พิซซ่า ฮัท เปิดเมนูใหม่ ฟิลลี่ ชีส พิซซ่า – ขอบชีส ทรัฟเฟิล

พิซซ่า ฮัท 1150 แบรนด์พิซซ่าระดับโลกภายใต้การบริหารงานของบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด ตอกย้ำความเป็นแบรนด์พิซซ่าอันดับหนึ่งในด้านการสร้างสรรค์เมนูคุณภาพพรีเมียมและรสชาติดีเลิศ โดยร่วมกับเชฟอ๊อฟ ณัฐวุฒิ ธรรมพันธุ์ เชฟชื่อดังระดับประเทศ ครีเอทเมนู “ฟิลลี่ ชีส พิซซ่า – ขอบชีส ทรัฟเฟิล (Philly Cheese Pizza)” เปิดประสบการณ์ “ปั๊วะปัง” โดนใจผู้บริโภคทุก GEN ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย ขยายฐานลูกค้าใหม่ทั่วประเทศ

อุษณา มหากิจศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า พิซซ่า ฮัท มุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าประท้บใจอยู่เสมอ การร่วมมือกับเชฟอ๊อฟ ณัฐวุฒิ ธรรมพันธุ์ เชฟชั้นนำ ในคิดค้นเมนูใหม่ที่เน้นวัตถุดิบคุณภาพและรสชาติดีเลิศ จะทำให้พิซซ่าฮัทเข้าถึงใจผู้บริโภคทุก GEN มากยิ่งขึ้น

เชฟอ๊อฟเปิดเผยว่า เมนู “ฟิลลี่ ชีส พิซซ่า – ขอบชีสทรัฟเฟิล ได้รับแรงบันดาลใจจากฟิลลี่ ชีส สเต๊ก อาหารประจำเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ที่นำเนื้อชิ้นโตมาวางบนหน้าพิซซ่า และพิเศษสำหรับผู้บริโภคที่ชื่นชอบพิซซ่าในประเทศไทย เชฟอ๊อฟได้รังสรรค์ออกมาเป็น 2 สูตร คือ “ฟิลลี่ ชีส บีฟ” พิซซ่าหน้าเนื้อวัวโคขุนพรีเมียมพันธุ์ Charolais ขอบชีสทรัฟเฟิล ถาดกลาง ราคาเพียง 459 บาท และ “ฟิลลี่ ชีส พอร์ค” พิซซ่าหน้าเนื้อหมูสูตรพิเศษสไตล์จีนยูนนาน ขอบชีสทรัฟเฟิล ในราคา 399 บาท หรือเพิ่มเงินอีก 50 บาท รับพิซซ่าหมวดดีลักซ์และเลิฟเวอร์ ขนาดกลาง อีก 1 ถาด แถมยังมีคอมโบเซ็ตให้เลือกอร่อยกับของทานเล่นและเป๊ปซี่ได้อีก เปิดรับออร์เดอร์ลูกค้าทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้ถึง 3 พฤศจิกายน 2564 ที่ร้านพิซซ่า ฮัท ทุกสาขา หรือสั่งผ่านบริการเดลิเวอรี โทร. 1150 และ www.pizzahut.co.th

GTG ยกระดับธุรกิจเปิดบริการ OEM สินค้าเครื่องสำอางทุกชนิด

ในปัจจุบัน สินค้าจากกัญชา-กัญชงได้รับความนิยมไปทั่วโลก เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถพิสูจน์ และสกัดสารจากกัญชาได้โดยปราศจากสารที่ทำให้เกิดอาการมึนเมา นักวิจัยยืนยันว่าสารสกัดกัญชาปลอดภัยและมีประโยชนทางการแพทย์ต่อผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ในปี 2563 ยอดขายของสินค้าด้านกัญชา-กัญชงในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 67% แสดงให้เห็นถึงการใช้สินค้ากัญชาในชีวิตประจำวันเป็นวงกว้าง

จึงกลายเป็นเรื่องน่าจับตาในประเทศไทย เมื่อ GTG หรือ Golden Triangle Group บริษัทผู้ผลิตและพัฒนากัญชา-กัญชงชื่อดังของประเทศไทย เปิดบริการ OEM (Original Equipment Manufacturer) สำหรับสินค้าเครื่องสำอางที่ใช้สารสกัดจากกัญชา ด้วยความรู้และประสบการณ์เชิงลึกที่สะสมมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เพื่อส่งเสริมให้สินค้าเครื่องสำอางจากกัญชาและกัญชงไทยเป็นที่รู้จักในระดับโลก

GTG เป็นบริษัทผู้ผลิตและวิจัยกัญชาที่เริ่มต้นจากการซื้อสายพันธุ์ที่ได้รับรางวัล พร้อมทั้งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายมาตั้งแต่ในปี 63 เพื่อค้นคว้าวิจัยหาต้นแม่พันธุ์ที่เหมาะสมกับกฎหมายไทย ซึ่งต้องมี THC ไม่ถึง 1% ในดอกแห้ง จึงออกมาเป็นเมล็ดพันธุ์กัญชงที่ชื่อว่า “Raksa” ซึ่งมี THC ไม่ถึง 1% และ CBD สูงถึง 16-18% ในดอกแห้งที่เฉลี่ยทั้งต้นตรงตามคุณสมบัติที่ข้อกฎหมายกำหนด โดย Raksa เป็นสายพันธุ์ที่พัฒนามาจากสายพันธุ์ CBD ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง Cannatonic

ปัจจุบัน GTG เป็นบริษัทเดียวในเอเชียที่เป็นเจ้าของสายพันธุ์ Raksa ที่พร้อมจะผลิต CBD ซึ่งเหมาะกับภูมิอากาศและลักษณะการปลูกในประเทศไทย ล่าสุด บริษัทเดินหน้าสร้างโรงปลูกที่ได้มาตรฐาน GMP ที่เชียงรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีโรงปลูกที่กำลังก่อสร้างในกรุงเทพมหานครอีกแห่ง คาดว่าจะมีผลผลิตออกมาในเดือน ม.ค.65 และในอนาคตยังเตรียมส่งออกผลผลิตไปยังต่างประเทศอีกด้วย

ในด้านการให้บริการ OEM ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสารสกัดกัญชง CBD บริษัท GTG ได้จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท ZEN Biotech โรงงานผลิตเครื่องสำอางระดับประเทศ จึงเป็นการนำความรู้ด้านกัญชาและกัญชงผสมผสานเข้ากับความรู้ด้านการผลิตสินค้าเครื่องสำอางที่หลากหลาย

นอกจากนั้น GTG กำลังจะจัดงานสัมมนาออนไลน์ครั้งที่ 2 “GTG Turnkey Solution Services จากไอเดียผลิตภัณฑ์ สู่สินค้า CBD พร้อมจำหน่ายสำเร็จในที่เดียว” ใน 22 ก.ย. 64 (9.45-12.00 น.) GTG จะมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการ OEM สินค้าโดยคุณคริส-กฤษณ์ ธีรเกาศัลย์ กรรมการผู้จัดการของและหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท GTG

บราเดอร์ รุกขยายฐานกลุ่มธุรกิจ non-print

บราเดอร์ สั่งนำเข้าจักรกึ่งอุตสาหกรรมรุ่น PQ1500SL เติมเต็มความต้องการตลาดกลุ่มสถาบันการศึกษาด้านแฟชั่นดีไซน์และกลุ่มผู้ที่รักการสร้างสรรค์ผลงาน Quilting และ DIY หลังจากไตรมาสแรกปี 64 ได้ส่งจักรปักหัวเดียวขนาด 10 เข็มแบบอัตโนมัติ รุ่น PR-1055X (Entrepreneur ProX)’ ช่วยยกระดับงานปักต่อยอดธุรกิจสู่ตลาดที่ได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

นางภัทรนิษฐ์ สวัสดีภิรมย์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์จักรเย็บผ้า บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมการออกแบบแฟชั่นในไทยได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก มีทั้งกลุ่มโปรเฟสชันแนล กลุ่มนักออกแบบอิสระ และกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่หันมาให้ความสนใจและต่อยอดสู่การสร้างอาชีพในวงกว้างยิ่งขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากกระแสนิยมในหลายประเทศทั่วโลกที่หันมาให้ความสำคัญกับผลงานแฟชั่นดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนพัฒนาสู่การสร้างแบรนด์ใหม่ๆ ที่แจ้งเกิดในวงการ กระตุ้นให้เกิดการเปิด online marketplace ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่พร้อมจะเป็นพื้นที่ให้แฟชั่นดีไซเนอร์เหล่านี้ได้นำเสนอผลงานสู่กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบและนักสะสมได้เลือกซื้อชิ้นงานอันทรงคุณค่าเก็บไว้ในคอลเลคชั่นของตนเอง

“การศึกษาด้านแฟชั่นดีไซน์ในประเทศไทยเติบโตขึ้นมาก ทั้งปัจจัยสนับสนุนของภาครัฐและกระแสนิยมของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีอาชีพอิสระและพัฒนาสู่การสร้างแบรนด์ของตนเองให้ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยภาครัฐมุ่งส่งเสริมให้นักออกแบบไทยสามารถก้าวสู่ระดับสากลในเชิงพาณิชย์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการออกแบบ นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจและเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์สินค้าไทย ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจการค้าของประเทศไทยขยายตัวอย่างเข้มแข็ง ส่งผลดีต่อรายได้ของประชาชนจากมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดย บราเดอร์ หนึ่งในแบรนด์จักรเย็บผ้าที่เก่าแก่แบรนด์หนึ่งของโลกที่นำเสนอสินค้าคุณภาพมานานกว่า 100 ปี จึงได้พยายามศึกษาความต้องการของตลาดและเติมเต็มสิ่งที่ขาดอย่างตอบโจทย์ มุ่งเน้นที่จะนำจักรเย็บผ้าที่ครอบคลุมความต้องการและต่อยอดการพัฒนาชิ้นงานให้ได้มาตรฐานสากลนำเสนอสู่นักออกแบบชาวไทยอย่างต่อเนื่องตลอด เพื่อเป็นอีกหนึ่งเฟืองจักรสำคัญที่จะสร้างให้อุตสาหกรรมแฟชั่นดีไซน์ในไทยได้รับการยอมรับในระดับโลกเพิ่มมากขึ้น”  นางภัทรนิษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ บราเดอร์ ได้มีการพัฒนานวัตกรรม Brother Innovation เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานจักรเย็บผ้าบราเดอร์ โดยจักรเย็บผ้ารุ่น PQ1500SL  ได้มีการพัฒนาการส่งผ้าโดยใช้เข็มเพื่อเอื้อต่อการสร้างสรรค์ชิ้นงานผ้าที่มีลักษณะหนาและฟูรวมถึงผ้าขนสัตว์ชนิดต่างๆ นอกจากนี้ การลดระดับของฟันจักรยังได้รับการพัฒนาให้ปรับได้ง่ายยิ่งขึ้นเพียงกดปุ่มเลื่อนตำแหน่งเท่านั้น และด้วยการพัฒนาให้เป็นได้ทั้งจักรกึ่งอุตสาหกรรมและจักรบ้านแบบหูหิ้ว บราเดอร์จึงได้พัฒนาตัวเครื่องมาพร้อมกับโต๊ะเพิ่มพื้นที่ในการเย็บเพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำงาน และ PQ1500SL ยังสามารถพกพาไปใช้งานในที่ต่างๆ ได้ เพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานยิ่งขึ้น โดยจำหน่ายในราคา 24,900 บาทสำหรับลูกค้าทั่วไป และราคาพิเศษสำหรับสถาบันการศึกษาด้านการออกแบบแฟชั่น ซึ่งบราเดอร์ จะมีการจัดอบรมให้แก่ผู้ซื้อหรือสถาบันการศึกษาที่สั่งซื้อจักรเย็บผ้ารุ่น PQ1500SL พร้อมบริการหลังการขายที่ให้บริการโดยทีมบราเดอร์ ที่พร้อมรองรับการให้บริการทั่วประเทศ

ส่วนจักรเย็บผ้ารุ่น PR-1055X (Entrepreneur ProX) ได้รับการตอบรับอย่างมากจากกลุ่มธุรกิจรับบริการปักเสื้อ ปักรองเท้า ปักหมวกในเชิงคอร์ปอเรท ที่ปัจจุบันมีความต้องการของตลาดในการสั่งผลิตรูปแบบนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งบราเดอร์สามารถตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว จำหน่ายในราคา 399,000บาท

“ภาพรวมตลาดจักรเย็บผ้าในปัจจุบันพบว่า ยังมีการเติบโตจากการตอบรับของตลาดที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งในแบบผู้ซื้อรายใหม่และผู้ซื้อที่สั่งซื้อเพิ่มเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจ ที่สำคัญการซื้อขายชิ้นงานผ่าน online marketplace ก็เติบโตมากขึ้นเช่นกัน ทำให้วันนี้แฟชั่นดีไซเนอร์ของไทยสามารถนำเสนอชิ้นงานสู่ตลาดโลกได้ง่ายยิ่งขึ้นและกระแสตอบรับชิ้นงานของนักออกแบบชาวไทยก็กำลังไปได้ดีมาก บราเดอร์จึงพยายามคัดสรรและพัฒนาสินค้าจักรเย็บผ้าให้เป็นผู้ช่วยที่สมบูรณ์แบบแก่นักออกแบบเหล่านี้ ให้สามารถรังสรรจิตนาการออกมาเป็นชิ้นงานจริงได้ตามต้องการ ช่วยแก้ปัญหาในการตัดเย็บด้วยนวัตกรรม ดังเช่นที่บราเดอร์ทำมากว่า 100 ปีในตลาดจักรเย็บผ้าของโลก” นางภัทรนิษฐ์  กล่าวสรุป

LEO ผนึก Cardinal UK รุกให้บริการโลจิสติกส์ทั่วโลก

บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ร่วมทุนกับ Cardinal UK จัดตั้ง “บริษัท คาร์ดินัล มาริไทม์ (ประเทศไทย)” เน้นการพัฒนาและขยายธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศอังกฤษ ยุโรปเหนือ เอเชีย ออสเตรเลียและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดย LEO ถือหุ้น 51% เตรียมเปิดให้บริการในเดือนต.ค.นี้ พร้อมบุ๊กรายได้เข้าในไตรมาส 4/64 ทันที

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำของประเทศไทย  เปิดเผยว่า บริษัทฯได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท คาร์ดินัล มาริไทม์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ร่วมลงทุนกับ Cardinal UK   ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น  โดยมีทุนจดทะเบียน  10 ล้านบาท และ LEO ถือหุ้นสัดส่วน 51% ที่เหลือ 49% เป็นของ Cardinal SG ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Cardinal UK   ในประเทศสิงคโปร์  และได้มีการโอนเงินลงทุนเข้ามาเพื่อจัดตั้งบริษัทเรียบร้อยแล้ว    พร้อมให้บริการในเดือนตุลาคม 2564 และทำให้สามารถรับรู้รายได้ของทั้งไตรมาส 4 ทั้งหมดเข้ามาในงบของ LEO ด้วย

โดย บริษัท คาร์ดินัล มาริไทม์ (ประเทศไทย) จะเน้นการให้บริการโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ  ด้วยการพัฒนาและขยายตลาดในประเทศอังกฤษและยุโรปเหนือที่เป็นจุดแข็งของกลุ่ม Cardinal   เพื่อเป็นการต่อยอดและขยายธุรกิจในตลาดอังกฤษ และยุโรปเหนือให้เพิ่มมากขึ้น เพราะCardinal UK เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมามากกว่า 20 ปี   มีฐานลูกค้าที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยจำนวนมาก และมีเครือข่ายที่กว้างขวางในทวีปยุโรปและโอเชียเนีย (ออสเตรเลีย) ซึ่งจะเพิ่มปริมาณธุรกิจและลูกค้าให้กับบริษัทฯ มากกว่า 1 เท่าตัว

“การที่ LEO ร่วมมือกับ Cardinal UK จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท คาร์ดินัล มาริไทม์ (ประเทศไทย) ในครั้งนี้  เป็นการนำจุดแข็งของทั้งสององค์กรใน 2 ทวีป มาพัฒนาการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางให้ครบวงจรมากขึ้น   อีกทั้ง ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการให้บริการโลจิสติกส์ของ LEO  ให้ครอบคลุมทั่วโลกมากขึ้น   เนื่องจากปัจจุบัน Cardinal Group มีสำนักงานกว่า 22 สาขาในประเทศหลักๆ ทั่วโลก ทั้งในทวีปยุโรป  จีน เวียดนาม สิงค์โปร์ และแอฟริกาใต้  และจะสามารถทำให้ LEO เพิ่มจำนวนตู้ในการส่งออกและนำเข้าจากประเทศไทย กับกลุ่ม  Cardinal Group นี้ได้อย่างน้อยอีก 100% หรือเท่ากับมีปริมาณตู้เป็น 4,000 ตู้ต่อปีในปี 2565 ”นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด

“เวิลด์เฟล็กซ์” ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 142 ล้านหุ้น

บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 142 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียน SET เผยจะนำเงินที่ได้ไปใช้ขยายโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด-คืนหนี้สถาบันการเงิน และใช้เป็นทุนหมุนเวียน เพิ่มศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รองรับดีมานด์ลูกค้าทั่วโลก ชี้ยุคโควิดแพร่ระบาดทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการเยอะมาก เนื่องจากใช้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น สายคล้องหน้ากากผ้า ยางยืดขอบชุด PPE และหมวกคลุมผมทางการแพทย์ โชว์งบครึ่งปีแรกกำไรพุ่งกระฉูดแตะ 95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.47% จากงวดเดียวกันในปีก่อน  

นางสุนิต วิสุทธิโกศล กรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) เปิดเผยว่าขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ filling) แบบคำขออนุญาตเสนอหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 142,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยแบ่งการเสนอขายออกเป็น 1.ผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TRUBB) ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นไม่เกิน 11,360,000 หุ้น  คิดเป็น 8% 2.กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯไม่เกิน 14,200,000 หุ้น คิดเป็น 10% 3.ประชาชนทั่วไปประมาณ 116,440,000 หุ้น คิดเป็น 82%

ทั้งนี้ WFX ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้งและเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบซิลิโคน โดยจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ทั้งหมด

นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WFX กล่าวว่าวัตถุประสงค์การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ บริษัทฯเตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้ขยายโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด คืนหนี้สถาบันการเงิน และใช้เป็นทุนหมุนเวียน เพิ่มศักยภาพในการเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอนาคต

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี (2561-2563) บริษัทฯมีรายได้รวมจำนวน 1,860.92 ล้านบาท 2,045.11 ล้านบาท และ 2,408.66 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิจำนวน 19.22 ล้านบาท 7.72 ล้านบาท และ 57.81 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 1.03% 0.38% และ 2.40% ตามลำดับ

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 1,622.08 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 95.34 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 5.88% โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าจำนวน 48.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 104.47%   ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ของเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น สายคล้องหน้ากากผ้า ยางยืดขอบชุด PPE และหมวกคลุมผมทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตสินค้ามีส่วนช่วยให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยของบริษัทฯ ลดต่ำลง และการผลิตสินค้าได้มากขึ้นทำให้เกิดการประหยัดทางขนาด (Economy of Scale)

PSTC มั่นใจโปรเจคท่อส่งน้ำมันเริ่มให้บริการต้นปี 65

บมจ.เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี (PSTC) โชว์ผลงานครึ่งปีแรก สุดสตรอง! กำไรสุทธิ 60 ล้านบาท อานิสงส์รับรู้รายได้งานก่อสร้างกว่า 873 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 676 ล้านบาท บิ๊กบอส “กัมพล ตติยกวี” มั่นใจโปรเจคท่อส่งน้ำมันเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มให้บริการในต้นปี 65 ตามแผน หนุนผลงานโตก้าวกระโดด 

นายกัมพล ตติยกวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PSTC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในงวด 6 เดือนแรก (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท มาจากรายได้รวมทุกสายธุรกิจ 1,416 ล้านบาท โดยรายได้ของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้นมาจากรายได้จากการก่อสร้าง 676 ล้านบาท มาจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่หลายโครงการ ซึ่งมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตามแผนและโครงการขนาดใหญ่ที่เหลือคาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งปีหลังนี้

ในขณะที่ส่วนงานจำหน่าย และขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมลดลงจากผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา เนื่องจากปริมาณความต้องการการใช้พลังงานทั้งภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนลดลง

ส่วนรายได้ของโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากการปรับปรุงโรงไฟฟ้าประจำปีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้า ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่ลดลงมาจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกี่ยวกับโรงไฟฟ้า, การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการบริหารสภาพคล่องจากการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PSTC กล่าวอีกว่า บริษัทฯมุ่งมั่นเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจคระบบท่อส่งน้ำมันเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด โดยมีมูลค่าเงินลงทุนทั้งโครงการประมาณ 9.8 พันล้านบาทอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในสิ้นปี 2564 และจะเริ่มให้บริการได้ในต้นปี 2565

สำหรับฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 9,086 ล้านบาท สูงขึ้นกว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เนื่องจากบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากงานโครงการก่อสร้างและการลงทุนทั้งในส่วนที่ดินและอาคารสำนักงาน รวมถึงการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาหลายโครงการซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังนี้

WGE คว้างานก่อสร้างมูลค่า 646 ล้าน

WGE คว้างานใหม่ 5 โปรเจค มูลค่ารวมกว่า 646 ล้านบาท ดัน Backlog เพิ่มเป็น 3.4 พันล้านบาท ฟากผู้บริหาร “เกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม” มั่นใจรายได้รวมปี 64 ทะลุเป้า 1.5 พันล้านบาท ก่อนทะยานแตะ 5 พันล้านบาท ในปี 66 หลังลุยประมูลงานภาครัฐ-บุกงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม

นายเกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ WGE เปิดเผยว่า บริษัทและกิจการร่วมค้าได้รับงานใหม่รวม 5 โครงการ รวมมูลค่าทั้งหมด 646.58 ล้านบาท โดยบริษัทฯได้ลงนามสัญญาจ้างโครงการก่อสร้าง 2 โครงการ รวมมูลค่าทั้งหมด 175,819,750 บาท ได้แก่

  1. โครงการก่อสร้าง อาคาร 2-GA01,2-GB01 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (งานโครงสร้าง และงานสถาปัตย์) ของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดเป็นงานก่อสร้างอาคารโรงงาน ระยะเวลาก่อสร้าง 8 เดือน
  2. โครงการงานจัดหาและติดตั้งงานระบบภายใน อาคาร 2-GA01,2-GB01 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร ระยะเวลาก่อสร้าง 8 เดือน

ส่วนกิจการร่วมค้า CC-WGE ซึ่งประกอบด้วย WGE ถือหุ้น 49% และห้างหุ้นส่วนจำกัด ชินวรยะลาก่อสร้าง 51% ลงนามสัญญาจ้างโครงการก่อสร้าง 1 โครงการ เป็นโครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟสายห้วยทราย – ปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ของกรมทางหลวง มูลค่าโครงการ 179.60 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาก่อสร้าง 750 วัน และกิจการร่วมค้า UEC-WGE ซึ่งประกอบด้วย WGE ถือหุ้น 49% และ บริษัท เอกชัยอุบล (2523) จำกัด 51% ลงนามสัญญาจ้างโครงการก่อสร้าง 2 โครงการ ได้แก่

  1. โครงการก่อสร้างสะพานลอยกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 1 บริเวณ บ.ชะแมบ (ขาเข้า) 1 ระหว่าง กม.69+700.000 – กม.71+825.000 รวมระยะทาง 2.125 กิโลเมตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของกรมทางหลวง มูลค่าโครงการ 145.88 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาก่อสร้าง 720 วัน
  2. โครงการ ก่อสร้างสะพานลอยกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 1 บริเวณ บ.ชะแมบ (ขาออก) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่าง กม.71+800.000 – กม.72+500.000 รวมระยะทาง 0.700 กิโลเมตร ของกรมทางหลวง มูลค่าโครงการ 145.28 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาก่อสร้าง 720 วัน

หลังจากได้รับงานใหม่ในครั้งนี้ 5 โปรเจค ส่งผลให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 3,441.40 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2566 โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ระหว่างยื่นประมูลงานใหม่มูลค่าประมาณ 2-3 พันล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้รวมของบริษัทฯในปีนี้แตะที่ระดับ 1.5 พันล้านบาท กลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนแตะระดับ 5 พันล้านบาท ในปี 2566 หลังเข้าประมูลงานภาครัฐมากขึ้น

ประธานกรรมการบริหาร WGE กล่าวอีกว่า แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่ในส่วนของงานภาครัฐยังคงมีออกมาเรื่อย ๆ ยังไม่มีโครงการหรือหน่วยงานใดที่ถูกตัดงบประมาณมากจนต้องยกเลิกโครงการ เพราะรัฐบาลมีความจำเป็นต้องขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ไม่ว่าจะเป็น งานถนน งานสะพาน หรืองานเขื่อน เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ  โดยบริษัทฯวางเป้าสัดส่วนงานภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 23% รวมถึงการขยายธุรกิจเข้าสู่งานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง

LEO อัพเป้ารายได้ปี 64 โต 80-85%

LEO ผู้นำธุรกิจการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร ปรับเป้าหมายรายได้ปี 64 โตเท่าตัว จากเดิมขยายตัว 40-45% ปรับเพิ่มเป็น 80-85% รับอานิสงส์ธุรกิจ “ขาขึ้น” ค่าระวางเรือพุ่ง-ออเดอร์ทะลัก        บิ๊กบอส “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” เผยเริ่มรับรายได้ขนส่งพัสดุและไปรษณีย์ภัณฑ์ ให้กับ China Post Group ใน Q3/64 ล่าสุดจับมือบริษัทย่อย “ไปรษณีย์ไทย” ขนส่งวัคซีน ขนส่งสินค้า E-commerce หนุนรายได้-กำไร ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า All Time High ต่อเนื่อง  

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่ครอบคลุมทั่วโลก  เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับประมาณการรายได้ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากเดิมคาดรายได้เติบโต 40-45% เพิ่มเป็น 80-85% สอดคล้องแนวโน้มธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยได้รับปัจจัยบวกจากค่าระวางเรือและอากาศที่อยู่ในระดับสูง และปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งทางเรือและทางอากาศของลูกค้ามีจำนวนมากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย อีกทั้งในช่วงไตรมาส 3 เป็นช่วง  High season ของการขนส่งสินค้า

นอกจากนี้ บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากความร่วมมือกับ China post ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทย-จีน ตั้งแต่ไตรมาส 3/64

ทั้งนี้ ล่าสุด LEO ได้ประกาศความร่วมมือกับ บริษัทไปรษณีย์ไทย ดิสทริบิวชั่น (THPD) โดยอยู่ระหว่างจัดโครงสร้างการทำธุรกิจร่วมกัน เช่น การขนส่งวัคซีน การขนส่งสินค้า E-commerce

“ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง LEO กับ China post รวมไปถึงกับ บริษัทไปรษณีย์ไทย ดิสทริบิวชั่น จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ผลักดันรายได้และกำไร All Time High อย่างต่อเนื่อง” นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 2/64 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ) มีรายได้รวม 559.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 310.0 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 42.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 19.0 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรก มีรายได้รวม 1,033.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 538.1 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 69.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 28.3 ล้านบาท  และยังทำให้กำไรสุทธิของผลประกอบการครึ่งปี 2564 ที่ 69.8 ล้านบาทนี้ มากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2563 ที่ทำได้ 57.8 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 และครึ่งปีแรกที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังทำ New High อีกทั้งปริมาณความต้องการขนส่งทางเรือและอากาศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งระหว่างประเทศทางเรือของบริษัทฯ ในระยะเวลา 6 เดือนของปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2563 และมีรายได้เพิ่มขึ้น 144% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มโตต่อเนื่องถึงครึ่งหลังของปีนี้

นอกจากนี้ ด้วยการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์และการบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้บริษัทฯ สามารถจัดหาพื้นที่และตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งสินค้าได้ตามความต้องการของผู้ส่งออก  จึงทำให้มีลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2563 ถึง 40% และปริมาณตู้เพิ่มขึ้นถึง 52% (YoY)

TWPC มั่นใจผลงานปี 64 ออลไทม์ไฮ

TWPC มั่นใจผลงานปี 64 สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อานิสงส์ดีมานด์แป้งมันสำปะหลังพุ่ง-ส่งออก หนุน รายได้โต 2 หลักตามเป้า หลังจากทั่วโลกเริ่มคลายล็อกดาวน์ ค่าเงินบาทอ่อน พร้อมลุยผลิต “ไบโอพลาสติก” ปลายปีนี้ หนุนผลงานปี 65 ทะยานต่อเนื่อง 

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง วุ้นเส้น และเส้นก๋วยเตี๋ยว เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดส่งออกแป้งมันสำปะหลังที่เติบโตขึ้น ราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น และอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง นอกจากนี้สัดส่วนการส่งออกในธุรกิจอาหารปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ใกล้เคียง 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 14% เนื่องจากทั่วโลกเริ่มคลายล็อกดาวน์ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าธุรกิจใหม่ โดยผลิตสินค้าประเภท “ไบโอพลาสติก” ซึ่งเป็นผลผลิตต่อยอดจากสินค้าทางการเกษตร และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบประเภทสินค้าภาชนะ และของใช้ในการเกษตรทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปีนี้ และจะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2565

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 บริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เป็นสินค้าประเภทอาหารและส่วนประกอบในอาหารขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่สินค้าแป้งมันสำปะหลังของบริษัทส่วนใหญ่ ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน และไต้หวัน

TWPC ยังคงมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้ายังล้นต่อเนื่อง ด้านธุรกิจอาหารยังสามารถเติบโตได้ในทุกช่องทาง เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และคงเป้ายอดขายเติบโตระดับ Double Digit หนุนผลงานปีนี้สร้างสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่จัดตั้งบริษัท

ขณะที่ผลการดำเนินงานใงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 4,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 3,258 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 190% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท ขณะที่ปี 2563 ภาพรวมทั้งปีในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 38 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการส่งออกแป้งมันสำปะหลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง สอดคล้องกับความต้องการสินค้าที่สูง โดยเฉพาะในประเทศที่สำคัญ ปัญหาเรื่องขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เริ่มคลี่คลาย ราคาส่งออกเฉลี่ยของมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นประมาณ 12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้ธุรกิจอาหารในประเทศยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

คันทรี่กรุ๊ป แนะลงทุน สะสม Domestic Play

นายวทัญ จิตต์สำนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า การปรับฐานลงของ Dow Jones ในวันศุกร์ 0.78% หากอิงปัจจัยที่ส่งผลให้ปรับที่ส่งผลให้ Dow Jones ปรับตัวลงคือการรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตที่สูงกว่าตลาดประเมินไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่า FED หรือธนาคารกลางสหรัฐอาจเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเชื่อผลต่อ SET จำกัด เนื่องจากในช่วง 6 ปีย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ SET ต่อเนื่องกว่า 7 แสนล้านบาทส่งผลให้ยอดซื้อสะสมสุทธิต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้จะเน้นไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นหลักได้แก่ (1) คืนวันอังคารตามเวลาประเทศ สหรัฐมีกำหนดรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ตลาด คาดที่ 5.3%YoY ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ 5.4%YoY หากจะเป็นบวกกับตลาดหุ้นเชื่อว่าการออกมาใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาดจะเป็นบวกมากกว่าสูงกว่าคาด (2) ยอดค้าปลีกสหรัฐในวันพฤหัส Bloomberg คาดที่ -0.8%MoM หากจะเป็นบวกต่อตลาดคือใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาด ส่วนอื่นๆจะเป็นเรื่องของภายในประเทศโดยเฉพาะเรื่องของ COVID-19 ประชุม ศบค. ในวันศุกร์ที่ผ่านมายังคงเวลาเคอร์ฟิวที่ 21.00 – 04.00 พร้อมคงจังหวัดสีแดงไว้เท่าเดิม มองผลของการประชุมไม่มีผลมากกับการลงทุน ส่วนสัปดาห์นี้ภายในประเทศยังเป็นเรื่องของ COVID-19 การติดเชื้อวันอาทิตย์ยังเป็นไปในทิศทางดี แม้จะเปิดเมืองมาแล้ว 12 วันแต่ตัวเลขติดเชื้อก็มิได้เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยยะ หากสัปดาห์นี้ระหว่างสัปดาห์เห็นการติดเชื้อที่ทำจุดต่ำสุดใหม่จะยิ่งเป็นบวกกับตลาดมากขึ้นและคาดหวังถึงการผ่อนคลายจากภาครัฐที่จะตามมา อาทิ ลดเวลาเคอร์ฟิว , ขยายระยะเวลาเปิดศูนย์การค้า มองกรอบ SET สัปดาห์นี้ที่ 1625 – 1650

กลยุทธ์การลงทุน สะสม Domestic Play สำหรับการลงทุนระยะกลางแต่ให้เน้น Laggard (ยังขึ้นน้อย) หรือราคายังไม่เกินกว่าก่อนเกิด COVID-19 อาทิ (AOT BBL BEM BJC BTS CPN CPALL M MAJOR PLANB VGI) ส่วนระยะสั้นแนะนำหุ้นกำไรครึ่งปีหลังแข็งแกร่งรวมไปถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ (COM7 CBG GLOBAL KCE SYNEX SIS WICE)

SYNEX (ถือ / ราคาเป้าหมาย 25 บาท) เก็งกำไรระยะสั้นจากผลบวกของการเปิดตัว iPhone 13 ในวันพุธ ส่วนผลประกอบการคาด 3Q21 ผลประกอบการจะยังเติบโต YoY จากความต้องการใช้อุปกรณ์ไอทีที่ยังสูง แต่คาดกำไรอ่อนตัวลง QoQ จากผลกระทบจากการปิดหน้าร้านของลูกค้า SYNEX ตามมาตรการล็อกดาวน์

CBG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 165 บาท) มองราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 15% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนความอ่อนแอของผลประกอบการไปแล้ว โดยคาดผลประกอบการ 3Q21 ลดลงทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายที่อ่อนตัวลงในทุกประเทศยกเว้นรายได้จัดจำหน่ายในประเทศรวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนตัวลง YoY จากต้นทุนน้ำตาลและอลูมิเนียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามระยะยาวยังมองบริษัทแข็งแกร่ง