งแบรนด์ออนไลน์ยอดนิยมและผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สำหรับการร่วมมือกันระหว่างลาซาด้า และ อาวดี้ ประเทศไทยในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งยนตรกรรมในรูปแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยคุณภาพและสนุกยิ่งกว่าเดิม

นายกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาวดี้ ประเทศไทย กล่าวว่า “หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ อาวดี้ ประเทศไทย สามารถเติบโตสวนกระแส เชื่อมโยงระหว่างสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ สู่โลกออนไลน์มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมถึงพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบายและเข้าถึงง่าย การจับมือกับ Lazada สามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้นและรองรับความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที เน้นการบริการอำนวยความสะดวกลูกค้าเป็นหลัก พร้อมทั้งให้ความรู้สึกพิเศษกับการมีส่วนร่วมในเวลาเดียวกัน โดยการเปิดจอง The New Audi Q2 ผ่าน Lazada แพลตฟอร์มครั้งแรกในประเทศ เราเชื่อมั่นว่านี่จะเป็นก้าวสำคัญของการตลาด ที่ไม่เพียงสร้างกระแสผ่านสื่อดิจิทัล แต่ยังเป็นการเพิ่มช่องทางการขายผ่านบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างครบวงจร เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากที่สุด”

Audi Q2 คือ ทางเลือกแห่งไลฟ์สไตล์วันนี้ compact SUV ที่สุดแสนจะปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว เต็มไปด้วย Character ของ Audi SUV ในขนาดที่กะทัดรัด เพียบพร้อมไปด้วยการออกแบบที่ทันสมัย ความสะดวกสบาย ความเพลิดเพลินในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม และความสนุกอีกเพียบที่รออยู่หลังพวงมาลัย The new Audi Q2 สร้างชื่อเสียงด้วย Character เฉพาะตัว จากการเปิดตัวเมื่อสี่ปีที่แล้ว และเสียงตอบรับจากแฟนอาวดี้ ทำให้ Audi Q2 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ครั้งนี้ Q2 กลับมาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น ไฟหน้าใหม่ สะดุดตา ลุคสปอร์ต ดีไซน์โฉบเฉี่ยวคล่องตัว พร้อมเปิดจองแล้วตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ผ่าน Audi Flagship Store บนลาซาด้าเท่านั้