“โกลเบล็ก” คัดหุ้นเด่นเดือนกันยายนเก็งธีม Reopening Play

บลโกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเดือนกันยายนยัง Sideway Up จากสถานการณ์โควิดในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น หนุนนายกฯเดินหน้าเปิดประเทศเฟส 2 เพิ่มอีก 5 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่เริ่ม 1 ต.ค.นี้ จึงให้กรอบดัชนีเดือนนี้ 1,600-1,680 จุด แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Reopening Play รับลูกเปิดเมืองในเดือนตุลาคมนี้

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนกันยายนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยได้แรงหนุนจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ชะละตัวต่อเนื่อง และมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของ ศบค.  ซึ่งนายกฯ ยืนยันเดินหน้าเปิดประเทศใน 120 วัน แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้าจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 โดยแผนเปิดประเทศเฟส 2 ในอีก 5 จังหวัดเริ่ม 1 ต.ค.นี้ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ รวมทั้งจับตาการทำ Window Dressing ปลายงวดไตรมาสที่ 3/2564 จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีเดือนนี้แกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,600-1,680 จุด

ทั้งนี้ปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลบวกต่อดัชนี อาทิ ราคาน้ำมันดิบ WTI ตลอดเดือนส.ค. ร่วงลง 7% จากกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาทำให้นักลงทุนกังวลว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันจะชะลอตัว และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้เริ่มลด QE ภายในสิ้นปี รวมทั้งคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยว่า ประชาชนวัยผู้ใหญ่ในสหภาพยุโรป ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบสองโดสแล้ว 70% หรือราว 256 ล้านคน ส่วนดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.9 ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวลงสู่ระดับ 58.6 หลังจากแตะระดับ 59.5 ในเดือนก.ค.และตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ  และนักลงทุนเชื่อว่า FED จะเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป ยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า “mu” ซึ่งทาง EU ได้ถอดสหรัฐออกจากรายชื่อประเทศที่ปลอดภัยด้านการเดินทาง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งการที่ธปท.เปิดเผยว่าเศรษฐกิจในเดือนส.ค.ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากเดือนก.ค. จากกำลังซื้ออ่อนแอ ซึ่งคาดว่าธปท.จะปรับประมาณการ GDP ปี 64 อีกครั้งในวันที่ 29 ก.ย.64 จากเดิมที่คาดว่า GDP ปี 64 จะขยายตัว 0.7% และกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 (ต.ค.63-ก.ค.64) ต่ำกว่าประมาณการ 10.2% และทาง ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า รวมทั้งทาง สศค. จะมีการรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง และต่างประเทศรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในหมวดต่างๆออกมา

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Reopening Play เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม MINT, ERW, CENTEL, AWC และ SHR หุ้นกลุ่มขนส่ง BEM และ BTS หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN, CRC และ MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร AU, M และ ZEN และสุดท้ายหุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL, BJC และ MAKRO จากการแผนการทยอยเปิดเมืองในเดือนตุลาคมนี้

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินกรอบทองคำในเดือนก.ย.64 ไว้ที่ระดับ 1,770-1,870 $/Oz โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน เนื่องจากเฟดเตรียมปรับลดวงเงิน QE ลงภายในปลายปีนี้ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง โดยในปี 2013 ที่มีการปรับลดวงเงิน QE ราคาทองคำจะปรับตัวลงและแตะจุดต่ำสุด ณ เดือนที่เฟดมีการปรับลดวงเงิน QE

APURE ส่งซิกครึ่งปีหลัง โกยรายได้เพิ่ม 20-30%

บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) ลั่นแนวโน้มครึ่งปีหลัง ส่อแววเติบโตเพิ่มขึ้น 20-30 %  เมื่อเทียบจากครึ่งปีแรก ตามปริมาณขายข้าวโพดที่คาดเพิ่มขึ้นถึง 1,400-1,500 ตู้คอนเทนเนอร์ รับคำสั่งซื้อต่างประเทศเข้าเพียบ ส่งซิกอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้ารายใหม่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า ในสหภาพยุโรป คาดสรุปดีลได้เร็วๆนี้ พร้อมเดินเกมรุก ติดตั้งเครื่องจักร – ขยายกำลังการผลิต เสริม ยอดกำลังการผลิตปลายปีนี้ ส่งผลปี2565 บริษัทฯมีกำลังการผลิตรวมเป็น 11,500 ตู้คอนเทนเนอร์ เพิ่มขึ้น 25 % จากปัจจุบัน 9,000 ตู้คอนเทนเนอร์

นายสุเรศพล จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APURE เปิดเผยว่า จากภาพรวมอุตสาหกรรมการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานแปรรูปในครึ่งปีหลังทั้งในตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา รวมถึงในตลาดเอเชีย ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศดังกล่าวที่เริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ จากดีมานด์การสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ APURE ประเมินอัตราการเติบโต จากยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 มีแนวโน้มสูงขึ้น 20-30% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามปริมาณคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ ที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาพอากาศในต่างประเทศ    ยังเป็นตัวแปรที่ส่งผลกระทบให้ผลผลิตข้าวโพดมีราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้องมีการนำเข้าข้าวโพดหวานเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมียอดออเดอร์ ที่เตรียมส่งมอบแล้ว 1,400 -1,500 ตู้คอนเทนเนอร์

บริษัทฯได้มีการทำสัญญากับเกษตรกร (Contract Farming) สัดส่วนมากกว่า 90% ส่งผลให้บริษัทฯสามารถเพิ่มปริมาณข้าวโพดเข้าไลน์การผลิตได้มากถึง 300,000 ตันต่อปี จากเดิม 150,000 -180,000 ตันต่อปี ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบริษัทฯยังมีขีดความสามารถในการขยายการรับออเดอร์ใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่อง จากดีมานด์การสั่งซื้อ โดยเฉพาะในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ เนื่องจากระดับราคาของบริษัทฯสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานของไทย ที่ส่งออกไปต่างประเทศ ยังได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ เนื่องจากคุณภาพข้าวโพด และรสชาติ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในต่างประเทศเป็นอย่างดี จนประสบความสำเร็จในการเข้าไปขายในตลาดวอลมาร์ท (Walmart)

สำหรับตลาดในกลุ่มสหภาพยุโรป(EU)นั้น ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่ อย่างห้างสรรพสินค้า โดยล่าสุดได้มีการส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์เพื่อทดลองให้กลุ่มลูกค้าดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯคาดว่าดีลดังกล่าวจะสามารถสรุปได้ในเร็วๆนี้ ทั้งนี้หากคว้าดีลนี้ได้ ส่งผลให้บริษัทฯสามารถขยายช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่ายสู่ยุโรปได้เพิ่มขึ้น

ส่วนตลาดในเอเชีย อาทิ ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศญี่ปุ่น และประเทศจีนนั้น นายสุเรศพล กล่าวว่า แม้ค่าระวางเรือจะปรับตัวสูงขึ้นมาค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับการขนส่งไปยังฝั่งทวีปอเมริกาใต้ สหภาพยุโรป ประเทศสหรัฐ และประเทศอินเดีย ดังนั้นจึงทำให้มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมียอดขายเติบโตตามเป้าที่วางไว้

บริษัทฯยังคงต้องติดตามค่าระวางเรืออย่างใกล้ชิด เนื่องจากต้องยอมรับว่าผลกระทบจากค่าระวางเรือเป็นตัวแปรหลัก ที่ทำให้ลูกค้าบางรายมีต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น ดังนั้นโดยส่วนตัวมองว่า หากสถานการณ์การขาดแคลนด์ตู้คอนเทนเนอร์ และค่าขนส่ง กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อไหร่ บริษัทฯมีโอกาสขยายตัวได้อย่างมาก เพราะลูกค้าในปัจจุบันนิยมบริโภคผลิตภัณฑ์ข้าวโพด ที่มาจากประเทศไทย เพราะมั่นใจคุณภาพข้าวโพด และรสชาติ ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ด้านการตลาดส่งผลให้แบรนด์สินค้าของบริษัทฯ เป็นที่รู้จักและที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม สำหรับความคืบหน้า กรณีการเพิ่มกำลังการผลิตนั้น ล่าสุดบริษัทฯมีการนำเข้าเครื่องจักรมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 60 วัน จะเตรียมเดินเครื่องจักรได้ในช่วงปลายปี 2564 ก่อนที่จะใช้กำลังการผลิตได้เต็มกำลัง 2,000 -2,500 ตู้คอนเทนเนอร์ ในกลางปี 2565 ส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตรวมเป็น 11,500 ตู้คอนเทนเนอร์ เพิ่มขึ้น 25 % จากเดิมที่ 9,000 ตู้คอนเทนเนอร์

ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าไปในช่วงครึ่งปีแรก 2564 ส่งผลให้บริษัทฯมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนกว่า 80-90 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯคาดว่าจะไม่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือหากมี ก็ไม่สูงมาก โดยบริษัทฯได้ทำประกันความเสี่ยงด้านค่าเงินไว้ ในปีนี้ 50%เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ตั้งเป้าปี 64 เติบโต 30 %

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เผยมีความมั่นใจและพร้อมรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกตามการคาดการณ์ พร้อมเร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล  แม้ว่าจะมีความท้าทายเกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ทั้งนี้เมื่อผู้คนได้รับวัคซีนครอบคลุมมากขึ้น จึงมองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่หนุนโดยการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกของไทย รวมไปถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น

ในปี 2564 บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป) คาดการณ์รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติจะสูงเป็นประวัติการณ์ ด้วยอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 30 จากปีก่อน โดยที่ยังคงระดับความสามารถในการทำกำไรสูงด้วยกำไรจากการดำเนินการก่อนหักค่าใช้จ่าย (EBITDA) กว่าร้อยละ 40  นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังตั้งเป้าขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART)  มูลค่ากว่า 5,500 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 อีกด้วย นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (IBD) ยังอยู่ที่ 1.3 เท่า เราจะยังคงงบดุลของเราให้แข็งแกร่ง ลงทุนให้ธุรกิจเติบโต รองรับทุกความต้องการของลูกค้า และสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้แก่ผู้ถือหุ้นของเรา”

ทิศทางกลยุทธ์แผนธุรกิจประจำปี 2564 และในอนาคตของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป

  • กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2564 และมีแนวโน้มสดใสด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รวมถึงความร่วมมือระยะยาวกับพันธมิตรสำคัญระดับโลก ตลอดจนการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้

ในครึ่งแรกของปี 2564 มีการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ ๆ รวมพื้นที่ 35,000 ตารางเมตร และสัญญาระยะสั้นอีก 100,000 ตารางเมตร  และภายในสิ้นปี จะมีการส่งมอบโครงการโลจิสติกส์แห่งใหม่ 5 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่รวมมากกว่า 110,000 ตารางเมตร พร้อมเปิดตัวโครงการเมกกะ โลจิสติกส์ แห่งใหม่ และขยายพื้นที่ในโครงการเดิม ขนาดกว่า 400,000 ตารางเมตร

สถานการณ์โควิด-19 ช่วยเร่งให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตเร็วขึ้น และเป็นการเพิ่มความต้องการศูนย์กระจายสินค้าสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ ธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปยังได้รับผลตอบรับที่ดีจากความต้องการโรงงานสำเร็จรูป (Ready-Built Factories – RBF) และคลังสินค้าสำเร็จรูป (Ready-Built Warehouse – RBW) ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้น  คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารจัดการรวม 2,560,000 ตารางเมตร

ธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังได้เดินหน้าในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาปรับใช้เพื่อสร้างโซลูชันบริการที่เปี่ยมนวัตกรรมแบบครบวงจรที่สร้างมูลค่าใหม่ ๆ มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 29.40 ในบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด ผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ “i-Store Self Storage” โดยดับบลิวเอชเอจะใช้ความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ในธุรกิจโลจิสติกส์มาสนับสนุนสตอเรจ เอเชีย ในการสร้างสรรค์การให้บริการพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งในปีนี้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีแผนที่จะขายทรัพย์สิน ได้แก่โครงการ Built-to-Suit Warehouse และ General Warehouses ขนาด 180,000 ตารางเมตร เข้ากองทรัสต์ WHART ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 5,500 ล้านบาท

  • กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ (WHAID) ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดทั้งในประเทศไทยและขยายธุรกิจสู่เวียดนาม ปัจจุบัน มีนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 12 แห่ง โดยตั้งอยู่ในประเทศไทย 11 แห่ง และเวียดนามอีก 1 แห่ง นอกจากนี้ ยังกำลังพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการในประเทศไทย และอีก 2 โครงการในเวียดนาม คิดเป็นพื้นที่รวม 68,000 ไร่  ซึ่งรวมพื้นที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่จำนวน 49,900 ไร่

ในประเทศไทย คาดว่านิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (WHA RY36) จะดำเนินการสร้างเสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปี 2564 และภายหลังจากผ่านการอนุมัติการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว การก่อสร้างส่วนต่อขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) ก็จะเริ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ส่วนนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ซึ่งได้รับการอนุมัติให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจากอีอีซี จะเริ่มการก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 โดยจะเป็นผลให้ WHAID มีที่ดินอุตสาหกรรมพร้อมซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บนทำเลยุทธศาสตร์เพื่อรับการลงทุนในอนาคต

ในประเทศเวียดนาม เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน ได้เสร็จสิ้นการก่อสร้างเฟส 1 ขนาดพื้นที่ 1,000 ไร่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้เช่าร้อยละ 54 ของพื้นที่ ประกอบด้วยลูกค้าจากจีน ญี่ปุ่น และไทย ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ  อิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปอาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ และวัสดุก่อสร้าง ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างเฟส 2 ขนาด 2,100 ไร่  คาดว่าการก่อสร้างจะเริ่มในไตรมาส 1 ปี 2565 นอกจากนี้ WHAID ยังกำลังพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเพิ่มอีกสองแห่ง ได้แก่ WHA Smart Technology Industrial Zone – Thanh Hoa และโครงการ WHA Northern Industrial Zone ในจังหวัดถั่งหัว ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7,500 ไร่ โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และ 2567

ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแนวคิด “Smart Eco Industrial Estates” ด้วยการเปิดรับนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเริ่มดำเนินการ “ศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานแบบรวมศูนย์” ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ เพื่อตรวจสอบตัวบ่งชี้หลักด้านการทำงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อมูลการจราจร ความปลอดภัย การปล่อยก๊าซทางอากาศ ระดับน้ำ ตลอดจนคุณภาพน้ำเสีย ซึ่งเป็นข้อมูลที่รวบรวมมาจากระบบจัดการจราจรอัจฉริยะ กล้องวงจรปิด และระบบ SCADA1  ซึ่งติดตั้งไว้ที่นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ในประเทศไทย

นอกเหนือจากการขยายธุรกิจเชิงภูมิศาสตร์แล้ว WHAID ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นให้แก่ลูกค้า ด้วยความร่วมมือกับทัส โฮลดิ้งส์ จากประเทศจีน บริษัทดำเนินการศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม “ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ”  ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่บริหารจัดการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพและส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศจีนกับไทย นอกจากนี้ บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส ยังได้ร่วมมือกับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จํากัด เพื่อสร้างโรงงานแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซ โดยจะจัดจำหน่ายก๊าซไนโตรเจนให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) และนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 ที่อยู่ติดกัน โดย บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส จะเริ่มจัดจำหน่ายไนโตรเจนให้แก่ลูกค้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2564

  • ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เดินหน้าขยายธุรกิจสาธารณูปโภคภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัท ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม และพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียนที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์

ด้านสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ยังคงเดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์และโซลูชันอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม เช่น โครงการ Wastewater Reclamation และการผลิตน้ำที่ปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) โดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรนรีเวิร์สออสโมซิส ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 WHAUP ได้เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำประปาและการบำบัดน้ำเสีย รวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16 และ 170 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยหลายโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาและดำเนินการก่อสร้าง เช่น โรงบำบัดน้ำแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36  ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.74 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โรง reclamation และโรงผลิตน้ำปราศจากแร่ธาตุ ยังให้บริการน้ำปราศจากแร่ธาตุแก่ลูกค้านอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ และโครงการน้ำดิบทางเลือก ด้วยกำลังการผลิต 6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

ที่เวียดนาม WHAUP อยู่ระหว่างการดำเนินการ 3 โครงการ ส่งผลให้ปริมาณน้ำประปาและน้ำเสียมีขนาดรวมถึง 10.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โรงบำบัดน้ำ Duong River Surface (WHAUP ถือหุ้นร้อยละ 34) มีอัตราการใช้น้ำที่สูงขึ้นและมีปริมาณการขายน้ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในครึ่งแรกของปี 2564 โรงบำบัดน้ำ Cua Lo (WHAUP ถือหุ้นร้อยละ 47) ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกรกฎาคม 2564 และขยายกำลังการผลิตของโรงงานเป็น 7.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

ด้านพลังงาน ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน นอกเหนือจากพลังงานแบบดั้งเดิม โดยตั้งแต่ต้นปี 2564 มีโครงการโซลาร์ที่ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ หลายโครงการ อาทิ คอนติเนนทอล ไทร์ส ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 และ ฮอนด้า ในจังหวัดปราจีนบุรี นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังได้ลงนามในสัญญาอีกหลายฉบับ โดยมีโครงการ Solar ที่เปิดดำเนินการแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 46 เมกะวัตต์ และบริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ Solar Rooftop รวมทั้งสิ้น 63 เมกะวัตต์ คาดว่าธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของ WHAUP จะมีกำลังการผลิตรวม 90 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2564 ทั้งนี้ ภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโซลูชันนวัตกรรม WHAUP ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับพันธมิตรด้านพลังงานชั้นนำ อย่าง ปตท. และเซอร์ทิส เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มพลังงานอัจฉริยะเพื่อซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งนี้ในปี 2564 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นทั้งสิ้น 670 เมกะวัตต์

  • ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มของดับบลิวเอชเอ ยังคงดำเนินแผนการให้บริการไฟเบอร์ออปติก (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 10 แห่งของดับบลิวเอชเอในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน FTTx ได้ให้บริการแก่ลูกค้าทั้งหมดในนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่ง ในขณะที่กำลังดำเนินการติดตั้งให้ครอบคลุมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมที่เหลืออยู่อีก 4 แห่ง

การมีส่วนร่วมในการพัฒนา 5G เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของกลยุทธ์ดิจิทัลแพลตฟอร์มของดับบลิวเอชเอ บริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ทั้งหมด รวมถึง แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค (AWN) ทรู และดีแทค เพื่อร่วมวางแผนการวางเครือข่าย 5G และโซลูชัน 5G และเร่งการสร้างสรรค์โซฃูชันอัจฉริยะสำหรับลูกค้าของดับบลิวเอชเอ

ธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม ยังขยายความร่วมมือกับสตาร์ทอัพในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการที่มอบให้แก่ลูกค้าของดับบลิวเอชเอ

นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังได้สนับสนุนระบบสาธารณสุขในประเทศ โดยการนำคลังสินค้าในโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร กม. 4 จังหวัดสมุทรปราการ บนพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร เป็นโรงพยาบาลสนาม “สมุทรปราการรวมใจ 5 (WHA)” ขนาด 1,300 เตียง สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ

นอกจากนี้ เพื่อขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บริษัทได้เปิดตัว “WHA Office Solutions” นำเสนอพื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับเวิลด์คลาสบนพื้นที่รวม 100,000 ตารางเมตร บน 6 ทำเลทองในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ รวมถึงสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ “ดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์”, โครงการ SJ Infinite I, ตึกสำนักงาน @Premium, โครงการ WHA Bangna Business Complex, ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ ตลอดจนโครงการ WHA KW S25 ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ถือเป็นเส้นทางที่มีความท้าทายแต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสใหม่ ๆ เรามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และหวังว่าในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย จะสามารถเร่งให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้ครอบคลุม  เราจะได้ผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน วิกฤตการณ์ครั้งนี้นับเป็นตัวเร่งให้เกิดการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้ และสิ่งเหล่านี้เองช่วยให้เรามองไปข้างหน้าได้อย่างมีความหวัง” 

ธนาคารกรุงเทพ เร่งเครื่องยุทธศาสตร์ “ธนาคารดิจิทัล”

ธนาคารกรุงเทพ เร่งเครื่องยุทธศาสตร์ “ธนาคารดิจิทัล” เดินหน้าขยายบริการรองรับ Digital Lifestyle ต่อเนื่อง ล่าสุด จับมือกับบริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เพิ่มช่องทางยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีใกล้บ้าน ผ่านบริการ     Be My ID ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น กว่า 13,000 สาขา ทั่วประเทศ รองรับความต้องการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลที่เติบโต พร้อมขยายโอกาสเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ ช่วยยกระดับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

นางปรัศนี อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสู่การเป็น “ธนาคารดิจิทัล” ตามยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ ธนาคารกรุงเทพจึงให้ความสำคัญกับการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ภายใต้การขับเคลื่อนกลยุทธ์ Digital First ที่เน้นพัฒนานวัตกรรมและต่อยอดเทคโนโลยี เพื่อสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการได้ตรงความต้องการ รวมทั้งสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ลูกค้าในปัจจุบัน โดยที่ผ่านมา ธนาคารได้เพิ่มเติมบริการธนาคารดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการอัปเกรดเวอร์ชั่นใหม่ของโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานลูกค้าได้ครอบคลุม ทั้งการทำธุรกรรม การลงทุน และดิจิทัลไลฟ์สไตล์ อาทิ  ถอนเงินไม่ใช้บัตร บริการโอนเงินต่างประเทศ การเปิดบัญชีออนไลน์ e-Savings หรือ การเปิดบัญชีกองทุนต่าง ๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับและเติมเต็มประสบการณ์ดิจิทัล (Digital Experience) ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้อย่างไร้รอยต่อและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ธนาคารกรุงเทพ จึงได้เพิ่มทางเลือกและขยายจุดให้บริการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีด้วยบัตรประจำตัวประชาชน หรือ บริการ Be My ID ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่มีกว่า 13,000 แห่งทั่วประเทศ และสามารถรองรับการทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาให้บริการของร้านอาจเปลี่ยนแปลงตามพื้นที่ที่มีการประกาศมาตรการของทางการ) ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2564 เป็นต้นไป

นางปรัศนี กล่าวต่อว่า บริการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในสถานการณ์ปัจจุบัน ในหลายพื้นที่อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่สาขาธนาคารที่ยังเปิดให้บริการอยู่ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด จำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการและปรับเปลี่ยนช่วงเวลาให้บริการ จึงส่งผลกระทบต่อการให้บริการลูกค้า ธนาคารจึงพยายามส่งเสริมให้ลูกค้าหันมาทำธุรกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวเองผ่านโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะบริการเปิดบัญชีเงินฝากออนไลน์ e-Savings ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ลูกค้าสามารถต่อยอดไปสู่การทำธุรกรรมประเภทอื่น ๆ ได้ตามต้องการ ทั้งการออมเงิน โอนเงิน เติมเงิน จ่ายชำระค่าสินค้าและบริการ รวมทั้งการลงทุนต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา

นอกจากนี้ ธนาคารยังประเมินว่าลูกค้าอาจจะมีความต้องการเปิดใช้งานบัญชีเงินฝากเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นช่องทางรับเงินช่วยเหลือ และมาตรการเยียวยาต่าง ๆ จากภาครัฐจะนำจ่ายให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบผ่านบัญชีเงินฝากที่ผูกพร้อมเพย์ ดังนั้น ลูกค้าใหม่ที่เปิดบัญชีครั้งแรกกับธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจำเป็นต้องยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชี ก็สามารถใช้บริการ Be My ID เพื่อยืนยันตัวตนได้ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่มีสาขาอยู่เป็นจำนวนมาก ลูกค้าเข้าถึงง่ายและใช้บริการได้สะดวกรวดเร็ว ขณะที่ลูกค้าปัจจุบันที่ใช้บริการโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพอยู่แล้ว สามารถเปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings ได้ทันที

บริการ Be My ID เป็นเหมือนประตูที่เชื่อมให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกด้วยตัวเอง ลดข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และระยะเวลาการให้บริการของธนาคาร ล่าสุดได้จุดรับชำระเคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นอีกกว่า 13,000 แห่ง เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความใกล้ชิดให้กับลูกค้ามากขึ้น รวมถึงสามารถทำธุรกรรมได้หลากหลาย เช่น การฝากเงิน และถอนเงิน จึงมั่นใจว่าลูกค้าจะให้การตอบรับที่ดีเช่นกัน” นางปรัศนี กล่าว

นายวีรเดช อัครผลพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมมือของทั้งสองบริษัทในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมและผลักดันการทำธุรกรรมแบบดิจิทัล เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้กับลูกค้าธนาคารกรุงเทพ เนื่องจากจุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สามารถเข้าถึงลูกค้าและแหล่งชุมชนได้หลากหลายพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย รวดเร็ว ลดความหนาแน่นตามมาตราการของรัฐบาล และใช้ช่องทางที่มีอยู่ของเคาน์เตอร์เซอร์วิสให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ในการทำธุรกรรมในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ ณ ขณะนี้   

สำหรับลูกค้าที่ต้องการเปิดบัญชี e-Savings เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ และเลือกทำรายการเปิดบัญชีออนไลน์ โดยเลือกยืนยันตัวตนผ่านจุดบริการ By My ID และนำรหัส 7 หลัก ที่ได้รับจาก  โมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ พร้อมบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด ติดต่อทำรายการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชี  ได้ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขา ตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาให้บริการของร้านอาจเปลี่ยนแปลงตามพื้นที่ที่มีการประกาศมาตรการของทางรัฐบาล) เพียงกรอกรหัส 7 หลัก ที่ได้รับจากโมบายแบงก์กิ้ง เสียบบัตรประชาชนที่เครื่องรูดบัตร (EDC) ถ่ายภาพและรับใบบันทึกรายการแสดงการยืนยันตัวตนสำเร็จ จากนั้นเข้าแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ เพื่อทำการเปิดบัญชีต่อให้สำเร็จ เพียงเท่านี้ก็สามารถเริ่มต้นใช้งานบัญชี e-Savings ได้ทันที

พิเศษ เลือกรับฟรีโค้ดส่วนลด Shopee หรือ Starbucks e-Coupon มูลค่า 200 บาท เมื่อเปิดบัญชี e-Savings พร้อมสมัครโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ และทำธุรกรรมครบ 2 ครั้ง ภายใน 7 วันหลังเปิดบัญชีสำเร็จ ตั้งแต่วันที่  1 กันยายน 2564 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 นอกจากนี้ ลูกค้าที่ต้องการสมัครบริการพร้อมเพย์ ก็สามารถสมัครได้ด้วยตัวเองผ่าน โมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพได้อีกด้วย

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการเปิดบัญชี e-Savings พร้อมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยืนยันตัวตน รวมทั้งจุดบริการ Be My ID และข้อมูลอื่นที่น่าสนใจของธนาคาร ได้จากสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารกรุงเทพทุกช่องทางได้แก่ www.bangkokbank.com, Bangkok Bank Line Official หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1333 หรือ 0 2645 5555

ศุภาลัย รุกทำเลขอนแก่นต่อเนื่อง สานต่อโครงการใหม่

ศุภาลัย รุกโครงการแนวราบจังหวัดขอนแก่นต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ล่าสุด “ศุภาลัย รอยัล ริเวอร์ 2” บ้านเดี่ยวหรูพร้อมอยู่ พร้อมนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงาน ในบรรยากาศรีสอร์ทแสนร่มรื่น ริมแม่น้ำชี  บนทำเลริมถนนมิตรภาพ ราคาเริ่มต้น 2.4 – 5.5 ล้านบาท พิเศษโปรฯจัดหนักของแถม 10 รายการ!

นายราชัย ปิยวาจานุสรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ถึงแม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2564 แต่ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดขอนแก่น ยังคงโดดเด่นและมีแนวโน้มด้านบวก จากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อพักอาศัยหรือเรียลดีมานด์ โดยหลังจากที่บริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีในโครงการ “ศุภาลัย รอยัล ริเวอร์” โดยการบริหารงานของบริษัท ศุภาลัย อิสาน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ศุภาลัย ทำให้บริษัทฯมีความมั่นใจในการเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด     “ศุภาลัย รอยัล ริเวอร์ 2” ที่ยังคงเอกลักษณ์ของบ้านเดี่ยวหรูผสานกลิ่นอายรีสอร์ท ร่มรื่นด้วยธรรมชาติริมแม่น้ำชี ตอบโจทย์นิยามการพักผ่อนอย่างแท้จริง

ศุภาลัย รอยัล ริเวอร์ 2 โดดเด่นด้วยแนวคิด “The unique river resort village of Khon Kaen” บ้านเดี่ยว 1 ชั้นและบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พร้อมเข้าอยู่ในบรรยากาศรีสอร์ท โอบล้อมด้วยธรรมชาติท่ามกลางแมกไม้ริมแม่น้ำชี บนพื้นที่โครงการ 13 ไร่ ราคาเริ่มต้น 2.4 – 5.5 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 117-233 ตร.ม. โดยทุกตารางเมตรถูกออกแบบอย่างงดงาม และเน้นนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงาน ด้วยวัสดุอุปกรณ์คุณภาพมาตรฐาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของลูกค้าในทุกโครงการของศุภาลัย

อีกทั้งการออกแบบที่ใส่ใจไลฟ์สไตล์ของทุกคนด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เดินทางสะดวกสบาย เพียง 5 นาทีจากเทสโก้ โลตัส และเพียง 15 นาทีจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น

พิเศษสุด! กับโปรโมชั่นรับหน้าฝน “ศุภาลัยให้เต็ม 10” จัดเต็มของแถม 10 รายการ ประกอบด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า 6 รายการ ได้แก่ ตู้เย็น 2 ประตู Smart TV เครื่องซักผ้าฝาหน้า เครื่องฟอกอากาศ เครื่องดูดฝุ่น ไมโครเวฟ และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน 4 รายการ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์  ค่าจดจำนอง ค่าส่วนกลาง 1 ปีแรก ค่ามิเตอร์ไฟและค่ามิเตอร์น้ำ ไร้กังวล! ด้วยเงื่อนไขกู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ และจองตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 64 เท่านั้น

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยวในบรรยากาศรีสอร์ทส่วนตัว เชิญเลือกแปลงที่โดนใจได้แล้ววันนี้ ที่ “ศุภาลัย รอยัล ริเวอร์ 2” ราคาเริ่มต้น 2.4 – 5.5 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการเข้าเยี่ยมชมโครงการ สอบถามข้อมูลโทร. 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com

สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในเมลเบิร์นยุคโควิด-19

ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการ บมจ.ศุภาลัย และผู้ดูแลโครงการในประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในเมลเบิร์นถือว่าเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี 2013 พบว่าอัตราการขยายตัวเริ่มตกตั้งแต่ปี 2016 และตกชัดในปี 2017 แต่การตกยังไม่ถึงขั้นรุนแรง เมื่อพิจารณาจำนวนแปลงที่ดินที่ขาย และ จำนวนหน่วยที่อพาร์ทเม้นท์ที่ขายได้แล้ว จะพบว่าลดลงเล็กน้อยตั้งแต่ 2016 ไปถึง 2017 ตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลงเล็กน้อย อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงรุนแรงตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2019 ซึ่งก็สะท้อนเป็นจำนวนแปลงที่ดินและจำนวนหน่วยอพาร์ทเม้นท์ที่ขายได้ที่ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีส่วนสัมพันธ์กับจำนวนที่อยู่อาศัยที่ขายได้

ในช่วงที่ตลาดที่อยู่อาศัยออสเตรเลียตกต่ำลงอย่างรุนแรง กล่าวกันว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการที่ Australian Prudential Regulation Authority (APRA) ได้ดำเนินมาตรการเข้มงวดต่อการให้สินเชื่อจำนองแก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ที่จริงแล้ว Santhebennur (2021) ได้สรุปมาตรการของ APRA ไว้ชัดเจนมากว่าจำกัดเฉพาะช่วงปี 2014-2018 ได้แก่ 2014 จำกัดสัดส่วนเงินให้กู้ยืมแก่นักลงทุนที่ซื้อที่อยู่อาศัยไม่เกิน 10% ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่โดยรวมในแต่ละปีและปี 2017 จำกัดสัดส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ชำระดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่เกิน 30% ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่โดยรวม ข้อจำกัดหลังนี้ได้ยกเลิกไปในปี 2018 ทั้งนี้ เนื่องจากธนาคารต่าง ๆ ได้ลดอัตราการเพิ่มของสินเชื่อประเภทดังกล่าวได้ 20-40 หน่วยเปอร์เซ็นต์และเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อประเภทดังกล่าว 0.1-0.3 หน่วยเปอร์เซ็นต์ภายในหนึ่งปี

เป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนแปลงที่ดินที่อยู่อาศัยที่ขายได้ลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2017 ที่ปีละ 26,000 แปลงเหลือเพียงประมาณ 7,000 แปลงต่อปี ในปี 2019 และจำนวนอพาร์ทเม้นท์ที่ขายได้ทั้งใหม่และเก่าลดลงจากปีละประมาณ 40,000 หน่วย ในปี 2016 เป็นประมาณ 20,000 หน่วยในปี 2019 ตลาดที่อยู่อาศัยในเมลเบิร์นอาจจะตกลงบ้างในช่วงหลังจาก APRA ได้ประกาศข้อจำกัดเล็กน้อยในปี 2014 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าสอดคล้องกัน แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาจากตลาดที่อยู่อาศัยที่ร้อนแรงเกินไปเป็นประวัติการณ์ของออสเตรเลียที่ประจวบกับช่วงเวลาที่ APRA ได้ขอให้สถาบันการเงินเข้มงวดมาตรฐานอื่น ๆ ของการให้กู้ยืมอื่นในช่วงปี 2015-2016 มากกว่า (APRA 2019) เช่น การทดสอบความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินคิดกับลูกค้าบวกด้วย 2 หน่วยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่น้อยกว่า 7% ทั้ง ๆ ที่อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อใหม่ในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 4.5% ในช่วงปี 2016-2019 อีกทั้ง APRA ยังมีการติดตามตัวเลขความสามารถชำระหนี้ที่สถาบันการเงินดำเนินการอยู่อย่างใกล้ชิด มาตรการนี้นำมาซึ่งการปรับลด Loan-to-Value Ratio (LVR) และ/หรือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่คิดกับลูกค้าของสถาบันการเงินในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะกับลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน
ปี 2019 ทั้งปีเป็นช่วงที่ตลาดหดตัวและผู้ประกอบการต่างลดราคาขายลงเพื่อรักษายอดขาย ซึ่งทำให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยก่อนหน้านั้นต่างกู้เงินสถาบันการเงินไม่ผ่าน เนื่องจากราคาประเมินของที่อยู่อาศัยที่ซื้อและเป็นหลักทรัพย์มีราคาสูงกว่าราคาตลาด ทำให้รายได้ในขณะที่ลงนามสัญญาไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ สภาพตลาดปี 2020 ดีขึ้นและประจวบกับรัฐบาลกลางและรัฐบาลแต่ละรัฐต่างให้แรงจูงใจสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลังของ 2020 รวมกันหลังละ 50,000 เหรียญ และ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 หลังละ 30,000 เหรียญ ตลาดที่อยู่อาศัยในเมลเบิร์นจึงกลับมาขยายตัวเป็นประวัติการณ์อีกครั้งและยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าจะพ้นช่วงที่ให้เงินอุดหนุนไปแล้ว ขนาดของเงินอุดหนุนที่ให้นี้มีมูลค่าในราว 6.7-10% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย

หลังจากตลาดที่อยู่อาศัยตกลงอย่างรุนแรง ธนาคารกลางออสเตรเลียได้ประกาศลดอัตรานโยบายจาก 1.5% ลงมาในเดือนมิถุนายน 2019 และลดลงมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันเหลือเพียง 0.10% ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงมาจากประมาณ 5% เมื่อต้นปี 2019 เหลือ 2% เล็กน้อยในปัจจุบันนี้ ดังรูปที่ 4 ทำไมตลาดจะไม่ขยายตัวอย่างเป็นประวัติการณ์ล่ะ? เพียงอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเพียงอย่างเดียวก็เพิ่มกำลังซื้อให้ผู้ผ่อนชำระถึง 36%! ปริมาณการขายของตลาดที่กระเตื้องขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2019 ก็เป็นผลสืบเนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางและการยกเลิกมาตรการทดสอบความสามารถชำระหนี้ของ APRA ด้วย

สิ่งที่น่าสังเกต ก็คือราคาของอพาร์ทเม้นท์ได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างปี 2013-2019 ถึงประมาณ 40% หรือคิดเป็นประมาณกว่า 4% ต่อปี ติดต่อกัน 6 ปีนั้น เป็นสิ่งที่เปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากนโยบายรัฐบาลได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะการทดสอบความสามารถการชำระหนี้ ณ อัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 7% อีกด้านหนึ่ง การให้ลูกจ้างออกในออสเตรเลียต้องจ่ายชดเชยในจำนวนสูงมาก แม้แต่ในช่วงโควิดระบาด การให้ลูกจ้างออกจึงมีน้อย กำลังซื้อโดยรวมจึงได้รับผลกระทบน้อย

รายงานของรัฐสภาออสเตรเลีย (ไม่ระบุปี แต่ประมาณ 2009) เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ที่อยู่อาศัย ได้ระบุถึง รายได้ ประชากร อัตราดอกเบี้ย LVR และ นโยบายเชิงภาษีทั้งเก็บโดยตรงและนำไปสู่การหักลดหย่อนภาษีประเภทต่าง ๆ เช่น ค่าดอกเบี้ยจ่าย ภาษีกำไร ภาษีที่ดิน การหักค่าเสื่อมราคา การหักส่วนขาดทุนของมูลค่า การเสียภาษีค่าเช่าแฝงของผู้อยู่อาศัยที่เป็นเจ้าของ ในบรรดานโยบายเชิงภาษีต่าง ๆ ข้างต้นนี้ ผู้อยู่อาศัยที่เป็นเจ้าของเองมักจะไม่ต้องเสียภาษีประเภทต่าง ๆ (ยกเว้นภาษีที่ดิน) แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะหักลดหย่อนภาษีใด ๆ จากค่าเสื่อมหรือการขาดทุนใด ๆ การหักลดหย่อนต่าง ๆ จะเป็นแรงจูงใจให้มีผู้ลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมไปจากอุปสงค์ของผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยตามปกติที่จะขยายตัวไปตามแนวโน้มของรายได้และจำนวนประชากรที่มากขึ้น แนวโน้มของอุปสงค์ที่อยู่อาศัยระยะยาวนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีหรือการหักลดหย่อนเท่านั้น เช่น การจำกัดสัดส่วนของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุนต่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่โดยรวมทำให้จำนวนที่อยู้อาศัยที่ขายได้ทั้งตลาดลดลงประมาณ 6,000-7,000 หน่วย เป็นต้น ตัวแปรที่จะเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ที่อยู่อาศัยได้ในขนาดที่มากได้แก่อัตราดอกเบี้ยดังที่ได้กล่าวได้ข้างต้นว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงตั้งแต่ปี 2019 เพิ่มกำลังซื้อถึง 36%

ในขณะเดียวกันก็ต้องย้ำว่าการทดสอบความสามารถในการชำระหนี้ของผู้บริโภค ณ อัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 7% ทำให้กำลังซื้อลดลงไปถึง 24% ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจึงเป็นตัวแปรสองตัวที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของที่อยู่อาศัยอย่างรุนแรง การดำเนินนโยบายของภาครัฐจึงต้องระมัดระวังตัวแปรทั้งสองนี้เป็นพิเศษ การป้องกันตลาดที่อยู่อาศัยไม่ให้ร้อนแรงเกินสมควรเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้มีการเก็งกำไรจนตลาดร้อนแรงเกินสมควร แต่ควรจะต้องใช้ตัวแปรที่เฉพาะเจาะจงที่จำกัดเฉพาะเจาะจงนักลงทุนโดยไม่ให้กระทบต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่เป็นเจ้าของเอง

เมื่อพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจแวดล้อมที่บรรยายข้างต้นแล้ว อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยในออสเตรเลียได้ลดลงมากจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากประมาณ 5% เหลือ 2% APRA เองก็ได้ประกาศเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2019 ว่า ไม่คาดหมายให้สถาบันการเงินทดสอบความสามารถการชำระหนี้ของลูกค้า ณ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ 7% อีกต่อไป สภาพแวดล้อมนี้ถือว่าอำนวยต่อการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมากดังที่ได้ปรากฏแล้วภายหลังจากที่นโยบายอุดหนุนผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้สิ้นสุดลง ความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่คือ เมื่อไรธนาคารกลางออสเตรเลียและ APRA จะเปลี่ยนใจและทำการปรับอัตราดอกเบี้ยและการทดสอบความสามารถชำระหนี้ตามลำดับ ส่วนภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไปแม้จะไม่ถึงกับดี แต่ก็สนับสนุนตลาดที่อยู่อาศัยได้ระดับหนึ่ง

ในตลาดที่ดินสำหรับอยู่อาศัยนั้น อุปทานที่ดินดิบมีราคาสูงขึ้นมากเนื่องจากที่ดินดิบที่ออกสู่ตลาดมีจำกัด ทำให้เป็นข้อจำกัดต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัยไม่น้อย แต่ว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเองได้ปรับตัวต่อราคาที่ดินโดยการลดขนาดแปลงที่ดินลงและทำให้ผู้ซื้อยังคงมีกำลังซื้อแปลงที่ดินสำหรับอยู่อาศัยได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่ติดขัด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในรอบสิบปีที่ผ่านมา ส่วนทางด้านที่อยู่อาศัยแบบอพาร์ทเม้นท์นั้น ความหยืดหยุ่นในการปรับลดราคาขายให้สอดรับกับกำลังซื้อมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากอาคารที่ขออนุญาตและเริ่มก่อสร้างแล้วปรับเปลี่ยนได้ยาก ตั้งแต่ปี 2012-2021 ราคา me-dian ของอพาร์ทเม้นท์เพิ่มขึ้นประมาณ 40% หรือ กว่า 4% ต่อปี แต่ว่า GSP ของรัฐ Victoria เพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 20% หรือ 2.5% ต่อปีเท่านั้น ทำให้ความสามารถในการดูดซับอุปทานลดลงจากปีละประมาณ 40,000 หน่วยเหลือเพียงประมาณ 20,000 หน่วยเท่านั้น เมื่อพิจารณาอุปทานที่จะก่อสร้างเสร็จสิ้นออกสู่ตลาดแล้วตั้งแต่ปี 2021 ที่มีจำนวนถึงประมาณ 200,000 หน่วยแล้ว จะเห็นว่าอุปทานล้นอุปสงค์อย่างชัดเจน จำนวนอพาร์ทเม้นท์ใหม่ที่ขายได้เพิ่มขึ้นในปี 2020 หลังจากการยกเลิกมาตรการของ APRA และ อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงมีเพียงประมาณ 4,000 หน่วยต่อปีเท่านั้น ในขณะที่แปลงที่ดินสำหรับอยู่อาศัยายได้เพิ่มขึ้นถึง 7,000 หน่วย นี่เป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ราคาอพาร์ทเม้นท์ไม่อาจสูงขึ้นได้อีก ซึ่งตรงกันข้ามกับราคาต่อตารางเมตรของที่ดินที่ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

การพิจารณาตลาดที่อยู่อาศัยในเมลเบิร์นยังมีข้อควรสังเกตุอีกประการหนึ่งคือ อพาร์ทเม้นท์ทั่ว ๆ ไปในเมลเบิร์นเป็นแบบ 1-2 ห้องนอน ราคาอพาร์ทเม้นท์ 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 จอดรถ มีราคาประมาณ $1,400,000 ในขณะที่บ้านมาตรฐาน 30 กม. จากตัวเมือง ที่ดิน 400 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ ราคาประมาณ $550,000 เท่านั้น สินค้าทั้งสองตัวนี้จึงเทียบและทดแทนกันไม่ได้ แต่เป็นสินค้าสำหรับโครงสร้างครอบครัวที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น อพาร์ทเม้นท์ที่ยังคงขายได้ในตัวเมืองเมลเบิร์นคือราคาประมาณ $600,000-700,000 สำหรับครอบครัวขนาดเล็ก นอกจากนั้นแล้ว ถือว่าตลาดอิ่มตัว ในขณะที่ที่ดินสำหรับอยู่อาศัยยังคงขายได้เรื่อย ๆ ด้วยการปรับขนาดที่ดินให้เล็กลง ถ้าหากไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลออกนโยบายที่เป็นโทษต่อตลาดเสียก่อนเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา

ศุภาลัย รุกทำเลที่ 9 จังหวัดระยอง ลุยตลาดคฤหาสน์หรู

บมจ.ศุภาลัย เดินหน้าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องในจังหวัดระยอง  พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด“ศุภาลัย ปาล์มสปริง ระยอง”บ้านเดี่ยวหรู Modern Classic Style ทันสมัย เพื่อยกระดับของการใช้ชีวิต ราคาเริ่มต้น 3.69-12 ล้านบาท เปิดขายอย่างเป็นทางการ 25-26 กันยายนนี้

นายบุญชัย ชัยอนันต์บวร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ในสถานการณ์ปัจจุบันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจะยังทรงตัว แต่ภาครัฐยังคงผลักดันเม็ดเงินลงทุนเพื่อส่งเสริมนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจังหวัดระยองนั้นถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพในภาคตะวันออก บริษัทฯจึงมีความมั่นใจกับการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ “ศุภาลัย ปาล์มสปริง ระยอง” ชูแนวคิด “The Pride of Living a Successful Life” สะท้อนทุกความสำเร็จในชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิ บนพื้นที่ 61 ไร่ ราคาเริ่ม 3.69-12 ล้านบาท กับคฤหาสน์หรู“ศุภมัณฑิรา”บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 417 ตารางเมตร 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 2 พื้นที่พักผ่อนส่วนตัว และ 3 ที่จอดรถ ทางเข้าบ้านมี  Drop off ในร่มเพื่อความสะดวกสบาย อีกทั้งภายในบ้านยังมีการออกแบบให้โปร่งโล่ง และเชื่อมต่อแต่ละส่วนอย่างลงตัว ในส่วนของชั้น 2 ประกอบด้วย Master Bedroom พร้อม Walk-in Closet ซึ่งเป็นการรังสรรค์พื้นที่ทุกตารางเมตรเพื่อความสุขของทุกคนในครอบครัวอย่างแท้จริง

นอกจาก “ศุภมัณฑิรา” แล้วยังมีแบบบ้านเดี่ยวประหยัดพลังงาน 6 แบบ พื้นที่ใช้สอยกว่า 150-417 ตร.ม.  ออกแบบ Modern Classic Style เรียบหรู  เน้นความโดดเด่นของศิลปะร่วมสมัย ผสานกับวัสดุและโทนสีสมัยใหม่ สร้างสรรค์ให้อาคารมีความภูมิฐาน สง่างาม ยกระดับชีวิตให้เหนือกว่า ด้วยระบบ Smart Home Automation ที่จะคอยดูแลความปลอดภัย และมอบความสะดวกสบายเพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและพื้นที่สีเขียว สร้างความร่มรื่นแก่ผู้อยู่อาศัย ระบบเข้า-ออก อัตโนมัติ แบบ Bluetooth ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วยกล้อง CCTV โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังถนนเส้น 36 เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ  พัทยา และจันทบุรี ได้โดยง่าย  รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ เซ็นทรัลพลาซ่า ระยอง บิ๊กซี แม็คโคร และตลาดน้ำเกาะลอย ทั้งยังใกล้กับสถานศึกษาหลายแห่ง เช่น โรงเรียนบ้านค่าย โรงเรียนตากสินฯ โรงเรียนกวงฮั้ว

อีกทั้งโครงการใหม่แบรนด์ ปาล์มสปริง จ.ระยอง จะเป็นอีก 1 โครงการในอาณาจักรพื้นที่ 250 ไร่ ที่มี  Facility ครบครัน และมี Community Mall จุดศูนย์รวมด้วยสินค้าและบริการร้านค้าหลากหลาย  โดดเด่นด้วยรูปปั้นประติมากรรม Landmark แห่งใหม่ มีพื้นที่สีเขียวให้บรรยากาศร่มรื่นด้วยสวนสาธารณะขนาดใหญ่ คาดว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปสัมผัสกับบ้านหรูทันสมัย  ที่ใช่ในทุกความรู้สึกกับ “ศุภาลัย ปาล์มสปริง ระยอง” Pre-sales 25-26 กันยายนนี้ ราคาเริ่มต้น 3.69-12 ล้านบาท* เปิดชมบ้านตัวอย่างแล้ว เลือกจองทำเลดีๆ ก่อนใคร ฟรี! บัตรกำนัล Index มูลค่าสูงสุด 200,000 บาท ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์   ทั้งยังมั่นใจในการเข้าเยี่ยมชมโครงการ ด้วยบริษัทฯมีมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า  สอบถามข้อมูลโทร 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.supalai.com

ช้ออะไรดี? Pet Clean แชมพูอาบแห้ง- Pet Clean ทิชชู่เปียก

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย ขอแนะนำ 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ในกลุ่ม LION Pet Care ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขอนามัยสัตว์เลี้ยง แบรนด์น้องใหม่เพื่อน้องหมา น้องแมว ผลิตด้วยนวัตกรรมจาก Lion Pet ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ Pet Clean แชมพูอาบแห้ง (Foaming Sanitizer) สารสกัดจากธรรมชาติ อ่อนโยน สำหรับสุนัขและแมว สูตรลดแบคทีเรีย ไม่ใช้น้ำ เนื้อโฟมนุ่ม ใช้ง่าย ไม่ต้องล้างออก มี Marine Collagen ช่วยบำรุงผิวและขนให้นุ่ม มาในขวดขนาด 250 มล. และถุงเติม ขนาด 200 มล. และ Pet Clean ทิชชู่เปียกสำหรับสัตว์เลี้ยง (Wet Wipe Sheet for Pets) สูตรลดการสะสมของแบคทีเรีย มอบความชุ่มชื้นแก่ผิวและขน ใช้ทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง หรือเช็ดสิ่งของรอบตัว ขนาด 19 x 14 ซม. บรรจุ 80 แผ่น

สามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ LION Pet Care ผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ได้ที่ LINE Lion family หรือ Lion Shop Online หรือ Lazada https://bit.ly/3jobQUC Shopee https://bit.ly/3sONhmV JD-Central https://bit.ly/3ojn3GP และหน้าร้าน Manoon Petshop, Pet Lovers Centre Thailand และ LOTUS Pet US

บีโอไอสัมมนาต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจภูมิภาค

บีโอไอ เตรียมจัดสัมมนาในงาน SUBCON Thailand 2021 วันที่ 23 กันยายนนี้ ระดมกูรูจาก 4 กองส่งเสริมการลงทุน เพื่อแนะแนวทางยื่นขอรับส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกิจการดิจิทัลที่พลิกโฉมรูปแบบใหม่ให้ผู้ประกอบการในภูมิภาค สร้างแต้มต่อให้กับการประกอบธุรกิจ พร้อมดึง SME D Bank สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์แก่นักลงทุนที่เข้าร่วมสัมมนา

นายขวัญชัย วรกัลยากุล ผู้อำนวยการกองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน บีโอไอ เปิดเผยว่า บีโอไอจะจัดสัมมนาออนไลน์เรื่อง “เพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจ เพิ่มวัคซีนให้เศรษฐกิจภูมิภาคกับบีโอไอ” ในงาน SUBCON Thailand Virtual Edition วันที่ 23 กันยายน 2564 เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะในกิจการที่ได้รับความนิยมซึ่งมีผู้มายื่นขอรับส่งเสริมจำนวนมากจาก 4 กองส่งเสริมการลงทุนคือ กองฯ 1 อุตสาหกรรมเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ กองฯ 2 อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
กองฯ 3 อุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมสนับสนุน และกองฯ 4 อุตสาหกรรมดิจิทัล สร้างสรรค์ และบริการที่มีมูลค่าสูง

ทั้งนี้ การขอรับส่งเสริมตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบันเดือนกรกฎาคม 2564 มีจำนวน 911 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 95,048 ล้านบาท ในด้านการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนปี 2558 ถึงปัจจุบัน เดือนกรกฎาคม 2564 มีจำนวน 806 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 61,411 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน พลังงานทดแทน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองลงมาคือ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ภายในงานจะมีเวทีการสัมมนาให้ความรู้ในการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ แผงโซลาร์ และสร้างความเข้าใจในการขอกิจการดิจิทัลที่พลิกโฉมรูปแบบใหม่ โดยเจ้าหน้าที่วิเคราะห์โครงการผู้เชี่ยวชาญจากกองส่งเสริมการลงทุนที่ 1 – 4 เข้าร่วมให้ข้อมูล รวมทั้งมีช่วงอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ นวัตกรรมด้านความคิด เพื่อปรับเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ดิจิทัลในยุคโควิดเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด โดยผู้ทรงวุฒิ และมีประสบการณ์หลากหลาย ประกอบด้วย นายชัยณรงค์ ฉัตรรัตนวารี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ดร.อุดมธิปก ไพรเกษตร เลขาธิการสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย นายศักดา สารพัดวิทยา รองนายกสมาคม สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) นางสาวรุ่งรัตน์ ศิริรัตนพานิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม่น้ำเมคคานิกา จำกัด/สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) และนยมนตรี สันติลักขณาวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถ เอ็ด เท็ค จำกัด

ผู้สนใจลงทะเบียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่  https://forms.gle/Tq3G7EFZegrxWayc6 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองประสานและพัฒนาปัจจัยการลงทุน โทร 0 2553 8111 ต่อ 8399 อีเมล [email protected]

แวะช้อป Gaysorn Designer’s Lane แหล่งรวมแบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก

เติมเต็มทุกความสุขแห่งการช้อปปิ้งแบบเหนือระดับไปกับ เกษรวิลเลจ (Gaysorn Village) ที่สุดแห่งไลฟ์สไตล์เออร์บันวิลเลจแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ล่าสุดเปิดตัว เกษร ดีไซน์เนอร์ เลนส์ (Gaysorn Designer’s Lane) จุดนัดพบเหล่าคนรักแฟชั่นผู้หลงใหลในความเอ็กซ์คลูซีฟ ในบริเวณพื้นที่ชั้น G และชั้น 1 ของเกษรวิลเลจ ที่รวบรวมแแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับไฮเอนด์จากทั่วทุกมุมโลกที่ทุกคนรอคอย พร้อมต้อนรับให้เหล่าผู้มาเยือนได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศอันสุนทรีย์ของงานศิลปะ Art Installation ชิ้นพิเศษ ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดย 2 ศิลปินชื่อดัง ได้แก่ ดีไซน์เนอร์มากฝีมืออย่าง บิยาน (Biyan) และนักออกแบบชาวอินโดนีเซีย เฟลิกซ์ จาห์ยาดี (Felix Tjahyadiร่วมกับ คลับ 21 ประเทศไทย (Club 21 Thailand) ที่สามารถเข้าชมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงเดือนมกราคม 2565

จิรัสย์ วัฒนภัทรเศรษฐ์ รองกรรมการบริหารฝ่ายการตลาดเกษรวิลเลจ กล่าวถึงจุดเด่นของ เกษร ดีไซน์เนอร์ เลนส์(Gaysorn Designer’s  Lane) ว่า “เราต้องการยกระดับประสบการณ์การมาเยือนเกษรวิลเลจให้กับเหล่าผู้หลงใหลแฟชั่นทุกคน ด้วยแบรนด์แฟชั่นที่ครบครันจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งแบรนด์ไฮเอนด์ แบรนด์ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงแบรนด์สตรีทแฟชั่น ที่มีทั้งรูปแบบของคอนเซ็ปต์สโตร์ และแฟล็กชิพสโตร์ บนพื้นที่ชั้น G และชั้น 1 พร้อมตอบโจทย์ในทุกสไตล์การแต่งตัวของเหล่าแฟชั่นเลิฟเวอร์ได้ในทุกวัน อีกทั้งเรายังให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการตกแต่งภายใน เพราะนับเป็นทัศนวิสัยที่ผู้มาเยือนทุกท่านจะต้องได้พบ ซึ่งล่าสุดก็ได้ดีไซน์เนอร์ชื่อดังอย่างบิยาน (Biyan) และเฟลิกซ์ จาห์ยาดี (Felix Tjahyadi) ร่วมกับคลับ 21 ประเทศไทย (Club 21 Thailand) มาออกแบบผลงาน Art Installation ชิ้นเยี่ยม เพื่อต้อนรับเหล่าคนรักแฟชั่นและลูกค้าทุกท่าน”

เกษร ดีไซน์เนอร์ เลนส์ (Gaysorn Designer’s Lane) จุดนัดพบของคนรักแฟชั่นที่รวบรวมแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลกเอาไว้มากมาย อาทิ CLUB 21 Multi-Label Women บูติคแห่งใหม่ที่พร้อมให้เหล่าสาวกแฟชั่นได้อัพเดทคีย์ลุคเด่นประจำรันเวย์ในแต่ละซีซั่น ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์ Biyan, Acne Studios, Balmain, Erdem, Dries Van Noten, Jacquemus, Jil Sander, Johanna Ortiz, Junya Watanabe, Rochas, The Row, Thom Browne, Victoria Beckham, Yohji Yamamoto และอื่นๆ อีกกว่า 30 แบรนด์ และยังมี Club 21 Multi-Label Men แฟชั่นเดสติเนชั่นแห่งใหม่ สำหรับชายหนุ่มผู้หลงใหลในแฟชั่นและการแต่งตัว

นอกจากนี้ยังมีแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ชั้นนำอีกมากมาย อาทิ COMME des GARCONS สาขาใหญ่ที่สุดในประเทศไทย, CDGCDGCDG ซึ่งเป็นร้าน Free Standing แห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น, Boss แบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์ สำหรับคุณสุภาพบุรุษที่หลงใหลในทุกความปราณีตของการแต่งกาย, BOYY แฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกของประเทศไทยในคอนเซ็ปต์ที่ผสานความคลาสสิกของ BOYY เข้ากับความร่วมสมัย, Bang & Olufsen (B&O) แบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์จากเดนมาร์กที่มีประวัติยาวนานกว่า 95 ปี, Marie France Van Damme แฟล็กชิพสโตร์แบรนด์แฟชั่นแนวรีสอร์ทแวร์ระดับโลกที่ยกระดับการแต่งกายในช่วงเวลาการพักผ่อนให้หรูหราขึ้นกว่าเดิม, RIMOWA แฟล็กชิพสโตร์ แบรนด์กระเป๋าเดินทางที่ได้รับการยอมรับจากนักเดินทางทั่วโลกมากว่า 80 ปี และ Steinway & Sons อาร์ทิซานเปียโน ที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นเฉพาะตัว ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพให้ผู้ฟังประหนึ่งรับชมการแสดงคอนเสิร์ตระดับโลก ที่ศิลปินทั่วโลกต่างเลือกใช้

รวมถึงโซนนาฬิกาที่รวบรวมเรือนเวลาหรูที่หายาก และควรค่าแก่การเก็บสะสม ที่นอกจากจะมีแบรนด์นาฬิกาสุดหรู อาทิ CORUM, Carl F. Bucherer, Grand Seiko, Hublot, Jaquet Droz, Parmigiani Fleurier, Patek Philippe, Rolex, SARCAR, Backes & Strauss, Erwin Sattler, DeWitt, HYT, Cyrus, Speake-Marin, Schwarz-Etienne, Pierre DeRoche, Rudis Sylva และอีกหลากหลายแบรนด์แล้ว ยังมีแบรนด์นาฬิกาสุดเอ็กซ์คลูซีฟระดับโลกมาอยู่ที่นี่อีกด้วย อาทิ AP House by Audemars Piguet แบรนด์นาฬิกาชื่อดังระดับโลกสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งนับเป็น AP House แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแห่งที่ 8 ของโลก รวมถึง Seiko Service Center ศูนย์บริการหลังการขาย และบริการอื่นๆ ของ Grand Seiko และ Alba อย่างครบวงจร และ Geneva Master Time ศูนย์บริการรับรองลูกค้าในประเทศไทย ที่กำลังจะเปิดให้บริการในเดือนตุลาคม 2564

อีกหนึ่งความน่าสนใจของ เกษรวิลเลจ (Gaysorn Village) คือการร่วมมือกับดีไซน์เนอร์มากฝีมืออย่าง บิยาน (Biyan) และนักออกแบบชาวอินโดนีเซีย เฟลิกซ์ จาห์ยาดี (Felix Tjahyadi)  ร่วมด้วย คลับ 21 ประเทศไทย (Club 21 Thailand) ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจัดแสดงที่ เกษรวิลเลจ (Gaysorn Village) โดยเฉพาะ ซึ่งเริ่มต้นความงดงามทางศิลปะที่บริเวณสะพานแก้วที่ทอดยาว 20 เมตร ประดับตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์จากงานออกแบบของบิยาน (Biyan) พร้อมฝูงนกที่พร้อมนำสายตาผู้มาเยือนไปสู่สวนสวย และเมื่อก้าวเข้าสู่ส่วนทางเข้าโซนโคคูน (Cocoon) ก็จะพบกับการจัดแสดงที่พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยเวทย์มนต์แห่งศิลปะ ผ่านการร้อยเรียงผืนผ้าลายบุปผาที่ถูกแขวนด้วยมือ และทับซ้อนกันเป็นเลเยอร์ อีกหนึ่งผลงานไฮไลท์คือจุดที่เป็นปักษา 2 ตัว ที่โผบินอย่างเป็นอิสระอยู่บนโถงเพดาน ซึ่งเป็นชิ้นงานที่ประดิษฐ์จากโครงหวาย และผืนผ้า เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเข้มแข็ง การเปลี่ยนแปลง และการเกิดใหม่ โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากครุฑ ไก่แจ้ นกอินทรีย์ และนกฟีนิกซ์ ที่เชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ประจำประเทศไทย และอินโดนีเซีย เพื่อเป็นการสื่อถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ เกษรวิลเลจ (Gaysorn Village) ยังมีบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อให้เหล่าผู้หลงรักแฟชั่นได้สัมผัสกับประสบการณ์การช้อปปิ้งอย่างเหนือระดับกับ The Uniquely Gaysorn Experience เริ่มจาก Personalized & Customized Experience ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลจากหลากหลายแบรนด์ดังระดับโลก อาทิ คุณสามารถเลือกสีไม้ เลือกลาย Cover หรือสั่งทำตามแบบที่ต้องการ รวมไปถึงเลือกผ้า และผิวสัมผัสของลำโพง จากแบรนด์ Bang & Olufsen (B&O), Steinway & Sons ที่สามารถออกแบบเปียโนในสไตล์ของตัวเองกับคอลเลกชั่นพิเศษอย่าง Crown Jewel Collection ที่ให้ทุกท่านได้เลือกไม้ที่เหมาะกับตัวคุณ, SARCAR นาฬิกาสุดหรูจากสวิสเซอร์แลนด์ กับคอนเซ็ปต์ “Creator of Dream” ที่จะสานฝันให้กับผู้ที่รักนาฬิกา สามารถเลือกทั้งรูปแบบหน้าปัด และวัสดุที่นำมาใช้หรืออัญมณีประดับได้ด้วยตัวคุณเอง ถัดมาที่ Gaysorn Concierge – Customer Relations บริการจากพนักงานอำนวยความสะดวกมากประสบการณ์รวมถึงการเปิดตัว Gaysorn Diamond Lounge (เกษร ไดมอนด์ เลานจ์) ใหม่ พื้นที่บริการสุดพรีเมี่ยมที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน เอกสิทธิ์พิเศษของลูกค้า Privilege จากเกษรวิลเลจ

สำหรับแฟชั่นเลิฟเวอร์ที่ต้องการช้อปปิ้งจากหลากหลายช่องทาง เกษรวิลเลจ (Gaysorn Village) ยังมี Gaysorn “To you” ที่จะมาเติมเต็มการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ ให้เหล่านักช้อปอุ่นใจเหมือนมาช้อปปิ้งเองที่เกษรวิลเลจ กับบริการ  You Shop We Drop เลือกช้อปปิ้งสินค้าจากหลากหลายแบรนด์ดังผ่าน Gaysorn Concierge Online ทางช่องทาง LINE @GaysornVillage พร้อมบริการส่งของให้ถึงรถยนต์ ต่อมาที่บริการ Luxury Delivery with Black Tie บริการจัดส่งสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยร่วมมือกับ The Black Tie Service เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดส่งสินค้าอย่างปลอดภัยให้ถึงหน้าบ้าน รวมถึงบริการ Gaysorn Experience To Your Place บริการที่จะช่วยสร้างประสบการณ์สุดพิเศษแบบเหนือระดับ เพียงแจ้งความต้องการซื้อสินค้าผ่าน Gaysorn Concierge – Customer Relations ผู้ช่วยช้อปฯ ก็จะเนรมิตสินค้าจากหลากหลายแบรนด์ดัง ไปให้ทุกท่านเลือกสรรถึงบ้าน และพิเศษสุดกับบริการ Online Redemption ให้เหล่านักช้อปสามารถสะสมยอดการซื้อสินค้า และบริการในเกษรวิลเลจได้ผ่านทางช่องทาง LINE @GaysornVillage ซึ่งจะมีพนักงาน Concierge คอยให้บริการออนไลน์อีกด้วย

พบกับ เกษร ดีไซน์เนอร์ เลนส์ (Gaysorn Designer’s Lane) ที่รวมแบรนด์ไฮเอนด์ชั้นนำระดับโลกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมเยี่ยมชมผลงาน Art Installation จากดีไซน์เนอร์ และนักออกแบบชื่อดังได้แล้ววันนี้ที่ เกษรวิลเลจ (Gaysorn Village)