บสย. ร่วมโครงการจับคู่กู้เงิน

นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข รองผู้จัดการทั่วไป สายงานสนับสนุน นางผกามาศ สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายส่งเสริมลูกค้าและพัฒนาผู้ประกอบการ ร่วมพิธีเปิด โครงการจับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับร้านอาหาร โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิด ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์  เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 พร้อมจัดเต็มส่งทีมที่ปรึกษาจากศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs  (บสย.F.A. Center) และ สำนักงานเขตนครหลวง ให้คำปรึกษาการเข้าถึงสินเชื่อ แนะนำโครงการค้ำประกันสินเชื่อต่างๆ ของ บสย. แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้ประกอบธุรกิจ ร่วมกับบูธจาก ธนาคารกรุงไทย SME D Bank ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และ ธนาคารออมสิน  ระหว่างวันที่ 7-20 มิถุนายน 2564

รับสมัคร 15 สตาร์ทอัพนักนวัตกรรมไทยบินโชว์ผลงานใน CES 2022

บริษัท โซเชียลแล็บ จำกัด ร่วมกับ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สมาคมไทยไอโอที พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผนึกกำลังร่วมกันเฟ้นหา 15 สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการเทครุ่นใหม่ ที่พร้อมนำนวัตกรรมเทคโนโลยีด้าน Hardware ที่สร้างสรรค์ออกสู่เวทีโลก และประกาศความพร้อมติดสปีดอุตสาหกรรมดิจิทัลเดินหน้า ผลักดันนวัตกรรมไทยให้ตอบโจทย์ธุรกิจสู่เวทีโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Thailand Pavilion” ในงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก   งาน Consumer Electronics Show (CES) 2022 เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 5-8 มกราคม 2564 ซึ่งสตาร์ทอัพทั้ง 15 คนที่ได้รับการคัดเลือก จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ครั้งสำคัญที่เกิดจากความร่วมมือของ Gadget Accelerator หรือ GAX ผู้สนับสนุนจากทั้ง ภาครัฐ และเอกชน เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญจากวงการนักประดิษฐ์ รวมถึงนักออกแบบ ที่จะช่วยเตรียมความพร้อมและบ่มเพาะสตาร์ทอัพทุกคนให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปแสดงผลงาน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของสตาร์ทอัพไทยที่จะได้เรียนรู้ เข้าใจเทรนด์โลกเทคโนโลยีแห่ง อนาคต พัฒนาช่องทางขยายตลาด สร้างเครือข่ายกับพันธมิตรต่างประเทศ และโอกาสในการต่อยอดธุรกิจกับนักลงทุนรายใหญ่

ผู้สนใจที่อยากจะร่วมเป็น 1 ใน 15 สตาร์ทอัพนักนวัตกรรมไทย ที่บินไปโชว์ผลงานไกลถึงงาน CES 2022 ณ เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถสมัครส่งผลงานได้ที่ shorturl.asia/RG6Hk ตั้งแต่วันนี้ – 22 มิถุนายน 2564

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อีเมล [email protected], Facebook: Gax Community และ Facebook: Ceemeagain

LPN เปิดตัว 2 โครงการใหม่ไตรมาสสอง

LPN รุกเปิดตัว 2 โครงการใหม่ไตรมาส 2 ทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านระดับ Premium มูลค่า 5,500 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “Balance is More” คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ฉลาดเลือก และ “Simply Luxury” บ้านอยู่อาศัยที่มีความเรียบหรู สง่างาม เป็นส่วนตัว เชื่อกระตุ้นยอดขายในไตรมาสสองของปี 2564 ทะลุ 3,000 ล้านบาท

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จะยังคงมีอยู่ โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ใน 2 ทำเล ย่านจรัญสนิทวงศ์-สามแยกไฟฉาย และแจ้งวัฒนะ ในไตรมาสสองของปี 2564 มูลค่าโครงการรวม 5,500 ล้านบาท

ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย

โครงการแรกที่เปิดตัวเป็นโครงการคอนโดมิเนียม “ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย” มูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 3 อาคาร บนทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพในย่านฝั่งธนบุรี ที่สามารถเดินทางเข้า-ออกสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบายทั้งทางรถยนต์และรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีจรัญ 13 และสถานีไฟฉาย ออกแบบภายใต้แนวคิด “Balance is More : การใช้ชีวิตที่มากกว่า” อย่าง “พอดี” กับการอยู่อาศัยในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ห้องละ 1.5 ล้านบาท โดยเปิดตัวในเฟสแรก มูลค่า 960 ล้านบาท

ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย

“ทำเล จรัญฯ-ไฟฉาย เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีศักยภาพของฝั่งธน เดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก เป็นทำเลที่ยังมีความต้องการของตลาด จากผลการสำรวจพบว่า ทำเล “จรัญสนิทวงศ์” มีจำนวนอาคารชุดเหลือขายเพียง 965 หน่วย มีอัตราการขายเฉลี่ย 5% ต่อเดือน โดยมีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 89,700 บาทต่อตารางเมตร โดยในปี 2563 คอนโดมิเนียมในย่านจรัญฯ มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (capital gain) จากการซื้อมาและขายออกไปเฉลี่ยอยู่ที่ ที่ 8% ต่อปี ในขณะที่ผู้บริโภคในทำเลนี้มีกำลังซื้อสูง ทำให้ LPN ตัดสินใจเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลนี้ ในระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable Price) พร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบทุกโจทย์ความต้องการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถมีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น” นายโอภาส กล่าว

ลุมพีนี วิลล์ จรัญ-ไฟฉาย ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด เพื่อชีวิตที่ “พอดี” อย่างเช่นห้องสตูดิโอที่มีขนาด 25 ตารางเมตร มากกว่าห้องสตูดิโอมาตรฐาน (24 ตร.ม.) ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งพื้นที่ทำงาน และพักผ่อน (Working & Relaxing Space) และห้องขนาด 1 ห้องนอน ถูกออกแบบให้รองรับกับการใช้ชีวิตที่บ้านที่มากขึ้นทั้งการทำงาน และการพักผ่อน (Work & Life Balance) พร้อมกับออกแบบหน้าต่างให้มีขนาดที่กว้างขึ้นเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เพิ่มความโปร่งโล่ง ให้ได้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในอาคาร

การออกแบบโครงการคำนึงถึงรูปแบบการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายผ่านการออกแบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในแบบ “Passive Design” ให้แต่ละอาคารมีโครงสร้างเป็น “L-Shape” และออกแบบภูมิสถาปัตย์ฯ ให้แต่ละอาคารไม่ทับซ้อนกัน เพื่อเปิดมุมมองให้ห้องพักทุกห้องสามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกอาคารได้ทุกห้อง และทำให้เกิดทิศทางลมระหว่างอาคาร ช่วยประหยัดการใช้พลังงานในอาคารอีกด้วย

นอกจากนี้ ตัวโครงการยังถูกออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวภายใต้แนวคิดของ “Playground” ขนาดใหญ่ ให้สามารถใช้งานได้จริงโดยแบ่งพื้นที่เป็น สวนสำหรับการออกกำลังกาย สวนพักผ่อน สวนผักและผลไม้แบบ Organic เพื่อส่งเสริมกิจกรรมและอาหารเพื่อสุขภาพ สวนที่อยู่เหนือชั้นอาคารจอดรถที่ช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และติดตั้ง Solar Cell เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนสำหรับระบบไฟฟ้าในพื้นที่สวนของโครงการ เป็นส่วนที่ “มากกว่า” อย่าง “พอดี” สำหรับทุกคนในแต่ละมุมของโครงการ

บ้าน 365 เมืองทอง
บ้าน 365 เมืองทอง

และปลายเดือนมิถุนายน 2564 LPN มีแผนเปิดตัวโครงการ “บ้าน 365 เมืองทอง” มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ที่ระดับราคาเริ่มต้นที่ 9-19 ล้านบาท “บ้าน 365 เมืองทอง” เป็นบ้านในระดับ Premium บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองทองธานี ติดทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่ออกแบบภายใต้แนวคิดหลัก “Simple Luxury” เรียบหรู สง่างาม เป็นส่วนตัว ผสมผสานการออกแบบของสถาปัตยกกรรมสไตล์ Modern บนการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์ทุก Lifestyle การใช้ชีวิต ใน Concept “A Place of My Crafted Life” ประกอบด้วย ทาวน์โฮมสูง 3 ชั้น บ้านแฝดสูง 3 ชั้น และโฮมออฟฟิศ สูง 4 ชั้น รวมทั้งสิ้น 190 หลัง

“ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยมาตรการการดูแลผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Healthy) ลดการสัมผัส (Touchless) และการเว้นระยะห่าง(Social Distancing) โดยการนัดหมายล่วงหน้า รวมถึงการเยี่ยมชมโครงการโดยใช้ Virtual Visit ที่ลูกค้าสามารถขอชมห้องตัวอย่างออนไลน์เพื่อการตัดสินใจเบื้องต้นได้ ทำให้บริษัทมีความมั่นใจเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสสองของปี โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ในไตรมาสสองของปี 2564 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายยอดขาย 10,000 ล้านบาทในปี 2564 นี้ และในช่วงไตรมาสสามของปี 2564 เรามีแผนที่จะเปิดโครงการบ้านพักอาศัยอย่างต่อเนื่องในอีกหลายทำเล อาทิ ลาดพร้าว 101 และ บางบัวทอง เพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการของผู้บริโภค” นายโอภาส กล่าว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LPN Call Center 02-689-6888 หรือ Facebook : LPN Connect หรือแอพพลิเคชั่น LINE OA ที่ @LPNConnect http://bit.ly/PR-LPN-2020

 

ก้อง-สมเกียรติ ผงาดคว้าท็อป 9 บิดโมโตทู

ก้อง สมเกียรติ จันทรา หมายเลข 35 ยอดนักบิดไทยจากโครงการฮอนด้า เรซ ทูเดอะ ดรีม สร้างผลงานดีที่สุดของปีนี้ผงาดคว้าอันดับ 9 ในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรุ่น โมโตทู สนาม 7 รายการ คาตาลัน จีพี ขณะแชมป์เป็นของ เรมี การ์ดเนอร์ นักบิดออสซี่จาก เรดบูลล์ เคทีเอ็ม อาโย ด้าน เขมินท์ คูโบะ นักบิดไทยจาก วีอาร์46 มาสเตอร์แคมป์ ทีม จบอันดับ 26 ประเดิมไวด์การ์ดครั้งแรก

การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี 2021 รุ่น โมโตทู สนาม 7 รายการ คาตาลัน กรังด์ปรีซ์ ดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ เซอร์กิต เดอ บาร์เซโลน่า-คาตาลุนญ่า ประเทศสเปน ชิงชัยทั้งสิ้น 22 รอบสนาม

การแข่งขันในรุ่นโมโตทูชิงแชมป์โลก ถือเป็นหนึ่งในเรซที่แฟนทั่วโลกให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยนักบิดไทยหนึ่งเดียวที่ลงบิดเต็มฤดูกาลอย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา จากสังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ได้ออกตัวจากกริดที่ 9 มีลุ้นท็อปเท็นเต็มตัว

สมเกียรติ เริ่มเกมได้ดีแต่เสียจังหวะร่วงลงไปถึงอันดับ 14 ในช่วง 3 รอบแรก อย่างไรก็ดีนักบิดไทยค่อยๆ รักษาขีดการต่อสู้ที่ดี ก่อนจะขยับขึ้นมาจบการแข่งขันในอันดับ 9 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในปีนี้ของนักบิดไทย ตามหลังผู้ชนะเพียง 17.515 วินาทีเท่านั้น

โดยแชมป์ในเรซนี้เป็นของ เรมี การ์ดเนอร์ นักบิดออสเตรเลียนจาก เรดบูลล์ เคทีเอ็มอาโย เอาชนะทีมเมทอย่าง ราอูล เฟร์นันเดซ ในอันดับ 2 เพียง 1.872 วินาที ส่วนอันดับ3 เป็นของ ซาวี วิเออร์เฮ นักบิดเจ้าถิ่นอีกราย

NER ปรับเป้ารายได้ปี 64 เป็น 2.45 หมื่นล้าน

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ปรับเป้ารายได้ปี 2564 จาก 2.2 หมื่นล้านบาท เป็น 2.45 หมื่นล้านบาท จากความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น และการขายล่วงหน้า นอกจากนี้ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน จาก 460,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ  เปิดเผยในงาน Opportunity Day ประจำไตรมาส 1/2564 ว่าบริษัทได้มีปรับเพิ่มเป้ารายได้ปี 64 เป็น 2.45 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป้าปริมาณขายขึ้นเป็น 4.4 แสนตัน จาก 4.1 แสนตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขายโดยขณะนี้ยอดขายของบริษัทครอบคลุมไปจนถึงไตรมาส 4 และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย ประกอบกับราคายางปรับขึ้นต่อเนื่อง และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มหลายราย

สำหรับทิศทางราคายางนั้นยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดราคายางแผ่นรมควันเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 75 บาท/ก.ก. จากปัจจุบันอยู่ที่ 66 บาท/ก.ก. เทียบปีก่อนที่ 55 บาท/ก.ก. ซึ่งการที่ราคายางที่ปรับขึ้นมาจากปัจจัยโควิด เนื่องจากซัพพลายน้ำยางข้นถูกนำไปใช้ผลิตถุงมือยางเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ซัพพลายหายไปพอสมควร และคาดว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิดกลับมาดีขึ้น จากความต้องการใช้ยางพาราก็จะมากขึ้นทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ การขนส่ง โลจิสติกส์ นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากการที่ทั่วโลกสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษไอเสียรถยนต์สู่อากาศนั้น ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน จาก 460,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น สำหรับสัดส่วนรายได้ปี 2564 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 70% , ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆอีก 10%  เช่นสิงคโปร์ อินเดีย บังคลาเทศ  เป็นต้น โดยมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น  และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่

ทั้งนี้ บริษัทขอแจ้งวันใช้สิทธิ NER W1 ครั้งที่ 2 วันที่ 15 มิถุนายน 2564 สำหรับอัตราและราคาการใช้สิทธินั้นใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทได้ 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิ 1.80 บาทต่อหุ้น ด้านระยะเวลาแจ้งความจำนงการใช้สิทธิ และขอรับใบแจ้งความจำนงการใช้สิทธิ ในวันที่ 8 – 11 มิถุนายน 2564 และวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 09 .00 – 15 .30 น.

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ พ.ค. 64

ตลาดหุ้นได้ไทยรับแรงสนับสนุนจากการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ที่เริ่มแพร่หลายโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นมาก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยโดยเฉพาะในกลุ่มที่กำไรแปรผันตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแสดงผลกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/2564 เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า แต่หากไม่รวมกลุ่มดังกล่าวพบว่าบริษัทจดทะเบียนไทยรายงานกำไรสุทธิอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 SET Index  ปิดที่ 1,593.59 จุด เพิ่มขึ้น 10.0% จากสิ้นปี 2563  ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ โดยอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563  ได้แก่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยี และ กลุ่มธุรกิจการเงิน

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 SET Index  ปิดที่ 1,593.59  จุด เพิ่มขึ้น0% จากสิ้นปี 2563 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า
  • ในเดือนพฤษภาคม 2564 หลายอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563   ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยี และ กลุ่มธุรกิจการเงิน
  • ในเดือนพฤษภาคม 2564   มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 109,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น8% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 5 เดือนแรกปี 2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 98,859 ล้านบาท
  • ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยในเดือนพฤษภาคม 2564 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 34,054

ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 5 เดือนแรกปี 2564 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม  66,870  ล้านบาท โดยผู้ลงทุนในประเทศมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิ 101,236  ล้านบาท นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ผู้ลงทุนในประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง

  • ในเดือนพฤษภาคม 2564 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 3  บริษัท และใน mai 3  บริษัท โดยใน 5  เดือนแรกปี  2564 SET มีมูลค่าระดมทุน (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN โดยสาเหตุหลักมาจากการเข้าจดทะเบียนของบมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และ บมจ. เงินติดล้อ (TIDLOR)
  • Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 2 เท่า และ 29.65 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.0 เท่า และ 26.8 เท่าตามลำดับ
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 42% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.25%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

  • ในเดือนพฤษภาคม 2564 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 597,159 สัญญา เพิ่มขึ้น 1% จากเดือนก่อน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจาก SET50 Index Futures และ Single Stock Futures

บ้านปู ครองโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในออสเตรเลีย

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 2 แห่ง ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales) ประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เบอริล (Beryl หรือ BSF) กำลังการผลิต 110.9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มานิลดรา (Manildra หรือ MSF) กำลังการผลิต 55.9 เมกะวัตต์ ผ่านหน่วยลงทุน Banpu Energy Hold Trust ที่จัดตั้งโดยบริษัท บ้านปู เอเนอร์จี ออสเตรเลีย จำกัด (Banpu Energy Australia Pty Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปู ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 100  และ บริษัท บ้านปู รีนิวเอเบิล ออสเตรเลีย จำกัด (Banpu Renewable Australia Pty Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ที่บ้านปู ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 50  โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งถือว่าเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่โครงการแรกของบ้านปูในประเทศออสเตรเลีย นับเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานการลงทุนทั้งในเชิงกลยุทธ์ด้านพลังงานสะอาด และต่อยอดระบบนิเวศด้านพลังงานของบ้านปูในประเทศออสเตรเลีย ตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบริษัทฯ ผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวสู่เป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 6,100 เมกะวัตต์ภายในปี 2568

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บ้านปูยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจพลังงานที่หลากหลายและครอบคลุมทั้งห่วงโซ่ธุรกิจ สอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ เราได้เข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในประเทศออสเตรเลีย 2 แห่ง จากบริษัท นิว เอเนอร์จี โซลาร์ จำกัด (New Energy Solar Limited) โดยมีมูลค่าการลงทุน 97.5 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือ เทียบเท่า 2,332 ล้านบาท โดยการลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่เน้นโครงการที่สร้างกระแสเงินสดได้ทันที ทั้งยังเป็นอีกก้าวสำคัญของธุรกิจบ้านปูในการขยายพอร์ตพลังงานสะอาดและต่อยอดระบบนิเวศของธุรกิจบ้านปูในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีความแข็งแกร่งในธุรกิจต้นน้ำมาอย่างยาวนาน ด้วยความเชี่ยวชาญและความพร้อมในด้านทรัพยากรบุคคล ความสัมพันธ์ที่ดีกับภาครัฐและเครือข่ายธุรกิจกับคู่ค้าและพันธมิตรที่ดีเยี่ยมอีกด้วย

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่งมีกำลังการผลิตรวม 166.8 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ BSF กำลังการผลิต 110.9 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2562 และ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ MSF กำลังการผลิต 55.9 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2561 โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ระดับ Tier-1 รวมถึงมีระบบหมุนตามแสงอาทิตย์ (Single Axis Tracking System) ส่งผลให้มีอัตราความสามารถในการผลิตเฉลี่ย (Capacity Factor) ในระดับที่ดี รวมทั้งตั้งอยู่ในบริเวณที่มีค่าการสูญเสียไฟฟ้า (Marginal Loss Factor หรือ MLF) ในระดับที่คงที่ เนื่องจากมีความพร้อมในระบบสาธารณูปโภค ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ มีเสถียรภาพในการรับรู้รายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้รัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales) ยังมีปริมาณความต้องการและการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบสายส่งของประเทศ ผ่านตลาดซื้อขายไฟฟ้าแห่งชาติ (National Electricity Market หรือ NEM) ตามสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะยาว โดยผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการทั้ง 2 แห่งมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในกลุ่มน่าลงทุน (Investment Grade) ส่งผลถึงกระแสเงินสดที่บริษัทฯ จะได้รับอย่างมั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้รัฐนิวเซาท์เวลส์ มีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในปี 2563 มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 14 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในตลาดซื้อขายไฟฟ้าแห่งชาติ (NEM) และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดตั้ง บริษัท Banpu Energy Australia ขึ้นเพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบ้านปูในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อบริษัทฯ เป็นอย่างมาก  โดย Banpu Energy Australia จะสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ถึงพร้อมด้วยนวัตกรรม ครอบคลุมธุรกิจที่ครบวงจร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด โซลูชันด้านพลังงาน และการบริหารจัดการพอร์ตฟอลิโอในประเทศออสเตรเลีย ในการนี้ Banpu Energy Australia จะเป็นผู้บริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่งนี้

“การลงทุนในครั้งนี้จึงนับเป็นอีกก้าวสำคัญในการวางรากฐานการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดในประเทศออสเตรเลีย และยังเป็นการก้าวสู่ตลาดซื้อขายไฟฟ้าที่มีความก้าวหน้าและเป็นตลาดขายส่ง (Wholesale Electricity Market) ที่เปิดเสรีอีกด้วย เราพร้อมขยายพอร์ตการลงทุนที่ตอบโจทย์กลยุทธ์ Greener & Smarter ในประเทศออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเข้าลงทุนผ่านการซื้อกิจการที่สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที การพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด (Decarbonization) บนพื้นที่บริเวณเหมืองถ่านหินใต้ดิน ซึ่งบ้านปูได้เข้าไปลงทุนตั้งแต่ปี 2552 หรือต่อยอดสู่ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานในอนาคต อันถือเป็นการเชื่อมโยงต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจภายในกลุ่มบ้านปูที่แข็งแกร่งอีกด้วย” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย

บ้านปู ยังคงเดินหน้าในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายกำลังการผลิต 6,100 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 โดยมองหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในตลาดที่มีความเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าและมีนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง รวมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่งนี้ บ้านปู จะมีกำลังผลิตรวมจากพลังงานหมุนเวียน 1,073  เมกะวัตต์

แนะถือ Domestic ต่อเนื่องหลังจากแนะสะสมมาก่อนหน้า

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า วันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานสหรัฐได้ประกาศการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือน พ.ค. ปรากฏว่าเพิ่มขึ้นเพียง 5.59 แสนตำแหน่งต่ำกว่าตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.45 แสนตำแหน่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกเนื่องจากจะทำให้ FED ยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้ได้แก่ (1) วาระ Vaccine แห่งชาติของประเทศไทยที่จะเริ่มฉีดตั้งแต่ 7 มิ.ย. เป็นต้นไปเราแนะนำติดตามตัวเลขการฉีด Vaccine ต่อวันเชื่อจะมีนัยยะมากกว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน หากเห็นจำนวนฉีดต่อวันที่สูงขึ้นเรื่อยๆคาดตลาดจะตอบรับเชิงบวก

วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

สำหรับความคืบหน้าใน กทม. ข้อมูลล่าสุดจากทางผู้ว่า กทม. ระบุว่า กทม. มีศักยภาพฉีดได้ถึงวันละ 7 หมื่นคน / วัน ทั้งนี้หากเป็นไปตามเป้าหมายที่ทาง กทม. วางไว้จะใช้ระยะเวลาราว 78 วันที่จะฉีด Vaccine ครอบคลุม 100% ของประชากร กทม. ดังนั้นเชื่อว่าจากนี้มาตรการควบคุมการระบาดโดยเฉพาะพื้นที่ กทม. จะค่อยๆผ่อนคลายหนุนกลุ่ม Domestic โดดเด่นต่อเนื่อง อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL CRC) ร้านอาหาร (CENTEL M MINT) ศูนย์การค้า (CPN) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) รถไฟฟ้า (BEM BTS) (2) การรายงานเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) ในวันที่ 10 มิ.ย. Bloomberg ประเมิน +4.7%YoY และ Core CPI +3.4%YoY เรายังเชื่อว่าเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้วกอปรกับหากพิจารณาความคาดหวังเงินเฟ้อสหรัฐ 5 ปีจากนี้เริ่มปรับตัวลงสอดคล้องกับทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีที่ปรับตัวลงบ่งชี้ว่าตลาดไม่ได้กังวลกับเงินเฟ้อเท่าใดนัก ดังนั้นจาก 2 ปัจจัยข้างต้นทำให้เราเชื่อว่าสัปดาห์นี้ SET จะปรับตัวขึ้นได้กรอบ 1600 – 1630

กลยุทธ์การลงทุนคงคำแนะนำถือ Domestic Play ต่อเนื่องเพื่อรอรับปัจจัยบวกจากการค่อยๆผ่อนคลายมาตรการรวมถึงเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นการเปิดรับต่างชาติมากขึ้น ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่ได้สะสมให้เน้นตัวที่ยัง Laggard อาทิ ธนาคารพาณิชย์ (KBANK) ศูนย์การค้า (CPN) เครื่องดื่ม (TACC) ร้านอาหาร (M) สื่อ (PLANB VGI) สื่อสาร (ADVANC) ค้าปลีก (BJC CPALL CRC) สนามบิน (AOT)

KBANK (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 169 บาท) มองราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 20% จากจุดสูงสุดเดิมสะท้อนปัจจัยลบการระบาดรอบสามรวมถึงการลดน้ำหนักใน MSCI ไปแล้ว ขณะที่หาก Vaccine เริ่มกระจายเชื่อจะหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวรวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะรับประโยชน์

CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 59 บาท) เชื่อราคาหุ้นปรับฐานลงมา 20% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนปัจจัยลบจากการะบาดรอบสามและผลประกอบการที่จะอ่อนแอในช่วง 2Q21 ไปแล้ว ขณะที่เชื่อว่าตลาดจะเริ่มหันมาให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวจากนี้หนุนจากการกระจาย Vaccine โดยในช่วงเวลาปกติที่ประเทศไทยควบคุม COVID-19 ได้ดี CPN ถือเป็นกิจการที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างไวทั้งในเชิงผลประกอบการและผู้ใช้บริการ

GUNKUL ลุยกัญชงหนุนธุรกิจแกร่ง

บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ประเมินภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังสัญญาณดีต่อเนื่อง รับแรงบวกลุยธุรกิจพืชเศรษฐกิจ กัญชง กัญชา  เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ แถมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและงาน EPC ยังเติบโตต่อเนื่องโดยตุนงานไว้ในมือแล้ว 9,600 ล้านบาท ด้าน“ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย” ซีอีโอ เผยครึ่งหลังปีนี้เล็งเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่เพิ่มอีกกว่า 20,000 ล้านบาท คาดได้งานไม่ต่ำกว่า  15-20%  สนับสนุนผลงานปีนี้โตตามเป้าหมาย 20%

ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า  กลุ่มบริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพของรายได้และกำไรสุทธิในครึ่งปีหลัง ว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก  เนื่องจากได้ขยายโอกาสไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพืชเศรษฐกิจ กัญชง หรือ กัญชา เพื่อสร้างจุดแข็งและสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันทางธุรกิจให้กลุ่มบริษัทฯในอนาคต รวมถึงวางแผนลงทุนทำโรงสกัด CBD บริสุทธิ์ 99% ที่มีกำลังผลิต 1 ตัน ต่อวัน ซึ่งวางแผนจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศต่อไป

นอกจากนี้ยังได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับระบบไฟฟ้าเพื่อต่อยอดธุรกิจ ขณะที่งานรับเหมาและวางระบบทางด้านวิศวกรรม (EPC)  ได้เข้าร่วมประมูลกว่า 5,000 ล้านบาท และคาดว่าจะได้งาน ไม่ต่ำกว่า 20%  ซึ่งจะทยอยทราบผลภายใน 1-2 เดือนต่อจากนี้ จากปัจจุบันบริษัทฯ มีงาน EPC  ในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 9,600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ 2-3 ปีข้างหน้า

“กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโอกาสอีกมากในการเข้าร่วมประมูลงาน EPC ใหม่ๆ ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะมีงาน EPC ในมือไว้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2564 และยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนธุรกิจที่วางไว้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะธุรกิจด้านพลังงานทดแทน ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการลงทุนและเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯ มี Backlog เพิ่มเข้ามาอีก 1,700 ล้านบาท  โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ มีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานเพิ่มอีก 15-20% จากยอดดังกล่าว  จึงน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตอย่างมีศักยภาพ และจะเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตรายได้ปีนี้ไม่น้อยกว่า 20%จากปีก่อนนอกจากนี้ ” ดร.สมบูรณ์กล่าว

อนึ่ง ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2564)บริษัทฯมีกำไรในส่วนของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 608.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 439.10 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 38.60 %

ขณะที่กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 2,323.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 549.56 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน 1,773.55 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการขายไฟฟ้า และส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเท่ากับ 1,112.58 ล้านบาท รายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง และให้บริการเท่ากับ 454.39 ล้านบาท รายได้จากการขายเท่ากับ 268.74 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากสัญญาเช่าเงินทุนที่รับรู้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่เท่ากับ 210.02 ล้านบาท

MFC แนะลงทุนในกองทุนเปิด M-MIDSMALL

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ผู้บริหารจัดการกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มิด สมอล แค็ป หรือ M-MIDSMALL’ ที่เน้นการลงทุนในตราสารแห่งทุนของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้การบริหารแบบ Active Management ทำให้ ‘M-MIDSMALL’  สร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น นับตั้งแต่ต้นปี 2564  (YTD 2564)  กองทุน M-MIDSMALL ทำผลตอบแทนอยู่ที่ +37.88%  ส่วนดัชนีเปรียบเทียบ SET TRI ผลตอบแทนอยู่ที่ 11.12% และ M-MIDSMALL ยังได้รับ Morningstar Rating Overall  ที่ 5 ดาว  (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2564)

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เผยว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทุน M-MIDSMALL น่าลงทุนในช่วงนี้ มาจากการที่ สศช. คาดการณ์ GDP ไทยปี 2564 เติบโตที่ 1.5 – 2.5% (โดยไตรมาส 1/2564 GDP ติดลบไป 2.6%) อย่างไรก็ตาม การกระจายวัคซีนในประเทศที่จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือน มิ.ย. 64 เป็นต้นไป จะสามารถช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ในประเทศได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2565 โดยการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศนั้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทาง MFC จึงมีมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2564 นี้จะปรับตัวขึ้นแบบ sideway up ตอบรับการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทยและการเปิดประเทศทั่วโลก โดยการที่ภาวะตลาดรวมปรับตัวขึ้นนั้น จึงคาดการณ์ว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะปรับตัวขึ้นได้ดีสอดคล้องเช่นกัน

โดยผู้จัดการกองทุน M-MIDSMALL มีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน (catalyst) เฉพาะตัว ซึ่งแม้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศ โดยกำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดี และราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ยอดการส่งออกสินค้าในไตรมาส 1/2564 ได้ฟื้นตัวกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส ที่ 5.3% แม้ว่าจะยังมีการระบาดในประเทศ รวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปลดล็อคพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงตัวใหม่อย่างกัญชง และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมากซึ่งจะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสีย สามารถมีกำไรและเติบโตได้ดี

ด้วยประสบการณ์และกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนที่แม่นยำของ MFC ผู้จัดการกองทุน เล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโต และความเหมาะสมของการเข้าลงทุน MFC ประกาศเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนอีก 3 ชนิด คือ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่ไม่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-A), ชนิดเพื่อการออม (M-MIDSMALL-SSF) และชนิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (M-MIDSMALL-PVD)  เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและเล็กในตลาดหุ้นไทยและ MAI ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มการเติบโตสูงในระยะปานกลางและระยะยาว

โดย M-MIDSMALL มีหน่วยลงทุนชนิดใหม่ที่โดดเด่นถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการลดหย่อนภาษี โดยเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนเพื่อการออม หรือ “M-MIDSMALL SSF” เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก นอกจากลงทุนเพื่อคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ยังได้รับผลประโยชน์ทางด้านภาษีด้วย (M-MIDSMALL-SSF เป็นชนิดหน่วยลงทุนที่เพิ่งเปิดเสนอขายใหม่ ดังนั้นผู้ลงทุนสามารถอ้างอิงข้อมูลของหน่วยลงทุนชิด M-MIDSMALL-D ได้)

ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่ไม่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-A), ชนิดเพื่อการออม (M-MIDSMALL-SSF) และชนิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (M-MIDSMALL-PVD) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564  สำหรับท่านผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุน M-MIDSMALL ก่อนหน้าการเพิ่มชนิดหน่วยลงทุน หน่วยลงทุนของท่านจะอยู่ในหน่วยลงทุนชนิดผู้ลงทุนทั่วไปที่รับเงินปันผล (M-MIDSMALL-D)

กองทุนเปิด M-MIDSMALL เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและเล็กคาดหวังผลตอบแทนที่ดี และสามารถยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 1,000 บาท  ในการสั่งซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป โดยซื้อขายได้ทุกวันทำการ ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง หรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร.0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร.043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324 – 25 หรือที่ www.mfcfund.com